ความคิดเห็นที่ 6
ดีๆ กระทู้แบบนี้ควรมีคนตอบเยอะๆ
เพราะในสังคมโลกทุกวันนี้ เรื่องที่เป็นไปในทางกุศล ควรจะมีการส่งเสริมทุกๆรูปแบบ ส่วนเรื่องที่นอกเหนือจากนี้ ควรจะ--ไม่ต้อง--ไปส่งเสริม เพราะมันมีเยอะอยู่แล้ว เป็นธรรมดาโลก
การทำบุญทำได้ 10 วิธี ( สำหรับรายละเอียด search โดยใช้ Keyword "บุญกิริยาวัตถุ 10" ) ทั้ง 10 รูปแบบของการทำบุญนั้น มันจัดหมวดหมู่ยัดลงไปได้ 3 ประเภท นั่นคือ ทาน ศีล ภาวนา
ถ้าจะทำบุญเพื่อให้สบายใจ เพื่อลดละกิเลสอย่างเดียว ก็จะดีมาก ใครที่คิดแบบนี้ได้ เราต้องอนุโมทนามากๆ มีโอกาสตรงไหน หรือมีความสบายใจตรงไหน ก็ทำไปตามเหตุปัจจัย ตามสะดวก ตามสถานการณ์ (ในเมื่อทำเพื่อลดละ เพื่อหลุดพ้น ทำอะไรแล้วเกิดผลดี จิตเป็นกุศล ก็จบตรงนั้น ไม่ต้องพูดเรื่องผลตอบแทน)
แต่ถ้ายังคิดเรื่องความต้องการแบบโลกๆ ( อยากทำงานแล้วประสบความสำเร็จเร็ว ปัญหาน้อย มีก็แก้ได้ง่าย อยากมีบริวารที่ดี อยากเป็นเจ้านาย เป็นเจ้าของกิจการ อยากมีสุขภาพดี เป็นอะไรแล้วหาหมอได้ตรงโรค วินิจฉัยตรง จ่ายยาตรงโรค อยากนั่น อยากนี่ ) ถ้าเป็นกรณีนี้ ก็ยอมรับตามจริงว่า กิเลสของเรายังมีตรงนี้
ทีนี้ พระพุทธองค์ก็ทรงสอนไว้หมด ระบุไว้หมด ว่าทำบุญในส่วนไหนอย่างไร ได้ผลมาก ได้อานิสงค์มาก
คุณเจ้าของกระทู้ ลองศึกษาดู จาก "วิธีสร้างบุญบารมี" โดย สมเด็จพระญาณสังวรฯ search หาอ่านได้ฟรีๆ เป็นการรวบรวมอธิบายไว้ย่อๆ ซึ่งเห็นว่าเพียงพอ สำหรับคนทั่วๆไป ที่ประมาณว่า อยู่ๆอยากทำบุญ แต่ไม่รู้วิธี
การทำอย่างถูกวิธี กับทำแบบสะเปะสะปะ ผลที่ได้ต่างกัน
เหมือนเรามีเมล็ดพืชจำนวนเท่านี้ๆ ถ้าเราเลือกหว่านไปในผืนดินที่เหมาะสม ดินดี อากาศดี น้ำดี พืชผลก็ดี แต่ถ้าเราหว่านไปในผืนดินที่มีคุณสมบัติที่ดีลดๆลงมา ดินแห้งแข็ง ไม่อุดม น้ำน้อย พืชผลที่ได้ก็ลดๆลงมา ซึ่งบางที ถ้าหว่านไปในที่ๆไม่ใช่เนื้อนาบุญเลย ทุกอย่างก็จบ ไม่ได้ผลอะไรเลย
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ถึงตรงนี้ ถ้ามีคนสงสัยว่า อ้าว ในเมื่อจุดมุ่งหมายของพุทธ คือการละความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ถ้าทำบุญแล้วยังต้องมากังวลเรื่องเนื้อนาบุญ เรื่องผล เรื่องอานิสงค์ แบบนี้มันก็ขัดแย้งกันสิ
คำตอบก็คือว่า คำสอนของพระพุทธองค์ ( ส่วนที่เป็นของพระพุทธองค์ตรัสเอง ไม่นับคำสอนของระดับสาวก ) ทุกอย่าง ทุกเรื่อง จะสอดคล้องสัมพันธ์กัน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ให้ผลไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด บุญกิริยาวัตถุ 10 นั้น ยัดลงไปได้ 3 หมวด คือ ทาน ศีล ภาวนา ซึ่งจริงๆมันคือ subset ของมรรค 8 ใครก็ตามที่ทำบุญกิริยาวัตถุ 10 ---> คนๆนั้น กำลังสร้างเหตุปัจจัยให้ตัวเองได้เจริญอริยมรรคมีองค์ 8 ด้วย
เมื่อเหตุปัจจัยเพียงพอ ทุกอย่างพร้อม คนๆนั้นจะเริ่มเข้าถึงธรรม ในระดับที่สูงขึ้นๆไปเองตามลำดับ ขอให้ปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรงมรรควิธีเท่านั้น ถึงเวลาผลมันจะออกมาเอง ตามลำดับๆ โดยอัตโนมัติ
อุปมาเหมือนแม่ไก่ฟักไข่ ไม่ต้องอยากให้มันออกมา แค่ทำถูกวิธี ถูกธรรม ( ถูกธรรมชาติ ) อุณหภูมิถูก ระยะเวลาถูก ความชื้นถูก เมื่อเหตุปัจจัยต่างๆครบ เพียงพอ ลูกไก่มันฟักออกมาของมันเอง
ดังนั้น สภาพจิตของใครที่อยู่ในสภาวะที่ละเอียด ทำดี ทำบุญ ทำกุศลเพื่อลดละตัวตน ไม่คิดเรื่องอื่น ก็ดี แต่ถ้าใครยังอยู่ในระดับที่เรียกกันง่ายๆว่า "ยังทำบุญหนีบาปกันอยู่" หากยังอยู่ในกรอบของมรรควิธีแล้ว ให้วางใจไว้เลยว่า หนีไม่พ้นแน่นอน คือ หนีไม่พ้นว่าเมื่อเจริญองค์มรรคไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งมันค่อยๆละเอง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กระทู้นี้ มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกับในอีกกระทู้นึงเมื่อวันก่อน ( ที่มีคุณผู้หญิงคนหนึ่งมาเล่าเรื่องของน้องผู้หญิงคนนึง ) ซึ่งจากการบรรยายเล่าของเจ้าของกระทู้(ที่ว่านั้น) ภาพของน้องผู้หญิงในเรื่องคือ ภาพของคุณหนู ที่บ้านมีฐานะ พ่อแม่ทำนองว่า **ผลักดัน ** ให้มาเรียนต่อโท แต่ตัวเองไม่อยากเรียน พอมาเรียนไกลแล้วก็คิดถึงพ่อแม่
กระทู้นั้น ผมไปอ่านเจอ เห็นว่ามีอยู่สองสามประโยค ที่บอกได้เลยว่า น้องคุณหนูคนนั้น จะไม่มีทางตกต่ำ เพราะเธอคนนั้น mention ว่า พ่อเสียเงินให้มามากแล้ว จะต้องเรียนให้จบ กับอีกประโยคที่บอกว่า ไม่เคยบอกให้แม่รู้ว่า ร้องไห้คิดถึงบ้านเป็นประจำ เพราะถ้าแม่รู้ แม่จะต้องกังวลเป็นห่วง และยิ่งประโยคที่ว่า พ่อแม่แก่แล้ว อยากอยู่ใกล้ๆดูแล กลัวว่า เวลาจะไม่คอยใคร
ผมไม่รู้แน่ว่า ความจริงในเรื่องนี้เป็นยังไง เพราะเป็นการเล่าต่อมาอีกที แต่ถ้าทั้งหมดนี้จริงตามนี้ น้องผู้หญิงคนนั้น จะไม่มีวันตกต่ำ เพราะว่า เป็นคนที่รู้คุณพ่อแม่มากๆ และคนแบบนี้หายากมากในสมัยนี้ ลูกประเภทที่เอาความทุกข์ของตัวเองไปเพิ่มให้พ่อแม่ มีเยอะมาก ซึ่งผมยังไม่เคยเจอเลยนะ พูดตรงๆ คือลูกประเภทที่ยอม suppress ความทุกข์ของตัวเองเพื่อ ป้องกันไม่ให้พ่อแม่เอาไปทุกข์ด้วย
คุณเจ้าของกระทู้นี้ mention คล้ายๆกัน บอกว่า อยู่ห่างไกล ไม่ได้ดูแลพ่อแม่
ผมจำพระสูตรไม่ได้ แต่จำเนื้อหาได้แน่นอนว่า พระพุทธองค์ทรงพูดถึงการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ว่า สิ่งที่ลูกควรทำ นอกเหนือจากการปฏิบัติดูแลอย่างที่เรารู้ๆกันแล้ว สิ่งที่บอกเลยว่า "ลูกคนนี้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่" นั่นก็คือ "การทำให้พ่อแม่มีความเห็นที่ถูกที่ตรง" ( บุญกิริยาวัตถุ10 ข้อสุดท้าย --- ระดับสูงสุดของการทำดี) ซึ่งนั่นหมายความว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน มันไม่ได้เป็นเงื่อนไขเลยที่คุณจะตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ได้ หรือ ไม่ได้
ความหมายของพระพุทธองค์ก็คือ การตอบแทนบุญคุณที่ลูกพึงทำ นั่นคือ การทำให้พ่อแม่เป็นพระอริยะบุคคล ข้ามจากฝั่งปุถุชน กลายมาเป็นพระอริยะบุคคล (โสดาบันขึ้นไป ) เพราะถึงลูกคนไหนจะเอาเงินทองไปให้ เอาตัวไปรับใช้ดูแล แต่ของพวกนี้ยังหยาบอยู่ ถึงเวลาร่างกายแตกดับไป ก็ยังเวียนว่ายอยู่ ยังไม่พ้นระบบกรรม เมื่อยังไม่พ้นระบบกรรม ก็ยังเสี่ยงต่อการไปเกิดในอบาย เพราะเราไม่รู้ว่ากรรมเก่าที่ทำๆมามีอะไรบ้าง
( บุญที่ทำมามันมีจังหวะที่พร่องลงไป แล้วพอดิบพอดีกับกรรมหนักอะไรสักอย่างที่เคยทำไว้ แบบนี้ไปเกิดที่ต่ำได้ อย่าไว้ใจกรรม อย่าวางใจว่า ชาตินี้ทำดีมากมาย ทำชั่วนิดเดียว แล้วคิดว่า ตายไปจะได้เกิดที่ดีๆเท่านั้น เพราะว่า เราไม่รู้ว่าถ้าขยาย space-time ออกไปกว้างๆ แล้ว ชาติที่แล้วๆมา เราทำอะไรดีเลวแค่ไหน เราไม่รู้)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดังนั้น การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ที่แท้จริง ในความหมายของพระพุทธองค์ คือการทำให้พ่อแม่มีความเห็นที่ตรง *** ความเห็นที่ตรงก็คือ สัมมาทิฏฐิ *** ซึ่งในมรรคมีองค์ 8 นั้น พระพุทธองค์ระบุว่ามีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน *** ( มีตัวนี้ตัวเดียว ตัวอื่นๆที่เหลืออีก 7 จะค่อยๆตามมาเอง )
คำสอนของพระพุทธองค์ ( ไม่นับคำสอนของระดับสาวก) จะสอดคล้องและให้ผลในทิศทางเดียวกัน ดึงมาแค่ ศีล ตัวเดียว ก็ link เข้าไปในระบบของอริยมรรคมีองค์ 8 ได้
สมมุติว่า พ่อแม่ของเรา ทำมาหากิน เหนื่อย เลี้ยงลูก ส่งลูกเรียน ไม่ใช่ generation ที่จะมีเวลามาศึกษาเรื่องนี้มากมาย ประมาณว่า เข้าวัดทำบุญก็ยังเข้าใจเหมือนคนทั่วๆไปว่า การทำสังฆทานคือการเอาของใส่ถังเหลือง แต่เรา ซึ่งเป็น generation ที่ได้เรียน ได้ศึกษา เรารู้ว่าอะไรถูกอะไรไม่ถูก (จากการศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์) เราจะตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ตามวิธีที่พระพุทธองค์สอนไว้ได้มั้ย ได้สิ และไม่จำเป็นว่าต้องอยู่ใกล้กันเท่านั้นด้วย
เช่น กรณีที่พ่อหรือแม่ยังกินเหล้าอยู่ ถ้าเราสามารถทำให้พ่อแม่เลิกเหล้าได้เลยเด็ดขาด ตรงนี้คือการตอบแทนบุญคุณ หรือถ้าเรารู้ว่า วัดนี้ๆ มีภิกษุที่เป็นพระอริยะสงฆ์อยู่ แล้วเราชวน แนะนำให้พ่อแม่ไปทำบุญที่วัดนี้ นี่คือจุดเริ่ม ใช้กุศโลบาย (อุบายที่เป็นกุศล)ล่อไป อาจจะโทรบอกว่า วันไหนพ่อแม่ว่างช่วยไปทำบุญที่วัดนี้ กับพระรูปนี้ๆให้หน่อย พ่อแม่รักลูกนี่ อยู่ไกลเป็นห่วง อยู่ๆโทรมาบอกระบุเจาะจงให้ช่วยทำบุญแบบนี้ๆ เค้าก็จะต้องหาเวลาไปให้ได้ การทำบุญกับพระอริยะสงฆ์ครั้งนั้น จะเป็นการสร้างเหตุปัจจัยให้พ่อแม่ของเราค่อยๆเจริญในธรรมไปเองตามลำดับ
ถ้าเราวางจิตแบบนี้ คือ มีเจตนา ( เจตนาคือตัวกรรม) ที่ต้องการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ในความหมายของพระพุทธองค์
ผลที่ได้คือ
1. เราได้ทำบุญอย่างที่เราต้องการแต่แรกแล้ว (บุญกิริยาวัตถุ 10 ข้อที่ 4, 8,9 ) และทำกับเนื้อนาบุญด้วย คือทำกับพ่อแม่ 2. พ่อแม่ก็ได้บุญต่ออีก ( การทำบุญครั้งนั้น ที่ว่า ทำให้เรานั้น จริงๆใครทำคนนั้นได้ต่างหาก ใครกิน คนนั้นอิ่ม ) 3. ส่วนเราได้บุญในส่วนของการอนุโมทนา (บุญกิริยาวัตถุ 10 ในข้อที่ 7) ซึ่งเราก็ได้ส่วนนี้เต็มๆ เพราะว่าเรารู้รายละเอียดต่างๆของการทำบุญครั้งนั้นๆ เวลาอนุโมทนา เราเห็นภาพเต็มที่
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สุดท้าย ในส่วนที่คุณเจ้าของกระทู้พูดถึงในส่วนของการภาวนา
ครูบาอาจารย์สอนว่า ถ้ายังมีเวลาหายใจ ก็ยังมีเวลาสำหรับปฏิบัติ ดังนั้น จะบอกว่า อยู่ไกลบ้าน ไกลพระ หรือ บอกว่า ตอนนี้เป็นหนุ่มกิเลสเยอะ ทำให้ไม่ค่อยได้เจริญสมาธิเหมือนตอนเด็กๆ จึงไม่ใช่เหตุผลเลย ถ้ายังมีเวลาหายใจ ก็ต้องมีเวลาปฏิบัติ จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ ถ้าทำอยู่เรื่อยๆ ก็ยังดีกว่าไม่ทำเลย
ศีล เป็นบาทฐานของสมาธิ
ถ้าเราจะทำสมาธิ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ศีล ซึ่งศีล ไม่ใช่ข้อห้ามเรื่องนั้นเรื่องนี้ คำสอนของพระพุทธองค์ไม่มีข้อห้าม ไม่มีบทลงโทษ มีแต่อธิบาย มีแต่อธิบายว่า เหตุอย่างนี้ๆ จะทำให้เกิดผลอย่างนี้ๆ เหตุอย่างนั้นๆ ทำให้เกิดผลอย่างนั้นๆ
เวลาสมาทานศีล "ปาณาติปาตา เวรมณี, อทินนาทานา เวรมณี ....." ท่านเจ้าคุณประยุทธ์ -พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) อธิบายความหมายของคำว่า "เวรมณี" ไว้ดังนี้ "เวรมณี แปลว่า เจตนาที่ทำให้เว้น หรือ เจตนาที่ตรงข้าม เมื่อจะแปลให้เต็มความ จึงควรแปลว่า - การกระทำที่ว่างจากการคิดเบียดเบียน หรือ การทำดีที่ตรงข้ามกับการเบียดเบียนชีวิต "
ดังนั้น
Concept ของศีลคือ การรักษาความเป็นปกติของจิต นั่นคือการไม่เบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น เมื่อ ไม่มีการเบียดเบียน เป็นเหตุ ผลก็คือ จิตจะอยู่ในสภาพที่พร้อมสำหรับการละวางสิ่งต่างๆ ซึ่งการละวางนี่แหล่ะ คือหลักการของสมาธิ
การละ เริ่มจากสิ่งที่หยาบๆที่สุดก่อน นั่นคือ อกุศลธรรม เมื่อ อกุศลธรรม ลดลงๆ เบาบางลงๆ --> นิวรณ์ 5 ก็ลดลงๆ เบาบางลงๆ เมื่อนิวรณ์ 5 ลดลงๆ ---> สิ่งที่หยาบน้อยลงไป นั่นคือ วิตก วิจาร ( การตรึก การตรอง) ก็ลดลงๆ เมื่อละวิตกวิจารได้ ---> สิ่งที่ละเอียดลงไปอีกคือ ปิติ กับสุข ก็จะกลายเป็นของหยาบที่จะละต่อไป ต่อมาเมื่อจิตอยู่ในสภาพที่ละเอียดลงไปๆ ก็จะเห็นว่า สุขก็ดี ปิติก็ดี ก็ยังเป็นของหยาบ เป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ยังเป็น "ทุกขัง" มันก็จะละไปเอง มันเป็นไปของมันเอง ( รายละเอียดตรงนี้ ขอได้โปรด ศึกษาต่อจาก พุทธวจนะ ในหัวข้อสัมมาสมาธิ )
อย่างไรก็ตาม โดยหลักการแล้ว ให้มั่นใจได้เลยว่า หากมีศีลคุมไว้ สิ่งที่ตามมาคือ สมาธิ แน่นอน เมื่อสมาธิเกิด ปัญญาก็เกิด ตามมาเองโดยอัตโนมัติ ขอให้ทำให้ถูกวิธี เจริญมรรควิธีให้ตรง แค่นั้น
ปัญญามี 3 ระดับ คือ สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา และ ภาวนามยปัญญา ซึ่งสองตัวแรก เราเรียนรู้จดจำ ฝึกคิดแบบตะวันตกกันมาเยอะแล้ว ถ้าใครจะลองมาดูว่าปัญญาตัวที่ 3 นี้ มันช่วยให้เห็นและเข้าใจอะไรๆได้มากขึ้น ลึกซึ้ง หลุดข้ามขอบเขต ( space-time) กรอบคิดในระดับหยาบๆ แล้วมาดูว่า ปัญญาส่วนนี้ มันเป็นประโยชน์กับเราใน ทางโลก และทางธรรม แค่ไหนอย่างไร ก็คงจะดีไม่น้อย
จากคุณ :
- 072648
- [
10 ม.ค. 51 00:17:42
A:58.136.50.70 X: TicketID:072648
]
|
|
|