Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    แชร์ประสบการณ์สัมภาษณ์วีซ่านักเรียน US (F1) ค่ะ : ) ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

    สวัสดีค่ะ
    เราเพิ่งไปสัมภาษณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (1 ก.พ.) ค่ะ
    ใช้เวลาเตรียมตัว 1 เดือน วันก่อนสัมภาษณ์เครียดแทบตายแน่ะค่ะ
    ก็อาศัยไกลบ้านมาถามไถ่นู่นนี่ (บางทีถามเยอะไป ไม่มีใครตอบได้ - -'')
    เรียกว่านอยด์สุดๆ ค่ะ
    (วันก่อนสัมภาษณ์นี่ นั่งเตรียมเอกสารทั้งวัน งานการไม่ทำเลยค่ะ
    เตรียมเอกสารไปปึ๊งนึง ปรากฏ--ไม่ได้ใช้เลยค่ะ - -'')
    เลยเอามาแบ่งปันให้ฟังกัน จะได้ไม่เครียดเกินไปเหมือนเรานะคะ
    : )

    เรานัดคิว 8 โมงเช้าค่ะ (ให้แม่ดูฤกษ์จากปฏิทินจีน แบบว่า เป็นฤกษ์ดีค่ะ แหะๆ (._.')> )
    ไปถึงเอา 7 โมง 20 ถือว่าช้ามาก ทั้งที่ตื่นตั้งแต่ตี 3 ครึ่ง  - -''
    ไปถึงก็ คิวไม่ยาวเท่าไหร่ค่ะ เดินเข้าไปเค้าก็เช็คคิวที่นัดไว้ แล้วก็แสกนกระเป๋า
    ฝากมือถือ แลกบัตรประชาชน เสร็จแล้วก็เข้าไปต่อคิว non-immigrant ค่ะ
    ระหว่างต่อคิว ก็จะมีเจ้าหน้าที่มีอายุหน่อยมาเดินแจกแบบฟอร์มส่งไปรษณีย์ แล้วก็เช็คเอกสารให้คร่าวๆ
    กรอก DS-156 157 158 ครบรึยัง ขอวีซ่านักเรียนมี i-20 มั๊ย มีทรานสคิรปต์ด้วยนะ นู่นนี่
    เสร็จแล้วก็ไปถึงพี่ๆ เสื้อแดง ตรวจเอกสารค่ะ เค้าก็จะเช็คๆ เอกสารคือ

    1.ใบเสร็จค่าธรรมเนียมวีซ่า
    2.แบบฟอร์ม DS 156
    3. DS 157
    4. DS 158
    5. Transcript
    6. i-20 (ของเราปีนึงค่ะ เพราะลงเรียนภาษาไว้ปีนึง)
    7. SEVIS fee receipt

    แล้วเราแอบแนบ Letter of intention ที่เขียนจากพ่อแม่ว่า ยินดีเป็นสปอนเซอร์ให้ลูกสาวไปศึกษาต่อ
    เพื่อกลับมารับช่วงกิจการที่บ้านด้วยค่ะ พี่เค้าก็เลยเหน็บไปด้วย
    แต่ปกติไม่รู้คนอื่นเค้ามีกันป่าวนะคะ

    นอกนั้นก็มีเอกสารอื่นๆ พวกทะเบียนการค้าของที่บ้าน (อุตส่าห์ไปหา Certified Translator แปลให้ตั้งใบละ 250 แน่ะ) แต่ไม่ได้ใช้ค่ะ
    แล้วก็เตรียมพวกแบงก์เสตทเมนท์ของกิจการที่บ้าน ใบเสร็จค่าภาษี ให้เค้ารู้ว่ากิจการมีอยู่จริงไปก็... ไม่ได้ใช้ค่ะ
    - -''

    เค้าเช็คเสร็จ เราแม็ครูปติดไป พี่เค้าก็ดึงออก บอกให้ทากาว ไม่งั้นจะสแกนไม่ติด
    เพื่อนๆ ก็เอารูปทากาวติดไปเลยนะคะ จะได้ไม่เสียเวลาแกะๆ ติดๆ แบบเรา

    ตรงขั้นตอนนี้เค้าจะให้บัตรเขียวๆ บอกว่าเราต้องไปติดต่อช่องไหนค่ะ
    เราได้ช่อง 1-2-3 ก็คือติดต่อด้านหน้า
    บางคนได้ช่อง 12, 13 ก็คือเข้าไปข้างในเลยค่ะ ไม่รู้เกี่ยวกับประเภทวีซ่ารึเปล่านะ

    เสร็จแล้วเค้าก็รวบรวมเอกสารใส่ซองใสเยินเล็กน้อย กับแบบฟอร์มไปรษณีย์ แล้วก็ไปต่อคิวซื้อซองค่ะ
    75 บาท เสร็จแล้วก็จ่าหน้าถึงตัวเองไว้นะคะ
    แล้วเราก็เดินไปรอคิวที่ช่อง 1-2-3 ด้านหน้า
    ไปรอคิวช่อง 2 พี่เจ้าหน้าที่คนสวยก็ให้แสกนนิ้วมือนู่นนี่ เสร็จก็เช็คเอกสารอีกที
    เค้าถามว่าสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษได้ใช่มั๊ยคะ เราก็บอก ขอภาษาไทยได้มั๊ยคะ อังกฤษไม่แม่นค่ะ
    พี่เค้าก็บอก พอพูดได้นิดหน่อยมั๊ย เพราะเราขอวีซ่านักเรียนจะไปเรียนต่อ ทางสถานทูตเค้าก็คาดหวังว่าเราน่าจะพูดได้บ้างนะ
    ไม่งั้นจะไปอยู่ ไปเรียนได้ยังไง เราก็เลย โอเคค่ะ อังกฤษก็ฮังกฤษ
    พี่เค้าก็ยิ้มๆ บอกไม่ต้องกลัว เจ้าหน้าที่ไม่ดุหรอก เสร็จก็รับบัตรคิว แล้วก็เข้าไปข้างในค่ะ

    อย่างที่รู้กันค่ะ คิวมันจะกระเด้งๆ ไปเรื่อยๆ ไม่เรียงตามลำดับนะคะ เราก็นั่งรอไป
    แต่เดชะบุญมาก คือเราเจอเพื่อนมหาลัย ซึ่งไม่เจอกันมาหลายปีมากโดยบังเอิญ
    เพื่อนเรามาขอวีซ่าท่องเที่ยวเป็นครั้งที่ 3 ค่ะ
    ครั้งแรกได้ 3 เดือน ครั้งที่ 2 ได้ 1 ปี (ครั้งนี้ได้ 10 ปีซะที)
    เพื่อนสัมภาษณ์เสร็จแล้วก็มาชวนคุยใหญ่เลย เราเลยไม่มีช่องให้เครียดเลยค่ะ (สวรรค์ส่งมาจริงๆ : )
    รู้ตัวอีกทีก็เรียกคิวเราแล้ว รอประมาณ 15 นาทีค่ะ
    เคยอ่านๆ ที่นี่บอกว่า แหม่มช่อง 11 โหดมาก ก็แอบหวั่นๆ
    แต่คราวนี้ไม่มีแหม่มเลยค่ะ มีแต่ผู้ชาย เราได้ช่อง 10 เป็นฝรั่งผู้ชายสกินเฮด หน้าตาใจดี

    ขั้นตอนสัมภาษณ์ค่ะ
    มาถึงเค้าก็ทัก Good Morning, how r u?
    เราก็... Fine thank you, and you? แบบ ถามทำไมวะกู - -''
    ฮีก็ทำหน้างงๆ แล้วก็ I'm fine แล้วก็ให้แสกนนิ้วอีกที

    จากนั้นเค้าพลิกๆ ดูเอกสาร เราก็ลุ้นมาก
    เพราะตอนจ่ายค่า SEVIS Fee เราให้คนรู้จักที่อยู่โอเรกอนเป็นคนไปจ่ายให้
    เพราะโรงเรียนแนะนำว่า ถ้าจ่ายโดยตรงที่โรงเรียน จะได้ส่งใบเสร็จมาพร้อม i-20 เลย
    แล้วปรากฏว่า ที่อยู่ในใบเสร็จ ดันเป็นที่อยู่ของคนรู้จักคนนั้นเฉยเลย เราก็เลยนอยด์มากค่ะ ว่าถ้ามันเป็นไรขึ้นมาจะทำไง
    แต่ถามทางโรงเรียนแล้วเค้าบอกไม่เป็นไร เพราะในฐานข้อมูล เป็นที่อยู่เราที่เมืองไทยถูกต้องทุกอย่าง ไม่ต้องกังวล
    (แต่อีนี่ก็ยังกังวลอยู่ดี - -'')
    ปรากฏ เค้าก็ไม่ว่าไรเรื่อง SEVIS receipt

    คำถามสัมภาษณ์เป็นดังนี้ค่ะ
    จนท. - คุณจะไปทำอะไรที่เมกา
    เรา - pardon? - -''
    จนท. - จะไปเรียนใช่มั๊ย?
    เรา - ใช่ค่ะ
    จนท. - ตอนนี้ทำงานอยู่ที่ LIPS Magazine
    เรา - ค่ะ
    จนท. - ตำแหน่งอะไร
    เรา - นักเขียนค่ะ
    จนท. - เหรอ แล้วทำอะไรบ้าง
    เรา - ก็เขียนคอลัมน์ไลฟ์สไตล์ แนะนำรีสอร์ท ร้านอาหาร
    จนท. - แล้วไปอเมริกาอยากไปเรียนอะไร
    เรา - อยากไปเรียนภาษาก่อน แล้วไปเรียนต่อด้านแฟชั่นดีไซน์ค่ะ
    จนท. - ทำไมถึงอยากเรียนแฟชั่นดีไซน์
    เรา - เพราะไอทำงานแฟชั่นแมกกาซีน มีโอกาสได้สัมภาษณ์ดีไซเนอร์แล้วก็ยังก์อาร์ทิสต์ที่น่าสนใจหลายคน
    ก็เลยค่อยๆ รู้ตัวว่าสนใจด้านนี้
    จนท. - แล้วการเรียนแฟชั่นดีไซน์จะช่วยออะไรคุณได้บ้าง
    (ประมาณว่า มันจะทำให้ชีวิตยูดีขึ้นยังไง มีประโยชน์กับยูยังไง อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ)
    เรา - ก็ไอทำงานแฟชั่นแมกกาซีน ถ้าจบด้านนี้กลับมาทำงานแมกกาซีน ไอก็จะได้อัพตัวเองขึ้นไปในเลเวลที่สูงขึ้น
    อีกอย่างคือที่บ้านมีกิจการผ้า ซึ่งแม่ไออยากเปิดไลน์เสื้อผ้าของตัวเองเพื่อขยายกิจการในอนาคต
    ไอก็อยากกลับมาช่วยทำร้านเสื้อกับแม่ ซึ่งงาน 2 อย่างนี้ของไอมันก็ส่งเสริมซึ่งกันและกันพอดี
    จนท. - พยักหน้าหงึกหงัก แล้วก็พิมพ์ๆๆๆ อะไรสักอย่างอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถามว่า-- ใครเป็นสปอนเซอร์ให้คุณ
    เรา - พ่อกับแม่ค่ะ
    จนท. - พิมพ์ๆ อีกนิดหน่อย
    โอเค... you are qualified for F1 status, student visa. I'll issue you a visa for...years so you can complete youพ language study and further study in Fashion design
    Good luck for your study in the US (ยิ้ม)
    เรา - ยืนเอ๋อๆ งงๆ ฟังไม่ค่อยจะทัน แต่จับใจความได้ประมาณนี้ (ฟังไม่ทันด้วยว่าออกให้กี่ปี)
    ฮีคงเห็นว่าอีนี่หน้ามึนมากเลยบอกว่า That's it
    แล้วก็พูดช้าๆ ให้ฟังอีกทีว่า I wish you good luck for your study in Fashion Design in the US. เราถึงตื่นจากภวังค์

    แบบ อะไรวะ?
    ได้แล้วเหรอ?
    เฮ้ย เร็วงี้เลยเหรอ?
    แล้วก็ขอบคุณแล้วก็เดินตัวปลิวออกมา

    ตอนแรกก็ยังหน้ามึนๆ อยู่
    สักพักพอตั้งสติได้ก็เริ่มออกอาการบ้า
    ออกมาข้างนอก คนยังต่อคิวกันยาวเหยียดเหมือนเดิม อีนี่เดินสวนออกมาแล้วแบบ
    หุบยิ้มไม่ได้ค่ะ เดินยิ้มอยู่คนเดียว ยิ้มแป้นนน เลย
    ก็แบบ ช่างแม่ม ใครจะว่าบ้าก็เอาเหอะวะ (แหะๆ (._.')>)
    ก็คนมันดีใจนี่นา!
    : D

    เมื่อวานเพิ่งได้พาสปอร์ตค่ะ พ่อโทรมาหาบอก วีซ่ามาแล้วนะ... ได้ 5 ปี :D
    เราแบบ โฮ้ยยย...! โล่งใจ ได้แล้ว--ได้ มา แล้ว!
    หลังจากเครียดเตรียมตัวอยู่เป็นเดือน
    : D

    จะบอกว่า เราปรึกษาเพื่อนๆ ที่เคยเรียนเมกาค่ะ มันบอกมาว่า มี 2 ข้อที่สถานทูตเค้าต้องการคือ
    1. เค้าต้องการเมคชัวร์ว่าเรียนจบ ยูจะกลับไทยแน่ๆ
    2. คือ เค้าไม่ต้องการเสตทเมนท์รวยล้นฟ้ามาจากไหน ขอแค่เป็นเสตทเมนท์ที่มีเงินพอจ่ายค่าเรียนปีแรก
    และเป็นเสตทเมนต์ที่มีเงินเข้า-ออก อย่างสม่ำเสมอ
    อย่าเอาแต่จดหมายรับรองที่บอกว่ามียอดเงินในบัญชีเท่าไหร่ไปนะคะ
    ให้พกเสตทเมนท์ที่โชว์การเคลื่อนไหวของบัญชีไปด้วย
    เพื่อนของเพื่อนเราคนหนึ่งเคยไม่ได้วีซ่าเพราะเอาแต่จดหมายรับรองไปอย่างเดียวค่ะ (อันนี้มีเพื่อนๆ ในพันธิบย้ำมาเหมือนกัน)

    เราคาดว่าที่เราสัมภาษณ์ไม่นาน คงเพราะเจอเจ้าหน้าที่ใจดีด้วย
    แล้วก็ เราตอบเคลียร์ ไปเลยว่า เรียนจบอันนี้มา ไอจะกลับมาทำงานแมกกาซีนต่อนะ มันจะช่วยให้ไอได้ตำแหน่งสูงขึ้น
    แล้วก็ยังมีพันธะผูกพันที่ต้องกลับมาช่วยสานต่อกิจการที่บ้านด้วย
    มันเลยค่อนข้างแน่นน่ะค่ะ (คิดว่านะ)

    สุดท้ายนี้ อยากจะบอกเพื่อนๆ ว่า...
    อย่านอยด์ค่ะ อย่านอยด์ขนาดเรา (._.')> (อายจัง)
    เจ้าหน้าที่ใจดีกว่าที่คิด
    เตรียมตัวไปดีๆ แล้วก็ตอบคำถามอย่างจริงใจ อ ย่ า โ ก ห ก ค่ ะ (อันนี้เพื่อนๆ ในพันธิบย้ำมาค่ะ : )
    วีซ่านักเรียนไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ

    ขอให้โชคดีกันทุกท่านนะคะ

    : )

    จากคุณ : อูเคียว - [ 7 ก.พ. 51 14:49:43 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom