ความคิดเห็นที่ 1 หมอฟันไทยดีสุด จากคุณ : mon kiwi - [ 15 ม.ค. 51 05:58:15 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ส่วนตัวแล้วเมื่อก่อนเคยคิดที่จะอุดฟันสีขาวเหมือนกัน แต่หมอไม่แนะนำหมอบอกว่าสีตะกั่วหรือสีเงินจะทนกว่า แต่เราไม่รู้นะตอนนี้ยังไม่เป็นไรเลย ว่าแล้วได้กลับเมืองไทยจะให้หมอเช็คฟันให้หมดเลย ยังไงรอผู้รู้มาตอบนะค่ะ จากคุณ : monousa - [ 15 ม.ค. 51 06:32:05 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อ่านดูแล้ว.. ค่อนข้างอนาถา... มีเยอะไปค่ะ ที่หมอฟันทำแบบ สุกเอาเผากิน คลีนิคทำฟันดีๆ ก็มีนะคะ มันอยู่ที่คุณภาพของหมอๆแต่ละคนจริงๆ.... แบบคลีนิคหรูๆ และ รับแต่ประกันสุขภาพเอกชนเท่านั้น ก็มีนะ... การรักษาจะแตกต่างกัน เอาใจคนไข้ หมอฟันบางคน เปิดคลีนิคผิดกฏหมายก็มี คือไม่จบฑันตแพทย์มา ปลอมใบจบ ปลอมใบอนุญาต... ในนิวยอร์ค มีหมอฟันจากรัสเซียเยอะมากกกกกกก... มีข่าวออกทีวีไม่กี่เดือนมาแล้ว.. หมอฟันรัสเซีย (หมอปลอม) เปิดคลีนิคทำฟัน ในถิ่นคนรัสเยนอาศัย...... คนไข้หญิงสูงอายุคนหนึ่ง ตายคาเก้าอี้ทำฟัน... หมอปลอมมันเอาศพไปทิ้งไว้ข้างนอกประตูทางเข้าออกคลีนิค ทำลายข้อมูลของผู้หญิงนั่น.... ถูกจับได้ต่อมา... ยังมีพวกหัวหมอทั้งหลาย ที่ปลอมเอกสารแอบเปิดคลีนิค... ยังมีคนไข้ไปรักษา ยังไม่รู้เลยว่า เป็นหมอปลอม ถูกจับไปหลายวัน คนไข้อื่นๆก้ยังมาตามนัด กรณีของคุณ จขกท. นี่ นับว่า... ยังไชคดีนะคะ จากคุณ : JidNince - [ 15 ม.ค. 51 06:34:12 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อุดฟันแล้ว ถ้าอาการไม่ดี ให้กลับไปหาหมอคนเดิม ถ้าเขาไม่แก้ไขให้เป็นที่ถูกต้องและถูกใจ งานนี้ให้โวย เฉยได้ไง แพงตายชักอย่างนั้น ดิฉันไป re-do filling ฟันกรามสามซี่ อันดับแรก เขาจะ num gum เรา ก่อน หว่างที่รอ เขาก็ไปดูคนไข้คนอื่น ก็ OK นะคะ ต่อจากนั้นก็มาฉีดยา แล้วเขาก็ไปอีก ผู้ช่วยหมอมีเขาจะจับเวลาไว้ด้วย ปล่อยเราไว้คนเดียวให้อ่านหนังสือหรือนอนเงียบๆน่ะดีแล้ว ถึงเวลาเขาก็มา work ให้เราอีกจนเสร็จ ดิฉันว่าหมอที่เมกานี่ส่วนใหญ่ก็คงเป็นอย่างนี้ คือเขาจะมีคนไข้หลายๆคนในเวลาที่ใกล้เคียงกัน จากคุณ : PatPDX - [ 15 ม.ค. 51 06:52:01 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เคยตรวจฟันและถอนฟันคุดที่อเมริกาค่ะ ไม่ได้ผ่านะคะเพราะเป็นฟันซี่สุดท้ายด้านบนและเป็นฟันที่ยื่นออกมาแล้ว ผุมาก รอไปทำที่เมืองไทยไม่ไหว คุณหมอว่าไม่ต้องผ่าและเอาออกง่ายมาก ใช้เวลาถอนฟันไม่ถึงนาทีค่ะ 5555555 แต่ราคาแพงมาก ๆ ถ้าเทียบกับเมืองไทย  ช่วงหลัง ๆ พอกลับไปเมืองไทยก็จะไปทำฟันที่เมืองไทยค่ะ พอดีว่า อยู่แถวสะพานควาย ก็เลยไปที่โรงพยาบาลเปาโลค่ะ เมื่อสองปีก่อน ไปอุดฟัน 4 ซี่ แล้วก็ขูดหินปูน หมดไปสามพันกว่าบาทค่ะ (ไม่แน่ใจว่าแพงหรือเปล่านะคะสำหรับ โรงพยาบาลเอกชน) ส่วนปีที่แล้วก็ไปตรวจฟัน ปรากฎว่าไม่มีฟันผุแล้วก็ขูดหินปูน หมดไป 900 บาทค่ะ เป็นคุณหมอผู้หญิงค่ะ ครั้งแรกที่ไปทำก็โทรนัดก่อนค่ะ สามารถบอกเจ้าหน้าที่ว่าอยากจะได้คุณหมอผู้หญิงหรือว่าผู้ชายได้ค่ะ พอครั้งที่สอง ก็บอกไปเลยว่าเป็นคนไข้ของคุณหมอคนนี้  พอไปถึงจะได้ไม่ต้องรอคิวค่ะ ก็สะดวกสบายดีค่ะ ถ้าคุณเจ้าของกระทู้สนใจก็ลองเปิดเว็บของโรงพยาบาลดูค่ะ การเดินทางก็ลงรถไฟฟ้าที่สถานีสะพานควาย เดินไม่กี่ก้าว ก็ถึงโรงพยาบาลค่ะ จากคุณ : หมูหวาน - [ 15 ม.ค. 51 06:56:57 ]

ความคิดเห็นที่ 6 หมอฟันแบบนี้มีเยอะ  ถ้าคุณมีประกันด้วย  ก็หาเรื่องทำโน่นทำนี่ บางอย่าง คิดว่าไม่จำเป็น....อย่าไปทำอีกเลย  ....   แต่เราโชคดีได้หมอฟันชาวเกาะ ...ไปเมืองไทยก็ทำเสียดีกว่า  แต่ก็ต้องสืบให้ดีด้วย จากคุณ : ยิ้มกันดีกว่า - [ 15 ม.ค. 51 07:13:52 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เห็นด้วยกับคุณ mon kiwi เป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ คุณ monousa คะ ทีแรกเราก็ว่าจะไม่เปลี่ยนจากสีเงินเป็นขาว แต่มันทนเสียวฟันเวลาทานน้ำเย็น หรือของเย็นๆ ไม่ไหวอ่ะค่ะ ก็เลยต้องเปลี่ยน โชคดีนะคะที่เคสเราไม่ร้ายแรงเท่าเคสที่คุณ JidNince ไม่งั้นแย่แน่เลยค่ะ ขอบคุณที่เล่าสู่กันฟังนะคะ คุณ PatPDX งานนี้อยากจะโวยอยู่ค่ะ แต่ให้กลับไปไม่เอาอีกแล้วค่ะ เข็ดมากๆ เลยอ่ะค่ะ คุณหมูหวาน โชคดีที่เจอหมอดีนะคะ เดี๋ยวเราจะลองเช็คเวป รพ.เปาโลดูค่ะ ดูท่าทางไปไม่ยาก น่าสนใจค่ะ ขอบคุณมากค่ะที่แนะนำ คุณยิ้มกันดีกว่า ค่ะจะกลับไปทำที่เมืองไทย ดีกว่าจริงๆ ค่ะ จากคุณ : Cupidy - [ 15 ม.ค. 51 07:28:43 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เราว่าเคสของจขกท.เราว่าเรื่องใหญ่นะ คือถึงขนาดอุดฟันไม่ทั่วนี่ชุ่ยมากๆเลย แล้วที่ว่าเจอฟันแตกจมอยู่ที่เหงือกนี่  เขาทำให้แค่นั่นเองหรอ เราไม่รู้จะแนะนำยังไงนะ เพราะถ้าเปลี่ยนไปที่อื่นก้อเท่ากับว่าเสียเงินอีกรอบ เราเคยเจอแค่ขูดหินปูนให้เราชุ่ยๆเราเปลี่ยนที่เลยค่ะ เราจัดฟัน ทำฟันที่นี่ หมอฟันและหมอจัดฟันที่ทำให้เราค่อนข้างดีค่ะ ทำมาแล้วยังไม่เคยมีปัญหาค่ะ จากคุณ : michigirl - [ 15 ม.ค. 51 07:32:30 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คุณ michigirl ใช้คำได้ถูกใจเรามากเลยค่ะ "ชุ่ย" นี่แหละที่อยากเอามาตั้งเป็นหัวข้อกระทู้แต่ดูมันแรงไป คือยังแอบเกรงใจเล็กน้อย ชุ่ยจริงๆ ค่ะ แค่อุดฟันยังอุดรูไม่หมดเลยค่ะ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่อุดฟันแค่นี้ยังทำดีไม่ได้เลย เคสยากๆ เราก็ไม่เล่นด้วยแล้วล่ะค่ะ ส่วนเรื่องฟันแตกที่จมอยู่ที่เหงือก เค้าเอายาเป็นสีเหลืองๆ ใส่คล้ายหลอดฉีดยาแล้วใส่ลงไปในช่องระหว่างเหงือกกะฟันที่มันจมน่ะค่ะ ไม่รู้จะนึกภาพออกรึเปล่า คือให้มันไม่มีช่องระหว่างผิวเหงือกกะฟันที่แตกน่ะค่ะ เราก็ไม่เข้าใจทำไมเค้าไม่เอาออกมาให้เรา เพราะถ้าปล่อยให้มันจมอย่างนั้นเราว่ามันไม่ดีแน่ๆ แต่ไม่อยากถามมากอ่ะค่ะ กลัวเค้าสวนมาว่าใครเป็นหมอกันแน่ ก็เลยรอกลับไทยดีกว่าค่อยถามหมอที่ไทย ตอนที่นอนรอเราเห็นใบประกาศของหมอคนนี้บนฝาผนังเพียบเลยนะคะ มีมากกว่าสี่อันเท่าที่จำได้ ใส่กรอบอย่างดี แต่ฝีมือไม่ดีเท่าจำนวนใบประกาศที่มีเลยน่ะค่ะ เราก็เลยรู้สึกว่าคงเหมือนๆ กันกับหมอคนอื่น คงไม่แตกต่างมากนัก อันนี้อาจจะคิดแบบเห็นแก่ตัวนิดนึง ประมาณปลาเน่าตัวเดียว แต่เหม็นทั้งข้อง  แต่มันทำใจรับยากมากเลยค่ะ เอาเป็นว่าถ้าไม่ปวดจนใกล้ตายจริงๆ จะไม่ไปหาหมอฟันที่นี่อีกแล้ว กลับบ้านทุกปีจะพยายามหาหมอฟันที่เมืองไทยทุกปีค่ะ และที่ผ่านมาก็ทำอย่างนั้นมาตลอดค่ะ นี่จะเป็นประสบการณ์สองครั้งที่พบหมอฟันที่นี่ และหวังว่าจะไม่มีครั้งที่สามตามมาค่ะ ป.ล. เราว่าเราจะไปขอฟิล์มที่เค้าเอ็กซเรย์เราทั้งปากมาให้หมอคนไทยดูน่ะค่ะ ไม่รูเค้าจะให้รึเปล่า เพราะเวลาเอ็กซเรย์ทีนึงเค้าสอดเข้าไปลึก จะอ้วกทุกที จากคุณ : Cupidy - [ 15 ม.ค. 51 07:52:26 ]

ความคิดเห็นที่ 10 กลับไปทำที่เมืองไทยครับ ถ้าเป็นไปได้ จากคุณ : Rennis - [ 15 ม.ค. 51 08:01:35 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ค่ะ คุณ Rennis หาหมอที่ไทยดีกว่าค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : Cupidy - [ 15 ม.ค. 51 08:09:18 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ที่เราเคยไปทำก่อนมา USA ผ่าฟันคุด กับอุดฟันเหมือนกัน ชื่อยศการคลินิก (เราทำกับคุณหมอผู้ชาย ชื่อคุณหมอเบิร์ด) ฝีมือดี มือเบา และใจดีมาก หลังผ่าฟันคุด แก้มเราไม่บวมเลย ไม่มีใครดูออกว่าเพิ่งไปผ่ามา คลินิก อยู่ตรงข้ามห้าง World Trade (ตอนนี้เค้าเปลี่ยนชื่อเป็น Central World Plaza แล้ว) สังเกต ปากซอยจะเป็น ธ. กรุงเทพฯ สามารถนั่งรถไฟฟ้า ลงตรงสถานีชิดลม แล้วเดินย้อนขึ้นไปทางห้าง Central World Plaza ไม่ไกลมากค่ะ คิดว่าเป็นที่นึงที่ดีเลยทีเดียว แต่ราคาอาจจะสูงกว่าที่อื่นนิดนึง ยังไงลองโทรไปถามราคาหรือทำนัดก่อนก็ได้ค่ะ เบอร์ 02- 2538901 (ไม่แน่ใจว่ายังใช้เบอร์นี้อยู่รึเปล่า) โชคดีค่ะ จากคุณ : เอ - [ 15 ม.ค. 51 08:28:19 A:71.235.91.243 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตอนมาอเมริกาใหม่ๆ ก็ไปตรวจฟัน ขูดหินปูนประจำปีคะ และแล้วก็เจอหมอฟันคนนี้ -มักจะชอบให้ทำโน้นทำนี้คะ เพราะว่ามี Insurance cover อยู่ -หมอคนนี้เป็นหมอฟันชาวฟิลิปปิน ประมาณว่ามาเรียนและก็ได้ใบเขียว บอกว่าฟันอันโน้นอันนี้เราต้องทำใหม่ได้แล้ว ก็ไปคะ (ประมาณว่าอยากได้เงิน หน้าเงิน) อุดฟันให้เราพร้อมกัน 4 ซี่...บ้าไปแล้ว เรามีปัญหากล้ามคะ ถึงกะน้ำตาไหลออกมาเอง จนทนไม่ไหว บอกหมอว่า ไม่ไหวแล้ว....หมอหญิงคนนี้กลับบอกว่า อ้าอีก อ้ากว้างๆๆๆๆ  อ้าไม่ออกคะ กล้ามมันรัด เกร็ง.....คือเราเจ็บมากคะ  แล้วเราก็ร้องไห้  มานก็ให้ดิฉันอ้าปากจนทำเสร็จ บ้าไปแล้ว จนออกมาข้างนอก หลังจากที่หายเจ็บ ควบคุมสติ หายร้องไห้แล้ว เราก็ complaint กับหมอเลย แบบว่าต่อว่า เอาจริงคะ .....ว่าคุณทำแบบนี้ไม่ถูก bla bla bla    หมอสาวคนนี้ก็หน้าซีดคะ (คงคิดว่าหน้าจืดๆ แบบนี้มันเอาจริงโว้ย) คงจะกลัวฟ้องร้องกระมั้ง หลังจากนั้นดิฉันก็ไม่กลับไปทำกับหมอคนนี้อีก พยายามหาหมออื่นๆ จากประสบการณ์เพื่อนๆ ที่นี้คะ ปัจจุบันได้หมอดีมาก ประสบการณ์เยี่ยม ไม่เห็นจะให้เราอ้าปากกว้างแบบนั้นเลย ไม่ได้ทำฟันอย่างเดียว แต่วินิจฉัยอาการต่างๆ ด้วย หมอฟันคนปัจจุบันคนนี้ของดิฉันฝีมือเยี่ยม เป็นคนญีปุ่นที่เกิดในอเมริกา ชาวฮาวาย ดูได้จากเว็บไซร์คะ http://www.sandyaritadds.com/AbouttheDoctor.html ตามความเห็นนะคะ -ปกติ ถ้าฟันไม่มีปัญหา ถึงยังเป็นฟันอุดสีดำ หมอก็จะไม่ทำอะไรกับฟันนั้นๆ -หมอฟันนั้น ไม่ว่าที่ไหน ก็ต้องเลือกให้ดี เลือกหมอฝีมือดีๆ -ตามความคิดหมอในไทยที่เคยทำมา ฝีมือเยี่ยมคะ เคยทำที่โรงพยาบาล BNH ผ่าฟันคุด ไม่เจ็บสักนิดเลยคะ จากคุณ : Kiely - [ 15 ม.ค. 51 09:12:02 ]

ความคิดเห็นที่ 14 กำลังจะไปทำฟันที่เมืองไทยพอดีเลย ขออาศัยรายชื่อหมอฟันฝีมือดีๆด้วยคน เจอบ่อยค่ะ เบื่อแล้วหมอฟันที่นี่ หน้าเลือดกันทั้งนั้น โชคดีเป็นคนไม่มีฟันผุเลย ไม่ต้องวิ่งเข้าวิ่งออกคลีนิคหมอฟัน ที่คลีนิคประจำนี่เค้ามีหมอฟันหลายคนค่ะ เลยไม่ถึงกับต้องวิ่งรอก ล่าสุดเมื่อสองเดือนก่อนเค้าแนะนำให้ขูดรากฟันเพื่อแก้ปัญหาเหงือกอักเสบ แต่เค้าจะทำ estimate ออกมาให้เราทราบก่อนตกลงทำ ขนาดมีประกัน cover ให้ 75% แต่เรายังต้องควักจ่ายเองอีกเกือบสามร้อยเหรียญ เลยรอไปทำที่เมืองไทยดีกว่าค่ะ ไม่ต้องมีประกัน วันก่อนอีเมลไปถามแผนกทันตกรรม รพ ... ที่อยู่ซอยนานาเหนือ เค้าบอกว่าสองพันกว่า (ต่างกันตั้งเยอะแน่ะ) แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 51 09:37:03 จากคุณ : yinnerella - [ 15 ม.ค. 51 09:35:14 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ประสบการณ์หมอฟันที่เมกานี่ ไม่ค่อยประทับเหมือนกันค่ะ หมอฟันที่เมืองไทยเป็นคนตรวจ คนขัด คนถอน คนผ่าฟันให้ เรียกว่าหมอลงมือทำกับมือเองเลย แต่หมอที่เมกา จะแค่เดือนมาทักทาย แล้วก็มาตรวจความเรียบร้อยก่อนทำ หลังทำ แต่คนทำจริงๆ ก็คือพวกเทคนิค เซ็งมากมาย จะว่าไปเค้าก็ทำได้โอเคนะคะ ไม่สะอาดมาก แต่ก็พอทนค่ะ จำได้ว่าตอนนั้น (จริงๆก็ถึงทุกวันนี้) มีปัญหาเรื่องคอฟันสึก ก็เลยว่าจะให้หมอช่วยทำให้หน่อย แต่รู้มั้ยคะคำตอบที่ได้รับก็คือ บอกว่าทำไมได้หรอก คอฟันสึกแล้วสึกเลย แก้ไขไม่ได้ ทำได้อย่างเดียวก็คือ เปลี่ยนวิีธีการแปรงฟัน แป่ว แหม ทีตอนอยู่เมืองไทย หมอยังอุดคอฟันได้ บริการก็ดีกว่าเยอะ เลยตั้งปณิธานค่ะว่าจะกลับไปทำฟันที่เมืองไทยค่ะ ไม่ไหวๆๆ แพงก็แพง แต่ไม่ได้เรื่อง จากคุณ : BABY - [ 15 ม.ค. 51 09:37:02 A:70.222.1.109 X:66.174.79.231 TicketID:145647 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คุณจขกท. ขอมาเลยค่ะฟิลม์ต่างๆมันเปนสิทธิ์ของเรา จ่ายเงินไปไม่ได้ทำฟรี บอกว่าเราจะย้ายไปทำที่อื่น เขาให้คะ เราก็เคยย้ายมาแล้ว จ่ายไป$20 แต่ละที่คงไม่เท่ากันค่ะ แต่มาทำที่ใหม่เขาก็ให้x-rayใหม่อยู่ดี เราอยากแนะนำว่าหาหมอฟันไว้ทำที่นี่ก็ดีนะคะ ยามฉุกเฉินจะได้ไปหาเขาได้ จะได้ไม่ต้องลองผิดลองถูกเหมือนที่โดนครั้งแรกอีก โชคดีนะคะ จากคุณ : michigirl - [ 15 ม.ค. 51 09:40:11 ]

ความคิดเห็นที่ 17 หมอฟัน.. เช่นเดียวกับที่คุณ Kiely บอก ไม่ว่าจะที่ไหน ย่อมมีโอกาสเจอที่ดีและไม่ดีได้เหมือนกันครับ คงจะต้องได้ทดลองทำกันครั้งแรก ถึงพอจะบอกได้ว่าหมอคนนี้มีฝีมือเป็นอย่างไร รวมถึงมีจรรยาบรรณมากน้อยแค่ไหน ระบบการทำงานของหมอฟันส่วนใหญ่ในอเมริกา เนื่องจากคนไข้ส่วนใหญ่มักจะมี Insurance จำนวนคนไข้จึงมีค่อนข้างมากครับ ระบบการทำงานจึงเป็นแบบที่คุณ Cupidy เล่ามา คือ เอาคนไข้เข้ามานั่งเรียงแถวรอบนเก้าอี้ทำฟันไว้ก่อน (อาจจะแยกกระจายตามห้อง แล้วแต่ความใหญ่โตของแต่ละออฟฟิศ) จากนั้นหมอก็จะวิ่งรอกไล่ทำไปตามห้องต่างๆ เริ่มจากฉีดยาชาห้องนึง วิ่งไปกรอฟันที่ห้องนึง วิ่งกลับมาอุดที่อีกห้องนึง อะไรทำนองนี้ บางร้านหมอหนึ่งคน อาจจะมีผู้ช่วยมากถึง 5-6 คน หรือมากกว่านี้ ผู้ช่วยแต่ละคนก็ต้องรู้งานเป็นอย่างดี รับผิดชอบคนไข้ของตน (ซึ่งก็อาจจะมากกว่าหนึ่งคนต่อผู้ช่วยหนึ่งคน) ดังนั้นในแต่ละวันหมอฟันทั่วไป อาจจะทำคนไข้ได้มากกว่าวันละ 40-50 คน หมอจัดฟันอาจจะทำได้มากถึงวันละ 100-150 คน!! (พิมพ์ไม่ผิดครับ) หมอฟันที่ฝีมือดีๆก็มีเยอะ หมอที่ทำงานชุ่ยๆก็มีไม่น้อยเช่นกันครับ ต้องยอมรับว่าคงต้องเสี่ยงดวงกันหน่อย นอกเสียจากว่าพอจะรู้จักใครที่พอให้ข้อมูลแนะนำได้บ้าง กรณีของคุณ Cupidy หากมีเศษฟันแตกค้างอยู่จริง ก็ควรจะต้องเอาออกครับ อาจให้ความเห็นได้ไม่มากนักเนื่องจากไม่เห็นภาพจริง แล้วตกลงว่าฟันคุดเอาออกไปแล้วหรือยังครับ เห็นบอกว่า "มีท่อนฟันที่แตกจมอยู่ติดกับฟันคุด" อ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจดีนักครับ "ยาสีเหลืองๆคล้ายหลอดฉีดยา" ฟังจากลักษณะที่เล่ามา นึกออกถึงยาปฎิชีวนะอยู่ตัวนึง (Arestin : Minocycline Hydrochloride) ซึ่งมักใช้ฉีดเข้าไปในร่องเหงือกของคนไข้ที่เป็นโรคปริทันต์(รำมะนาด) ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวกับกรณีนี้เท่าไหร่ จะใช่หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจครับ แต่อย่างที่บอกว่า หากมีเศษฟันฝังอยู่จริง ก็ควรจะต้องเอาออกครับ อย่างไรก็แล้วแต่ มีโอกาสได้กลับไปเมืองไทย ก็ลองกลับไปเช็คดูอีกครั้งครับ การที่มีข้อมูล มีเพื่อนๆแนะนำพอสมควรแบบนี้ ก็น่าจะมีโอกาสได้พบกับคุณหมอที่มีความชำนาญ มีความละเอียดถี่ถ้วนในการทำงานมากกว่าครับ รวมถึงเรื่องภาษาซึ่งคุณหมอที่เมืองไทยก็น่าจะคุยกันเข้าใจได้ตรงกันมากกว่าครับ หมายเหตุ : เข้ามาเติมข้อความหน่อยครับ กว่าผมจะพิมพ์เสร็จ ก็มีเพื่อนๆเข้ามาต่ออีกสามท่าน อยากจะบอกว่าเห็นด้วยกับความเห็นส่วนใหญ่ของทุกๆท่านครับ แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 51 10:15:04 จากคุณ : twojay - [ 15 ม.ค. 51 10:07:37 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ของเราคงโชคดีได้หมอฟันคนเมกัน แต่มือเบามากๆ ไปขูดหินปูนปีละ 2 ครั้ง สถานที่สะอาด หรู ทำทีละคน ห้องละเตียง หมอทำใจเย็นด้วยไม่รีบร้อนของเราใช้ประกันของ Blue Cross Blue Chield ค่ะ จากคุณ : supitcha - [ 15 ม.ค. 51 10:49:21 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เคยไปคลอบฟันที่เมืองไทย ๔ ซีก ซีกละ ๑๒๐๐๐บาท( หลายปีมาเเล้ว ) พอกลับมาญี่ปุ่นได้ไม่ถึงเดือนซีกหนึ่งหลุด จึงคิดว่าไปให้หมอญี่ปุ่นเอากาวติดก็คงใช้ได้ ปรากฏว่าถูกถามว่าไปทำที่ไหนมา? เพราะเป็นพลาสติกคลอบชั่วคราว( หมอญี่ปุ่นเอาลักษณะฟันคลอบตัวจริงมาเปรียบเทียบให้ดู ถึงความเเตกต่าง ) ยังไม่กล้าตอบว่าทำที่ไหน? เสียชื่อ เพราะคิดว่าคุณหมอฟันเมืองไทย ท่านคงลืมใส่ตัวจริงให้ด้วยความรีบร้อน ยังโมโหกระทั่งทุกวันนี้... คุณเจ้าของกระทู้โชคดีค่ะ ที่ญี่ปุ่นหมอท่านหนึ่ง ฉีดยาผิด คนใข้อายุ ๗ ปี เสียชีวิตในระหว่างทางไปรพ หมอต้องไปขอขมาถึงบ้าน เอาศรีษะจรดพื้น เสียเงินไปหลายล้าน เเถมต้องปิดรพด้วย เหมือนกันเลย ที่อเมริกาเจอท่านหมอญี่ปุ่นที่มีฝีมือ อุ่นใจค่ะ เรื่องฟันเป็นไงม้งคะตอนนี้? จากคุณ : ยูริ..คนบ้านนอก (YURI_KAWA) - [ 15 ม.ค. 51 10:49:37 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เพิ่งไปเปลี่ยนที่อุดสีเงินเป็นสีขาวมาค่ะ เมื่อวานเลย สดๆร้อนๆสามีก็ไปทำด้วยค่ะ คลีนิคชื่อ อัศวนันท์ เป็นคลีนิคที่ใหญ่ครบวงจร คงแพงในมาตราฐานคนไทย แต่ถูกมากๆในมาตราฐานของอเมริกา คุณหมอเจ้าของคลีนิคจบจากอเมริกา และจะวินิจฉัยให้เป็น  CASE ไป มีคนไข้ต่างชาติเยอะเหมือนกัน คนไทยก็มีค่ะ ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ไปลงทองหล่อ ร้านอยู่หน้าซอยเลยค่ะ หาง่าย http://www.asavanant.com/ อุดฟันเมื่อวานซี่ละ 1600 บาทค่ะ ทำดีกว่า my Park Avenue dentist ค่ะ สามีและเดี๊ยนขอยืนยัน.. เครื่องมือทันสมัยกว่าอเมริกาอีกค่ะ ประทับใจ Highly recommended!! จากคุณ : หญิงป้า - [ 15 ม.ค. 51 11:00:38 ]

ความคิดเห็นที่ 21 หมอฟันเมืองไทยดีที่สุดค่ะ   ถ้ากลับเมืองไทยก็ไปทำให้ครบวงจรเสียเลย เคยทำฟันที่อเมริกา แบบประกันสุขภาพนะคะ ก็ไม่ค่อยมีมาตรฐาน ไม่ประทับใจเลย ถ้าหากมีประกันแบบชั้นดี ร้านหมอฟันก็จะชักชวนให้ทำโน่นทำนี่ ซื้ออะไรต่ออะไรเรื่อยไป   เคยครั้งหนึ่งจะให้ครอบฟันกราม ทั้ง ๆ ที่เราไม่มีปัญหาเท่าที่ควรซะหน่อย ราคา ประเมิน $3600 ดิฉันถามว่าจะใช้ได้อีกกี่ปี เธอตอบว่า 20 ปี-30 ปี ดิฉันบอกว่าถ้างั้นดิฉันคงตายไปแล้ว ขอกลับไปคิดก่อน กลับมาเมืองไทย ไปถามที่ร้านทันตแพทย์ เธอบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำอะไรกะกรามนั้นเลย เห็นไหม เกือบทั้งเจ็บตัวและเสียเงินด้วย ส่วนมาตรฐานการขูดหินปูน สู้ทันตแพทย์เมืองไทยได้แค่ 1: 2 คือที่อเมริกาต้องไปหาหมอ 2 ครั้งกะการขุดหินปูน 1 ปาก และแน่นอนราคาเมืองไทยถูกกว่าโลด ทันตแพทย์ตัวจริงลงมือให้ แต่ที่อเมริกานะคะ บ่อยครั้งให้ผู้ช่วยทำให้ค่ะ ดิฉันใช้ทันตกรรมที่มีแฟรนไชส์แถวลาดพร้าวค่ะ ราคาสมเหตุสมผล และสุขนามัยดีด้วยค่ะ จากคุณ : น้านก (Aunti-นก) - [ 15 ม.ค. 51 11:28:57 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เรื่อง cleaning นี่ดิฉันชอบที่เมกานี่นะคะ เพราะคิดว่า จนท เฉพาะทางเรื่องนี้ (Dental Hygienist) จะช่ำชองกับการ clean ฟันดีกว่าหมอหลายคน แหะ แหะ คุณหมอ twojay อย่าเพิ่งค้อนนะคะ เคยไป clean ที่เมืองไทย หมอลงมือเอง เจ็บมาก แล้วแถมน้ำกระจายใส่หน้าอีก อันนี้ต้องว่าผู้ช่วยหมอเฮ็งซวย ตอนหลังไม่เอาอีกแล้ว clean ปีละสองครั้งก็เหลือแหล่แล้ว แต่ดีที่หมอฟันประจำตัวเราที่นี่ very well professional  Happy กับเขามาก จากคุณ : PatPDX - [ 15 ม.ค. 51 11:57:17 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอขอบคุณ เพื่อนๆ ทุกคนที่เข้ามาแชร์เรื่องราว และแนะนำคลีนิคดีๆ ในแต่ละที่จะลองไปทำดูค่ะ ปกติจะมีหมอประจำอยู่เชียงราย แต่ปีนี้กลับเมืองไทยจริง แต่ไม่ได้กลับเชียงราย เพราะนัดพ่อกะแม่ไว้ที่เชียงใหม่ และมีเวลาส่วนใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ ก็เลยว่าจะลองหาหมอที่กรุงเทพฯ ดูน่ะค่ะ ส่วนเรื่องฟันตอนนี้ยังอาการเดิม ปวดข้างขวาทั้งบนล่าง เคี้ยวได้ข้างเดียว คือข้างซ้าย ไม่รู้อีตอนอุดเค้าทำยังไงเหงือกเราถึงปวดเวลาเคี้ยวอาหาร เราจะไปขอฟิล์มเอ็กซเรย์มา และบอกว่าจะไปหาหมอที่เมืองไทยค่ะ หมอเค้ายังบอกว่าเรามีปัญหาเรื่อง Gum Decease ไม่รู้เขียนถูกเปล่านะคะ และ Root Canel เราไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร ยังแนะนำให้เราไปหาหมอที่ทำแผนกนี้โดยตรง (ทีแรกก็นึกในใจ หาหมอที่ไทยทุกปีไม่เห็นเค้าว่าเรามีปัญหานี่ เพราะคอฟันก็อุดตลอด)เราก็อือออไปงั้นแหละ แต่ก็บอกเค้าว่าจะกลับไปหาหมอที่เมืองไทย เค้ายังบอกเลยว่าเมืองไทยกับอเมริกาการทำฟันแตกต่างกัน แตกต่างแน่ๆ ค่ะคุณหมอ เพราะหมอทำหนูเคี้ยวอาหารข้างขวาไม่ได้นี่แตกต่างมากเลยค่ะ ส่วนฟันด้านซ้ายที่ไม่มีปัญหา แต่มีซีกฟันจมอยู่ในเนื้อเหงือนั้น คุณ twojay บอกว่านึกภาพไม่ออก ก็เลยวาดมาให้ดูน่ะค่ะ ภาพแรกเป็นภาพที่ฟันคุดมีปัญหานอนจมอยู่ในเหงือก หมอที่เมืองไทย เมื่อสิบปีที่แล้วก็เลยใช้วีธีผ่าครึ่ง เพราะซี่ใหญ่มาก แล้วดึงออกมาทีละซีก เราคิดว่าน่าจะเป็นตอนที่หมอใช้เครื่องเหมือนเลื่อยไฟฟ้ากลมๆ ผ่าครึ่งฟัน พอดึงออก มันยังเหลือชื้นส่วนบางชิ้นอยู่ แต่หมอคงไม่เห็นเพราะเลือดเยอะ แล้วเย็บปิดไปเลย ภาพที่สอง ภาพจากการเอ็กซเรย์ มันเหมือนกับมีซีกฟันเล็กๆ แหลมๆ จมอยู่ในเหงือกอ่ะค่ะ หมอที่อเมริกา เค้าใช้ยาลักษณะเป็นครีมๆ สีเหลืองนวลๆ มาอุดตรงช่องระหว่างเหงือกกับฟันให้เรา อันนี้ไม่เจ็บค่ะ แต่รู้สึกว่าน่าจะเอาออกให้ เพราะมันเหมือนสิ่งแปลกปลอม แต่เค้าก็ไม่เอาออกแฮะ แปลกดี หวังว่ากระทู้นี้คงไม่ไร้สาระจนเกินไปที่พูดแต่เรื่องฟันๆๆๆ นะคะ คิดว่าคงเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆ ได้บ้าง ยังไงก็แล้วแต่ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนอีกครั้งนะคะ จากคุณ : Cupidy - [ 15 ม.ค. 51 12:26:02 ]

ความคิดเห็นที่ 24 พอเห็นกระทู้แล้วต้องรีบมาตอบเลยค่ะ ดิฉันเป็นทันตแพทย์ไทย ที่จบเมืองไทย ทำงานเมืองไทยแล้วมาเรียนต่อที่อเมริกา ปัจจุบันเป็นทันตแพทย์อยู่อเมริกา รัฐแคลิฟอร์เนียค่ะ จากที่เจ้าของกระทู้เล่ามา คิดว่าที่คุณไป เป็นคลีนิคทำฟัน ที่เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ คลีนิคที่ว่ามีค่อนข้างมากใน CA เพราะจะเน้นรับคนไข้มากๆ และรับประกันที่จ่ายน้อยๆ หมอจะทำคนไข้ครั้งละหลายๆคนในเวลาเดียว คุณภาพแล้วแต่จรรยาบรรณของหมอค่ะแต่ที่นี่ออกแนวธุรกิจเป็นหลัก พยายามเลี่ยงคลีนิคลักษณะนี้ค่ะ ก่อนจะไปอยากทราบว่าคลีนิคเป็นอย่างไร ดีไหม ลองหาดูเว็บไซท์คลีนิคดู มักจะมีประวัติทพ.อยู่และรูปคลีนิค หากไม่สามารถดูตามเน็ตได้ ให้โทรไปที่คลีนิคแล้วถามคนรับโทรศัพท์ดูว่า หมอจบที่ไหน ประสบการณ์กี่ปี จบในอเมริกาหรือเปล่า แล้วเป็นสมาชิกของทางทันตกรรมที่ไหนบ้าง คุณถามไปเลยค่ะ จะได้ชัวร์ๆว่าหมอถูกกฎหมาย การทำฟันที่อเมริกาส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยระบบประกันสุขภาพหรือ dental insurance ซึ่งจะมีแบบจ่ายมากจ่ายน้อย บางคลินิคไม่รับคนไข้ insurance เลยเพราะรับแต่เงินสดเท่านั้น คลีนิกอย่างหลังจะเน้นคุณภาพ ความเป็นส่วนตัวและราคาจะแพงกว่าคลีนิคแรก อันนี้ต้องแล้วแต่ insurance ที่คุณมีค่ะ ส่วนใหญ่หมอจะมีคนไข้2-3 คนในเวลาเดียวกัน หรือประมาณ 12 คนต่อวันไม่เกินนี้ หากเกินนี้คุณภาพเริ่มจะลดลงค่ะ และหมอที่นี่มักจะไม่นั่งคุยกับคนไข้เพื่อฆ่าเวลา เพราะเขาจะต้องไปดูคนไข้คนอื่นๆหรือทำอย่างอื่น ซึ่งจะต่างจากหมอเมืองไทย ในขณะเดียวกันจะมีผู้ช่วยหมอฟันที่ทำได้หลายๆอย่างกว่าผู้ช่วยหมอที่เมืองไทย ทำนู่นทำนี่ตามที่หมอบอก เช่น ขัดฟัน ทำครอบฟันเทียม พิมพ์ปาก หรือฟอกฟันขาว อะไรแบบนี้ (งานดังกล่าวหมอไม่ทำค่ะ) คนไข้จะรู้สึกว่าหมอไม่ได้ทำตลอดเวลา หมอที่เมืองไทยมักจะทำเองส่วนใหญ่เพราะผู้ช่วยทำได้ไม่มาก บางแห่งอาจจะให้คุณดูทีวี ดูหนัง อ่านหนังสือไปค่ะ อีกอย่างการทำความสะอาดฟัน หลายๆแห่งมี dental hygienist ซึ่งไปเรียนมาโดยตรงกับการทำความสะอาดฟัน ขูดหินปูน และให้คำแนะนำสุขภาพช่องปาก โดยเฉพาะ อันนี้หมอก็ไม่ต้องทำอีกเช่นกัน หากคุณเป็นคนไข้ไปหาหมอฟันแล้วไม่ happy คุณสามารถขอให้หมออธิบายอย่างละเอียดได้ค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ เพราะเป็นสิทธิ์ผู้ป่วย หรือหากไม่แน่ใจในแผนการรักษาของหมอที่แนะนำ คุณไม่จำเป็นต้องทำทันที คุณสามารถขอ copy x-raysกับ treatment plan เอาไปขอ second opinion จากหมออีกที่ได้ค่ะ แต่แนะนำว่าไม่เข้าใจอะไรให้ถามเขาจะต้องตอบคุณค่ะ ราคา อันนี้แพงกว่าเมืองไทยเป็นเรื่องปกติเพราะค่าประกอบการ ค่าแรงงาน ค่าแล็บ ค่าเช่า ค่าที่ ค่าภาษี สูงกว่าเมืองไทยหลายเท่าตัว แม้ว่าวัสดุอุปกรณ์จะเหมือนๆกัน ยกเว้นคนที่ไม่ได้กลับเมืองไทยหากคุณทำเมืองไทยได้ก็กลับไปทำเมืองไทย ถูกกว่ามาก คนที่ไม่มีประกัน รายได้น้อย วิธีที่ดีที่สุดในการหาหมอฟันที่อเมริกา ให้ไปใช้บริการที่ dental school ของแต่ละที่ๆใกล้บ้าน เพราะถูกแน่นอน งานดีแต่อาจจะต้องไปบ่อยมากๆเพื่อให้ได้ทำงานกับนักเรียนทันตแพทย์ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องทำงานกลางวัน และมีเวลามากๆ บางทีอาจจะได้ทำฟรี หากเขาต้องการเคสค่ะ โดยส่วนตัวคิดว่าทพ.ในอเมริกามีหลายเกรด เหมือนกับเมืองไทยค่ะ คงไม่เกี่ยวกับประเทศเท่าไหร่นัก หากคุณมีเงินมาก คุณสามารถที่จะหาทพ.มีชื่อเสียงระดับโลกได้เหมือนกัน จำนวนทพ.ที่อเมริกามีมากกว่าเมืองไทยเยอะมาก คงเหมารวมไม่ได้ค่ะ อย่างไรก็ตามหากคุณจขกท.ยังมีปัญหาเรื่องฟันอยู่ ควรกลับไปให้หมอเขาแก้ไขให้ค่ะและบอกเขาไปเลยว่าคุณเสียเวลารอนานมากครั้งก่อน คราวนี้คุณจะไม่รอแล้ว จะต้องไปธุระเวลานั้นเวลานี้ บ่นไปเลยค่ะ บอกเขาไปเลย เขาจะต้องเกรงใจคุณบ้างแหละค่ะ จากคุณ : OPNWYDE - [ 15 ม.ค. 51 12:35:35 A:71.83.151.155 X: TicketID:001080 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อ่านข้อความของคุณ OPNWYDE แล้วเข้าใจมากขึ้นเลยค่ะ เพราะคลีนิคที่เราไปมันเหมือนกับจะมีคนไข้เยอะมาก จำได้ว่าวันที่นอนรอหมออยู่นั้น คนไข้เตียงข้างๆ คือห้องมันไม่ถึงกับเปิดโล่ง แต่พอส่องถึงกันได้น่ะค่ะ เปลี่ยนหน้ามาประมาณ 4 คนได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง รู้สึกได้เลยว่าทำแบบปุ๊บปั๊บๆๆ แล้วก็ไป เรารู้สึกได้เลยว่า เฮ้ย คนอื่นมาทีหลังเสร็จแล้วเหรอ เรายังนอนอยู่เลยอ่ะ ทำไมทำคนอื่นก่อนนะ อะไรประมาณนี้เลยล่ะค่ะ เราสรุปโดยรวมๆ นะ วันนั้นเราว่าคุณหมอคนนี้มีคนไข้รวมเราแล้วไม่ต่ำกว่า 10 คนอ่ะ ภายใน 4 ชั่วโมง (บ่ายสาม-ทุ่ม) หมอฟันที่คลีนิคที่เราไปมีประมาณไม่ถึง 15 คน เพราะตอนนั่งรอ ครั้งแรกเรานับจำนวนหมอที่ติดอยู่บนบอร์ดด้วยอ่ะค่ะ และส่วนมากจะเป็นหมอผู้ชาย ประกันที่เรามีเป็นประกันแบบครอบคลุมการอุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน นอกนั้นต้องจ่ายเอง สงสัยจะเป็นประกันแบบถูก ไม่แน่ใจ เพราะวันแรกที่เค้าใช้ยามาอุดๆ เหงือกกับฟันให้เรา ประกันไม่ครอบคลุม ต้องจ่าย 60 เหรียญ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ไม่เคยคิดว่าจะต้องไปหาหมอฟัน เพราะมีหมอประจำที่เมืองไทยอยู่แล้ว และต้องไปหาทุกปี แต่ดันมาเกิดเหตุปวดฟันปวดเหงือกแบบฉุกเฉินซะก่อนก็เลยต้องไป แสดงว่าหมอที่นี่ถ้าเราจะไปหาก็ต้องดูให้ดี ไม่ใช่ว่าจะเชื่อใจได้ทุกคนว่าเค้าทำฟันดีใช่มั้ยคะ ทีนี้เรารู้แล้วล่ะ แต่ทีแรกที่เราคิดนะคือเราเคยได้ยินหลายๆ คนบอกว่า หมอเทวดาอยู่เมืองนอก เราก็เลยคิดไปว่าอู้หู เค้าเรียกหมอเทวดาเชียวนะ แสดงว่าฝีมือใช้ได้เลย อื้อหือ ผลออกมาเดี้ยงเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เราเลยพลอยมีความรู้เพิ่มขึ้นเยอะเลยเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ เรื่องคลีนิค เรื่องหมอๆ น่ะค่ะ จากคุณ : Cupidy - [ 15 ม.ค. 51 13:01:51 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ผมทำฟันอยู่กับคุณหมอโชคครับ ที่รพพญาไท 2 ปกติเป็นคนขี้กลัวเรื่องพวกนี้อะคับ แต่เจอหมอคนนี้เข้าไป สบายใจครับ นี่เพิ่งกลับไปตรวจฟันกับแกช่วงคริสต์มาสครับ ถ้าจะไปจริงๆก็อยู่รถไฟฟ้าสนามเป้าอะนะคับ ลงไปก็คงหาไม่ยาก โชคดีครับ จากคุณ : AC35669 - [ 15 ม.ค. 51 13:07:18 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณมากๆ ค่ะคุณ AC35669 ที่แนะนำ ดีใจด้วยนะคะที่เจอหมอถูกใจ จากคุณ : Cupidy - [ 15 ม.ค. 51 13:22:54 ]

ความคิดเห็นที่ 28 หมอฟัน ที่สเปน ก็ อุดฟันให้สามี สองวันหลุดออกมา ต้องไปอุดใหม่ เหมือนกันค่ะ ของลูก วัสดุอุดทิ่ม เข้าไปในเหงือก กลับเมืองไทย คุณหมอที่เมืองไทย รื้อออกหมด ทำใหม่ กลับเมืองไทย ทุกปี เลยทำฟัน ที่เมืองไทยค่ะ ทั้งของตัวเอง (ขูดหินปูน ตรวจทั่วไป) และของลูก (เคลือบฟลูออไรด์ เคลือบหลุมร่องฟันกราม ตรวจทั่วไป)   คุณหมอเมืองไทย ใจเย็น ใจดี และ สามารถ ใช้ที่เป่าลมฟัน เป่าลูกโป่ง เป็นรูปต่างๆ ให้เด็กๆ ด้วยค่ะ เก่งมากๆ   แต่บางที ปีละครั้ง สำหรับเด็กน้อยไปค่ะ น่าจะ ทุก 6 เดือนมากกว่า บางที ก็ต้องไปหาหมอที่นี่ด้วย มีเพื่อน คนอเมริกัน ที่นี่ เค้าเป็น Dental Hygienist ค่ะ เคยพาลูกไปเลยให้เค้าเคลือบฟลูออไรด์ให้ นึกว่า ราคา คงธรรมดา  ที่ไหนได้  เจอไป 100 ยูโร ค่ะ  อยากจะกรี๊ด ที่เมืองไทย คนละ 400 บาทได้มั้ง เลยหาหมอฟันที่ต่างประเทศ เวลาจำเป็นเท่านั้นค่ะ ที่เมืองไทย จะทำฟันกับ คุณหมอ อดิเรก รพ พญาไท 1 ตั้งแต่ เด็กๆ ค่ะ แกทำเร็วมาก และฝีมือดี และจะทำ เท่าที่จำเป็นเท่านั้น คือไม่ทำเพราะจะเอาตังส์เยอะๆ แน่นอน บางทีอยากทำโน่นนี่ แกบอกว่าไม่จำเป็น ไม่ต้องทำ แปรงดีๆ ตรงนี้เอา เลยไว้ใจคุณหมอที่สุดค่ะ ...เคยผ่าฟันคุด กับคุณหมอ ดูนาฬิกาไปด้วย  พอหมอบอกว่า เริ่มละนะ ชาแล้ว  แกใช้เวลา 4 นาที ค่ะ สองซี่ เร็วมาก  ระหว่างทำ มีฮัมเพลงโอเปร่า ด้วยนะ จากคุณ : *พิณ* - [ 15 ม.ค. 51 17:19:21 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เคยไปอุดฟันที่นี่ค่ะ (เยอรมัน)  หมอตรวจดูในปาก และถามเราว่า ซี่ที่อุดไปแล้ว (วัสดุที่เป็นสีขาว) เราไปอุดที่ไหน  พอบอกว่าเมืองไทย หมอฟันแถวบ้าน  เค้าก็บอก ไม่น่าเชื่อนะเนี่ย หมอฟันที่เมืองไทยมีฝีมือดีมากเลย อุดได้ปราณีตเรียบร้อย  วันนั้นที่ไปหาหมอเยอรมัน อุดไป 1 ซี่ ใช้วัสดุอย่างดี เสียไป 50 ยูโรค่ะ จริง ๆ ราคา 80 ยูโร แต่ประกันจ่ายให้ 30  พอดีหมอคนนี้เป็นเพื่อนกับแฟนเรา เลยทำให้เราดีหน่อย จากคุณ : Sonnenschein - [ 15 ม.ค. 51 19:50:01 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อ่านเรื่องคุณ Sonnenschein แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเจอเหตุการณ์คล้าย ๆ กันเลยค่ะ ตอนที่มาตรวจฟันที่อเมริกา คุณหมอที่นี่ก็ถามเหมือนกันว่าไปอุดฟันที่ไหน เราก็บอกเมืองไทย คุณหมอชมใหญ่เลยว่าอุดดีมาก เพราะคุณหมอเคยมีคนไข้ที่มาจากหลายๆ  ประเทศ ถ้าเปรียบเทียบแล้วแต่ผลงานการทำฟันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แสดงว่าคุณหมอฟันที่เมืองไทยนี่เก่งจริง ๆ ค่ะ จากคุณ : หมูหวาน - [ 15 ม.ค. 51 22:11:33 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คุณ AC35669 หมอโชคนี่คือหมอหนุ่มๆหน่อย หน้าออกตี๋ๆใช่เปล่าครับ ถ้าใช่ ตอนผมไปทำเค้าก็ทำให้ดีมากๆเลยครับ หมอคลีนิคหรูๆที่อเมริกา ดูฟันผมแล้วบอกว่าต้องถอนฟันคุดหมดเลย 4 ซี่ มีประกันยังต้องจ่ายอีกพันกว่าเหรียญ เลยบินไปเมืองไทย หมอบอกว่าถอนซี่เดียวก็พอ แถมตอนทำก็ไม่ต้องอ้าปากกว้างๆให้เมื่อย ถอนเสร็จตอนเช้า บ่ายๆกินก๋วยเตี๋ยวได้แล้ว เจ็บน้อยกว่าขูดหินปูนกับหมอฟันเหียกๆที่ผมเคยไปทำด้วยที่นี่ซะอีก แค่ขูดหินปูนทำเอาเลือดกลบปาก กินข้าวไม่ได้ไปวันนึงเลย จากคุณ : คนใจดำ - [ 15 ม.ค. 51 22:52:55 ]

ความคิดเห็นที่ 32 แอบเข้ามาเก็บข้อมูลค่ะ ^^ จากคุณ : แม่ดอกมะลิ - [ 15 ม.ค. 51 23:01:57 ]

ความคิดเห็นที่ 33 กระทู้นี้ได้ความรู้ดี ผมอ่านดูแล้วอดนึกไม่ได้ ถึง "เหตุ" ที่ทำให้คุณเจ้าของกระทู้ไปลงเอยกับการรักษาที่นี่ ฟังคนอื่นเล่ามา ผมก็ขอเล่าของผมบ้าง ตอนที่ผมจำเป็นต้องทำฟัน ผมไม่ได้อยู่ในจังหวะที่จะมีเวลาไปเลือกได้ ( คือ ถ้ามีเวลานะ ก็จะทำอย่างที่คุณทันตแพทย์ข้างบนแนะนำ) สิ่งที่ผมทำคือ ไปคลีนิคที่ใกล้ที่สุด โดยไม่รู้อะไรเลย ปวดมาก กระทันหัน ไม่รู้ทำไง ประมาณว่าขอฝากความหวังไว้กับชะตากรรม เจอดีก็ดีไป ถ้าเจอไม่ดี ก็ค่อยว่ากัน แต่ผลปรากฏว่าก็ได้เจอกับทันตแพทย์ที่ดีมากๆ เหมือนเป็นนางฟ้า ผมถามอะไรไป เค้าก็พยายาม ตอบหมด ทั้งๆที่ผมถามละเอียดมาก ซอกแซก และต้องการให้เค้าใช้คำที่เป็น technical term เพราะผมต้องการเอาไป search ทีหลัง ( เพราะถึงจะมาในแนวนางฟ้า แต่ผมก็ไม่ได้ไว้ใจ ถึงต้องถามเยอะๆ เพื่อเอาไปทำการบ้านทีหลัง ถ้าทำอะไรไม่ถูก จะได้ไปโวยได้) คลีนิคนั้น ทั้งตัว dentist เจ้าของ และลูกน้อง รวมถึง dental hygienist ทุกคนนิสัยดีมาก ผิดปกติของโลกมนุษย์ (อาจฟังดูเว่อร์ แต่จริง) พอรักษาเสร็จ ผมกลับมาตรวจอีกที หมอก็ถามว่าพอใจมั้ย มีอะไรมั้ย จะให้แก้ให้ตกแต่งตรงไหนมั้ย เป็นบริการที่ประทับใจมาก วันคริสมาสต์ ยังมีส่งการ์ดมาให้อีก ( ไม่รู้ว่ามันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติอะไรของ Dental Clinic หรือเปล่า) ทุกวันนี้ มองกลับไป ผมไม่เชื่อหรอก ไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียวเลยว่า การที่ผมเดินสุ่มๆเข้าไปในคลีนิคที่ผมไม่รู้อะไรเลย แล้วได้เจอหมอที่ดี ที่เก่ง ผมไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องของความบังเอิญ หรือ เป็นเรื่องของความโชคดี ทั้งหมดนี้ บวกกับประสบการณ์ที่พึ่งได้รับรู้มาในสองปีหลัง ผมมาถึงข้อสรุปว่า เหตุ ที่ทำให้คนๆหนึ่งป่วย แล้วได้รับการรักษา ที่ถูกโรค ไปหาหมอถูกคน หมอวินิจฉัยโรคถูก รักษาตรง คนจ่ายยาถูก และกระบวนการทั้งหลายที่นำไปสู่การหายจากโรคได้ มันไม่ใช่เรื่องของเงิน หรือความเกี่ยวข้องกับหมอ หรืออื่นๆ ไม่ใช่ว่ามีเงินจ่าย afford ได้ แล้วจะได้รับการรักษาที่ตรง ที่ถูก และหายจากโรคได้เสมอไป ไม่ใช่ว่า ต้องมีพ่อแม่ หรือญาติ หรือคนรู้จักเป็นหมอ แล้วแนะนำไปหาผู้เชี่ยวชาญโรคนั้นๆ ไม่ใช่ เพราะ ถึงจะสามารถ afford ได้ และไปหาหมอที่เก่งที่สุดเกี่ยวกับโรคนั้นๆก็ตาม คืนก่อนวันที่หมอคนนั้นรักษาเรา เค้าอาจจะทะเลาะกับเมียมาทั้งคืน อาจจะพึ่งไปดื่มฉลองอะไรกับใครมา วันนั้นอาจจะวินิจฉัยโรคผิด หรือ คนจ่ายยาวันนั้น จ่ายยาผิด ทุกอย่างเป็นไปได้ เหตุ ที่ทำให้คนๆหนึ่งซึ่งป่วยแล้ว ได้ไปเจอหมอที่ถูก ตรง วินิฉัยถูก รักษาถูก จนโรคหาย เหตุตรงนี้ ประกอบด้วยสองส่วน คือ เหตุปัจจัยตั้งต้น กับ เหตุปัจจัยปัจจุบัน ซึ่งมีส่วนที่เป็นเหตุปัจจุบันเท่านั้น ที่เราสามารถทำอะไรกับมันได้ นั่นคือ การรักษาศีล ( = การไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ) รวมถึงการถวายยารักษาโรคให้กับบุคคลผู้เป็นเนื้อนาบุญ ( ถ้าไม่ใช่เนื้อนาบุญ ก็ได้ แต่ได้น้อย ต้องทำเยอะเพื่อจะได้ผลเท่ากัน) และการปล่อยชีวิตสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่า ยิ่งเป็นสัตว์มีคุณ ยิ่งดี ( ปล่อยหอย ปล่อยปูปลา เป็นพันๆตัว ยังสู้ปล่อยโคตัวเดียวไม่ได้) โรคที่เกิดจากรรม รักษาเท่าไหร่ ก็ไม่หาย ( เจอหมอที่เก่ง รักษาถูกโรคก็ตาม) ไม่หาย จนกว่า กรรมตรงนั้นจะหมด ดังนั้น วิธีที่ถูกต้องก็คือ ทำบุญเติมลงไปเยอะๆ เมื่อมันถึงจุด มันจะมีเหตุปัจจัยให้หายเอง มันจะคลี่คลายของมันเอง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- กรณีอย่างในกระทู้นี้นะ ถ้าสมมุติว่า วิบากกรรมตรงนั้นที่จะทำให้คุณเจ้าของกระทู้ต้องเจ็บเท่านี้ๆ ต้องเสียทรัพย์เท่านี้ๆ ยังอยู่ และกำลังจะส่งผลอยู่ ถึงแม้ว่า คุณเจ้าของกระทู้จะอยู่เมืองไทยก็ตาม ได้ไปหาคลีนิคที่ไทยก็ตาม เชื่อเถอะว่า ก็จะมีเหตุที่ทำให้ ต้องเจ็บตัว และเสียทรัพย์ตรงนี้อยู่ดี เหตุปัจจัยมากมายเลยคุณ เรื่องกรรมนี่มันละเอียดซับซ้อนมากๆ สมมุติว่า เอาใหม่ เอาเป็นว่าคุณเจ้าของกระทู้อยู่เมืองไทยตอนนั้น ตอนที่เริ่มปวดฟัน ด้วยสาเหตุเดียวกันนี้เลย แล้วมาตั้งกระทู้ถามหาคลีนิคแบบนี้เป๊ะๆ แล้วเพื่อนๆในเวป ก็แนะนำไปหา หมอนี้ๆ ซึ่งดี และเก่ง พอไปหาปุ๊ป หมอรักษาดีมากๆ ผ่าตัด ทำแผลเสร็จ ทุกอย่างเปอร์เฟค หาที่ผิดไม่ได้เลย พอขับออกจากซอยมา มีรถจักรยานยนต์ หรือ คนหาบเร่ หรือ หมาข้างถนน หรือ เด็กเล็กๆลูกคนขายขนมครกวิ่งตัดหน้า คุณเบรคกระทันหัน หน้าไปชนกับพวงมาลัย ชนไม่แรง เบาๆ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้แผลตรงนั้น เกิดการช้ำ ผลที่ได้คือ คุณต้องเจ็บตัวและต้องเสียทรัพย์ ในปริมาณเดียวกันกับที่วิบากกรรมกำหนด ที่จะบอกก็คือว่า มีช่องทาง มีความเป็นไปได้มากมายที่จะทำให้วิบากกรรมนั้นๆที่ถึงเวลาแล้ว ส่งผลออกมาตามนั้นได้ สถานการณ์มันคลี่คลายไปได้หลายๆรูปแบบ เพื่อให้ได้ผลแบบเดียวกันกับที่มันต้องการ ทีนี้ ถ้าเราทำบุญนะ ( ทาน ศีล ภาวนา ) อย่างน้อยมันก็ชะลอ และบรรเทาลงไปได้ วิบากบางอย่างที่เบาบาง ถ้ามีบุญที่มากพอ มันก็ทิ้งห่างกันไปได้เลย --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เชื่อว่า คนที่คลิ๊กเข้ามาอ่านในกระทู้นี้ คือคนที่สนใจเรื่องของสุขภาพ ดังนั้น ขอเล่าขยายประเด็นต่อสักเล็กน้อย สองสามเดือนก่อน ได้ฟังบรรยายทางทีวี โดย นายแพทย์จักรกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ ( เลขาธิการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาการแพทย์ทางเลือก ) แล้วรู้สึกเสียดายมากๆ คือ เสียดายและสงสารคนไข้ เพราะผู้ดำเนินรายการถามว่า คนที่หันมาหาแพทย์ทางเลือกเป็นคนแบบไหน คือ ขออธิบายก่อนว่า การบรรยายวันนั้นเป็นหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องกรรม กับการเจ็บป่วย และได้เชิญผู้มีความสามารถพิเศษ ในการติดต่อกับเจ้ากรรมนายเวรของคนไข้ได้ ประมาณว่า สามารถติดต่อสื่อสารเจรจากันแล้วบอกคนไข้ได้เลยว่า ต้องแก้กรรมยังไง นพ จักรกฤษณ์ตอบคำถามนั้นว่า คนไข้ที่มาทางนี้นั้น คือ พวกที่เสียเงินและเจ็บตัวกับการผ่าตัดรักษามามากแล้ว เจ็บจนพอแล้ว ยอมจำนนแล้ว คือ กว่าจะมาเชื่อเรื่องกรรมนี่ ต้องเสียเงินและเจ็บตัวไปมากมาย ที่สำคัญคือ บุคคลที่ว่านี้ ( ที่มีความสามารถที่ว่า) ช่วยเหลืองานของมูลนิธิ โดยไม่คิดเงินจากคนไข้แม้แต่บาทเดียว ที่ผมฟังมาวันนั้น หน่วยงานนี้ รักษาคนไข้ โดยไม่คิดเงินแม้แต่บาทเดียว ทุกอย่างแล้วแต่จะบริจาค แล้วเงินที่บริจาคนั้น ก็เอาไปทำบุญต่อ โดยระบุไว้เลยว่า ทำอะไรบ้าง นี่คือที่พูดกันในวันนั้น หน่วยงานที่ นพ จักรกฤษณ์ ดูแล ก็คือ แพทย์ทางเลือกทั่วไป การฝังเข็ม การรักษาด้วยวารีบำบัด การใช้สมุนไพร ฯลฯ คือเป็นสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า alternative medicine อย่างที่รู้ๆกัน ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาดพิสดารใดๆทั้งสิ้น แต่มีหลาย case ที่ทำอย่างไรๆ ก็ไม่หาย ถึงต้องโอนไปให้บุคคลท่านนี้ ให้ช่วยดูให้ว่าจะต้องแก้ไขอย่างไร ดังนั้น ใครก็ตาม ที่ตัวเองก็ดี หรือ คนใกล้ตัวก็ดี ที่กำลังป่วยด้วยโรคอะไรสักอย่างที่รักษาไม่หาย ก็ขอสนับสนุนให้ทำบุญ ( ทาน ศีล ภาวนา) และถ้าสนใจที่จะรักษาที่ "ต้นเหตุ" ก็ขอให้ลองนำข้อมูลตรงนี้ไปพิจารณาดู จากคุณ : - 072648 - [ 15 ม.ค. 51 23:51:59 A:58.136.50.14 X: TicketID:072648 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณค่ะคุณ *พิณ* ที่แนะนำหมอให้ น่าสนใจไม่น้อย เพราะโดยส่วนตัวชอบคุณหมออารมณ์ดี พูดแบบนิ่มๆ ยิ่งคลอเพลงไปด้วยนี่ ยิ่งน่าสนใจ ทำเร็วด้วย จดใส่ลิสต์ไว้แล้วค่ะ ว่าจะลองหาปรสบการณ์หลายๆ ที่ดูน่ะค่ะ เราว่าเคสเราสงสัยคล้ายเคสของคุณพิณ ตรงที่หมออุดแล้วไอ้ที่เค้าใส่ ลงไปอุดทิ่มลงเหงือกทำให้เกิดการกดทับ ก็เลยเจ็บน่ะค่ะ ไม่รู้นะ อันนี้เราเดาเอานะคะ คุณ Sonnenschein ดีจังเจอหมอดี แถมเป็นเพื่อนแฟนซะอีก ดีจังค่ะ ค่ะคุณหมูหวาน หมอไทยฝีมือดีจริงๆ เลยค่ะ ยอมรับฝีมือจริงๆ ยอมรับอีกอย่างที่ฝีมือดียังไม่พอ แต่มือนิ่มได้ใจอีกต่างหากค่ะ อุๆๆ คุณใจดำ เรานึกภาพออกเลยค่ะว่าขูดหินปูนทำเอาเลือดกลบปากเลย ดีนะที่ไม่เป็นอะไรมากน่ะค่ะ นี่เราขนาดแค่อุดนะ ยังปวดไปทั้งซีกเลยค่ะ นึกไม่ออกว่าถ้าทำอย่างอื่นสงสัยเดี้ยงกว่านี้ จากคุณ : Cupidy - [ 16 ม.ค. 51 01:11:20 ]

ความคิดเห็นที่ 35 คุณแม่ดอกมะลิ เก็บข้อมูลได้เต็มที่เลยค่ะ ยินดีค่ะ เพื่อนๆ ให้ความรู้เยอะแยะเลยนะคะ คุณ - 072648 - จริงว่ามันอาจจะเป็นกรรมของเราเจอหมอไม่ดีน่ะค่ะ เราดีใจกับคุณด้วยนะ ที่เจอหมอ และคลีนิคที่ดีแบบนั้นน่ะค่ะ กว่าจะเจอที่ดีๆ บางครั้งก็ต้องลองผิดลองถูกนะคะ อย่างที่คุณว่ามาน่ะค่ะ จากคุณ : Cupidy - [ 16 ม.ค. 51 01:24:01 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เล่ามั่งๆ ตอนอยู่แถวๆรัฐMA เคยต้องหาหมอตัดรากประสาทฟันออก เผื่อครอบฟันใหม่ เจอหมอที่จบจากมหาวิทยาลัยระดับโครตๆไอวี่ ลีคแห่งบอสตันเลยนะนึกว่าโชคดีมาก หมอฟันเป็นแอฟริกันอเมริกัน ที่ใส่สร้อยทองเป้งๆหลายอันซ้อนกัน ไม่มีผู้ช่วยใดๆให้เห็นทั้งสิ้น เปิดเพลงแรปขณะทำฟัน และ โยนที่คลุมอกเวลาเอ๊กซ์เรย์ฟัน บนพื้น โครมมมม เมื่อใช้เสร็จ..... แต่หมอคนนี้ไม่ใช่หมอครอบฟัน ดิฉันจึงต้องไปหาหมอครอบฟันอีกคนหนึ่ง ขณะทำๆไปก็เจ็บฟันซีก นั้นอยู่อ่ะ หมอบอกเจ็บได้ไง ตัดรากประสาทฟันออกแล้วนี่ ปรากฎว่า หมอแรฟ ตัดออกไม่หมดค่ะ เสียไปฟรีๆ ห้าร้อยกว่าเหรียญ ต้องไปหาหมอคนอื่นตัดรากออกให้หมดอีกครั้ง ทรมานโครต และ เสียอีก 600 กว่าเหรียญ ถึงจะได้ครอบฟันอีกหลายร้อยหรือเป็น พันเหรียญ ไม่อยากจะจำตัวเลข    โกรธมากเลยตอนนั้น แต่เห็นด้วยว่าขูดหินปูนที่อเมริกาสะใจมากกว่าไทย เพราะทำได้ล้ำลึก เลือดกระฉูดนักแล อึ้งไปเลยตอนไปทำครั้งแรก  เจอขูดแบบเจาะลึก ทุกหกเดือนแล้วก็ไม่เคยฟันพุอีกเลยค่ะ  แต่ก็ฟลอสด้วยนะคะ ตอนอยู่เมืองไทยฟันพุประจำ เพราะไม่รู้จักฟลอส และหมอฟันก็ ไม่คว้านหินปูนในเหงือกให้ จากคุณ : ปรารถนา - [ 16 ม.ค. 51 02:33:30 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อ่านข้อความของคุณปรารถนาแล้ว เสียววาบๆ เลยค่ะ สยองเป็นที่สุด ทำไมต้องตัดรากประสาทฟันเหรอคะ เพิ่งเคยได้ยิน อูย แค่อ่านก็เจ็บแทนแล้วค่ะ เราเองยังไม่เคยขูดหินปูนที่นี่ เคยแต่ขูดที่ไทย เราว่าเรากลับไปขูดหินปูนที่ไทยดีกว่าค่ะ อ่านแล้วก็อยากจะลองไปทำที่นี่ เพราะคุณปรารถนาว่าขูดได้สะใจ แต่ขอถอนตัวตรงที่บอกว่า "ทำได้ล้ำลึก เลือดกระฉูดนักแล" ขอตัวก่อนล่ะค่ะ อิๆๆ ขอบคุณที่เข้ามาเล่าประสบการณ์นะคะ จากคุณ : Cupidy - [ 16 ม.ค. 51 06:43:32 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ไม่ค่อยทราบเหมือนกัน แต่ลองดู... ถ้าฟันผุเกินไป อุดไม่ได้แล้ว ถอนก็ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวไม่มีฟันเคี้ยว (ซี่ด้านใน) หมอฟัน ก็จะเก็บฟันไว้ค่ะ เก็บฟันก็โดยการตัดรากประ สาทฟันทิ้ง ต่อไปก็ไม่เจ็บไม่ปวดแล้วซี่นั้น หมอเจาะฟันตรงกลางเลยค่ะ ตัดรากถอนโคน ออกแล้วก็อุด+ครอบฟัน ขอบอกว่าถ้าขูดหินปูนแบบไม่คว้านเข้า ไปในเหงือกนี่ มันก็ไม่ได้เรื่องเท่าไรนะคะ โชคดีนะคะ ไปรักษาที่เมืองไทยแล้วกลับมาเล่าอีกนะ จากคุณ : ปรารถนา - [ 16 ม.ค. 51 09:01:32 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เล่าด้วยคนดิ่...เจอเหมือนคุณจขกท.เลยอ่ะ  เมื่อประมาณต้นเดือนพฤศจิกาปีที่แล้วเราก็ไปให้หมอฟันรื้อไอ้ที่อุดฟันสีเงินออกแล้วอุดใหม่สีขาว เหตุที่ต้องทำก็เพราะไปเอ็กเรย์เจอรอยแตก หมอเลยให้อุดใหม่ 3 ซี่ติดกัน เราก็โอเคทำก็ทำน่ะ จะไปเถียงหมอได้เหรอใช่ป่ะ... ทีนี้ขอเล่าข้ามขั้นตอนถึงตอนที่หมอกรอที่อุดฟันสีเงินอันเก่าออกหมดเลยละกัน พอเสร็จแล้วหมดบอก เอ้า เบรกหน่อย เราก็เออดีแฮะอ้าปากมาเกือบชั่วโมงได้พักมั่ง ปวดฉี่พอดี เลยออกไปเข้าห้องน้ำแล้วถือโอกาสอ้าปากส่งกระจกดู โอ้โฮ ...ฟันเรายังกะปะการังแน่ะ เป็นรูๆๆๆๆ ทั้งตรงกลางฟัน และตรงข้างๆ เวลาเอาดิ้นดุนๆ มันโบ๋ไปเลยอ่ะ ยังคิดอยู่เลยแล้วหมอจะทำให้ดีเหมือนเก่ามั๊ยเนี่ย...ก็กลับมานั่งรอหมอต่อเกือบยี่สิบนาที ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดมาก คิดว่าหมอคงเมื่อยออกไปพักเหมือนกัน พออ่านกระทู้นี้แล้วพึ่งถึงบางอ้อ ว่าเรานี่ช่างไร้เดียงสาเสียจริง หมอก็คงแวบไปดูคนไข้อื่นอีกแหละ... พอหมอกลับมาทำให้เราเสร็จ ก็บอกว่ามันจะเซนสิทีฟประมาณอาทิตย์นึงนะ เราก็เออๆๆ ..แต่จวบจนทุกวันนี้เราก็ยังปวดอยู่เหมือนกะคุณจขกท. เลยอ่ะ เวลากินอะไรที่แข็งๆ หรือเหนียวๆ จะใช้ข้างขวาที่พึ่งทำไม่ได้เลย จะปวดมาก ไม่รู้ว่ามันจะหายไปเองรึปล่าว หรือประสาทตรงเหงือกส่วนนั้นเสียไปซะแล้วนี่.... แล้วมีต่อนะ คือว่าไอ้ตอนเอ็กซเรย์นี่หมอก็บอกว่าฟันกรามที่ขึ้นมาน่ะ มันผุน่าจะไปถอนออก เราก็หัวอ่อน อะถอนก็ถอน เลยนัดหมอผ่าตัดฟันอีกที่นึง นัดผ่าวันที่ 22 พฤศจิกา พอผ่าเสร็จ ปรากฏว่าเหงือก,ฟัน ,ปากล่างด้านขว่า และลงมาถึงคางเราชาไม่มีความรุ้สึกเลย หมอก็บอกว่ามันเป็นเรื่องปกติตอนผ่าอาจจะไปโดนเส้นประสาททำให้ชาได้ บางคนอาจะไม่เป็น ก็ไม่ใช้เรื่องน่าตกใจ ตอนนั้นเราก็ไม่ค่อยกังวล..... แต่นี่มันปาเข้าไปจะสองเดือนแล้ว ตอนนี้ก็ยังชาอยู่อ่ะ นี่มีนัดไปตรวจอีกตอนสิ้นเดือนนี้เดี๋ยวต้องถามให้แน่ว่าทำไมยังไม่หาย จะต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่.... ถ้าคุณหมอ OPNWYDE แวะกลับมาอ่านอีกรอบช่วยตอบหน่อยนะค้า ขอบคุณมากค่ะ.. จากคุณ : RaDaM@nTis - [ 16 ม.ค. 51 10:52:04 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ^ ^ ^ ตอนอยู่ไทย พ่อเพื่อนสนิทเป็นหมอฟันไม่ยอมผ่าฟันคุดให้ บอกว่าอันตราย ปากอาจจะชาได้ ถ้าไม่ปวดมากๆ ก็ไม่ต้องทำอะไร พอมาที่ญี่ปุ่นเราก็อยากจะผ่าฟันคุด หมอถามว่าปวดรึเปล่า ถ้าไม่ปวด ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน เพราะถ้าผ่าปากอาจจะชาเป็นครึ่งปีได้ เราเลยล้มเลิกการผ่า จากคุณ : drunk on the beach~* - [ 16 ม.ค. 51 20:34:12 ]

ความคิดเห็นที่ 41 คุณปรารถนา ถ้าไปทำที่ฟันที่เมืองไทยแล้ว กลับมาได้เรื่องยังไงจะมาเล่าให้ฟังค่ะ คุณ RaDaM@nTis อาการหนักเหมือนกันนะคะ ผ่านมาสองเดือนแล้วยังไม่หายเนี่ยะ ถามหมอแล้วได้เรื่องยังไงมาเล่าให้กันฟังมั่งนะคะ คุณ drunk on the beach เราก็เคยได้ยินหมอฟันเคยบอกว่า ปกติเวลาเค้าจะถอนฟันให้เนี่ยะ เค้าจะต้องดูอาการของคนไข้ และตรวจเช็คเส้นประสาทก่อน ไม่ใช่ว่าอยากถอนก็ถอน ถ้ามันไม่เจ็บไม่ปวดมากมาย เค้าอาจจะแค่อุด หรือรักษาด้วยวิธีอื่นไปก่อน เพราะดีไม่ดีถอนไปอาจจะมีผลกระทบได้น่ะค่ะ ดีจังได้อ่านประสบการณ์การทำฟันของเพื่อนๆ แล้ว ทำให้ได้ความรู้เพิ่มขึ้นเยอะเลยค่ะ เพื่อนๆ คนไหนอยากเล่าประสบการณ์ทำฟันทั้งที่ดี และไม่ดี ทั้งที่เมืองไทย และเมืองนอก เชิญเลยนะคะ เพราะปกติเราเป็นคนแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ที่ค่อนข้างหนักใจก็เรื่องเรื่องฟันเนี่ยะแหละค่ะ ขอบคุณทุกคนมากค่ะ แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 51 04:19:35 จากคุณ : Cupidy - [ 17 ม.ค. 51 03:52:15 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ถึงคุณ RaDaM@nTis ฟันที่อุดเวลาผ่านมานานแล้วมีปัญหาอยู่ควรกลับไปหาเขาแล้วให้หมอเขาแก้ไขให้นะคะ วัสดุสีขาวที่คุณไปอุดมา บอกตรงๆว่าหากรอยอุดใหญ่ๆ การจะอุดให้ได้ดีเยี่ยมจะใช้เวลาและอุปกรณ์เยอะมาก แต่อย่างไรก็ตามควรรีบกลับไปให้เขาเช็คดูค่ะ ก่อนที่จะมีปัญหามากกว่านี้ เรื่องอาการชาหลังผ่าฟันคุด เท่าที่ฟังดู อาจมีประสาทบางส่วนเสียหายจากการผ่า (โอกาสเกิดได้ค่ะ) แต่ถามว่าเป็นเพราะหมอประมาทหรือเปล่า อันนี้ไม่ทราบ แต่เชื่อว่าก่อนจะผ่า เค้าคงให้คุณเซ็นต์ยินยอม และรับรู้ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น (treatment consent form) เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ผ่าให้ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็คงทำอะไรไม่ได้มาก ขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ ปกติอาการดังกล่าวหากได้รับการรักษาอาจจะดีขึ้น (แต่ว่าต้องบอกหมอไปตั้งแต่ช่วงแรกๆที่มีอาการ) เฮ้อ..เรื่องแบบนี้เป็นปัญหาที่พบมากใน Oral surgeon ค่ะ แต่อาจจะถามเขาได้ว่าจะสามารถชดใช้ค่าเสียหายได้อย่างไร ถ้าเป็นดิฉันก็คงคืนเงินให้หมดค่ะ คิดว่าถ้าเป็นญาติเรา เราคงเสียใจที่ทำให้เกิดความเสียหายค่ะ ลองฟังความเห็นของทพ.ท่านอื่นดูนะคะ จากคุณ : OPNWYDE - [ 17 ม.ค. 51 13:22:26 A:71.83.151.155 X: TicketID:001080 ]