ความคิดเห็นที่ 1 อยากรู้เหมือนกันว่าที่ว่าไม่เลี้ยงพ่อแม่นี่มันหมายความว่ายังไง ลองเทียบดู ลุงๆ ป้าๆ เหล่านั้นไปอยู่บ้านพักคนชรา(ที่ไม่ใช่แบบบ้านบางแคของเรา ของเค้ามีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ก็ถูกออกแบบมาให้ผู้สูงอายุโดยเฉพาะ มีพยาบาลวิชาชีพดูแลตลอด 24 ชม.)  แล้วมีลูกหลานไปเยี่ยม ไปเยี่ยมในวันสุดสัปดาห์ ถ้าอยู่ต่างรัฐก็อาจจะเฉพาะเทศกาล) มีเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันคุยแก้เหงา มีกิจกรรมสนุกๆ ให้ทำ และที่สำคัญรัฐบาลออกค่าใช้จ่ายทุกอย่าง แล้วผมอยากถามว่ามันไมดีตรงไหน่ ทั้งๆ ที่คนไทยสมัยนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะดีกว่าฝรั่งซักเท่าไหร่ ดูข่าวมีคนแก่ถูกปล่อยทิ้งให้อยู่คนเดียวก็เยอะ เอาไปทิ้งไว้ที่บ้านที่บ้านบางแคก็เยอะ แล้วมาแอ๊บว่าคนไทยกตัญญูกว่าชาติอื่นๆ ฟังแล้วผมอยากสำรอกจริงๆ พับผ่า แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 51 14:12:35 จากคุณ : praphrut608 - [ 25 ก.พ. 51 14:11:51 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เขาไม่มานั่งส่งเงินกันทุกเดือนๆ เหมือนคนไทย ลูกโต มีครอบครัวก็ไปมีครอบครัวของตัวเอง ไม่ได้มาอยู่กับพ่อแม่ ต่างคนก็ต่างรับผิดชอบชีวิตของตัวเองไป บ้านพักคนชรานั้น ต้องมีเงินนะถึงจะได้ไปอยู่ ไม่ใช่ลูกหลานนึกจะเอาไปทิ้งก็ไปได้ ฝรั่งที่บ้านเขาก็โทรหาพ่อ หาแม่เขาเป็นประจำ ซื้อโน่นซื้อนี่ให้ ในโอกาสต่างๆ แต่เขาไม่ได้ให้เงินเป็นเดือนๆ เหมือนคนไทยทำ พ่อแม่มีหน้าที่ต้องงรับผิดชอบเมื่อทำให้ลูกเกิดมา พอลูกโตรับผิดชอบตัวเอง ก็หมดหน้าที่พ่อแม่ ลุกก็ต้องไปรับหน้าที่รับผิดชอบลูกของตัวต่อ ส่วนพ่อแม่ก็รับผิดชอบตัวเองค่ะ จากคุณ : mrs.night owl - [ 25 ก.พ. 51 14:18:33 ]

ความคิดเห็นที่ 3 พวกฝรั่งนี่พออายุ18ก็ออกมาอยู่กันเองแล้วค่ะ 13-14ก็เริ่มหางานทำเก็บเงินเองแล้ว ไม่เหมือนคนไทยที่จนจบมหาลัยยังแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่เลย พอรู้จักทำงานแต่เด็ก โตขึ้นมาออกไปใช้ชีวิตอยู่เอง เรียนก็มีบ้างที่พ่อแม่ช่วยค่าเทอม แต่เห็นส่วนใหญ่ก็กู้เงินมาเรียนแล้วทำงานใช้คืนเองทั้งนั้นโดยไม่ขอเงินพ่อแม่ให้ช่วย บางคนก็ย้ายไปอยู่คนละรัฐกับพ่อแม่เพราะงานหรือเพราะชอบเมืองอื่นหรืออะไรก็ว่าไป พ่อแม่แก่ตัวขึ้นมาบางครั้งก็คงไม่มีทางเลือกหรอกค่ะ ถ้าอยู่เมืองเดียวกันก็ไปมาหาสู่กันประจำ ฝรั่ง60ก็เกษียณกันแล้ว อยู่บ้านเฉยๆ บางทีจะให้ย้ายมาอยู่กับลูกเค้าก็ไม่เอาหรอกค่ะ ชอบความเป็นส่วนตัวมากกว่า บางคนเคยอยู่กันสองคนตายายมาเป็นสี่สิบห้าสิบปี อยู่ๆจะให้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านคนอื่นซึ่งไม่ใช่บ้านตัวเองเราก็คงไม่สบายตัวสบายใจเหมือนอยู่บ้านตัวเองหรอกค่ะ ถึงแม้จะเป็นบ้านลูกตัวเองก็เถอะ อีกอย่าง ถ้าเอาพ่อแม่มาอยู่ด้วย ตัวเองต้องทำงาน ทิ้งพ่อแม่อยู่บ้านคนเดียว ถ้าต้องการอะไรพวกท่านจะทำอย่างไร บางคนช่วยตัวเองไม่ได้ ลุกขึ้นเดินยังไม่ได้ ห้องน้ำห้องท่าจะทำยังไง? บางคนเหงาจนขอลูกไปอยู่บ้านพักคนชราจะได้มีเพื่อน เราเองเคยไปฝึกงานที่บ้านพักคนชรา บางคนเป็นอัลไซเมอร์จำลูกตัวเองยังไม่ได้เลย จะขับถ่ายยังเช็ดก้นตัวเองไม่ได้ก็ต้องการพยาบาลคอยดูแลตลอด24 บางคนลูกหลานเป็นคนจ่ายเงินค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด บางคนโชคดีหน่อยมีก็ลูกหลานมาเยี่ยมทุกวัน เห็นด้วยกับความเห็นข้างบนที่ว่าอยู่บ้านพักคนชรามีเพื่อนคุย มีอะไรให้ทำ ดีกว่าเหงาอยู่บ้านคนเดียวเพราะลูกต้องไปทำงาน ไม่มาคนดูแลแก อย่างเพื่อนบ้านเรา อายุ80กว่าแล้วทั้งสามีภรรยา ภรรยาเดินไม่ได้ ต้องเอาเตียงพยาบาลมาไว้ในห้องนั่งเล่น เค้าดูแลภรรยาทุกอย่าง มีผู้ช่วยพยาบาลมาบ้านเช็ดตัวทำความสะอาดให้วันละครั้ง ตอนภรรยาเค้าเดินได้แล้วล้มลุกไม่ขึ้นเค้าวิ่งออกมานอกบ้าน โชคดีเจอเราเพิ่งกลับมาจากซื้อของ เค้าถามให้ช่วยไปพยุงภรรยาเค้าให้ลุกขึ้นเดิน เราเคยบอกเค้าว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยให้มาเคาะประตูได้ตลอด กลับมาคิดตอนนี้ ถ้าเค้าไม่มีใครเลยจริงๆ ลูกหลานอยู่คนละรัฐ ต้องเรียกรถพยาบาลที่แพงแสนแพงจะทำยังไง ถ้าอยู่บ้านพักคนชรายังมีคนดูแล มีพยาบาลคอยช่วยเหลือ แต่เค้าอยากดูแลภรรยาเค้าเอง เป็นคู่ที่น่ารักมากๆ จนปีที่แล้วเดือนเมษาเรากลับไทยไป กลับมาบ้านอีกทีภรรยาเค้าเสียแล้ว เศร้าไปเลย สงสารเค้ามาก เราว่ามันไม่ใช่จิตสำนึกหรอกค่ะ แต่เป็นวิธีการเลี้ยงดูที่ต่างกันมากกว่า ฝรั่งถูกสอนให้ช่วยเหลือตัวเองแต่เด็ก  ออกมาอยู่เองแต่เด็ก ไม่เหมือนคนเอเชียที่ผูกพันธ์กับพ่อแม่มาก ขนาดแต่งงานยังย้ายเข้ามาอยู่บ้านพ่อแม่เลย ฝรั่งวันหยุดก็เห็นแวะมาหาพ่อแม่ พาไปเที่ยว มีบ้างที่ให้เงินใช้ แต่เฉพาะตัวเองก็แทบจะไม่พอใช้อยู่แล้วค่ะ โชคดีหน่อยที่รัฐบาลที่นี่ดูแลผู้สูงอายุดีมากๆ เทียบกับเมืองไทยแล้วก็เฮ้อ จากคุณ : OtteR - [ 25 ก.พ. 51 14:28:58 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอเมริกันเหนียวแน่นนะคะ เขาไม่ต้องส่งเงินให้พ่อแม่รายเดือนแต่เขาก็ดูแลและห่วงใยพ่อแม่ไม่แตกต่างไปจากลูกกตัญญูที่เมืองไทยค่ะ Senior Housing หรือ Apartment ที่นี่ถ้าไม่มีเงินก็เข้าไปอยู่ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเขามีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน (เดี๋ยวนี้ senior เขาเล่น Wii กันด้วยนะคะ) รวมทั้งพยาบาลคอยดูแลด้วย และวันครอบครัวของคนอเมริกันก็คือวัน Thanksgiving และวัน Christmas ลูกหลานและทุกคนในครอบครัวก็มาอยู่กันพร้อมหน้า นอกจากนี้แล้วพ่อแม่เขาวางแผนชีวิตยามแก่เฒ่าไว้แล้วไม่ให้ลูกหลานต้องมาเดือดร้อนหรือเป็นภาระค่ะ การเลี้ยงดูพ่อแม่เมื่อแก่ชราไม่ได้วัดกันที่ "การส่งเงิน" อย่างเดียวหรอกค่ะ... เคยได้ยินประโยคนี้ไม๊คะ "Family is forever." และ "Family comes first."......สังคมอเมริกันก็ให้ความสำคัญกับครอบครัว (พ่อแม่ลูกหลานญาติพี่น้อง) ไม่แตกต่างไปจากสังคมอื่นๆ หรอกค่ะ.... จากคุณ : bmw (BlackmagicW) - [ 25 ก.พ. 51 14:41:08 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สี่ท่านข้างบนดูเหมือนว่าจะบรรยายไว้จนครบที่ผมเห็นด้วยทั้งหมด ผมขอเล่า เรื่องใกล้ตัวนะครับ ลูกผมเกิดและโตที่อเมริกา พอสิบหกอยากจะไปเช่าห้องข้างนอกอยู่ แต่แม่เขาขอร้องไว้ เขาทำงานร้านอาหารตั้งแต่อยู่ไฮสคูลแล้ว ขณะที่เรียนปริญญาตรี ไม่ทำงานแต่กู้เงินค่าเล่าเรียน ซึ่งตอนนี้จ่ายเขาไปเกือบหมดแล้ว พอจบมาก็กู้เงินซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ตอนนี้ย้ายมาอยู่ที่บ้านผม บอกว่าจะได้ช่วยแม่มากขึ้น ที่บอกมานี้ไม่ได้เป็นเฉพาะลูกผมหรอกครับ เป็นทั่วๆไป ในความคิดเห็นที่ 3 ที่บอกว่า "บางทีจะให้ย้ายมาอยู่กับลูกเค้าก็ไม่เอาหรอกค่ะ ชอบความเป็นส่วนตัวมากกว่า" อย่าว่าแต่ฝรั่งเลยครับ น้องผมจะรับแม่ซึ่งอยู่ต่างจังหวัดไปอยู่ด้วย ยังไม่ยอมไปเลย แม่บอกว่า อยู่บ้านเองดีกว่าใครจะมาเยี่ยมเยียนก็สดวก อยู่บ้านของตัวเองจะทำอะไรก็ได้ แถมยังบอกลูกๆว่าเตรียมตัวไว้ให้ดีในยามแก่ อย่าปล่อยให้ลูกๆ (หลานของแม่เอง) ต้องเป็นภาระ สำหรับ จขกท เรื่องบ้านคนชรานั้น เขาแพลนไว้ดีครับ ไม่ได้เอาพ่อแม่ไปทิ้งไว้ เรื่องความว้าเหว่นั้น ฝรั่งเขายอมรับสภาพได้มากกว่าคนไทยโดยทั่วไป ตอนนี้ผมเองซึ่งเป็นคนไทยดูเผินๆก็ยังคิดว่าตัวเองและน้องๆยังไม่ได้ปฏิบัติต่อแม่เท่าที่ควรเลย ตามลักษณะสังคมไทย หวังว่า จขกท คงพอจะมองเห็นภาพ จากคุณ : อิสวาสุ - [ 25 ก.พ. 51 15:16:20 A:71.114.84.246 X: TicketID:146114 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อ่านความเห็นทั้ง 5 ท่านข้างบนนี้หมดแล้ว  ขอชมเชยและชื่นชมความเห็นของทุกท่านแสดงถึงวุฒิภาวะที่ได้มีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับสังคมตะวันตกอย่างดีเยี่ยม  ขออนุญาตยกประโยคสำคัญ ๆ ของแต่ละท่านที่อ่านแล้วเห็นภาพ  และเข้าใจได้ชัดเจน  ดังต่อไปนี้ ความเห็นที่ 1. .....คนไทยสมัยนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะดีกว่าฝรั่งซักเท่าไร  ดูข่าวมีคนแก่ถูกปล่อยทิ้งให้อยู่คนเดียว  หรือเอาไปทิ้ว้ที่บ้านบางแค  ก็เยอะ..... ความเห็นที่ 2. .....บ้านพักคนชรา(ในเมืองนอก)นั้นต้องมีเงินถึงจะเข้าไปอยู่ได้  ไม่ใช่ลูกหลานนึกจะทิ้งก็เอาไปได้.... ความเห็นที่ 3. .....ไม่ใช่ไม่มีจิตสำนึก แต่เป็นวิธีการเลี้ยงดูที่ต่างกันมากกว่า..... ความเห็นที่ 4. .....family is forever.....สังคมอเมริกันก็ให้ความสำคัญกับครอบครัวไม่แตกต่างไปจากสังคมอื่น ๆ...... ความเห็นที่ 5. .....เรื่องบ้านคนชรา(ของฝรั่ง) เขาแพลนไว้ดีแล้ว.....เรื่องความว้าเหว่นั้น   ฝรั่งเขายอมรับได้มากกว่าคนไทยทั่วไป....... ขอปรบมือให้ทั้ง 5 ท่าน  ท่านละ 30 ที จากคุณ : พ่อแม่ของใคร ชาติไหนก็รัก (Detente) - [ 25 ก.พ. 51 16:54:55 ]

ความคิดเห็นที่ 7 สามีเรามีการมีงานทำแล้ว แต่พ่อแม่ก็ยังให้เงินใช้อยู่ บ้าง กลับบ้านทีไรพ่อแม่ให้ตังค์สามีทุกที  พ่อสามีซื้อรถยนต์ให้ ทีนี้ก็ยังต้องซื้อบ้านให้อีก งง มากๆ แล้วที่นี่คนที่อยู่บ้านพักคนชราได้ต้องรวย บางที ถึงกับต้องขายบ้านเพื่อมาอยู่บ้านพักคนชราเลยก็มี ถามสามีว่าทำไม ต้องเอาเงินกับพ่อแม่ ( หน้าเกลียด เพราะเราเรียนจบมัธยมแล้วต่อ วิทยาลัยเราก็หาเงินเรียนเอง      แทบไม่ได้ ใช้เงินพ่อแม่เลย จนปัจจุบันนี้ ) สามีบอกว่า พ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงดูลูก อย่างเดียว จากคุณ : My life in Japan. - [ 25 ก.พ. 51 16:59:32 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ต้องไปทำ nursing home แล้วจะเห็นภาพคนแก่ที่ไม่สบาย รอใกล้ตาย แล้วมีคนไปดูแล ลูกหลานจะมาเยี่ยมกันแบบนาน ๆ ที มีคนรู้จักทำอยู่ ตอนแรก ๆ ร้องไห้ทุกวันตอนหลังเริ่มชิน เพราะได้ตังเยอะ คนดูแลบอกว่าจะมีลูกหลานมาเยี่ยมบางคนปีละครั้ง เดือนละครั้ง บางคนมาบ้างไม่มาบ้าง (ไม่ต้องจ่ายตัง รัฐจ่ายให้ เอาภาษีที่จ่ายเยอะ ๆ ตอนทำงาน) คนที่มาดูแลส่วนใหญ่เป็นคนอินเดีย ฟิลิปปินส์ เขาบอกว่า ที่ดูแลคนแก่ดีที่สุด และคนต่างชาติชอบคือคนไทย เพราะหายากที่ไปตี ด่าเขา งานนี้ได้เงินเยอะ แต่เราจะได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง อยากบอกพ่อแม่คน ไทยที่ยังเรียกร้องให้ลูกหลานกตัญญูแบบไม่ลืมหูลืมตาเห็นภาพแบบนี้บ้าง บางครั้งเห็นคนแก่ข้างบ้าน ชวนไปงานคริสต์มาสแล้วค่อนข้างหดหู่ ในบ้านมี คน 5 คน ก็หย่าไป 4 คน ลูกหลานมาเยี่ยมเหมือนกัน ปีละ 2 ครั้ง พูดไม่ถูกเหมือนกัน ไม่เข้าใจเหมือนกันบางทีเห็นอยู่บ้านเดียวกัน แต่จ่าย ค่าเช่าบ้าน แบ่งจ่ายค่าอาหาร ลูกจะทำอะไรก็ทำ พ่อแม่จะทำอะไรก็ทำ บางคนลูกจะไปแต่งงานตั้งแต่เด็ก เรียนอะไรไม่รู้ จะไปทำงานแบบไม่เรียน ต่อก็ปล่อยไป ไม่เข้าใจเหมือน ไม่รู้เค้าวางอนาคตกันยังไง พูดไม่ถูก หดหู่ เวลาไปเที่ยวบ้านเพื่อนหลาย ๆ คนเห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่า เราจะมีเงิน มีบ้านไปเพื่ออะไร (แต่ก็ไม่ได้อยากมีครอบครัวใหญ่แบบจีนที่ ค่อนข้างวุ่นวาย ล้งเล้ง) เอาเป็นว่ากระทู้นี้ ผมมองไม่เหมือนคนอื่นแล้วกัน ต่อให้จ้างพยาบาลมาก็ ต้องเอาพยาบาลมาดูที่บ้าน ต้องเลือกคนมีเกรด สถานที่ที่จ่ายแพงหน่อย เราก็ต้องยอม จากคุณ : ฟ้าลั่น - [ 25 ก.พ. 51 17:50:21 A:58.181.152.146 X: TicketID:091427 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มาเล่าเรื่องให้ฟัง อีกแง่ของเนอสเซอริ่งโฮมเเล้วกัน บางคนไม่ใช่ลูกหลานไม่ใส่ใจนะ มันไม่ให้ออกมาอยู่บ้าน มันรู้ว่ามีเงินมันพยายามยื้อทุกทางที่จะทำให้ไม่สามารถออกจากบ้านพักได้ เจอกับครอบครัวตัวเอง ปู่ของสามี 88 หกล้ม ขาหัก พอผ่าตัดเสร็จ ต้องไปอยู่เนอสเซอรี่ เพราะที่บ้านมีแต่ย่าวัยเดียวกัน และคนดูแล แต่เขาไปเช้าเย็นกลับ ตอนเเรกก็ดีอยู่ ทำกายภาพบำบัดไป พอครบสามเดือน ปู่อยากจะออกแล้ว เพราะมันเดือนละ เก้าพันกว่า ประกันที่มีไม่ได้ทำแบบครอบคลุมเนอส เจ้าหน้าที่บอกออกไปไม่ได้ นอกจากจะมีพยาบาลมาดูแล ทางย่าก็จะไปจ้างมา ปรากฎมันบอกว่า ต้องเป็นพยาบาลที่มีทะเบียน อยู่ตลอด ยี่สิบสี่ชั่วโมง วันละ พันห้า มันถึงจะให้ออก ต้องโทรเรียกทนายเลย ผลสุดท้าย ปู่ยังไม่ได้ออกจากบ้านพักนั่น เพราะขาต่อไม่ติด ปู่อยากกลับบ้านมาก โทรมาร้องไห้ ให้ย่าไป รับ ปู่อยู่ที่นั่นเก้าเดือน สุดท้าย ย่ากับลูกชายไปเยี่ยมทุกอาทิตย์  แต่ก็ตายเพราะติดเชื้อ เนื่องจากทางบ้านพักไปเอาตัวมาจากโรงพยาบาล ก่อนกำหนด ย่ากำลังจะฟ้องบ้านพัก สองคนนี้แต่งงานกันมา หกสิบเจ็ดปี แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 51 18:10:56 จากคุณ : mrs.night owl - [ 25 ก.พ. 51 18:09:53 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เขาไม่มานั่งส่งเงินกันทุกเดือนๆ เหมือนคนไทย ลูกโต มีครอบครัวก็ไปมีครอบครัวของตัวเอง ไม่ได้มาอยู่กับพ่อแม่ ต่างคนก็ต่างรับผิดชอบชีวิตของตัวเองไป เห็นด้วยกับประโยคนี้ มาจากคคหที่2 จากคุณ : Parissara - [ 25 ก.พ. 51 18:41:10 ]

ความคิดเห็นที่ 11 อยู่ที่อเมริกาค่ะ ขอยกตัวอย่างเท่าที่เห็นนะคะ แฟนมีพี่น้องหลายคน ครอบครัวสามี แม่ของสามีป่วยเป็นอัมพาตหนึ่งข้าง คุณพ่อดูแลคุณแม่มาตลอดจนท่านเสีย ท่านมีเงินพอที่จะส่งแม่ไปเนอสเซอรี่โฮมได้ แต่คุณแม่ไม่อยากไป ท่านก็ดูแลคุณแม่ที่บ้าน จ้างคนมาช่วยตอนกลางวัน พอคุณพ่อเสีย ลูกชายคนหนึ่งลาออกจากงานมาดูแลแม่ เพราะทราบว่าแม่อยากอยู่บ้าน ลูกชายอีกสองคนก็เลยรวมเงินกันกับพี่คนนี้เป็นสามหุ้น ลงทุนทำฟาร์มวัวให้พี่คนนี้ทำ เพื่อพี่คนนี้จะได้ไม่เหงา พี่เขาเป็นโสด ตอนนี้ก็ยังไม่ได้แต่งงาน ก่อนคุณแม่เสีย บ้านเราอยู่ฝั่งตรงข้ามกับแม่ แฟนเราจะสลับกับพี่คนนี้ เตรียมอาหารเช้ากับเย็นให้แม่ กลางวันแม่ชอบทำแซนวืสทานเอง ตอนเย็นผลัดกันอาบน้ำหวีผมให้แม่ ถ้าพี่น้องคนอื่นที่อยู่ไกลมาเยี่ยมก็จะทำหน้าที่นี้แทน บางทีก็ขับรถพาแม่ไปเที่ยว บ้านแม่อยู่ไกลจากบ้านพี่น้องมาก นานๆครั้งเราก็ขับรถพาแม่ไปเยี่ยมญาติๆ ตอนนี้แม่เสียแล้ว นี่เป็นตัวอย่างที่เราได้สัมผัสโดยตรงค่ะ ส่วนคนที่เรารู้จัก ก็มีหลากหลายกันไป ตามความจำเป็น และปัจจัยอีกหลายอย่าง จากคุณ : wheel of forture - [ 25 ก.พ. 51 19:38:57 A:76.16.195.23 X: TicketID:048459 ]

ความคิดเห็นที่ 12 สามีอิฉันจ่ายค่า Nursing home สำหรับดูแลแม่ปีละ 96000 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 3 ล้านบาทไทย อยู่ห้องพิเศษ มีพยาบาลตลอด อยู่มา 4 ปีแล้ว ทุกวันนี้ลูกต้องหาเงินตัวเป็นเกลียวเพื่อตอบแทนพระคุณแม่ ไปเยี่ยมแค่อาทิตย์ละครั้ง ทั้งๆที่แม่ไม่รู้สึกตัว นอนเป็นเจ้าหญิงนิทรา เราเคยนึกในใจ นี่ถ้าคุณแม่อายุ 94 ปีคนนี้ ย้ายมาอยู่เมืองไทย อาจถูกส่งเข้าสถานสงเคราะห์ แค่ 3 เดือนเท่านั้นแหละ มีหวังม่องเท่งชัวร์ เออ..คิดไปได้นะเรา จากคุณ : jeejeeberry - [ 25 ก.พ. 51 19:42:16 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ความกตัญญูกับความเจริญของประเทศนี่ไม่เกี่ยวกันเลยนะ จากคุณ : yuy - [ 25 ก.พ. 51 19:52:17 A:124.121.17.118 X: TicketID:124751 ]

ความคิดเห็นที่ 14 พอเข้าใจแล้วครับ มีวิธีการเลี้ยงดูต่างกันนี่เอง ขอบคุณทุกคนนะครับ ^^ ยังอยากอ่านความเห็นจากอีกหลายๆท่านนะครับ จากคุณ : ceobank - [ 25 ก.พ. 51 20:06:23 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อ่าน คห. ข้างบนแล้ว ...ต้องขอบคุณ จขกท. ที่เปิดประเด็นกระทู้นี้ขึ้นมา ...คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องความกตัญญูต่อพ่อแม่ของสังคมไทยมากกว่านะ ทำไมพ่อแม่ของสังคมไทย ...ไม่คิดเหมือนฝรั่งบ้างว่า การเลี้ยงดูลูกเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของตนเอง บางคนอาศัยคำว่า "พ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูก" อย่างเดียวเลย ...ให้ลูกเกิดมาแล้วไม่ต้องลงมือลงแรงเลี้ยงเอง (โยนภาระไปให้ปู่ย่าตายายหรือคนอื่นเลี้ยง)...พอลูกโตทำมาหากินได้ ก็สามารถอ้างตรงจุดนี้กับลูก อาศัยแกมบังคับลูกไปได้ตลอดชีวิตแล้ว ...ถ้าลูกขึ้นเสียงถกเถียง ก็เที่ยวเอาไปโพทนาให้ชาวบ้านรับรู้ แล้วยังสามารถอ้างเหตุเนรคุณตอนขึ้นศาลได้อีกต่างหาก (เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในสังคมไทยหลายๆครอบครัว) จริงๆแล้ว ...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า การที่สังคมไทยหันมาเน้นค่านิยมเรื่องความกตัญญูต่อบุพการี ...เพียงเพื่อให้ลูกหลานมาช่วยรับภาระเลี้ยง แทนภาครัฐในการจัดให้มีสวัสดิการแก่คนชราเท่านั้นหรือ????? เพราะดูจาก คห. ต่างๆ ...จะเห็นได้ว่าสังคมตะวันตกที่ไม่มีค่านิยมอันนี้ ...ลูกๆหลายครอบครัว เขาก็มีจิตสำนึกที่จะคิดถึง และเอาใจใส่ดูแลพ่อแม่ของตนเองได้ดีเหมือนกัน ซึ่งก็เป็นไปในรูปแบบของเขา ...ไม่ใช่ต้องอยู่จนตัวติดกัน อยู่ในบริเวณบ้านเดียวกัน หายไปทางไหนไม่ได้ ถึงจะเรียกว่า ...สุดยอดลูกกตัญญูในแบบของสังคมเรา จากคุณ : แวะมาแลกเปลี่ยน - [ 25 ก.พ. 51 20:35:45 A:58.9.13.157 X: TicketID:167542 ]

ความคิดเห็นที่ 16 โทษนะคะ พี่อิสวาสุ มีลูกละ หรอ .. ติด ตาม ผล งาน พี่เค้ามานาน จากคุณ : henke_ai - [ 25 ก.พ. 51 20:42:38 ]

ความคิดเห็นที่ 17 พ่อแม่เค้า ไม่ต้องการให้ลูกมาเลี้ยงต่างหาก เห็นบางทีลูกก็ ส่งเงิน หรือ ช่วยเหลือ ซ่อมแซมบ้าน ซื้อเครื่องใช้ ที่จำเป็น ทำอาหารทานกัน นัดไปกินข้าวกันข้างนอก หรือ นัดมากินข้าวที่บ้าน พาไปหาหมอ ปกตินะ  เหมือนคนไทย เพียงแต่ว่า ไม่ได้พักด้วยกัน หรือ บางคนก็ยังพักด้วยกันอยู่ จากคุณ : Adore - [ 25 ก.พ. 51 20:58:36 ]

ความคิดเห็นที่ 18 สามีฝรั่งของดิฉันนั้นไม่เคยเลี้ยงพ่อแม่ เพราะพ่อแม่เค้าไม่ยอมให้เลี้ยง ! ก็ไม่รู้จะทำยังไงได้นะ มันเป็นความต้องการของเขาแบบนั้น สมัยแต่งงานใหม่ๆมีหลายๆครั้งที่ไปทานอาหารด้วยกัน ด้วยความที่เราก็ต้องการจะเลี้ยงพ่อแม่เค้าบ้าง ดิฉันถึงขั้นส่งเมสเสสบอกสามีให้จ่ายค่าอาหารมื้อนี้ให้พ่อ..ทั้งๆที่ก็นั่งโต๊ะเดียวกันนี่แหละ ก็แอบๆส่ง... สามีเราก็โอเค...เพราะรู้ว่าเราชอบทรีทพ่อแม่ตัวเอง และพ่อแม่เค้า แต่พอถึงเวลาจ่ายจริงๆ...พ่อสามีพูดกับเราแปลเป็นไทยว่า '' กรุณาอย่าอวดฉลาด....เค้าไม่ต้องการให้ลูกหลานมาจ่ายค่าอาหารหรือจ่ายค่าอะไรๆให้ '' เซ่อไปเลยมั๊ยล่ะ..... ตั้งแต่นั้นมาถ้าไม่ใช่เทศกาลสำคัญ เรา2คนจะไม่กล้าแหยมทำเป็นกตัญญูแบบไม่รู้ทิศทางลมอีกเลย โดยเฉพาะสามีดิฉันนั้นจะรู้ดีว่าพ่อแม่เค้าเป็นคนอย่างไร การที่เราเสนอตัวทำอะไรให้ เพราะคิดว่าท่านจะปลื้ม ก็อาจจะไม่ใช่ เพราะแม้แต่เทศกาลสำคัญอย่างคริสต์มาส....หากเราซื้อของอะไรให้พ่อแม่สามี...พ่อของสามีก็จะให้เช๊คเงินสดกลับมา และบวกค่าของที่เราซื้อให้ท่านอีกต่างหาก ทั้งๆที่เราไม่ได้ต้องการเงินคืนเลย ยัง...ยังไม่เข็ด เวลาไปเยี่ยมที่บ้านอีก.... อย่าได้ทำเป็นอาสาจะทำอะไรให้เด็ดขาด...เพราะฝรั่งเค้าถือว่าเป็นการดูถูกความสามารถของผู้สูงอายุนะ ดิฉันนี่จะโดนสามีดุเป็นประจำว่า....อย่าทำท่ากุลีกุจอไปช่วยพ่อแม่เค้าทำอะไร....เพราะนั่นเป็นสัญญาณการบอกว่าท่านน่ะ แก่ ! ถือเป็นการผิดมารยาทมาก...เออ เอากะเค้าสิ่ เพราะฝรั่งยิ่งอายุมาก ยิ่งอยากแสดงให้ลูกหลานเห็นว่าท่านยังแข็งแรงดีอยู่ ไม่ใช่อะไรๆ ก็ไปแย่งมาทำหมด แบบนี้ฝรั่งไม่ปลื้มค่ะ ดังนั้น...กรุณาอย่าบอกว่าฝรั่งไม่รู้จักคำว่ากตัญญู แต่เพราะวิถีชีวิตของฝรั่งและคนเอเชียนนั้น....แตกต่างกันมากค่ะ ความกตัญญูนั้นไม่จำเป็นต้องแสดงออกถึงความเอาใจใส่ท่านอย่างล้นเหลือ ความกตัญญูนั้นอาจจะเป็นอะไรก็ได้ที่ทำให้ท่านพอใจและมีความสุข และคุณพ่อคุณแม่สามีดิฉันท่านมีความสุขที่ได้เป็นผู้ให้แก่ลูกมากกว่าที่จะเป็นฝ่ายรับค่ะ เพราะครอบครัวฝรั่งของสามีดิฉัน....ไม่ได้ต้องการความกตัญญูในรูปแบบที่เราคนไทยต้องการจะมอบให้คุณพ่อคุณแม่ของเราๆท่านๆ และแม้แต่ครอบครัวดิฉันเอง คุณพ่อคุณแม่ดิฉันยังไม่ยอมให้ดิฉันและสามีมาเลี้ยงดูอะไรเลย เพราะท่านถือว่าท่านเลี้ยงตัวเองได้ และท่านภูมิใจที่ลูกสามารถเลี้ยงตัวเองได้เช่นกัน ไม่ใช่เอะอะอะไรก็มาขอเงินพ่อแม่ใช้แบบนี้คุณพ่อคุณแม่ดิฉันก็ไม่ปลื้มเหมือนกัน แต่ละครอบครัวอาจจะมีการแสดงออกต่างกันไป แต่นี่คืออีก รูปแบบหนึ่งจากครอบครัวฝรั่งอย่างเราค่ะ หากครอบครัวไหนคุณพ่อคุณแม่ฝรั่งเป็นแบบครอบครัวดิฉันละก็ รับรองได้ว่า จะเข้าใจได้ไม่ยากค่ะ แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 51 21:21:37 จากคุณ : กุศโลบายจากความจริง - [ 25 ก.พ. 51 21:03:43 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เคยไม่เข้าใจเหมือนคุณจขกท.ค่ะ แต่เดี๋ยวนี้พอเข้าใจแล้ว ฝรั่งเค้าอยู่แบบรับผิดชอบตัวเอง อีกอย่างคุณภาพชีวิตแตกต่างกับบ้านเราด้วย ที่บ้านเขาตกงานก็มีเงินรัฐกินแก่ตัวลงก็มีเงินบำนาญเลี้ยง เค้าอยู่เองได้เพราะมีปัจจัยเอื้ออำนวยซะขนาดนั้น  ส่วนบ้านเรามีอะไรรัฐบาลสนใจเรื่องนี้ไหม ในเมื่อพึ่งพาภาครัฐไม่ได้พ่อแม่ก็เลยพยายามปลูกฝังให้ลูกทดแทนบุญคุณยามแก่เฒ่าไงคะ จากคุณ : น้องหมาบีเกิ้ล - [ 25 ก.พ. 51 21:42:36 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ที่บ้านพักคนชราน่าอยู่นะ   เราเองก็เคยไปบ่อยๆ  แฟนทำงานที่นั่น     คนชรามีห้องส่วนตัว    มีคนดูแล   มีหมอ  มีพยาบาล เป็นคนรับใช้   และก็มีเพื่อนในวัยเดียวกัน  พูดคุยแลกเปลี่ยน     เวลากินข้าวก็กินพร้อมๆกัน เสร็จแล้วก็ดูทีวีด้วยกัน   ออกกำลังกายด้วยกัน     เราว่ามีความสุขดีออกนะ     แก่แล้ว  ถ้าอยู่บ้านตัวเอง  จะหาใครที่ไหนมาดูแล  ลูกๆหลานๆ ก็ต้องทำงาน หาเลี้ยงปากท้องตัวเอง        คนชรา หลายคน  ถ้าคู่ชีวิต  จากไปแล้ว  เค้าเลือกที่จะมาอยู่ที่สถานรับดูแลคนชรา    เพราะจะได้ไม่เหงา        สถาน เหล่านี้   มีหลาย ระดับด้วยนะ    ขึ้นอยู่กับว่า  เงินมากแค่ไหน   หรือ ภาษีจ่ายเท่าไร       คนเมืองนอก    มีบ้านเป็นของตัวเอง   จะไปหาปูหาปลา  กินแบบในน้ำมีปลา ในนามีข้าวไม่ได้  หรอกนะ    ไหนต้องจ่ายค่าประกันภัยบ้าน  ภาษีบ้าน ค่าน้ำ  ค่าไฟ     ไม่ได้สบายเหมือนๆบ้านเราเลย         คนชรา  ที่บ้านพักคนชรา  ก็คล้ายๆ กับเด็กๆที่บ้านเมตตา  คือต้องการคนดูแล        เราเองไม่ชอบบ้านคนชราเลย    เพราะที่แฟนเราทำงานอยู่   คนชราหลายๆคน เอาแต่ใจตัวเอง    ญาติคนชรา  ชอบมาสั่งหมอ      บางทีจะฉีดยาให้   หาว่าใส่ถุงมือทำไม ไม่ทันใจ  ไม่ต้องใส่ถุงมือดีกว่าจะได้เร็ว     ไม่คิดเลยเนอะ   ว่าเค้ามีครอบครัว  ที่ต้องการความปลอดภัยเหมือนกัน     หมอบางคน     อ่านแค่ใบรายงานโรคคนชรา  ไม่เคยตรวจจริงๆ   คนชราบางคน   หกล้มมาสามปีที่แล้ว    จนปีนี้  กระดูกแข็งแรง  หมอบางคนก็ยังก็อปปี้ ใบสั่งยาตัวเดิมให้อีก     งง แทน      ฝรั่ง  ไทย  จีน แขก  หรือชาติไหนๆ   ต่างก็มีจิตใจรักพ่อแม่ เผ่าพันธุ์ ของตัวเองทั้งนั้นค่ะ   แต่ว่าการแสดงออกมานั้น   มาในแบบไม่เหมือนกัน     มากน้อยต่างกัน      ยืนยันค่ะ  การที่คนชรา  อยู่บ้านพักคนชรานั้น  ก็คล้ายๆกับนักเรียน อยู่โรงเรียนประจำนั่นแหละ    ต้องการคนมาเยี่ยมเป็นครั้งคราว    อยู่สนุกๆ เล่นกับเพื่อนๆ สบายใจกว่า จากคุณ : violetsand - [ 25 ก.พ. 51 22:15:48 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อ่านจากกระืทู้ที่ตั้งนะคะ เรื่องความกตัญญูของที่นี่ ดิฉันคิดว่ามีน้อยกว่าที่เมืองไทยค่ะ เพราะว่าที่นี เึค้าไม่ได้สอนเรื่องความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณเหมือนที่บ้านเรา บ้านเราตั้งแต่เล็กเข้าโีีรงเรียน ก็สอนเรื่องความกตัญญููแล้ว มันจึงฝังใจเรามาตั้งแต่เด็กว่า ต้องกตัญญูนะ ต้องเลี้ยงและดูแลบุพการียามแก่นะ   แต่ที่นี่เึค้าไม่ได้สอนเรื่องความกตัญญู เพราะฉะนั้น เค้าไม่ได้นึกถึงมันด้วยซ้ำ แต่ว่าเค้าทำตามหน้าที่ และบทบาทที่สังคมกำหนด เค้าเกิดมามีหน้าที่รับผิดชอบตัวเองให้ได้ก่อน คนที่รับผิดชอบตัวเองไม่ได้ จึงเป็นที่ไม่น่าสรรเสริญ เค้าไม่มีความกตัญญูกตเวทิตา เพราะเค้าไม่ได้เรียนรู้มัน เราเองก็ไม่มีความสามารถรับผิดชอบต่อตัวเองจนแก่ได้ เพราะเราก็ไม่ได้เรียนรู้มันเช่นกัน จากคุณ : thaispicy - [ 25 ก.พ. 51 23:47:18 ]

ความคิดเห็นที่ 22 กลับมาอ่านอีกครั้ง ฮ่า ฮ่า เพิ่งสังเกตชื่อจขกท น้องแบงก์นี่เอง อิอิ อย่างที่บอกว่าเคยไปฝึกงานที่บ้านพักคนชราตอนเรียน แต่ละที่จะมีกฏต่างๆกันไป เค้าห้ามด่า ห้ามตีคนชรา ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่ควรจะไปด่าไปตีเค้าอยู่แล้ว คนสูงอายุนิสัยจะคล้ายเด็ก เอาแต่ใจตัวเองบ้าง เรียกร้องความสนใจบ้าง เคยป้อนข้าวให้คนอัลไซเมอร์คนนึง ป้อนไม่ทันใจเค้าหรือยังไงเค้าตะโกนด่า f u ดังลั่นห้องอาหาร คนหันมามองกันหมด ไอ้เราก็เหวอเลย ช้านทำอะไรผิดไปว้า คนที่นู้นเค้าเลยบอกเป็นเรื่องประจำแหละ คนนี้เค้าเป็นอย่างนี้เลยโดนดุไปบอกพูดหยาบไม่ได้น้า เล่าให้ฟังขำๆค่า บางคนก็แบบจับมือเราไม่ยอมให้เราไป เราก็อยากอยู่แต่ก็อยู่ไม่ได้เพราะต้องไปดูแลคนอื่นต่อ อยู่กับพวกคนสูงอายุแล้วก็สนุกเหมือนกันนะคะ น่ารักดี มีอะไรขำๆอยู่เรื่อย จากคุณ : OtteR - [ 26 ก.พ. 51 00:21:29 ]

ความคิดเห็นที่ 23 IMHO, I think good ฝรั่ง do have ความกตัญญู. However, they may express their ความกตัญญู  differently from how Thais do. For example, ฝรั่ง and their parents usually live separately. In Thai society, we don't usually move out of our house, especially if we're still single. ฝรั่ง may go months without seeing their parents in person when Thais will be reprimanded if they don't visit theirs "often". But there's one thing I like about ฝรั่ง. In a sense that they tend to take financial reponsibility into their own hands. Meaning, the parents don't hoarding money for their children. And the children don't need to support their parents financially. Our legacy shouldn't depend on the amount of money we leave behind for our children. If we believed in this, I'm sure we'd have a lot less corruptions. I like it when I come across a person who says something like "oh, that is not my car. It's my dad's car." When many Thais tend to think that they automatically own what belongs to their parents (what's theirs is mine!) even when their parents're still alive and they haven't inherited anything yet. Isn't that why we have some rich d-mbasses asking people "Do you know who's my father is?" everywhere they go? :) แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 51 01:35:03 จากคุณ : Genuine XXX - [ 26 ก.พ. 51 00:44:05 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณจะเอาวัฒนธรรมไทยไปเป็นบรรทัดฐานตัดสินคนประเทศอื่น ๆ ไม่ได้ค่ะ  วัฒนธรรมไทย เช่นการตอบแทนคุณพ่อแม่ผู้ใหญ่ที่เลี้ยงเรามา อาจเหมาะกับสภาพสังคมของไทยในประเทศไทย  แต่ประเทศอื่นเค้าก็มีวัฒนธรรมของเค้าที่เหมาะกับสภาพคน และสังคมที่เค้าอยู่  ระบบ Social Welfare ในประเทศที่เจริญแล้วนี่ก็มีส่วนดีนะคะ  เช่น พ่อแม่ไม่ต้องมานั่งหวังว่า ลูกชั้นจะดูแลชั้นตอนแก่มั้ย  ถ้าไม่ได้แต่งงานและไม่มีลูกและไม่มีญาติสนิท คงแย่เลย  ฝรั่งเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กว่า  ถ้ายังขอเงินพ่อแม่ต่อไป ก็ไม่มีอิสระเป็นของตัวเองสักที  เพราะเมื่อพ่อแม่ให้เงินมา ก็ย่อมมีสิทธิที่จะบงการชีวิตของพวกเค้าได้อยู่  ดังนั้น ฝรั่งจึงหาทางที่จะเป็นอิสระทางการเงินจากพ่อแม่ให้ได้เร็วที่สุด ฝรั่งเค้าก็ไม่ได้ทิ้งพ่อแม่โดยไม่ดูแลเสมอไปหรอกค่ะ  อย่างแฟนเรา ก็โทร.คุยกับที่บ้านเค้าบ่อย ๆ เพราะอยู่คนละเมือง  และยังไปมาหาสู่กับที่บ้านเค้าอยู่เสมอ ๆ และแฟนเราก็ยังดูแลคุณป้าเค้าที่อายุ 90 กว่าที่อยู่ในเมืองนี้ค่ะ  ไปซื้อของให้คุณป้าทุกอาทิตย์  เวลาคุณป้าต้องการความช่วยเหลือเค้าก็จะไปช่วยในทันที  เหมือนคนไทยเลย  แต่คนแก่ที่เยอรมันนี่หนังเหนียวค่ะ  80 กว่ายังขับรถได้  90 กว่ายังเข้าครัวทำอาหารได้  แบบว่า ไม่น่าเชื่อเลย จากคุณ : Sonnenschein - [ 26 ก.พ. 51 01:18:13 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เราชอบแบบไทยๆ ค่ะ จะมาคิดว่าพ่อแม่คนไทยเรียกร้องให้ลูกต้องมารับผิดชอบยามแก่เฒ่า เราว่าใจแคบไปหน่อยนะ การปลูกฝังให้ดูแลพ่อแม่ยามชรามันน่ารักออกค่ะ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าพอเราเป็นคุณตาคุณยายแล้ว เราอยากดูแลตัวเอง ไม่อยากให้ลูกหลานลำบาก นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวกัน ปลูกฝังสำนึกความอ่อนโยนไว้ด้วยฐานคตินี้ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนนี่คะ Nursing Home ที่อเมริกาน่าเศร้าออกค่ะ มีประเด็นปัญหามากมายให้ทำวิจัย อย่าคิดแต่ว่าความคิดของฝรั่งดี ระบบของฝรั่งดี ถ้าศึกษาระบบประกันสุขภาพ หรือสวัสดิการด้านสุขภาพของรัฐแล้ว จะรู้ค่ะ ว่าที่ไหนก็มีปัญหาเหมือนกันหมดนั่นแหละ เรารู้นะคะว่าคนแก่ที่นี่ ถ้ามีฐานะดี แข็งแรง มีกำลังใจดี เค้าจะพอใจที่จะไปอยู่รวมกับคนแก่อื่นๆ มากกว่า แต่มันก็มีคนแก่ที่ถูกทอดทิ้งอยู่จริงเหมือนกัน วันนั้นเพิ่งคุยกับอาจารย์ อาจารย์บอกว่า คนแก่ที่นี่ไม่เหมือนประเทศ ของคุณหรอกนะ ประเทศคุณน่ะ อบอุ่น มีลูกหลานดูแล การทอดทิ้ง สมาชิกในครอบครัวในสายตาคนประเทศคุณมันเป็นสิ่งที่น่าละอาย แต่ที่นี่ คนแก่บางคนโดนเอาไปทิ้งที่ nursing home จนตายยังไม่มี ลูกหลานมาเยี่ยมเลย พยาบาลก็ดุ ไม่ใส่ใจ มีให้เห็นเยอะไป ปัญหานี้แหละที่แก้ไม่ได้ เพราะคนที่นี่ไม่ได้ถูกปลูกฝังให้ดูแลบุพการี สงสัยอยู่อย่างว่า แล้วสมัยก่อน ที่ประเทศที่เรียกตัวเองว่าพัฒนาแล้ว ยังไม่มี Nursing Home หรือ ที่พักสำหรับผู้สูงอายุ เค้าทำยังไงกันคะ อ่านหนังสือนิทานเด็กสมัยก่อน หลานๆ ก็โตมากับคุณยายทั้งนั้น แถมยังมีงานวิจัยที่บอกด้วยว่า เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่มีคนแก่ จะเป็นคนจิตใจอ่อนโยน เราว่าประเทศอื่นจะคิดอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับฐานคติของประเทศนั้น มันเป็นเรื่องการปลูกฝัง ไม่มีผิด ไม่มีถูก เพราะบริบททางสังคม และวัฒนธรรมมันต่างกัน และขอสนับสนุนให้คนไทยได้ดูแล สมาชิกสูงอายุในครอบครัวของตัวเองอย่างอบอุ่นในรูปแบบเดิม ต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ จากคุณ : -__- - [ 26 ก.พ. 51 02:22:05 A:24.175.203.191 X: TicketID:067782 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ที่ UK หลังจากเกษียรก็ได้รับเงิน state pension(เงินสงเคราะห์) ทุกอาืทิตย์ เล็กน้อยจากรัฐบาล ถ้าคนที่มีเงิน pension สะสมเป็นของตัวเองมาตั้งแต่ตอนเริ่มทำงาน จนถึงเกษียร ก็จะมีเงินมากพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ไปจนตาย บางคนมีเงินมากก็สามารถไปเที่ยวต่างประเทศได้ทุกปี  เพราะฉนั้นลูกหลานจึงไม่จำเป็นต้องให้เงินพ่อแม่ใช้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกไม่รัก แต่ละครอบครัวก็จะมีวิธีปฏิบัติต่อพ่อแม่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสถานะ หน้าที่การงาน และที่พักอาศัยเป็นต้น ขอยกตัวอย่างครอบครัวของสามีเรา เค้าจะโทรคุยกับพ่อแม่ของเค้าทุกอาทิตย์ และเวลาเจอกัน พาพ่อแม่ออกไปทานอาหารนอกบ้านบ้าง พ่อแม่จะไม่ยอมให้ลูกจ่าย เค้าชอบออกเงินค่าอาหารเอง และบอกว่าอยากเลี้ยงอาหารพวกเรา เวลานอกเหนือไปจากนั้น พ่อแม่ของสามีก็จะออกไปพบปะเพื่อนฝูง หรือนัดกันออกไปดื่มกาแฟ หรือแม้กระทั่งนัดกันไปเที่ยวต่างประเทศตามประสาคนแก่ แม่ของสามีเราเพิ่งกลับมาจากไปเที่ยวสวิสฯกับเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับเค้า แม่สามีเราอายุ 69 ส่วนเพื่อนๆนี่ได้ข่าวว่า 70 ขึ้น เรานัดทานข้าวกับแม่สามีทุกวันศุกร์ ท่านทำเลี้ยงตลอด และไม่ยอมให้เราล้างจานด้วย บอกว่าเป็นวันหยุดของเรา ให้เราทำตัวให้สบาย นั่นเป็นความต้องการของท่านเอง สรุปแล้วเราก็เห็นครอบครัวของฝรั่งรอบข้างรักและกตัญญูต่อพ่อแม่ดี จากคุณ : Heriot-Watt - [ 26 ก.พ. 51 02:59:00 ]

ความคิดเห็นที่ 27 "จะมาคิดว่าพ่อแม่คนไทยเรียกร้องให้ลูกต้องมารับผิดชอบยามแก่เฒ่า เราว่าใจแคบไปหน่อยนะ การปลูกฝังให้ดูแลพ่อแม่ยามชรามันน่ารักออกค่ะ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าพอเราเป็นคุณตาคุณยายแล้ว เราอยากดูแลตัวเอง ไม่อยากให้ลูกหลานลำบาก นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวกัน ปลูกฝังสำนึกความอ่อนโยนไว้ด้วยฐานคตินี้ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนนี่คะ" เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ คคหที่ 25 จากคุณ : Mocha - [ 26 ก.พ. 51 07:53:53 A:70.190.28.227 X: TicketID:167578 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เท่าที่อ่านมาขอตบมือให้อีกคน สำหรับ 5 คห.แรก ท่านอื่นๆ ที่ตามมาก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง มีแค่ คห.21 ที่ดิฉันไม่เห็นด้วย สุดขั้วไปหน่อย ต่างชาติที่กตัญญูเป็นก็มี คนไทยที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง และมีความสามารถรับผิดชอบต่อตัวเองจนแก่ได้ ก็มีถมไป จากคุณ : นานา - [ 26 ก.พ. 51 10:47:59 A:58.10.77.121 X: TicketID:164436 ]

ความคิดเห็นที่ 29 K. นานา #28 : ที่คุณไม่เห็นด้วยกับดิฉัน ก็โอเคค่ะ ดิฉันยกตัวอย่างให้เห็นสุดขั้ว เพราะจะได้เห็นความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ว่า 2 วัฒนธรรมปลูกฝังมาต่างกัน อย่างไรดิฉันก็ชอบการปฏิบัติแบบไทยมากกว่า แต่ก็ไม่ได้รังเกียจแบบที่ฝรั่งปฏิบัติ จากคุณ : thaispicy - [ 26 ก.พ. 51 14:04:02 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ไม่ไช่ว่าเค้าจะทิ้งไม่ใส่ใจเลยทีเดียวแล้วแต่คน แต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าเค้าจะไม่ส่งเงินให้พ่อแม่แต่พวกเค้าก็จะแวะไปเยี่ยมพ่อแม่ที่แก่ชราบ่อยๆเท่าที่จะทำได้ หรือไม่ก็โทรไปทุกวัน บางคนก็ย้ายบ้านมาอยู่ใกล้ๆพ่อแม่ หรือไม่ก็ย้ายพ่อแม่มาอยู่ใกล้ๆแล้วแต่สะดวก ไม่ให้โกลหูโกลตานัก หรือบางคนก็ย้ายเข้าไปอยู่ด้วยเลยซึ่งมีอยู่ไม่น้อยในปัจุบันนี้       สาเหตก็มาจากเรื่องเงินๆทองๆ คือถ้าหากคนชราที่มีบ้านของตนเอง แต่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ที่ต้องย้ายไปอยู่บ้านคนชรา บ้านนั้นก็ต้องขายเพื่อนำเงินมาจ่ายค่าบ้านพักคนชรา ถ้าใครอยากได่สมบัติของพ่อแม่ก็ต้องดูแลพ่อแม่ของตัวเอง มิฉะนั้นบ้านและทรัพย์สินจะต้องถูกขายเพื่อที่จะจ่ายค่า แคร์โฮม     ถ้าความกตัญญูหมายถึงใส่ใจ คอยห่วงใยผู้สูงอายุ เค้ามีเหมือนเราค่ะวิธีการแสดงออกอาจต่างกันเท่านั้นเอง แต่ถ้าจะหมายถึงต้องอยู่บ้านเดียวกัน ต้องให้เงินทุกเดือน เค้าไม่มีแบบนี้หรอก แต่จะเป็นแนวว่าไปซื้ออาหารให้อาทิตย์ละครั้ง มาทำความสะอาดบ้านให้ มาขับรถให้เวลาที่พ่อแม่มีธุระต้องออกไปข้างนอก จากคุณ : Gisele - [ 26 ก.พ. 51 18:42:43 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เราคิดว่าที่คุณ thaispicy พูดมาก็มีเหตุผลดีนะคะ กับการนำเสนอความคิดเห็นในแง่มุมอื่นๆ บ้าง ก็ไม่น่าแปลกนี่คะ เราเห็นด้วยว่า ฝรั่งเค้าให้ความสำคัญกับ หน้าที่ และความรับผิดชอบ ซึ่งเราคิดว่ามันสำคัญมากๆ ในการใช้ชีวิตนะคะ แม่ของแฟนเราอายุ 70 กว่าๆแล้วยังช่วยแฟนเราทำงานอยู่เลยค่ะ ซึ่งอันนี้เรารู้สึกว่าน่าทึ่งดีนะคะ ครอบครัวไทยเราจะใกล้ชิดสนิทสนมกันมากกว่าฝรั่ง แฟนเรายังบอกว่าเลย เค้ารู้สึกอิจฉาและอบอุ่นแทนเราที่เห็นครอบครัวเรา ห่วงใย รักใคร่ อยู่ใก้ลชิดกัน ซึ่งครอบครัวเค้าไม่ได้เป็นอย่างนี้ เราฟังแล้วรู้สึกภาคภูมิใจมากๆค่ะที่เราเกิดเป็นคนไทย..... :) จากคุณ : an ya na ja - [ 26 ก.พ. 51 19:04:50 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ที่เราค้านเพราะ คห21.ใช้คำว่า "เค้าไม่มีความกตัญญูกตเวทิตา เพราะเค้าไม่ได้เรียนรู้มัน เราเองก็ไม่มีความสามารถรับผิดชอบต่อตัวเองจนแก่ได้ เพราะเราก็ไม่ได้เรียนรู้มันเช่นกัน" :ซึ่งหมายถึงนับรวมหมดทุกคน จากคุณ : นานา - [ 26 ก.พ. 51 23:25:32 A:124.120.191.120 X: TicketID:164436 ]

ความคิดเห็นที่ 33 K. นานา #32 : ก็แล้วแต่คุณจะคิดค่ะ ดิฉันได้อธิบายไปแล้ว การที่คุณไม่เห็นด้วย ก็เป็นความเห็นของคุณ "ซึ่งหมายถึงนับรวมหมดทุกคน" คุณตีความและคิดไปเป็นแบบนี้เองนะคะ จากคุณ : thaispicy - [ 26 ก.พ. 51 23:51:48 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เคยสงสัยเหมือนกัน แต่พอมาอยู่เมืองนอก ก็ได้เห็นข้อแตกต่างหลาย ๆ อย่าง ถ้าจะว่าไป มันขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศมากกว่า  ยกตัวอย่างเช่นประเทศนอรเวร์ที่ดิฉันอยู่ ประชาชนทุกคนที่มีงานทำต้องเสียภาษี มากน้อยขึ้นอยู่กับภาระของแต่ละกัน ตัวดิฉันเองเสีย 36% ของเงินเดือนที่ได้ -  ประชาชนผู้เสียภาษีก็จะได้สิทธิประโยชน์มากมาย เริ่มต้นทั้งแต่แม่ตั้งท้อง รัฐจะจ่ายให้กับแม่เพื่อดูแลลูกแรกเกิด 36,000 kr. (กรณีแม่ไม่มีงานทำ) - กรณีแม่มีงานทำ  แม่จะได้สิทธิในการดูแลลูก 1 ปี และได้รับเงินเดือน 80% ของจำนวนเงินเดือนที่ได้รับ หากผู้เป็นแม่เลือกที่จะดูแลลูก 10 เดือน จะได้รับเงิน 100%  จากจำนวนเงินเดือนที่ได้รับ - รัฐจ่ายให้บุตรตั้งแต่แรกเกิดจนครบอายุ 18 ปี เดือนละ 900-1100 kr. ถ้าจะว่าไปของสำหรับเด็กแทบทุกอย่างราคาถูก เพราะประเทศนี้ให้ความสำคัญกับเด็กมาก - เด็กจะได้รับสิทธิประโยชน์ฟรีแทบทุกอย่าง ค่าเล่าเรียน ค่ารถ(โรงเรียน) รถโดยสารจะลดเป็นเปอร์เซ็นต์ อุปกรณ์การเรียน ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ - สำหรับผู้สูงอายุ เมื่ออายุครบ 67 ปี รัฐจะจ่ายค่าเลี้ยงดู โดยคิดจากอัตราเงินเดือนที่เดือนที่เคยได้รับ ประมาณ 80% โดยรัฐจะจ่ายให้ไปจนกว่าจะเสียชีวิต ส่วนค่ารักษาพยาบาลฟรี - กรณีผู้ป่วยที่เกิดป่วยในระหว่างการทำงาน รัฐจะจ่ายเงินให้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ถ้าจะพูดไปพ่อแม่มีรายได้ จากรัฐที่ดูแลอยู่แล้วในยามสูงอายุ กรณีบ้านสามีดิฉัน พ่อแม่ไม่เคยขอเงินจากลูก ลูกก็จะให้เป็นสิ่งของกับพ่อแม่เสียมากกว่าเป็นมูลค่าเงิน  ทุกวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันครอบครัว พ่อแม่ทำอาหารเลี้ยงลูกมากกว่า  จะไปเยี่ยมบ้านลูก ๆ บ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนมากลูกจะมาหาพ่อแม่ที่บ้าน...จากข้อมูลข้างต้น จขกท. คงเห็นถึงความแตกต่างระหว่างประเทศไทย ปล.ข้อมูลข้างต้น อาจมีความผิดพลาดบ้าง แต่เป็นข้อมูลที่ได้จากคุณสามี ใครมีข้อมูลเพิ่มเติมช่วยแนะนำด้วย จากคุณ : wan (bjartewife) - [ 27 ก.พ. 51 03:41:27 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ฝรั่งในที่นี่รวมพวกอเมริกาใต้และยุโรปตะวันออกด้วยหรือเปล่าค่ะ ถ้ารวม  อยากบอกว่า   พวกนี้มาทำงานที่สเปนส่งเสียเงินให้ทางบ้านค่ะ โดยเฉพาะพวกที่มาจากอเมริกาใต้   เพราะได้คุยกับแม่บ้านทำความสะอาดที่บ้านเพื่อน เธอมาจากเวเนซูเอล่า   มาทำงานที่นี่เงินที่ได้ส่งไปให้ทางบ้านที่เวเน เธอบอกว่า ครอบครัวเธอไม่รวย  เธออยากให้พ่อแม่และพี่น้องของเธอสบาย มีเพื่อนเป็นสาวยูเครน  นี่ก็ทำงานส่งเงินไปให้แม่และลูกสาวเหมือนกัน ส่วนครอบครัวของเรา  ก็ใกล้ชิดสนิทกับพ่อแม่สามีมาก เวลามีปัญหาท่านยื่นมือมาช่วยตลอด ไม่ว่าจะเรื่องใดๆ รวมถึงเรื่องเงิน โดยไม่ได้มาจุ้นจ้านบ่งการให้เราสองคนลำบากใจใดๆ ทุกครั้งที่ต้องการความช่วยเหลือ   ท่านทั้งสองช่วยตลอดจริงๆ เราสองคนไม่เคยตอบแทนท่านทั้งสองเป็นตัวเงิน แต่ในทุกๆ วันสำคัญ  เรามีของให้ท่านไม่เคยขาด แวะเวียนไปหาท่านทุกสุดสัปดาห์  บางครั้งท่านก็ขับรถมาหาเราเองเพราะท่านยังแข็งแรงกันอยู่ แต่ตอนนี้บ้านก็อยู่ใกล้กันแค่ขับรถผ่าเมืองมา  หุหุ เราเอง  ตอบแทนท่านด้วยการทำขนมอร่อยๆ ไปให้ท่านเสมอ และไม่แค่เฉพาะพ่อกับแม่  แต่รวมถึงพี่สาวและคุณย่าของสามีด้วย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ตัวเงิน แต่เราคิดว่า  มันคือ การตอบแทนบุญคุณและแสดงความกตัญญูอย่างหนึ่งนะ จากคุณ : soulfighter - [ 27 ก.พ. 51 16:54:49 ]

ความคิดเห็นที่ 36 จริงๆ สังคมตะวันตกเขาก็สอนเรื่อง "กตัญญู" นะคะ...ซึ่งเขาจะใช้คำว่า "graditude" และ "gratefulness"....อย่างไรก็ตามอาจจะขึ้นอยู่กับแต่ละครอบครัวด้วยว่าสอนคำๆ นี้ได้ลึกซึ้งแค่ไหน...แต่เท่าที่เห็นในสังคมอเมริกันส่วนใหญ่ เขาตระหนักและซาบซึ้งกับคำๆ นี้มากๆ ค่ะ...ที่สำคัญ เขาให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคนไทยหรอกค่ะ... "ความกตัญญู" ไม่ได้วัดกันด้วยการส่งเงินให้พ่อแม่ แต่อยู่ที่การดูแลเอาใจใส่และห่วงใยท่าน...ยืนยันอีกครั้งว่าสังคมอเมริกันจะเน้น "ครอบครัว" ตลอด...ยกเว้นคนที่มาจาก broken family อาจจะไม่รู้ว่า "ครอบครัว" คืออะไร... **แก้ไขสะกดคำผิด** แก้ไขเมื่อ 27 ก.พ. 51 22:59:22 จากคุณ : bmw (BlackmagicW) - [ 27 ก.พ. 51 22:57:52 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เราเห็นด้วยกับหลายๆ ท่านที่ออกความคิดเห็นมานะคะ เราว่า คำว่า "กตัตญญู" เนี่ย มันทำได้หลากหลายแง่มุมนะคะ เพียงแค่บางคนจะเปิดใจกว้างยอมรับบ้างก็จะเข้าใจ ความกตัญญูหาใช่ว่าจะต้องทำเหมือนอย่างชนชาติของเราทำเท่านั้น ถึงจะเรียกว่า กตัญญู สังคมและวัฒนธรรมเราแตกต่างกัน จึงทำให้การมองไม่เหมือนกัน คนไทยมองว่า พวกฝรั่งอกตัญญูต่อพ่อแม่ แต่ฝรั่งกลับมองคนไทยว่า พ่อแม่คนไทย เกาะลูกกิน (อันนี้เรื่องจริงนะคะ เคยถามเพื่อนต่างชาติหลายท่านมาแล้ว) จากคุณ : วิหคลม - [ 27 ก.พ. 51 23:47:58 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ชอบคุณ วิหคลม #37 ที่ว่า "คนไทยมองว่า พวกฝรั่งอกตัญญูต่อพ่อแม่ แต่ฝรั่งกลับมองคนไทยว่า พ่อแม่คนไทย เกาะลูกกิน (อันนี้เรื่องจริงนะคะ เคยถามเพื่อนต่างชาติหลายท่านมาแล้ว)" จากคุณ : thaispicy - [ 28 ก.พ. 51 12:29:59 ]

ความคิดเห็นที่ 39 different opinions, differents views ppl all over the world think differently but every cultures has good side and bad side its not about what ppl in this culture, in this country are KATANYOO but its about how they grow up to be, to be kind, to be a grateful person...and so on มันคงเกี่ยวกับลักษณะนิสัยส่วนตัว ความคิด การเลี้ยงดูจากพ่อแม่ เติบโตในสังคมอย่างไร มากกว่า ทุกๆ ประเทศมีคนกตัญญูและคนไม่กตัญญูมากมายปะปนกันไป ไม่ใช่ว่าประเทศนี้ วัฒนธรรมนี้เป็นวัฒนธรรมที่มีความกตัญญูหรือไม่มี ผู้คนคิดต่างกันค่ะ คนไทยกตัญญูก็ดีแล้วค่ะแต่บางอย่างเราก็สามารถนำสิ่งของที่ดีเค้ามาประยุกต์ใช้ได้ จากการที่พ่อแม่ลูกต่างคนต่างช่วยเหลือตนเองได้ ลูกไม่ขอเงินพ่อแม่อย่างเดียว และพ่อแม่ก็ไม่ต้องมาขอให้ลูกดูแลอย่างเดียว เท่านี้ทุกคนก็ช่วยเหลือตนเองได้ โดยความสัมพันธ์ยังคงแน่นแฟ้นใกล้ชิด^^ จากคุณ : paula - [ 28 ก.พ. 51 19:40:21 A:125.25.205.8 X: TicketID:166749 ]

ความคิดเห็นที่ 40 1 บางประเทศคนแก่ได้รับเงินจากรัฐ จึงไม่จำเป็นที่ลูกต้องส่งเสีย 2 บางคน สำหรับฝรั่ง ชอบทำเงินกองทุนตั้งแต่เริ่มทำงาน พอแก่ก็ไม่ต้องการเงินจากลูกเพราะมีเงินเยอะแล้ว แต่ในการเลี้ยงดูของฝรั่งหมายถึงการไปมาหาสู่ มาคุยกับบาง ดูอย่างx ' mas ฝรั่งจะมีการรวมญาติ แล้วฝรั่งเขาไม่เหมือนเราคือ ไม่อยู่กับพ่อ แม่ บางทีคิดดูดีนะค่ะ การที่ลูกคนไทยอยู่กับพ่อแมแก่ๆ่ รวยๆ บางคน ใครเลี้ยงใครกันแน่ เพราะบางทีการอยู่กับพ่อ แม่เป็นภาระให้ท่านอีก เพราะเปลื้องข้าว เปลื้องน้ำ ไฟ ลองกลับกันนะค่ะ ถ้าพ่อดิฉันเงินเดือน 45000 (ต่อใหเกษียญแล้ว ยังได้ 30000) แล้วดิฉันอายุ 28 คุณว่าจบป.ตรีธรรมดา เงินเดือนไม่ถึงหมื่น ทำงานจะพอเลี้ยงพ่อแม่ ไหม บ้านก็อยุ่บ้านพ่อ แม่ แล้วคุณ ท่านจะต้องการความช่วยเหลือจากดิฉันมั้ย สรุปว่าใครเลี้ยงใครกันแน่ เำพราะน้ำไฟ บ้าน ฟรี ตู้เย็นก็มีอาหาร บางทีการอยู่กับพ่อ แม่ก็ไม่ใช่การเลี้ยงดู แล้วถ้าพ่อ แม่รวยกว่าเราเยอะมาำกๆ ก็คงไม่บังอาจไปเลี้ยงดูท่าน ดิฉันจึงคนว่า พ่อ แม่ฝรั่งส่วนใหญ่มีเงิน ลูกจึงไม่จำเป็นต้องเลี้ยงดู แล้วที่ลูกหลานไม่อยู่ด้วยเพราะกลัวคนอื่น ประนามว่าเกาะ พ่อ แม่ การดูแล พ่อ แม่ของฝรั่งก็คือ การไปเยียม การให้ของขวัญ ในโอกาสต่าง ๆ เช่นวันเกิด วันครบรอบแต่งงาน การไปหาก็ซื้อของติดมือไปด้วย เพราะโอกาสในการแสดง การ่กตัญญ ไม่เหมือนกัน เพราะบริบททางสังคมของไทยกับฝรั่งไม่เหมือนกัน ถ้าคุณเป็นคนไทย ถ้าแก่รัฐให้เงินเดือนล่ะ 500 คุณ คุณจำเป็นต้องส่งเงินให้พ่อแม่หรือเปล่า แต่ถ้าพ่อ แม่คุณ มีรายได้ต่อเดือนมากกว่าคุณ คุณจำเป็นต้องส่งเงินให้ท่านทุกเดือนไหม การ่กตัญญของแต่ละ สังคม แต่ล่ะประเทศจึงไม่เหมือนกัน แต่บอกเลยว่าเป็นเหมือนกันทุกประเทศ เพราะฝรั่งก็ยังไปทานข้าวกับพ่อแม่ แก่ๆอย่างน้อยเดือนล่ะครั้งถ้าบ้านไม่ห่างกับเกิน 200 กิโล นะ จากคุณ : สาวบ้านนา - [ 28 ก.พ. 51 23:12:37 A:118.172.57.27 X: TicketID:169393 ]