ความคิดเห็นที่ 1 ให้ถึงเวลาก่อนเถอะคะ แล้วค่อยคิด การไปอยู่เมืองนอก บ้านเมืองฝรั่ง ไม่ใช่จะมีแฟน ฝรั่งเสมอไป  อาจจะมีแฟนคนไทยด้วยกัน ก็เยอะ หรือไปมีแฟนคนต่างชาติในประเทศนั้น   ไปอยู่กันแต่ในสังคมคนไทย และสังคมคนต่างประเทศในประเทศนั้น ๆ เสียมากกว่า คนที่เจอก็มีแต่น้อย เราเองยังเจอแฟน เราในเมืองไทย   เพื่อนเราคนไทยในเมกา ยังมีเพื่อนเป็นเมกัน น้อยกว่าเราที่อยู่เมืองไทย พวกเขากลับบ้านที่เมืองไทย ยังไม่เคยเห็น เพื่อนเมกันตามไปเที่ยว หรือแม้แต่ในรูปที่ถ่าย ที่บ้านก็ไม่มีเพื่อนคนเมกันมา  อยู่กันเป็ฯน 20 ปี เพื่อนเราคนไทยในอังกฤษ เป็น 20 ปี ยังมีเพื่อนเป็นคนอังกฤษ น้อยกว่าเราที่อยู่เมืองไทย จากคุณ : pooandpang - [ 13 มี.ค. 51 11:56:36 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ก็ไม่ต้องเรียกสินสอดไง หรือถ้าจะเรียก เพราะถือว่าต้องทำตามประเพณี ก็เรียก เก้าพัน เก้าร้อย อะไรแบบนี้น่ะ จากคุณ : mrs.night owl - [ 13 มี.ค. 51 12:03:25 ]

ความคิดเห็นที่ 3 my soon to be husband didnt give Sinsod to my parents ka my parents understand cos we r still young and just starts working but i understand that u got to have a very nice and smart way to explain about Sinsod giving coz many farangs dont understand it and often take it the wrong way แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 51 12:19:38 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 51 12:16:34 จากคุณ : nu yim (sweetkiwi) - [ 13 มี.ค. 51 12:15:14 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ของโจสดๆร้อนๆค่ะ เพิ่งแต่งปีที่แล้ว คือใช้คำว่า dowry (สินสอด) อยู่ดี คุณแม่อธิบายค่อนข้างดีนะคะ (แต่โจอาจจะเรียบเรียงงงๆ) คุณแม่บอกว่า ตามสังคมไทย ลูกสาวจะดูแลครอบครัว ทั้งงานบ้านและเงินทอง (แล้วแม่ก็ยกตัวอย่างว่าอย่างโจ ให้เงินเดือนแม่ทุกเดือนอะไรแบบเนี้ย) เพราะสังคมไทยเป็นสังคมแห่งความกตัญญู ลูกที่ดีมักจะดูแลพ่อแม่ เพราะเมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าแล้ว อาจจะไม่สามารถดูแลตัวอง หรือ make money ได้เหมือนเมื่อตอนวัยกลางคน การที่ลูกสาวแต่งงาน จะต่างกับลูกชายตรงที่ส่วนใหญ่ลูกสาวแต่งแล้วแยกออกจากเรือนไปเลย เท่ากับว่าพ่อแม่ซึ่งแก่แล้วก็ขาดคนดูแล ซึ่งลูกสาวเป็นเสาหลักของบ้าน เพราะลูกสาว (สมัยก่อน) เป็นคนดูแลคนในบ้านทุกอย่าง ทั้งงานบ้าน งานครัว (สมัยนี้) หาเงินเลี้ยงครอบครัว สินสอดจึงเป็นเหมือนการแสดงเจตนาว่าลูกเขยพร้อมที่เข้ามาเป็นครอบครัว ซึ่งก็ต้องมีหน้าที่ ดูแลพ่อแม่ลูกสาวเหมือนลูกสาว เพราะจะเป็นคนๆเดียวกัน แต่ด้วยการที่ลูกสาวและลูกเขยแยกตัวออกไป ก็อาจจะดูแลในทาง physically ไม่ได้ ก็เลยต้องดูแลทาง financially โดยการ support ทางการงิน ฉะนั้น สินสอด จึงขึ้นอยู่กับอัตภาพของครอบครัวฝ่ายหญิง เพราะการใช้จ่ายและใช้ชีวิตของคนต่างกันตามสถานะ ถ้าที่บ้านฝ่ายหญิงมีฐานะ การใช้จ่ายในการใช้ชีวิตครอบครัวของฝ่ายหญิงก็ต้องสูง เท่ากับว่าก่อนหน้านี้ฝ่ายหญิงเองก็รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านสูง (สมัยนี้) หรือ (สมัยก่อน) ถ้าฝ่ายหญิงมีความรับผิดชอบในการดูแลครอบครัวสูง ทั้งแรงงานและเวลา การที่ฝ่ายชายมาเอาคนที่ดูแลครอบครัวไป ฝ่ายชายก็ต้องดูแลให้เหมือน/พอๆกับที่หญิงที่จะเป็นภรรยาของเขา ดูแลครอบครัวของ she และอย่างที่บอกไป เพราะลูกสาวส่วนใหญ่ แต่งแล้วออกจากบ้าน ลูกสาวและลูกเขยก็คงไม่มีเวลาดูแลทาง phycailly เลยช่วยค่าใช้จ่ายในบ้านที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ขณะที่ตัวลูกสาวกับลูกเขยไม่อยู่แล้ว  ประมาณนั้นค่ะ ส่วนของโจ คุณแม่บอกว่าสำหรับครอบครัวเรา แม่ก็ยังทำงานอยู่ แต่มันก็เป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติ แม่ก็บอกว่าจะเท่าไหร่ ก็แล้วแต่คุณสามีเราเห็นสมควร เพราะมันเป็นแค่สัญลักษณ์ ค่ะ โจว่ามันก็ดู logical นะ เพราะก่อนหน้านี้โจไม่ชอบธรรมเนียมการให้สินสอด (ออกแนวแอนตี้เลยด้วยซ้ำ)เพราะรู้สึกเหมือนถูกขาย ต่อมาพอจะแต่งงาน คุณแม่ก็อธิบายโจตามนี้ ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลนะคะ (จำได้ว่าตอนนั้นถก "เถียง" กันเรื่องนี้เป็นชั่วโมงเลย) แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 51 12:43:36 จากคุณ : Joshika (Joshika) - [ 13 มี.ค. 51 12:36:11 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ก็บอกว่าเป้นสินสอดน่ะ เป้น proof ว่าจะ take care ลูกสาวได้ไหม แต่จริงๆแล้ว เราว่าหาฝรั่งที่เข้าใจยากนะ ถ้าเรียกไปเยอะแล้วที่บ้านเราไม่ช่วยออกค่าอะไรเลย อย่างของเรา เรามีเรียกตามประเพณี ไม่เยอะ แล้วก็ทางบ้านเราจะออกค่าใช้จ่ายในงานเลี้ยงงานเช้าให้ แบบนี้เป็นต้น แล้วสินสอดก็ให้กลับมาใส่ในชื่อเรา เป็นสินก่อนสมรส สมัยนี้ สินสอดเขาก็คือให้บ่าวสาวไปตั้งตัวกัน ถ้าไม่คืนก็อย่าเรียกเยอะ มันน่าเกลียด จากคุณ : yuy - [ 13 มี.ค. 51 13:26:56 A:124.121.23.23 X: TicketID:124751 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อย่างบ้านเราก็บอกให้ซื้อของขวัญให้เรา ก็ทองให้เรา แล้วค่าสินสอดก็บอกว่าแฟนว่าเป็นค่่าจัดงานแต่งงานค่ะ ก็เยอะเหมือนกันนะค่ะจัดงานแต่ง ของก็ซื้อให้เรา แฟนฝรั่งคงไม่ว่าอะไรมั่นค่ะ แล้วถ้าเรียกหนัก ๆ ก็ให้แม่คุณคืนเงินให้คุณ จากคุณ : สาวบ้านนา - [ 13 มี.ค. 51 15:47:26 A:118.172.96.230 X: TicketID:169393 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ฝรั่งก็เคยมีสินสอดเหมือนกัน แต่ตอนนี้แล้วแต่เจ้าบ่าวใจดีเท่ามากไหร่เท่านั้นเอง การอธิบายหรือหาอ่านเพิ่มได้ครงนี้นะ http://en.wikipedia.org/wiki/Dowry จากคุณ : สาวใหม - [ 13 มี.ค. 51 17:56:00 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผู้ชายฝรั่งที่เขาคิดจะมีแฟนไทย(แบบจริงจัง)  เขาก็ควรศึกษาวัฒนธรรมไทยไว้ด้วย เดี๋ยวตอนมีแฟนฝรั่งจริงๆ ก็ค่อยค้นหาคำว่า dowry ที่กูเกิ้ลก็จะได้คำตอบเพียบ ถึงตอนนั้นก็มีคำตอบบอกเขาแล้วค่ะ ถ้าเขาถามว่ามันคืออะไร (จริงๆ หลายคนก็คงศึกษามาแล้ว แต่มาทำแอ๊บแบ๊วไม่พูดถึงไงคะ อิอิ) ตอนนี้แวะไปอ่าน ว่าเขาคุยเรื่องสินสอดว่าอย่างไรกันได้ที่นี่ http://www.thaivisa.com/forum/index.php?showtopic=33191 จากคุณ : ก๋าสะลองเงิน - [ 13 มี.ค. 51 18:00:05 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เคยอธิบายให้แฟนฟังค่ะ เหมือนความคิดเห็นที่ 4 เปี๊ยบเลย... แฟนก็เข้าใจค่ะ ถึงบางอ้อหลังจากที่สงสัยว่าทำไมคนไทยขายลูกกิน คุณโจอธิบายได้เยี่ยมเลยค่ะ จากคุณ : Suweeraya - [ 13 มี.ค. 51 18:00:14 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ตอนดิฉันจะแต่งงาน ดิฉันบอกที่บ้านว่าดิฉันไม่ต้องการทำพิธีแต่งงานอะไรเลย ไม่มีขันหมาก ไม่มีทองหมั้น นอกจากการแต่งงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย คือแค่จดทะเบียนสมรส (ถ้าดิฉันอายุสัก 30 ก็คงอยากโชว์ตัวบนเวทีอยู่เหมือนกัน แต่นี่ตอนแต่งก็ปาเข้าไป 45 กว่าๆ แล้ว นั่งอยู่บนคานมานานเหลือเกิน) แม่บอกไม่เป็นไรขอสินสอด 350,000 บาท เหมือนแม่ไทยหลายคนที่มีลูกสาวแต่งงานไปนี่แหล่ะ ทั้งๆ ไม่เคยเห็นหน้าว่าที่ลูกเขยฝรั่งเลย ที่บ้านเห็นเขยฝรั่งครั้งแรกนี่ ดิฉันก็จดทะเบียนสมรสไปแล้ว ดิฉันบอกว่าที่สามี (ในตอนนั้น) อธิบายก็แล้ว ให้อ่านเรื่องของสินสอดที่เป็นภาษาอังกฤษ ก็แล้ว  ทั้งคุยกันดี และถกเถียงกันบ้างไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง พี่แกเซย์ NO?????????????????? พร้อมคำถามอยู่ท่าเดียวว่าทำไมต้องจ่าย? ประเพณีบ้านเขาไม่มี (ก็บ้านเรามีนี่หว่า) เขาไม่ได้มาซื้อขายผู้หญิง เขามาแต่งงานกับเราด้วยความรักเพื่อเลี้ยงดูเป็นภรรยา และภายหลังจากการแต่งงานจะต้องดูแลเราให้ดีที่สุดตลอดชีวิตของเขา   ดูท่าทางพี่ฝรั่งแกไม่ยอมจ่ายแน่ๆ   ดิฉันหมดปัญญาอธิบายและไม่คิดถกเถียงอีกแล้ว แม่ก็คงไม่ยอมอีกเหมือนกันเพราะพี่สาวแต่งเมื่อ 22 ปีที่ผ่านไป  กับคนไทยแม่ยังได้สินสอด  200,000 พี่ชายแต่งพี่สะใภ้ก็ต้องจ่ายสินสอดให้ทางพ่อแม่พี่สะใภ้ ตัวกลางอย่างดิฉันจะทำอย่างไร จึงจะประนีประนอมระหว่างพ่อแม่ และว่าที่สามีได้โดยที่บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น และทำให้พ่อแม่  ไม่รู้สึกว่าลูกเขยฝรั่งคนนี้ขี้เหนียว รู้มาก ทำให้สามีไม่รู้สึกว่าบ้านนี้ขายลูกสาว งก สูบเลือดสูบเนื้อ ฝรั่งที่มาแต่งงานกับผู้หญิงไทย ทั้งก่อนแต่งต้องจ่ายสินสอด แล้วหลังแต่งจะต้องเลี้ยงทั้งครอบครัวผู้หญิงหรือไม่ ต้องจ่ายค่าพาวัวควายที่ท้องเสียไปหาหมอเพราะอาหารเป็นพิษเหมือนที่เคยอ่านมามากมายในอินเทอร์เนท  หรือเปล่า มันทำให้ดิฉันต้องกลับมาดูที่ตัวสามีว่า  ตั้งแต่เราคบหากันมาเขาขี้เหนียว รู้มาก เห็นแก่ตัวและเอาเปรียบเราบ้างหรือเปล่า คำตอบก็คือ  ไม่เลย ดูแลดีทุกอย่างทั้งร่างกายและจิตใจ ให้เกียรติทั้งดิฉันและครอบครัวเสมอไม่ว่าจะอยู่ในบ้าน นอกบ้าน ที่เมืองไทยและเมื่อดิฉันไปเมกาในฐานะนักท่องเที่ยว นั่นหมายความว่า  การที่เขาไม่ยอมจ่ายสินสอดเกิดจากการไม่เข้าใจในเรื่องของประเพณีการแต่งงานของผู้หญิงไทยจริงๆ  ไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาปะปนด้วย ดิฉันตัดสินใจใช้เงินเก็บของตัวเองจ่ายเป็นค่าสินสอดให้พ่อแม่ไป โดยที่คนในครอบครัวไม่มีใครรู้ แต่เพื่อนๆ ในที่ทำงานรู้ ใครจะว่าดิฉันโง่ก็ช่าง ไม่สนใจ  ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน จนทุกวันนี้พ่อแม่ก็ไม่รู้ว่าเงินสินสอดที่จ่ายเป็นของดิฉัน  และมีความสุขเพราะคิดว่าลูกเขยให้สินสอดเหมือนลูกเขยชาวบ้านอื่นๆ สามีก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่ได้สินสอดไปจากเงินดิฉันเอง  เขามีความสุขว่าไม่ได้ซื้อดิฉันมา ดิฉันเองมีความสุข เพราะทั้งพ่อแม่ และสามี  ต่างก็ไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ  หรืออะไรค้างคาในใจของทั้งสองฝ่าย เข้ามาแก้ไข  ดิฉันลบข้อความ ที่เขียนถึงสิ่งดีๆ ที่ได้รับจากสามี ภายหลังจากที่ยุติปัญหาเรื่องสินสอดด้วยเงินของตัวเอง แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 51 09:25:49 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 51 19:54:56 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 51 18:29:27 จากคุณ : โจ๊กหมูไม่เอาชูรส - [ 13 มี.ค. 51 18:23:39 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขออนุญาตแสดงความเห็นและให้ข้อมูลต่อข้อถามในกระทู้นี้บ้าง  ดังนี้ 1. "ค่าสินสอด " ที่ฝ่ายชายให้กับหญิงตามประเพณีไทยนั้น  ไม่ใช่ของใหม่ในโลกนี้  เพราะทางตะวันตกยุโรปบางประเทศ  หรือในเอเซียบางประเทศในสมัยโบราณถึงปัจจุบัน  นั้น  มีประเพณีเช่นนี้มานานหลายร้อยหลายพันปีแล้ว  โดยค่าสินสอดเช่นว่านี้  มีศัพท์เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า " a  bride price "  ซึ่งตรงข้ามกับคำว่า  dowry  โดยสิ้นเชิง (จะอธิบายความหมายคำว่า  dowry  ในข้อที่ 2) คุณเจ้าของกระทู้สามารถให้อธิบายกับแฟนต่างชาติ  และครอบครัวของแฟนเพื่อความเข้าใจที่ดีได้  ดังนี้ "   By  traditional,a  Bride Price is an amount of money or personal property paid to the parents of woman for the right to marry her. The Hebrew Bible and Talmud (คัมภีร์ศาสนายิว) mention the traditional ritual then an actual price-tag attached to the bride-to-be for marriage " 2.  คำว่า dowry ในภาษาอังกฤษ  นั้น  มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินในยุคกลาง  ( ประมาณปี ค.ศ. 1200  ถึงปีค.ศ. 1500) ว่า DOTARIUM เป็นประเพณีเก่าแก่ที่ชนยุโรปโบราณส่วนใหญ่  หรือแม้ในอินเดียและหลายประเทศในปัจจุบันยังสืบสานต่อ  คือฝ่ายหญิง(เจ้าสาว )   ต้องมอบเงิน  หรือทรัพย์สินส่วนตัวอย่างอื่นให้แก่เจ้าบ่าวในพิธีแต่งงาน (สมัยโบราณในบางกลุ่มชนเผ่า  ผู้ปกครองของสตรีเพศต้องการหาผู้แข็งแรงมาปกป้องและคุ้มครองบุตรีของตน  จึงต้องมีของขวัญล่อใจ) ดังนั้น   dowry  จึงหมายถึง " สินสอด "  ที่ฝ่ายหญิงมีหน้าที่ต้องมอบให้แก่เจ้าบ่าวเท่านั้น (มิใช่สิ่งที่ฝ่ายชายมอบให้หญิง) สามารถอธิบายเป็นภาษาอังกฤษได้ดังนี้ " a DOWRY  is the Money  or Personal Property brought by bride to her husband at marriage " ****ทั้งนี้เพราะสินสอดที่ฝ่ายชายมอบให้ฝ่ายหญิง  เขามีศัพท์ภาษาอังกฤษใช้อยู่ว่า  a  BRIDE  PRICE  เท่านั้น ***** ***** มิได้คิดขึ้นมาเองเพราะไม่มีความรู้ดีถึงขนาด แต่ได้คัดลอกเอามาจาก dictionary ระดับสากลทั่วโลก และจากข้อมูลสำคัญแหล่งอื่นๆ ไม่ว่า the  Britannica  Concise Encyclopedia ,Webster, หรือ   the Business Dic. , ฯลฯ  มาเผยแพร่ให้ทราบทั่วกัน***** แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 51 03:35:59 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 51 21:05:54 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 51 20:46:23 จากคุณ : วันนี้ขอเป็นนักภาษาศาสตร์บ้าง (Detente) - [ 13 มี.ค. 51 20:25:13 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เห็นด้วยกับคุณ โจ๊กหมูไม่เอาชูรสมากเลยค่ะ เพราะเจอปัญหานี้มากับตัวเหมือนกันเป๊ะเลยค่ะ เคยต้องถกกันกับแฟนยาวเลย สุดท้ายก็ชั่งใจตัวเองว่า แฟนเราเป็นคนเหนียวกับเรากับญาติพี่น้องเรารึเปล่า ก็เปล่าเลย รักเราดีกับเราทุกอย่าง เพียงแต่เราต่างกันที่ตรงวัฒนธรรม เคยคิดเหมือนกับที่ใครๆหลายคนคิดว่า เค้ารักที่จะแต่งงานกับคนไทยก็ต้องปฎิบัติตามประเพณีไทยสิ แต่เค้าก็โต้แย้งได้ว่าถ้าจะให้เค้าทำตามประเพณีไทย เราก็ต้องทำตามประเพณีเค้าด้วยพบกันครึ่งทาง สำหรับเราแล้ว จะให้ทำครึ่งทางนั้นได้ แต่ทั้งสองฝ่ายก็จะรู้สึกไม่ดีต่อกัน เราต้องอยู่ร่วมกับคนนี้ไปตลอดชีวิต เพราะเค้าเป็นคู่ชีวิตเรา ส่วนพ่อแม่ผู้มีพระคุณ เราก็ต้องดูแลท่านชั่วชีวิตเหมือนกัน ทำยังไงถึงจะไม่ให้บัวช้ำน้ำขุ่นทั้งสองฝ่าย เลยตัดสินใจไม่แต่งงานแบบไทยเลยค่ะ จดทะเบียนสมรสแล้วเข้าโบสถ์เลย จะดีก็ตรงที ครอบครัวเราทั้งสองเป็นคริสเตียน เลยเอามาเป็นข้ออ้างได้ ว่าไม่อยากจะจัดงานซ้ำซ้อนให้เอิกเริก ส่วนพ่อแม่ก้ไม่ได้ติดใจเงินสินสอด เพราะเค้าเข้าใจดี ส่วนใหญ่ที่เป็นปัญหากันเพราะว่าเราต้องจัดงานแบบไทยๆ แล้วต้องมีขบวนขันหมาก ผู้คนก็เอาไปพูดกัน พอตัดตรงนี้ออกไปได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วค่ะ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ในกรณีที่เข้าใจกันทั้งสองฝ่ายนะคะ แฟนก็สบายใจ พ่อแม่ก็สบายใจ ไม่ขุ่นข้องหมองใจกัน ส่วนญาติพี่น้องคนอื่นๆ ที่ไม่ค่อยสนิทก็จะมีพูดบ้างแหละค่ะ แต่เราไม่สนใจ เพราะเราถือหลักความสบายใจของคนที่เราอยู่ใกล้ชิดทั้งสองฝ่าย อีกเรื่องหนึ่งที่ยังถกกันไม่หายคือหลักกตัญญูอย่างที่บางท่านกล่าวมา เราก็ว่าไปตามที่เราปลูกฝังกันมาเลยว่า ลูกต้องทดแทนบุญคุณพ่อแม่แก่มาต้องเลี้ยงดู แต่เค้ากลับว่า พ่อแม่ต้องคอยดูแลเรา พ่อแม่จะไม่ยอมให้ลูกมาเสียเงินเสียเวลาด้วย เค้าจะเก็บเงินของเค้าไว้ตอนที่แก่เฒ่าไม่ให้ลูกหลานลำบากเวลาเจ็บป่วย มีแต่มาเยี่ยมมาดูแล เท่านั้นเรื่องเงินพอ่แม่เค้าไม่รับเลย เราก็คิดตามประสาคนไทยว่า เห็นแก่ตัวจัง แต่เค้าปลูกฝังกันมาอย่างนี้ค่ะ ว่าเค้าต้องดูแลตัวเอง เพราะลูกพอมีครอบครัวไปลูกก็ต้องดูแลครอบครัวของลูกต่อ ดูแลกันไปเป็นทอดๆ แล้วเค้าก็ว่ากลับมากลายๆว่า พอ่แม่คนไทยทำไมเลี้ยงลูกเพือหวังผลภายหน้า ไหนว่าความรักพ่อแม่เป็นความรักที่ไม่หวังผลตอบแทนไง เราก็ต้องยกข้ออธิบายเค้าไปอีก เห็นมั้ยคะ มันเป็นเรื่องของการปลูกฝังวัฒนธรรม เรามองจากมุมของเรา เค้ามองจากมุมของเค้า กลายเป็นคนละเรื่องคนละความรู้สึกกันเลย ทุกวันนี้ เราก็เก็บเงินส่วนตัวไว้ ให้สำหรับดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่าเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และทำประกันเรียบร้อย ส่งเงินให้ท่านตามสมควร (เป็นเงินส่วนตัว) ท่านก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร แต่เราเห็นว่าเป็นเรื่องสมควรทำ ถ้าวันหนึ่งในอนาคต เกินพ่อแม่ลำบากเราต้องช่วย เราจะไม่ได้ต้องมาเถียงกันกับแฟน ในเรื่องนี้ให้เป็นปัญหาภายในครอบครัวเปล่าๆ ส่วนพ่อแม่เค้าเราก็ดูแลด้วยเหมือนกับพ่อแม่เรา อาจจะไม่ต้องเรื่องเงิน แต่ด้วยการปรนนิบัติตามหน้าที่ลูกสะใภ้ เค้าก็ภูมิใจในตัวเรา เห็นมั้ยคะ การแต่งงานกับคนที่ไม่ใช้ชาติเดียวภาษาเดียว ไม่ง่ายเลย ทำไมใครๆก็เห็นดีว่าแต่งงานกับฝรั่งแล้วสบาย ไม่จริงไปซะทุกเรื่องหรอกค่ะ จากคุณ : +_+ - [ 13 มี.ค. 51 20:47:10 A:124.77.121.212 X: TicketID:170750 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เราก็กำลังคิดเรื่องนี้เหมือนกันเพราะมีแฟนเป็นอเมริกัน เค้าก็ไม่คิดว่าเราจะต้องดูแลพ่อแม่เหมือนกัน ของเราโชคดีหน่อยที่พ่อแม่เราทำงานหาเงินได้มากกว่าเราหลายเท่า เงินเดือนจิ๊บๆ ของเราเค้าเลยไม่ต้องการ และคงไม่ต้องให้เงินเลี้ยงดูตอนแก่เฒ่าด้วย ทางบ้านเราก็ไม่เคยสอนว่าพอพ่อแม่แก่เฒ่าแล้วต้องมาดูแล แม่เราบอกเสมอว่าลูกเอาตัวเองให้รอดพ่อแม่ก็ดีใจแล้ว แต่เราคิดว่าถ้าหากพ่อแม่แก่จนไม่สามารถช่วยตัวเองได้ หรือว่าอยู่คนเดียว เราก็ต้องรับมาอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นต่างประเทศหรือที่ไหนก็ตาม พอไม่มีเรื่องว่าต้องช่วยพ่อแม่ support financial อะไรทำนองนั้น เรื่องสินสอดก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง สำหรับเราท่าจะแต่งจริงๆ คงยกเลิกเรื่องสินสอดไปเลยมั้ง เพราะแค่ค่างาน ฯลฯ ที่ฝ่ายชายออก เราว่าก็โขแล้วล่ะ จากคุณ : แพนด้าหน้าใส - [ 13 มี.ค. 51 22:06:17 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เราก็เคยพูดเรื่องนี้กับแฟนเหมือนกันคะ แฟนเป็นอเมริกันเหมือนกันคะ เราถามว่า เนี่ย ประเพณีแต่งงานนะ พ่อแม่จะเรียกเงินส่วนหนึ่ง เป็นค่าเลี้ยงดู คุณคิดว่า พ่อแม่ของฉันขายฉันกินหรือเปล่า? เขาตอบโดยไม่คิดเลยว่า ใช่ แล้วเราก็เคยถกเรื่องนี้หลายรอบเหมือนกันคะ แต่พอหลังๆ พูดเรื่องนี้ เขาก็จะแบบว่า โยนไปอนาคต แบบว่า เอาไว้ถึงตอนนั้นค่อยคุยกันใหม่ อะไรแบบนี้อ่ะคะ - -" แต่อย่างพี่น้องคนอื่นๆ นะคะ แม่เราจะเรียก 1 แสนบาท หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว แม่เราก็คืนให้ลูกที่เป็นเจ้าสาวนะคะ ทองหมั้นก็ให้หมดเลย ไม่ได้เก็บเอาไว้ แต่ถ้าจะไปบอกกับแฟนว่า แค่เอามาเป็นพิธี แต่เวลาคืนก็ไม่ครบอีก เฮ้อ...ทุกวันนี้ก็เลยบอกกับตัวเองเหมือนกับที่แฟนบอกมา เอาไว้ถึงเวลาค่อยคิดแล้วกัน จากคุณ : วิหคลม - [ 13 มี.ค. 51 22:28:40 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ในความคิดของเรา เรื่องสินสอดเป็นประเพณีที่ควรจะยกเลิกได้แล้วค่ะ หรือถ้าจะให้มี ควรเป็นจำนวนที่เป็นสัญลักษณ์ เช่น เก้าร้อยเก้าสิบเก้า หรือเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้า หรือ มีสินสอดแต่หลังจากพิธีก็ต้องคืนให้บ่าวสาว เพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนไป สมัยนี้ผู้หญิงทำงานนอกบ้าน มีเงินเดือนเป็นของตัวเอง ไม่ได้ อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเหมือนเมื่อก่อน  อีกทั้งผู้หญิงก็เรียกร้องในเรื่องสิทธิสตรีกันมากขึ้น   กลายเป็นว่า ผู้หญิงจะไม่ยอมเสียเปรียบเลย  อยากมีสิทธิเท่าเทียมผู้ชาย แต่ก็จะเอาเงินสินสอดจากฝ่ายชายเช่นกัน   ถ้าบ้านไหนมีลูกชายคนเดียวและฐานะไม่ได้ร่ำรวยล่ะคะ  จะเอาเงินจากไหนไปขอผู้หญิง    ที่บอกว่าพ่อแม่อุตส่าห์เลี้ยงดูผู้หญิงมา แล้วพ่อแม่ฝ่ายชายล่ะคะ  พ่อแม่ผู้ชายเค้าก็เลี้ยงลูกเค้ามาเหมือนกัน  ลูกใคร ใครก็รัก ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ถ้าพ่อแม่มีลูกชายคนเดียว เมื่อลูกจะแต่งงาน ก็อาจช่วยสนับสนุนเงินสินสอด  แต่ถ้าพ่อแม่ผู้ชายไม่มีเงินล่ะ  ผู้ชายคงต้องไปกู้หนี้ยืมสินมา   ใช่ค่ะ ลูกเขยก้าวมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวฝ่ายหญิง ดังนั้นจึงสมควรดูแลพ่อแม่ฝ่ายหญิงด้วย  แล้วฝ่ายหญิงล่ะคะ ฝ่ายหญิงก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวฝ่ายชายเช่นกัน  แล้วทำไมในยุคปัจจุบันจึงให้ฝ่ายชายจ่ายค่าสินสอดอยู่ฝ่ายเดียวล่ะคะ  เราว่ามันไม่ยุติธรรมเท่าไหร่   พ่อแม่ฝ่ายหญิงบางคน ใช้คำว่าสินสอดเป็นข้ออ้างในการดูดเงินออกจากกระเป๋าว่าที่ลูกเขยอีก ยิ่งเป็นฝรั่ง คนไทยบางคนยิ่งคิดว่ารวย หายากค่ะ ที่ฝรั่งจะยอมรับความคิดเรื่องสินสอดนี้  เราว่า คงต้องพบกันครึ่งทางค่ะ  จะให้เค้ามายอมรับวัฒนธรรมไทยอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะเค้าไม่ได้โตมาแบบพวกเรา  คุณต้องเคารพในวัฒนธรรมของเค้าด้วย ที่บ้านเมืองเค้าไม่มีสินสอด  ถ้าคุณมีเงินพอ  อาจแก้สถานการณ์แบบคห. 10  จะได้สบายใจทั้งสองฝ่าย จากคุณ : Sonnenschein - [ 13 มี.ค. 51 23:04:49 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อ่านหลายๆความเห็นแล้วปวดหัวแทนเลยนะเนี่ย โชคดีจังญาติผู้ใหญ่ไม่มีใครอยู่กันแล้วเลยไม่ต้องจ่ายสินสอดให้ใคร จากคุณ : บนเส้นขอบฟ้า - [ 13 มี.ค. 51 23:49:47 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คุณ Detente เก่งจังค่ะ :) ที่สวีเดนมีคำว่า hemgift แต่ให้เป็นของขวัญ(จากเจ้าบ่าว)ในวันแต่งาน คำคล้ายๆกับ Dowry แต่ไม่รู้ว่า Dowry เป็นคำตรงกันค้ามคำที่ว่าสินสอด แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 51 01:53:36 จากคุณ : สาวใหม - [ 14 มี.ค. 51 01:50:38 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คุณ : ก๋าสะลองเงิน ใช่แล้วครับ อยากมีเมียไทยก็ควรรู้อะไรบ้าง ถ้ายังคิดว่าเขาขายลูกกินก็ไม่ควรมีเมียไทย เท่านั้นเอง จากคุณ : อิสวาสุ - [ 14 มี.ค. 51 02:15:53 A:71.114.84.246 X: TicketID:146114 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อืม ตอนแต่งงาน สินสอด 5000 เอง ใส่เป็นธรรมเนียมเฉยๆ คะ คุณแม่ไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย แล้วก็ให้ของขวัญแต่งงานเราสองคน แล้วงานแต่งงานพ่อแม่ฝ่ายชายก็เป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด แล้วก็ให้เงินก้นถุงมาด้วย สำหรับเรื่องนี้ เราคิดว่าขึ้นอยู่กัีบครอบครัวมากกว่า ว่าให้ความสำคัญกับเงินมากน้อยแค่ไหน ไม่ได้อยู่ที่ฐานะว่ารวยหรือจนด้วย แล้วตอนเป็นแฟนกัน ก็ไม่เคยพูดถึงหรอกว่า ถ้าจะแต่งงานเธอจะต้องมีสินสอดมาขอฉันนะ จากคุณ : Scooterella - [ 14 มี.ค. 51 03:05:27 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สินสอดถ้าขอเป็นจำนวนน้อยๆเพื่อเป็นศิริมงคลมันก็พอเข้าใจว่าเป็นประเพณี ถ้าขอเป็นแสนๆนี่ขนาดผมคนไทยเองยังเข้าใจว่าขายลูกกินเลย อย่าว่าแต่ฝรั่งเลย ยิ่งบางคนคิดค่าสินสอด ลงท้ายด้วยเลข $ XXX99.95 แล้วยังเก็บ sales tax อีกต่างหาก ทำให้ฝรั่งเข้าใจผิดว่ากำลังอยู่ในช่วงโปรโมชั่น ถ้าตั้งใจรับสินสอดเป็นพิธีแล้วจะคืนให้ที่หลัง เวลารับสินสอดก็ควรออกใบ mail-in rebate ให้เจ้าบ่าวเพื่อเค้าจะได้มั่นใจว่าไม่ได้จ่ายไปฟรีๆ ถ้าจะให้ฝรั่งมั่นใจขึ้นอีกต้องรับประกัน 30-days full refund or exchange (for mother) policy แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 51 11:51:06 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 51 08:13:23 จากคุณ : Tisco fan - [ 14 มี.ค. 51 07:23:49 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เราบอกเค้าไปว่าคนไทยมีเรื่องนี้นะ เค้าก็ทำหน้างงนิดนึง แล้วเราก็อธิบายต่อ ว่าเป็นธรรมเนียมในการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ของเรา ที่เลี้ยงเราจนถึงขั้นนี้ แถมยังเป็นการยืนยันว่าจะดูแลเราได้ แต่แม่เรากำชับไปด้วยว่า ธรรมเนียมบ้านเรา ผู้ชายออกสินสอด (ยืนยันว่ายังไงก็ต้องให้ ไม่งั้นไม่ให้แต่ง) แม่บอกว่า $10,000 เหรียญ แล้วทางผู้หญิงเป็นคนจ่ายค่าแต่งงานทุกอย่าง ส่วนซองที่ได้ ก็ให้เป็นของขวัญไป แต่..มีแต่ค่ะ แม่บอกว่า ชั้นไม่เอาเงิน $10,000 เหรียญไว้หรอก ได้แล้วก็จะคืนให้ แต่อาจจะไม่คืนให้ตอนแต่งเลย อาจจะคืนให้ทีหลัง ดูว่าถ้าเค้าเลี้ยงดูเราได้ดีแน่นอน ก็จะคืนให้เราทั้งคู่ แต่ (แต่อีกแล้ว) แต่ถ้าเค้าดันเลิกเรามา เงินส่วนนั้นแม่ก็จะให้เรา เอาไว้ตั้งตัว ทำนองเนี้ยะอ่ะค่ะ แถมไปแต่งที่เมืองไทย แต่งเสร็จก็จะไปหัวหิน กะ เชียงใหม่ต่อ แม่ก็จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดค่ะ แม่บอกว่า $10,000 นี่ คือเท่ากับตอนที่พ่อขอแม่แต่งงาน เมื่อ 30 ปีที่แล้ว 10,000 นี่ก็เยอะเนอะ จากคุณ : ~~FrOm NoW oN~~ - [ 14 มี.ค. 51 07:26:04 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่ได้แต่งงานค่ะ  เพราะไม่อยากจะเอาเงินมาใช้จ่าย อย่างไร้ประโยชน์ พลอยไม่สนหรอกว่าใครจะว่ายังไง เพราะไม่ได้ไปขอใครรับประทาน ถ้ามัวแต่คิดว่าคนจะดูถูก....แล้วไปหากู้เงินเค้ามาจัดงานแต่งก็คงไม่ไหว เพราะตอนนี้เป็นช่วงสร้างเนื้อ สร้างตัวค่ะ เมื่อก่อนเคยคิดว่าต้องการจะจัดงานแต่งเพื่อเอาหน้าเอาตาให้กับวงศ์ ตระกูล แต่พอมาคิดๆ ดูอีกที จะทำไปเพื่ออะไร เมื่อทำแล้วครอบครัวของเรามาเดือดร้อนทีหลัง  เมื่อก่อนเคยแคร์สายตาคนรอบข้าง แต่เดี๋ยวนี้ขอแค่พ่อกับแม่เราเข้าใจก็พอ เคยลองคุยกับแม่เมื่อไม่นานมานี้ ว่าจะจัดงานแต่งให้ถูกต้องตามประเพณี ค่าสินสิดแค่ 9999 บาท แม่ก็บอก อายเค้า พลอยก็เลยถามว่า แล้วทำไม่จะต้องทำตามคนอื่น ที่เค้าแต่งกันแล้วก็เอาเงินคืน....แม่ก็ไม่ยอมค่ะ กลัวเสียหน้า ที่ลูกมีสามีฝรั่ง แต่เงินสินสอด ช่างน้อยนิด ทีแรกพลอยกะว่าจะจัดงานแบบนี้เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ชาวบ้าน ว่างานแต่งงานที่ถูกต้องคืออะไร ไม่ใช่ หวังแต่จะเอาหน้า เอาตา...โดยไม่นึกถึงขนบ ธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม.. ไม่ยอมก็ดีค่ะ จะได้ไม่ต้องมีงานอะไรขึ้นเลย ไม่ต้องเปลืองเงิน เปลืองทอง สู้เอาเงินจัดงานเลี้ยง พาครอบครัวไปเที่ยวดีกว่า หรือเก็บไว้ลงทุนทำอะไร เพื่อครอบครัวจะดีกว่า.... **ไม่ได้พาดพิงถึงใครค่ะ เพียงแค่ระบาย ความรู้สึกของตัวเองเท่านั้น** จากคุณ : Life@Texas - [ 14 มี.ค. 51 11:06:16 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ความคิดเรา เราว่าประเพณีนี้ยังไม่ควรจะยกเลิกค่ะ แต่ต้องเปลี่ยนความคิดของคนในบางเรื่อง ซึ่งก็คือพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะดีกว่า ที่ว่าไม่ควรยกเลิก เพราะ จริงอยู่ที่เดี๋ยวนี้ ญ ทำงานนอกบ้าน หาเงินเองเหมือน ชายแล้ว  แต่ต้องยอมรับว่าในสังคมไทย ยังมีแนวคิดลึกๆว่า ผู้หญิงยังด้อยกว่าชาย  ทำให้ผู้หญิงยังเสียเปรียบในหลายๆเรื่อง (ดูอย่างกฎหมายไทยปะไร  ตั้งหลายอย่างที่ให้อำนาจชายหรือสามีมากกว่าภรรยา) สิ่งที่เสียเปรียบ ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น -ผู้หญิงแต่งงานแล้ว ถ้าต้องหย่า ยังไงสังคมก็ยังไม่ยอมรับเท่า ช ที่แต่งแล้วหย่า -บ้านเรายังไม่มีกฎหมายเรื่อง discriminate ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว บางทีหางานยากกว่า ญ โสดก็มีเยอะแยะไป -ถ้าผู้ชายทอดทิ้งไปมีเล็กมีน้อย มีเมียใหม่ สังคมไทยยังไม่ประณามเท่าไหร่ (อาจจะด่านิดหน่อยพอเป็นพิธี) แต่กลับกัน ญ ทำอย่างนั้นไม่ได้เลย เงินสินสอดส่วนนี้ พ่อแม่ผู้หญิงเค้าเห็นว่า มันเป็นเหมือนเครื่องประกันความมั่นคงของ ญ ที่แต่งงานแล้ว ว่าต่อไปถ้าสามีทอดทิ้ง หรือตกระกำลำบากอะไร จะได้มีเงินตั้งตัวได้ ดังนั้นเราถึงคิดว่า ในสังคมไทย เงินและประเพณีนี้ยังควรจะมีอยู่ ตราบใดที่ความคิดของคนไทย ยังเป็นไทยๆอยู่ ยังไม่เป็นตะวันตก 100 เปอร์เซนต์ ส่วนเรื่องที่คิดว่าควรจะเปลี่ยนคือ ความคิดของพ่อแม่ฝ่าย ญ บางคน ที่คิดจะเรียกลูกสาวแพงๆ แล้วเก็บเงินไว้กับตัว  แบบนั้นตะหากที่ไม่ควรมี และผิดวัตถุประสงค์ ควรจะเรียกให้สมน้ำสมเนื้อ ดูลูกเขยด้วย ถ้าเพิ่งเรียนจบ เพิ่งตั้งตัว ก็ไม่ต้องเรียกแพง  และเงินก็ควรจะคืนให้ลูกสาวตัว ส่วนแฟนคุณที่เป็นฝรั่ง เราเห็นด้วยกับ คห ข้างบนที่บอกว่า ถ้าเค้ารักจริง ควรจะเข้าใจประเพณีนี้ของไทย และศึกษาข้อมูลเองด้วยซ้ำค่ะ จากคุณ : Queen of hearts - [ 14 มี.ค. 51 12:39:49 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ของเราเหมือนน้องกาสะลองเงินเลยค่ะ... เค้าเรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมไทยมาแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เริ่มคบกัน ก็คุยปรึกษากัน เค้าถามถึงที่มาที่ไปของ Sin Sod เราก็บอกว่า เป็นการให้เกียรติและสร้างความเชื่อมั่นแก่ครอบครัวฝ่ายหญิงตามประเพณีไทย และสำหรับครอบครัวเรา เท่าที่เคยมีพี่ชายและน้องชายเราทั้งสามคนแต่งงาน ครอบครัวฝ่ายหญิงก็คืนสินสอดทั้งหมดแก่ครอบครัวใหม่ ส่วนตอนพี่สาวแต่ง ครอบครัวเราก็คืนสินสอดทั้งหมดให้เหมือนกัน พอตอนเรา คู่หมั้นเราก็บอกเลยว่าเค้าให้เราเก็บไว้เพื่อเป็นเงินทุนในอนาคตของเราสองคน ....... จากคุณ : Sao'Padlung - [ 14 มี.ค. 51 16:15:57 ]

ความคิดเห็นที่ 25 หลายๆท่านก็ึคงมีประสบการณ์ต่างกันไป ดิฉันขอแชร์บ้างนะคะ แฟนดิฉันไม่เคยรู้วัฒนธรรมไทยมาก่อนเลย แต่เราก็ึ่ค่อยๆอธิบายให้เค้าฟังแบบตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมว่า เวลาหมั้นกันนั้น ฝ่ายชายต้องมีสินสอดให้ฝ่ายหญิง มันเป็นธรรมเนียมที่มีกันมานานแล้ว เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณของบิดามารดา ที่เลี้ยงดูเรามา แล้วแต่ว่าทางครอบครัวหญิงเรียกร้องมาเท่าไหร่ และสามารถตกลงกันได้ ตอนใหม่ๆเค้าก็ไ่ม่เข้าใจอยู่ดี แต่ก็ต้องทำตามเพราะไม่อยากให้เราเสียใจ เราหมั้นกันแบบง่ายๆ แม่ดิฉันไม่ได้เรียกร้องอะไรเลยค่ะ บอกว่าแล้วแต่ทางแฟนจะให้ แฟนก็มาถามดิฉันว่าเท่าไหร่ดี ดิฉันก็พะอืดพะอมเหมือนกันค่ะ แต่ก็บอกไปว่า แค่สองร้อยเหรียญก็พอ (ตอนนั้นมีเงินเป็นเหรียญไม่ได้แลก) ถือว่าให้เป็นของขวัญกับแม่เล็กๆน้อยๆ และก็ซื้อทองหมั้นอีกนิดหน่อย ดิฉันมองว่าเราไม่ได้ให้เงินแม่แค่ก้อนเดียว แต่เราต้องเลี้ยงท่านไปอีกนานเมื่อท่านแก่เฒ่า เราค่อยๆให้แม่ทีละนิดทีละน้อย และมันก็จะซึมซับไปที่ความคิดแฟนเองค่ะ ตอนนี้เค้าถึงกับเอ่ยปากเองเลยว่า ถ้าแม่ต้องการความช่วยเหลือเรื่องอะไร ให้แม่บอก ของแบบนี้มันไม่ได้เปลี่ยนความคิดกันง่ายๆ ต้องให้เวลาเค้าเข้าใจและเรียนรู้วัฒนธรรมของเรา เหมือนกับที่เรามาอยู่ต่างแดน ก็ต้องปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมที่นี่เหมือนกันค่ะ จากคุณ : thaispicy - [ 14 มี.ค. 51 22:57:44 ]

ความคิดเห็นที่ 26 สาระดีจังเลยครับ จากคุณ : Esprite - [ 15 มี.ค. 51 05:11:17 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เข้ามาขำคุณ Tisco fan จากคุณ : ศรีธนา - [ 15 มี.ค. 51 07:06:44 ]

ความคิดเห็นที่ 28 แฟนพลอยก็ถามบ่อยๆ คะ เค้าอยากจะมาสู่ขอทำให้เป็นเรื่องเป็นราวไปค่ะ แต่พอบอกจำนวนเงินแล้ว เค้าบอกว่ามันเยอะมากๆ พลอยก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร...เราเดินกันคนละครึ่งทางค่ะ เค้าจะพยายามปรับตัวทุกอย่างเลยค่ะ ให้เค้ากับครอบครัวพลอยให้ได้ และเค้าก็ทำได้ดี เค้ารู้ว่าวัฒนธรรมเราเป็นยังไง เป็นอย่างดี เพราะพลอยจะบอกเค้าเสมอ เค้าได้มาเมืองไทย หลายครั้งและได้พบปะญาติพี่น้องพลอยก็บ่อย ได้มางานบวช และแต่งงาน ด้วย แต่พลอยรักเค้า และเรารักกัน พลอยไม่อยากให้เค้าคิดมาก เรื่องแบบนี้ เพราะเค้าก็ไม่ใช่คนรวยอะไร ทำงานงกๆ กว่าจะได้เงินมามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าเกิดเอาเงินที่เก็บมา เพื่อมาแต่งงาน เรา แล้วกลับไปบ้าน ไม่มีตังค์ซื้อข้าวกินก็คงแย่ แต่เราตกลงกันค่ะ ว่าพลอยต้องดูแลพ่อแม่ เพราะว่าตามประเพณี และความเป็นจริง คนไทยต้องดูแล พ่อแม่ เพราะว่าพ่อแม่ไม่ได้รวย ไม่มีงานทำ และไม่ได้มีเงินถุงเงินถัง... ถ้าไม่เลี้ยง พ่อกับแม่ แล้วใครล่ะจะมาเหลียวแล... และเค้าก็เข้าใจค่ะ ว่าพ่อแม่ ของเราไม่มีเงินบำนาญ เหมือนประเทศเค้า จากคุณ : Life@Texas - [ 15 มี.ค. 51 09:00:55 ]

ความคิดเห็นที่ 29 I will have wedding with my boyfriend March 30,2008. That true it not easy to explaination to your boy freind about Sinsod.I tried to explaination to him for half year before wedding, Right now everything it fine for us. Due to my parent promise him. All of Sinsod that will give back to me, Then he said noproblem....That my husband in the future .....Crazy.. จากคุณ : Namwan - [ 16 มี.ค. 51 17:39:44 A:125.27.1.237 X: TicketID:170977 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ลูกพี่ลูกน้องเรา  ก็กำลังจะต้องอธิบายเรื่องนี้ให้แฟนฝรั่งเศส รู้อ่ะ มีใครพออธิบายให้ได้ไหมคะ  ค่าสินสอดอ่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : สลัดผักรวม - [ 21 มี.ค. 51 14:11:42 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แม่ของเราก็คิดคล้ายกับความเห็นของคุณ Frow now on คะ แต่แม่ว่า เราเป็นผู้หญิงไม่ควรจะไปอยู่กับเขาแบบตัวเปล่าๆ ควรมีทรัพย์สินติดตัวไปบ้าง เขาจะได้ไม่ดูถูก และเผื่อดูแล้วทีท่าไม่ดี ก็จะได้นำทรัพย์สินจากตรงนี้ เพื่อจะกลับมาอยู่บ้านเราตามเดิมได้ จากคุณ : วิหคลม - [ 23 มี.ค. 51 23:42:42 ]