ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าพูดถึงความรู้สึกในมุมมองของนักท่องเที่ยวก็คงไม่ต่างจากที่คุณรุ้สึกหรอก แต่กระนั้นก็ตามสังคมทุกสังคมมีทั้งคนดีและคนเลว เจอคนดีก็ดีไป เจอคนเลวก็โชคร้ายหน่อย ยิ่งอยู่นานโอกาสเจอเรื่องดี ๆ ก็มีเยอะ เรื่องร้าย ๆ ก็มีมากไปด้วยเช่นกัน จากคุณ : Tsuwamono - [ 28 ก.พ. 51 03:09:59 ]

ความคิดเห็นที่ 2 จำความรู้สึกครั้งแรกที่เดินทางมาประเทศญี่ปุ่นได้เมื่อสิบแปดปีก่อน จำได้ว่าตั้งแต่เดินทางออกจากสนามบินนาริตะ ก็พบกับชายหนุ่มที่หล่อมาก แบบดาราหนังญี่ปุ่นที่ทางออกจากนาริตะ ความที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับญี่ปุ่นมาก่อน ถามเขาว่า จะไปชินจูกุได้อย่างไร เพราะเพื่อนที่ให้มาไม่ได้อธิบายว่า ต้องไปอย่างไร เพียงบอกให้ไปชินจูกุ ชายคนนั้นบอกว่า ให้ไปรถไฟ เราก็งงมาก เพราะเมื่อก่อนที่เมืองไทย ถ้าการไปรถไฟหมายถึงไปบ้านนอก ไกลมาก เขาก็พาไปชี้ทางไปรถไฟให้ แต่เราไปไม่ถูก พอดีมีเพื่อนคนหนึ่งเคยมาแล้วเขาบอกว่าไปขึ้นลิมูซีนไปลงชินจูกุได้ นั่งรถลิมูซีนมา ตลอดทางก็มองดูไปตลอด คิดว่าประเทศเขามองไปทางไหนก็ต่างจากประเทศเรา อากาศหนาวเย็นมาก เพราะมาเดือนพฤศจิกายน นั่งรถมาลงชินจูกุ โทรหาเพื่อน เพื่อนบอกให้เรียกแท็กซี่ต่อไปสถานีบ้านเขา เราก็คิดว่า ใกล้ๆบอกชื่อสถานีไป ปรากฎนั่งไปนานไม่ถึงสักที มิเตอร์ก็ขึ้นไปเรื่อยๆเกือบหมื่นเยน ใจคอไม่ดี เพราะเป็นค่าแท็กซี่ที่แพงที่สุดในชีวิต สรุปไปหยุดที่แปดพันกว่าเยน จึงถึงสถานีที่เพื่อนนัดมารับ เรื่องญี่ปุ่นต่างจากบ้านเราอย่างไร ก็ต่างหลายอย่าง ทั้งอากาศ อาหาร ความเป็นอยู่ ตัวป้าโชคดีเจอแต่สิ่งดีๆ ประทับใจทุกอย่าง เพราะไม่ได้ลำบากในการใชัชีวิตที่นี่ ไม่มีอะไรต้องกดดันขนาดทนไม่ได้ เจอคนไทยก็ดีๆ รักญี่ปุ่นจ้ะ จากคุณ : พนอจัน - [ 28 ก.พ. 51 05:29:46 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ญี่ปุ่น...ถ้าพูดในมุมมองนักท่องเที่ยว  ก็คงไม่ต่างจากที่คุณ จขกท. รู้สึกหรอกค่ะ พอมาใช้ชีวิตอยู่เข้าจริง ๆ ยิ่งนานวัน พบปะผู้คนมากขึ้น  ก็ต้องพบเจอกับบางเรื่องที่ไม่สบอารมณ์เหมือนกัน  เราก็ต้องพยายามทำใจเข้าไว้  คิดว่าเสียว่า....ทุกที่ทุกประเทศ ก็มีทั้งคนดี คนไม่ดี ปะปนกันไป ไม่งั้น....เค้าจะเรียกว่า "คน" หรือคะ?  ความหมาย....มันก็บอกอยู่แล้วว่า.... คนกวนกันมั่วไปหมด....อิอิ จากคุณ : เต่าญี่ปุ่น - [ 28 ก.พ. 51 05:55:04 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ความรู้สึกแรกๆตอนมาถึงใหม่ๆก็นะคะ โห ประเทศอะไรมันสะอาดขนาดนี้ บ้านแต่ละหลังตั้งกันเป็นระเบียบ ร้านแต่ละร้านก็ตั้งร้านกันชัดเจน ไม่ได้มีร้านข้างทางริมถนนทั่วๆไปเหมือนที่ไทย(ที่ไต้หวันก็ด้วย) อยู่โตเกียวมาระยะนึง มดสักตัว ยุงสักตัวก็ไม่เคยเจอ ถึงขนาดมีมดใส่ขวด เอาไว้ขายกันเลยเชียว เรื่องความปลอดภัยก็อีก บอกไม่ถูกนะคะ แต่ที่นี่เรารู้สึกว่าถึงฟ้าจะมืด แต่เราก็ไม่รู้สึกว่ามันอันตรายน่ะค่ะ (กรณีไม่ได้ไปที่ๆมันอันตรายนะคะ) ตอนมาที่แมนชั่นครั้งแรก เห็นรั้วกั้นเค้าเลยงงเลยค่ะ เป็นแค่รั้วเตี้ยๆ ขนาดเราก็ปีนได้สบายๆ ไม่เข้าใจเลยค่ะว่ารั้วแค่นี้จะมีไว้กันขโมยอะไรได้ แถมด้านหลังมองไปก็มีช่องเปิดอีก ปีนเข้าได้ง่ายๆ แต่สำหรับคนญี่ปุ่นเท่านี้ก็คงถือว่าปลอดภัยแล้วค่ะ อีกอย่างที่ทึ่งคือ การใช้ระบบเชื่อใจ ซึ่งคิดว่าคงมีประเทศนี้ประเทศเดียวที่ทำกัน ตอนไปเที่ยวเจอผลไม้วางหน้าบ้าน พร้อมกล่องใส่เงิน ใครจะเอาไปก็หย่อนเงินใส่กล่อง คนคอยยืนดูก็ไม่มี ถ้าเป็นประเทศอื่นคงหายหมดทั้งผลไม้ทั้งกล่องเงิน ระบบการใช้ อินคัง ก็เหมือนกัน ถามอาจารย์หลายครั้งแล้วก็ยังไม่เข้าใจ คิดยังไงการใช้ลายเซ็นก็ดูปลอดภัยกว่าตั้งเยอะ ไอ้อินคังนี่ ใครหยิบไปใช้ก็ได้ ไปทำใหม่ที่ร้านไหนๆก็ได้ (ไม่นับพวกตรามหาลัยหรือตราที่ซับซ้อน) ทำไมเค้ายังใช้เจ้านี่เป็นตัวแทนในการผ่านเอกสารสำคัญต่างๆอีก คงมีญี่ปุ่นที่เดียวในโลกมั้งเนี่ย ที่ใช้ระบบเชื่อใจกันขนาดนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก่อนมาไม่ได้คิดไว้หรอกค่ะ ว่ามันจะแตกกันกันแบบมองเห็นได้ขนาดนั้น คิดว่าเมืองมันก็เมืองเหมือนกันแหล่ะ แต่เมืองที่ญี่ปุ่นมันดูแตกต่างจริงๆ ไปไต้หวันมาบรรยากาศก็เหมือนที่ไทย (ยังขาดไม่ได้ไปเกาหลีอีกที่) เหมือนมากๆ ทั้งร้านอาหารแผงลอยตามข้างถนน บ้านต่างๆในเมืองทีมองเห็นจากทางด่วน ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าไต้หวันจะดูคล้ายญี่ปุ่นซะอีก อีกอย่างที่ทึ่งก็คือ สาวๆที่นี่ล่ะค่ะ ขยันมากกกกกกกกกกก เห็นมาจดบัดนี้ก็ยังทึ่ง ว่าวันนึงก่อนออกจากบ้านเค้าต้องแต่งหน้าทำผมทาเล็บสารพัด กันกี่ชั่วโมงเนี่ย แต่เรื่องที่ยิ่งกว่าที่คิดแล้วไม่ค่อยดีก็มีเหมือนกันค่ะ โดยเฉพาะเรื่องความเครียดในการทำงานของคนญี่ปุ่น ได้ยินกิตติศัพท์มาเยอะ มาเจอกับตัวบางทีก็ยังอดคิดว่ามันสุดๆไม่ได้เลย ที่เราเจอมาขยันทำวิจัย ขยันทำงาน กันหยั่งกะเครื่องจักร จะว่าดีก็ดีนะคะ ถ้าตั้งใจทำงาน งานมันก็เดินเร็วดี แถมพลอยทำให้เราต้องขยันไปด้วย ไม่งั้นจะไม่ทันคนอื่นเค้า แต่ก็อดคิดบ้างไม่ได้นะคะว่า ชีวิตนี้วันๆจะทำแต่งานกันเหรอไง ไม่ดีอีกอย่างคือระบบอาวุโส(แต่ที่ไทยก็มีนี่เนอะ) กับระบบให้ค่ากันที่ความพยายามไม่ใช่ผลงานน่ะค่ะ ตัวอย่างในแล็บ คนที่อาวุโสกว่าโดยเฉพาะพวกปริญญาเอก(บางคนเท่านั้น) หลายครั้งที่รู้สึกว่าเค้าชอบมายุ่งเรื่องของเรา ขี้ฟ้องอีกต่างหาก ทั้งๆที่เราไม่ยุ่งกับเค้า ทั้งเรื่องการมาแล็บ การพรีเซนต์ ทำตัวเหมือนเป็นผู้คุมแล็บเลยทีเดียว แล้วคนอื่นๆก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะเค้าอาวุโสกว่า อีกอย่างคือเรื่องความพยายาม ทั้งๆที่ไม่ใช่ว่าเราไม่ทำงาน เพียงแต่บางทีก็เบื่อๆไปนั่งทำงานเปลี่ยนบรรยากาศนอกแล็บ หรืองานเร่งๆก็ทำอยู่บ้านบ้าง  ประหยัดเวลาเดินทาง งานที่ได้ออกมาดีกว่าพวกมานั่งสิงแล็บซะอีก แต่อาจารย์ก็ยังชอบให้มาอยู่แล็บมากกว่า โผล่หน้ามาให้เห็นบ่อยๆยิ่งดี เราเองก็คิดว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่น่าเที่ยวมากๆนะคะ สถานที่เที่ยวเยอะ ค่อนข้างปลอดภัยมาก ที่ช้อปปิ้งก็เยอะ ได้เห็นบ้านเมือง และผู้คน การแต่งตัวที่แตกต่างไปจากที่ไทยเป็นอาหารตาสวยๆเยอะ แต่นะคะ ถ้าจะมาเรียนหรือมาทำงานล่ะก็ คงต้องเตรียมตัวทำงานกันเป็นเครื่องจักรสักหน่อย ก็เหนือ่ยกันจน ไม่มีอารมณ์จะไปมองดูสิ่งน่าเที่ยวรอบตัวเท่าไหร่ ขึ้นรถไฟก็หลับเป็นตายแล้วค่ะ แก้ไขเมื่อ 28 ก.พ. 51 11:31:15 จากคุณ : White Amulet - [ 28 ก.พ. 51 11:25:14 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ที่เราเจอมาก็ดีบ้างร้ายบ้าง ก่อนมาญี่ปุ่น เราเคยคิดว่าคนญี่ปุ่นเป็นคนอ่อนน้อม มีน้ำใจ ทุกคนแต่ตอนนี้คงใช้ได้ได้กับเฉพาะบางคนเท่านั้น บางคนปากว่าตาขยิบ พูดดีต่อหน้า ลับหลัง นินทา มีอ่ะนะ แต่เขาเก็บความรู้สึกได้เนียนกว่าคนไทย จำพวกแม่บ้านที่ว่างงานขี้อิจฉาสุมหัวนินทามีเยอะ เฮอะๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่เราไม่ว่างไปคุยกะเขาหลอกเพราะเรา คุยไม่เก่ง เรื่องที่เราไม่ชอบคือ โดนบังคับให้กินข้าวหมดจานเสมอๆ ทั้งที่อิ่มจนจะอ๊วกอยู่เล้ว ถ้าเรากินไม่หมดก็จะเสียมารยาทอย่างแรง เฮ้อ ไม่ชอบ คือ ลม โค ต ร  แรงเลย จากคุณ : My life in Japan. - [ 28 ก.พ. 51 13:41:27 ]

ความคิดเห็นที่ 6 กระทู้รวมพลห้องนี้ มาอย่างเป็นแขก  กับมาอยู่อย่างผู้อาศัย non-japanese   มันต่างกันมาก (ป้ายสนามบินเก่าญี่ปุ่นเขาเขียนไว้ว่า Alien สมัยนี้ไม่ทันสังเกตว่าเขา ยังใช้คำนี้อยู่หรือเปล่า) สมัยนักเรียน   มาเป็นแขกเมือง   โอ้ย  สวรรค์โปรด  ไปไหนคนต้อนรับอย่างกับเราเป็นเทวดา สมัยนี้   ทำงานในหมู่พวกเขา  แต่จ่ายภาษีจ่ายค่าประกันสังคมอะไรต่อมิอะไรเท่าพวกเขา แต่เป็นพลเมืองระดับ 2    แถมไอ้ที่เคยดีกับเราสมัยที่เราเป็นแขกเมือง  บัดนี้เขาเห็นเราเป็น คู่แข่งของเขา    อิชั้นต้องแอบตัวลีบเชียว      น่ากลัวเสียวสยอง       ส่วนที่ดีคือ   เรียนรู้การทำงานแบบละเอียดยิบตาจากพวกเขา   ตอนนี้ถ้าให้กลับไปทำงานกับคนไทยด้วยกันคงต้องใช้เวลาปรับนาน หรือไม่ก็อกแตกตายไปเลย จากคุณ : akebi1 - [ 28 ก.พ. 51 15:11:53 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เรามาครั้งแรกปีที่แล้ว ลงที่สนามบินคันไซ และก็ไปอยู่ที่ จ ภาคคันไซนั่นแหละ (และได้ไปเซอร์เวย์แถบนั้นจนทั่ว) รู้สึกได้ถึงความสะอาดดดด มากกก กินน้ำจากก๊อกก็ได้ อาหารอร่อยยย ถนนไม่มีขยะเลย(เว้นโอซาก้า อิ อิ ) อากาศดีมากกกก มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย คนมีวินัยดี รู้สึกเป็นมิตรด้วย และล่าสุด มา ที่นาริตะ อยู่ตอนล่างโตเกียว รู้สึกว่าต่างกันอ่ะ คนเยอะมากกกกก มีขยะตามถนนแฮะ น้ำจากก๊อกดื่มไม่ได้เหม็นคอลลีนไงไม่รู้(อันนี้เพิ่อนคนญี่ปุ่นก็บอก) เอ่ออ แล้วเวลาเข้าแถวขึ้นรถไฟ มีการแซงคิวและกรูเข้าไปเลย อืม แล้วอาหารก็แพงกว่า (ชีวิตมีสีสันเกินไป)แต่ก็ดีที่มีแหล่งช้อปปิ้งเยอะ สรุป มีความแตกต่างกันไปบ้างตามภูมิภาค แต่ อากาศดีเหมือนกันหมด ชอบตรงนี้แหละ (แต่แอบชอบคันไซมากกว่า) จากคุณ : Very Miraculous! - [ 28 ก.พ. 51 16:36:22 A:220.215.200.150 X: TicketID:169357 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เรามาเที่ยวครั้งแรก อยู่แถวๆฟุกุโิอกะ บอกตรงๆเหมือนๆบ้านเราตามชนบทนั่นล่ะ ในความรู้สึกเรานะ การคมนาคม แย่มาก ถ้าไม่มีรถส่วนตัวนี่ยากมาก เราคนขี้เกียจน่ะ เพราะรถเมล์น้อยสาย รถไฟก็ไกลจากบ้านพัก(ของแฟน) ตอนนั้นไม่ประทับใจอย่างแรง ดีที่อาหารอร่อย(แต่ก็ยังคิดว่าแพ้อาหารไทยอยู่ดี สะอาดดี ส่วนเรื่องระบบเชื่อใจนั้น ทางยุโรปก็มีค่ะเหมือนๆกัน หรือชานๆเมืองของอังกฤษก็เป็นค่ะไม่ใช่ที่ญี่ปุ่นที่เดียว หลังจากได้มาอยู่แล้ว ก็คิดดีขึ้นนะ เพราะว่าอยู่ไม่ไกลจากสถานนีมาก แถมรถเมล์ก็มาจอดถึงข้างๆบ้านเลย ยังมีรถขับไปโน่นมานี่ได้ ละแวกบ้านเงียบมาก จะมีก็แต่สมาคมแม่บ้านมายืนส่งลูกแล้วก็คุยกัน ส่วนจะให้สุงสิงกันนั้นน้อยจริงๆค่ะ อีกเรื่องช่วงลดราคาสินค้า บอกตรงๆไม่สะใจเลยค่ะ เราชอบแบบลดตั้งแต่ ๕๐-๘๐ เปอร์เซ็นประมาณนั้น อิ อิ หรือไม่ก็แบบ ร้อยปอนด์เหลือห้าปอนด์ นี่ชอบเลย หรืออาจเป็นเพราะเราเทียบ กับตอนที่เราใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษก็ไม่รู้นะ ที่โน่นมีรถเมล์วิ่งทั้งวันทั้งคืน แต่ละป้ายก็ไม่ห่างกันมาก ความสะอาดถึงจะไม่เท่า แต่ก็ไม่แย่นัก อ่อไม่มีร้านริมทางเหมือนกันค่ะ (ยกเว้นแต่ร้านขายผลไม้หัวมุมถนน) ถึงจะอยู่เมืองไทยก็เถอะ จะกินจะใช้อะไรไม่ต้องคิดอะไร บอกตรงๆอยู่ญี่ปุ่นเราใช้เงินน้อยกว่าเมืองไทยเยอะเลย ให้เทียบเป็นเงินเยนก็เถอะ ที่เมืองไทยกินข้าวสองคนกับพี่สาว สอง-สามพันนี่เฉยๆนะ แต่ที่นี่กินสองคน หมื่นเยนนี่ก็แย่แล้ว เกรงใจสามี ปล.เราลืมนึกไป เมืองหลวงกับต่างจังหวันนี่เนอะมันจะเหมือนกันได้ไง จากคุณ : Hergest - [ 28 ก.พ. 51 19:05:07 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่ต่างจากที่คิดไว้เท่าไหร่ค่ะ อาจจะเพราะอยู่บ้านเลี้ยงลูก ไปโรงเรียนเรียนภาษาเลยไม่มีโอกาสได้ไปสุงสิงกับใครเท่าไหร่ เลยไม่รู้ว่าคนญี่ปุ่นเป็นไงบ้าง เพราะเท่าที่รู้จักก็ดีกับเราทุกคน หรือลับหลังเราเค้านินทาอ่ะน่ะ อันนี้ก็ไม่รู้ คนอื่นเป็นไงก็ช่างขอให้สามีดีกับเราแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอ จากคุณ : หนูริวจัง - [ 28 ก.พ. 51 20:12:46 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ชอบอย่างเดียวlensถูกมั๊กๆ ไปทีไรต้องเสียตังค์เรื่องกล้องทุกที จากคุณ : อู๋ไวไฟ - [ 28 ก.พ. 51 21:27:30 ]

ความคิดเห็นที่ 11 มาอยู่แรกๆก้อสนุกอยู่สามเดือน เดือนที่สี่เริ่มไม่ชอบ เพราะว่ายังพูดยี่ปุ่นไม่ได้ เริ่มอ่านๆเริ่มพูดได้ก้อปาเข้าไปเกือบสองปี พอถึงตอนนี้ คงต้องบอกว่า I dont like japan but I must to say i love japan. ชอบความซื้อสัตย์สุจริตของผู้คน ความขยันขันแข็ง ความมีน้ำใจของชาวญี่ปุ่น จากคุณ : gap (gapme14) - [ 28 ก.พ. 51 22:00:50 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แต่ก่อนมา เครียดเพราะว่ารู้สึกว่าคนเยอะ ยั๊วเยี๊ยะ กลัวหลง (เคยไปโอซาก้าแล้วเกือบหลง) ก่อนมา คิดว่าคนญี่ปุ่นทำอะไรอยู่ในกฏเกณฑ์ พอมาถึงวันแรก นั่งรถบัส มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเด็กนักเรียนขี่จักรยานไปกินขนมปังไป แล้วมันก็เขวี้ยงถุงพลาสติกลงข้างทางซะงั้น พอมาถึง ถึงได้รู้ว่าคนญี่ปุ่นก็ข้ามถนนไม่รอไฟแดงเหมือนกัน พอมาถึง ถึงได้รู้ว่าคนญี่ปุ่นชอบขาก:-)เหมือนกัน แม้แต่หนุ่มๆ ก็ขาก:-)ลงพื้นสถานีรถไฟกันหน้าตาเฉย พอมาถึง ชอบบรรยากาศการกินเหล้าของญี่ปุ่น ร้านเหล้าร้านข้าวก็กินเหล้าสังสรรกับเพื่อนได้ ไม่ต้องไปนั่งสวนอาหารให้ยุงกัด ไม่ต้องเข้าผับมืดที่เปิดเพลงดังๆจนคุยกันไม่รู้เรื่อง ชอบที่สาวๆกินเหล้าก็ไม่โดนมองเหยียดหยามว่าทำตัวไม่เป็นกุลสตรี เวลากลับบ้านดึกก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะโดนทำมิดีมิร้าย เพราะรถไฟถึงทุกที่ แท๊กซี่ก็น่ากลัวน้อยกว่าเมืองไทย ข้อเสียคือ จะหาร้านเหล้าร้านข้าวที่บรรยากาศดีๆ นั่งคุยกันได้นานๆเนี่ย ไม่ค่อยมีเลย นั่งนานหน่อยก็โดนเขม่น ขนาดสั่งของกินมากินตลอด ก็ยังโดนเจ๊คนเสิร์ฟเขม่น แต่ข้อดีของคนญี่ปุ่น ก็คือตรงเวลา ชอบที่เวลานัดกันทำอะไร ไม่ต้องเผื่อเวลาคนมาสาย มันทำให้งานเดินได้ดีทีเดียว จากคุณ : booklovers - [ 29 ก.พ. 51 09:00:35 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ข้อมูลสมัยนี้กับสมัยก่อนต่างกันมากครับ..เพราะสมัยนี้มีทั้งอินเตอร์เน็ท ทำให้เราได้รู้จัก เห็นภาพ (สดจากกล้องวงจรปิดยังมีให้ดูเลย) ศึกษาข้อมูลได้มากมายก่อนไป.. สำหรับของผม ไปครั้งแรกเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน..ต้องยอมรับว่าก่อนไปเรียนไม่เคยไปญี่ปุ่นมาก่อน..จึงอาจไม่ทราบข้อมูลมากนัก บวกกับความที่อยากไปเรียนต่อทางแถบยุโรปหรืออเมริกามากกว่า เพราะมีความคุ้นเคยและไปมาหลายครั้ง..แต่ทางบ้านยืนยันว่าจะให้ไปญี่ปุ่น ก็ต้องยอมตามเพราะทางบ้านเป็นคนจ่าย แหะๆ.. ไหนจะต้องไปเรียนภาษาก่อนอย่างน้อยปีนึงถึงจะเข้ามหาวิทยาลัยได้..ไหนจะต้องเริ่มภาษาจากศูนย์..และที่สำคัญตอนนั้นผมไม่คิดว่าบ้านเมืองจะเจริญและมีแสงสีอย่างนี้ คิดว่าคงเป็นประเทศเงียบๆมีแต่บ้านเก่าๆ วัดศาลเจ้า คนแต่งชุดกิโมโนอะไรทำนองนั้น..   ก่อนไปมีความคิดเชิงลบค่อนข้างมาก..การเตรียมตัวแทนที่จะเรียนภาษาญี่ปุ่นให้มาก ผมกลับเรียนแต่ภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น เตรียมสอบโทเฟล..ที่จริงก็เพื่อมุ่งที่จะเข้าโซเฟียแคมปัสภาษาอังกฤษ เผื่อมีโอกาสย้ายไปอเมริกาได้(ความคิดตอนนั้น) ..แต่พอมาถึงวันแรก คืนแรก ความคิด ความรู้สึกต่างๆเริ่มค่อยๆเปลี่ยนไป..ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเท่าไหร่..ทั้งเจริญและมีแสงสีเสียง พอสะใจวัยรุ่น(ตอนนั้น) ได้พอสมควรมีเดียว.. ปัจจุบัน ผมภูมิใจและดีใจที่ได้มีโอกาสไปศึกษาที่ญี่ปุ่น ..ผมได้รับประสบการณ์มากมาย ใช้ชีวิตแบบคุ้มค่าสุดๆ ทั้งทำงานและเรียน..ชั่วสุดๆก็เป็นมาแล้ว กลับมาดีสุดๆตั้งใจเรียนสุดๆก็ทำมาแล้ว..โอกาสต่างๆที่ดีๆในชีวิต ที่ทำให้ผมและครอบครัวได้อยู่อย่างมีความสุข..ก็เริ่มมาจากวันแรกที่ผมเหยียบแผ่นดินอาทิตย์อุทัยนี่แหละครับ.. วันที่ 7 เมษายน 2525... จากคุณ : Carpenters - [ 29 ก.พ. 51 09:56:04 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ไม่ต่างจากการ์ตูนที่อ่านตั้งแต่เด็กเลยค่ะ เึคยดูดราก้อนบอล เซนท์เซย่า คิดมาตลอดว่า คนอะไรมันจะผมตั้งเป็นทรงแบบนั้นได้ แถมยังจะสีประหลาดสารพัด พอได้ไปญี่ปุ่นแล้ว กระจ่างเลยว่า  เค้าสามารถกันจริงๆค่ะ ทรงผมเบจิต้าเนี่ยเหลือเลยว่า มีอยู่จริง ไม่ใช่วิกด้วยนะ จากคุณ : enjoymiracle - [ 29 ก.พ. 51 17:08:18 ]

ความคิดเห็นที่ 15 มาตอนแรก  มาทุนรัฐบาลญี่ปุ่น 4 เดือนค่ะ  กิน อยู่ สบายสุดๆ  เรียกว่า ถูกทุนนั้นสปอยล์มากไป   ตอนนั้น คิดว่า  รู้จักญ่่ีปุ่นดีมากๆ  เพราะว่า มาอยู่ตั้งหลายเดือน แต่พอแต่งงานมาอยู่จริงๆ   ใช้ชีวิต เดินขึ้นเนิน ลงเนิน  ไต่บันได  เดินไกลๆ  อาศัยในห้องเช่าแสนแคบ ก็เลยคิดว่า  ที่ 4 เดือนนั่นมันเป็นชีวิตแบบชั่วคราว แบบมาท่องเที่ยว พักผ่อน   ไม่ใช่ของจริงของผู้คนบ้านเค้าเมืองเค้า เลยรู้สึกว่า ชีวิตช่างลำบากลำบน  ช๊อกเล็กน้อยในช่วงแรกๆ  แต่ในที่สุดก็ผ่านพ้นมาได้ ตอนนี้ เริ่มรู้สึกว่่า  บ้านแคบๆ นี่ก็ดีนะ  ไม่ต้องทำความสะอาดเยอะดี รู้สึกว่า คนญี่ปุ่นเก็บความรู้สึกเก่ง  อันนี้คิดตั้งแต่มา 4 เดือนนั้น   พอมาใช้ชีวิตอยู่จริงๆ  ก็ยังคงคิดแบบเดิม  แต่บางแว่บ  ที่เห็นหลุดสีหน้าแสดงอารมณ์ ไม่พอใจออกมานี่  รู้สึกว่า มันน่ากลัว บอกไม่ถูก    และรู้สึกว่า  คนญี่ปุ่นมีโลก ส่วนตัวสูงกว่าคนไทยมากๆ    บางที คนต่างชาติอย่างเรา สับสนนิดๆ ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกันนั้น ระยะห่างแค่ไหน ถึงจะพอดี จากคุณ : วดี - [ 29 ก.พ. 51 18:57:03 ]

ความคิดเห็นที่ 16 1. คนญี่ปุ่นที่ดูเงียบๆแต่จริงๆก็เมาท์เก่งนะ นินทาได้หน้าตาเฉย แบบพอคนในวงที่คุยกันอยู่เดินออกไปเข้าห้องน้ำ จะถูกเมาท์ 2. โอซาก้า ไม่ใช่ญี่ปุ่น 3. อย่าคิดอะไรมาก ถ้าเค้าชมคุณ เพราะเค้าไม่ได้คิดอะไรหรอก พูดตามมารยาท 4. แม้จะถึงเวลาเลิกงาน หรือ หมดคาบเรียนแล้ว ก็ห้ามกลับบ้านก่อนผู้อาวุโสกว่า หรือ ห้ามกลับก่อนเพื่อนคนอื่นๆ 5. ต้องไปก่อนเวลานัดสักสิบนาที เพราะถ้าคุณมาตรงเวลา หรือสายแค่ สามนาที คุณจะกลายเป็นคนที่มาหลังสุด จากคุณ : ฯลฯ เดี๋ยวมาใหม่ค่ะ - [ 29 ก.พ. 51 19:50:46 A:218.179.102.233 X: TicketID:036500 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ไม่รู้จะอธิบายยังไง รู้แต่ว่า อยู่เมืองไทยสบายที่สุด อยู่ที่นี่นานๆ พาลจะเป็นโรคซึมเศร้าไป จากคุณ : สงสัยจัง - [ 29 ก.พ. 51 22:00:17 ]

ความคิดเห็นที่ 18 หมายความว่ายังไงคะ ที่ว่าโอซาก้าไม่ใช่ญี่ปุ่นเนี่ย ^^" จากคุณ : momomiko - [ 1 มี.ค. 51 01:29:11 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ฮึๆๆๆ ประเทศนี้มีอะไรที่ พิศวงงงงวยเยอะค่ะ มีความเป็นตะวันออกชนกับตะวันตก มีความเป็นตัวของตัวเองแต่ก็คิดเองไม่ค่อยได้ รู้เขารู้เรา นั้นไม่ยาก รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ยิ่งดีใหญ่ อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะทำงานกับฝรั่งหัวทอง ญี่ปุ่นหัวดำ ไม่ว่าคุณจะมาจากไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้อง พูดภาษาญี่ปุ่น ให้ได้ จงทำหูทวนลมเมื่อมีเสียงลมพัดหวน มาเเว่วๆ (เสียงนั้นหรือคือเสียงนินทา )เพราะลมเหล่านั้นจะแสดงอาการซึ่งๆหน้า หากคุณเป็นคนอ่อนไหว คุณจะตกเป็นทาสของลม และใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข ดังนั้น ถือคติไว้เลย ช่างมัน เดี้ยนไม่แคร์ อย่าตื่นสาย ผิดนัด มาสาย ไปไม่ตรงต่อเวลา ไม่มีสัจจะ เพราะคุณจะกลายเป็นแกะดำของสังคมและไร้คนเชื่อถือ บริหารหลังของตัวคุณเองให้ดี เพราะคุณจะต้องโค้งคำนับทุกที (มากมายหลายวิธีการโค้ง )เผื่อเเสดงความเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้อาวุโสและบุคคลทั่วไปให้เกิดความประทับใจต่อผู้อื่น ห้ามยิ้มเวลาที่กระทำผิด ไม่ว่ากรณีไดๆทั้งสิ้น ห้ามหัวเราะ แฮะๆ แล้วบอกว่า ซอรี่ เพราะคุณจะกลายเป็นคนไม่เอาไหนในสายตาของผู้อื่น จะผิดมากหรือน้อย โค้งให้สุด และทำหน้าว่า เสียใจม้ากกกกผิดไปแล้ว ขอโทษจริงๆ จงเคาระนับถือระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง เพราะไม่ว่าอย่างไร คุณก็หัวดำ มาทีหลังอายุมากกว่าอย่าหวังจะมีคนสนใจไม่ เขาอยู่มาก่อน อายุงานมากกว่าเราก็คือ รุ่นพี่ (ฮ่วย) และสุดท้าย หลังเที่ยงคืนรถไฟมันหมด ถ้ารู้ตัวว่า เมาต่อไม่ไหวจงรีบชิ่งหนีก่อนไม่มีรถกลับบ้าน มิเช่นนั้น จะเป็นเช่น เดี้ยน (เมายันเช้า ) กร๊ากกกกกกกกกกก "เรามิได้ชมชอบรสชาติของสุรา แต่เราชมชอบบรรยากาศของการร่ำสุรา" ดังนั้น จงมองเข็มนาฬิกาทุกครั้งก่อน รถหมด เวลลคัมทูเเจแปนคะ แก้ไขเมื่อ 01 มี.ค. 51 04:52:16 จากคุณ : ตัวลีปปลิวลมนมไม่แบนแล้วเฟ้ย (Nada Sousou) - [ 1 มี.ค. 51 04:49:21 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เป็นความจริงดังคำของคุณ นาดา อยู่ญี่ปุ่นจะเที่ยวสนุกสนานยามค่ำคืนแค่ไหน แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือ ดูนาฬิกาเวลารถไฟหมดเอาไว้ให้ดีๆ ไม่เช่นนั้นจะเสียเงินค่านอนโรงแรมโดยใช่เหตุ เมื่อก่อนแต่งงานกับลุงสาหร่ายใหม่ๆ เลิกงานเขาชอบพาไปเที่ยวชินจูกุ ไปนั่งร้านอาหารไทย แต่ที่น่าเบื่อคือ ต้องคอยดูนาฬิกา จะสนุกสนานเพลิดเพลินเต็มที่โดยไม่คิดถึงการกลับบ้านไม่ได้ รถเมล์รถไฟไม่มีกลับบ้าน ต้องหาโรงแรมนอนเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นโดยใช่เหตุ ซึ่งต่างกับที่ไทย ไม่ว่าเที่ยวดึกดื่นค่อนคืนแค่ไหนก็สามารถเรียกแท็กซี่กลับบ้านได้ ส บ ม แต่ที่ญี่ปุ่นการคมนาคถึงจะสะดวกก็จริง แต่เป็นเวล่ำเวลา ไม่เหมือนเมืองไทย  อันนี้เป็นข้อหนึ่งที่ต่างจากเมืองไทย จากคุณ : พนอจัน - [ 1 มี.ค. 51 06:18:00 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ูู๕๕๕ เจ๊นมแบน เริ่มมีนมแล้วเหรอคะ... แวะมาแซวเฉยๆ นะ จากคุณ : littlebitlittlemore - [ 1 มี.ค. 51 10:57:26 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อืม โอซาก้าไม่เหมือนญี่ปุ่นจริงๆ สามีบอกมา เพราะมีการแบ่งแยกชนชั้น มีสลัม มีคนขโมย รถ ฯลฯ เยอะ ลืมเขียนเราซื้อหนังสือแฟชั่นมือสองร้าน บุคอ๊อฟมา รู้ไหมเราเจออะไร ผ้าอนามัยแผ่นบางๆ แปะอยู่ใน หนังสือ อึ๊งมากๆ เลย ไม่คิดว่าจะโดน หมดความเชื่อถือในคนญี่ปุ่น เยอะเลย จากคุณ : My life in Japan. - [ 1 มี.ค. 51 19:55:08 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เคยไปอยู่มาสองปีค่ะ ที่โอซาก้า ก็มีหลายอย่างที่ไม่ได้คิดมาก่อนที่จะมาถึงญี่ปุ่นค่ะ ตอนแรกก็คิดว่าจะเป็นประเทศที่มีแต่ตึกสูง ไฮเทค ทันสมัยไปซะหมด พอมาเจอบ้านชานเมือง ต่างจังหวัด ก็เลยแปลกใจนิดหน่อย (อันนี้มาจากการคิดน้อยก่อนมาค่ะ) ผู้คนใช้จักรยานเยอะกว่าทีคิด  มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย ที่ไม่แปลกใจก็เป็นพวก อาหาร แหล่งช้อปปิ้ง บันเทิงต่างๆ เพราะคาดว่าคงละลานตาแน่ๆ ซึ่งก็จริงค่ะ นิสัยใจคอของคนญี่ปุ่น ก็พอเรียนรู้มาอยู่แล้ว จากการ์ตูนเป็นหลัก แล้วก็เพื่อนๆ คนสนิททั้งหลาย ก็เลยไม่่ค่อยมีอะไรแตกต่างไปจากที่คิดค่ะ ที่แตกต่างจากที่คิดก็มีบ้าง เช่น เห็นคนเมาทำเลอะเทอะข้างทาง สถานีบางแห่งก็มีกลิ่นเหม็น แล้วก็ข่าวสารแปลกๆประจำวัน ทำให้รู้สึกอึ้งๆได้ทุกวี่ทุกวัน มีเรื่องอะไรแปลกๆเยอะกว่าทีคิดค่ะ จากคุณ : moomin - [ 1 มี.ค. 51 22:53:29 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เข้ามาดู...เฉยๆ ช่วงนี้เหนื่อย (ใจ) กับการคอมเมนท์ค่ะ  ไปดีกว่า... จากคุณ : มอนจะ - [ 2 มี.ค. 51 10:42:39 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เรามาญี่ปุ่นอย่าง ว่าง ว่าง มาถึง ก็ รับรู้ เติมเต็ม เอาจากที่นี่ เลยไม่มีภาพลักษณ์ก่อน-หลัง อะไรให้เปรียบเทียบได้ค่ะ 3เดือนแรก ร้องไห้จะกลับบ้านทุกวัน พอพูด ฟัง สื่อสารได้ มีเพื่อน ก็สนุก ตอนนี้.. ชีวิตในโตเกียว 24 ชั่วโมง เหมือนจะทำอะไรไม่พอ ผ่านไปไวมาก ปล. -ห้าง ร้านค้า ปิดไว -โรงหนัง ที่หนังรอบน้อย เข้าช้าที่สุดในโลกกกกก และ ไม่มีรอบดึก เที่ยงคืนจบตี2 - ญี่ปุ่นเป็น เกาะ  (ก่อนมาไม่รู้มาก่อน) - งานในญี่ปุ่น มี 2 ประเภท ถ้ายืนก็ต้องยืนตลอด ถ้านั่งหน้าคอมพ์ก็ต้องอยู่หน้าคอมพ์ตลอด (ออนเอ็มเอสเอ็นไม่ได้ด้วย) - คนญี่ปุ่น ไม่มีศาสนากันเยอะ - คนญี่ปุ่น99เปอร์เซนต์ ไม่รู้ว่าตัวเอง เกิดวันอะไร (จันทร์ อังคาร พุธ ...) - แบ่งลักษณะนิสัย ตามกรุ๊ปเลือด A AB B O จากคุณ : il y a - [ 3 มี.ค. 51 14:34:26 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ตอนเรียนภาษาญี่ปุ่นที่มหาลัย เซนเซก็บอกว่า โอซาก้า แตกต่างจากญี่ปุ่นนะ อะไรอย่างนี้ (เช่น คนไม่มีระเบียบ ทิ้งขยะข้างทาง ) เมื่อมาสัมผัสจริงๆ แหม ก็โอซาก้ามีคนเกาหลีเยอะแค่นั้น ไอ้เรื่อง ที้งขยะในโตเกียวก็มี เรื่องคนขาก ถุ๊ย เงื้ย เรื่องข้ามถนนไปก่อนโดยที่ยังไม่รอไฟเขียวน่ะ โตเกียวก็มี เรื่องเข้าแถวรอรถไฟเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าโตเกียวมันจะระเบียบเป๊ะ แซงคิวก็มี(เจอบ่อยด้วยซ้ำ)   รู้สึกว่า คนคันโตจะชอบดูถูกคนคันไซ (รึป่าว) เราเคยแนะนำเพื่อนคนญี่ปุ่นให้รู้จักกัน คุยๆกันไป ไอ้คนโตเกียวถามคนเฮียวโกะ ว่า คุณคนคันไซ ใช่มั๊ย แล้วก็ยิ้มๆ พอลับหลังเขา คนโตเกียวก็บอกว่า นั่นน่ะ พูดสำเนียงคันไซ(พร้อมๆกับหัวเราะ) เราก็ เอ๊ะ ไอ้นี่ ดูถูกเขาเหรอเนี่ย  บ้ารึป่าว (น่าจะเลิกคบ) จากคุณ : A Legend of Love - [ 3 มี.ค. 51 14:42:56 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เอ่อ คุณ  il y a คะ เราก็จะบอกว่า คนญี่ปุ่นไม่มีศาสนา แต่เขาเถียงคอเป็นเอ็น ว่า ศาสนาญี่ปุ่น คือ ชินโต พวกคุณไม่เข้าใจหรอก(ซะงั้น) รอก็บอกว่า ชินโต เป็นลัทธิ ไม่ใช่เหรอ เขาบอกว่า ศาสนาชินโต มาจาก สัทธิชินโตบวกศาสนาพุทธ(มหายาน) คนญี่ปุ่นก็มีศาสนา แต่ไม่เหมือนศาสนาทั่วไป เราก็ อ้อ เหรอออออ งง งง จากคุณ : A Legend of Love - [ 3 มี.ค. 51 14:51:12 ]