วันนี้ขอเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการเขียน Statement of Purpose (SOP) เพื่อเรียนต่อนะครับ ... ข้อความทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ถือว่าเป็นการแบ่งปันประสบการณ์มากกว่าเป็นคำแนะนำที่ต้องทำนะครับ
นอกจากปัญหาเรื่องภาษาที่หลายๆ คนกังวลแล้ว ผมสังเกตว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการเขียน SOP นั่นก็คือ การกังวลใจ โดยเฉพาะกังวลว่า SOP จะดีหรือเปล่า จากประสบการณ์ของผมความกังวลนี้สำคัญมาก เพราะว่ามันทำให้ผมไม่ได้เริ่มเขียนสักทีในตอนแรกๆ (ฮ่าๆ) เพราะว่าเขียนแล้วต้องไม่ดีแน่ๆ เลย
ผมว่าถ้าจะกำจัดความกังวลนี้ออกไปไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะว่าคนที่สมัครเรียนต่อก็ต้องกังวลกัน อีกทั้งหลายๆ คนมอง SOP เป็นปัจจัยสำคัญมากอันดับต้นๆ ในการตอบรับของมหาวิทยาลัย แต่ผมมีเทคนิคง่ายๆ ที่อาจจะได้ผล นั่นคือเริ่มเขียน SOP ของตัวเองก่อนที่จะไปอ่านของคนอื่น หรือว่าอาจจะอ่านได้สัก 1-2 ฉบับเพื่อเป็นแนวทาง (ควรอ่านตัวอย่างที่อยู่ในสาขาเดียวกับที่เราจะเรียนนะครับ เพราะว่าแต่ละสาขาจะมีวิธีการเขียนเป็นของตัวเอง) ผมคิดว่าถ้าอ่านเยอะเกินไปแล้วเหมือนยิ่งเป็นการสร้างแรงกดดันให้ตัวเอง เพราะส่วนมากตัวอย่างที่อยู่บนเว็บไซต์นั้น เป็นตัวอย่างที่คัดเลือกมาแล้ว หลังจากอ่านเสร็จแล้วก็ไปดูหัวข้อที่เราต้องเขียน แล้วเริ่มเขียน
ทีนี้พอจะเริ่มเขียน หลายๆ คน (รวมทั้งผม) ก็ถามตัวเองว่า "แล้วจะเริ่มตรงไหนดีหละ?" ถ้าคุณเป็นเหมือนผม คุณจะรู้สึกว่า เราต้องใส่อะไรลงไปมั่ง คือรู้ว่าต้องพูดเรื่องการเรียน ประสบการณ์ แล้วทำไมถึงอยากเรียนที่นี่ แต่ในขณะเดียวกันก็สับสนว่าแล้วควรเขียนมุมในของหัวข้อเหล่านี้?
ผมเริ่มด้วยการถามตัวเองดังนี้
1. ทำไมถึงอยากเรียนสาขานี้ อะไรเป็นแรงจูงใจ (นอกเหนือจากความอยากเรียน หรือ "ต้อง" เรียนเพื่อครอบครัว หรือการงาน)
2. หนังสือ ประสบการณ์ อาจารย์ วิชา/คอร์ส หรือเหตุการณ์ไหนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องเรียนต่อ
3. มีหนังสือ หรือคำพูดไหนที่เราได้ยิน ได้อ่านแล้วรู้สึกว่า "นี่แหละ อยากรู้ต่อว่าจริงๆ แล้วมันเป็นยังไงกันแน่"
4. ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่เรียน
5. ทำไมมหาวิทยาลัยนี้ต้องรับเรา เรามีอะไรดี
6. แล้วอะไรที่ดีๆ ของเรานั้น เรามีตัวอย่างมารองรับหรือไม่ (คือไม่ใช่แค่บอกว่า "ผมเป็นคนที่ตั้งใจเรียน" แต่ให้บอกเกรดแทน หรือไม่ใช่แค่บอกว่า "ผมมีความเป็นผู้นำ" แต่ให้เล่าถึงตำแหน่งงาน หรือกิจกรรมในมหาวิทยาลัยที่แสดงความเป็นผู้นำของเรา)
7. ตอนเรียนเคยทำโครงการ/โครงงานไหนที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่เราสมัครหรือไม่ แล้วเราได้เรียนรู้อะไรจากโครงการ/โครงงานนั้น
8. มีหัวข้อไหนอีกที่คำถามถาม แล้วเราต้องตอบ
สรุปอย่าเพิ่งไปมองว่า SOP จะต่างจากคนอื่นหรือโดดเด่นยังไง ขอเพียงเริ่มต้นก่อน
ผมแนะนำว่าอย่าตอบคำถามเหล่านี้ในใจ แต่ให้เขียนออกมาเลย หลังจากตอบคำถามเหล่านี้แล้วก็เริ่มนำคำตอบมาปะติปะต่อกันเป็นเรียงความ จากนั้นค่อยมาดูว่าเราจะทำให้ข้อความเราเด่นได้ยังไง หลังเขียนเสร็จแล้วควรหาคนตรวจทานให้ทั้งเรื่องของแกรมม่าร์ และเรื่องของข้อมูลว่ามากหรือน้อยไป หนักหรือยังไม่แข็งแรงพอ
(ถึงตรงนี้ผมต้องขอบคุณพี่สมาชิกคนหนึ่งที่คอยให้คำแนะนำ และตรวจให้ผมครับ)
เทคนิคอื่นๆ
1. อ่านโจทย์ให้ละเอียด ว่าเราต้องเขียนเรื่องอะไรบ้าง และจำนวนคำเท่าไหร่
2. อย่าคิดว่าเขียน 1 ฉบับแล้วพอ ผมเองเขียน 7-8 drafts และ draft แรกๆ ก็ต่างจากหลังๆ โดยสิ้นเชิง เรียกว่ารื้อทิ้งหมด และเริ่มต้มใหม่หมดตั้งแต่แรกจนจบ
3. อย่าพยายามใส่ทุกอย่างลงไป ... ตอนผมเขียน draft แรกๆ รู้สึกว่ามีหลายๆ อย่างที่อยากเขียน เหมือนอยาก "show off" ว่าเราอ่านเยอะนะ ดูเวอร์เข้าไว้ เอาคำพูดหรูๆ จากหนังสือเล่มนั้นนิด เล่มนี้หน่อย สุดท้ายขมวดปมเข้าไม่ได้ เพราะว่ามันเยอะจัด และที่สำคัญ --- ค้นพบว่าสิ่งที่เราเขียนไป ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการเขียนจริงๆ แต่เป็นสิ่งที่เราต้องการเขียนเพื่อให้เราดูดี!!! ตรงนี้สำหรับผมเป็นปัญหามาก เพราะว่ามันไม่มีความเป็นตัวเราเลย มันกลายเป็นใครไม่รู้ที่เขียน SOP นี้ แล้วความโดดเด่น (unique) มันจะมาได้ยังไง ผมใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนกว่าจะรู้ว่าปัญหาที่แท้จริงของการเขียน SOP ของผมคืออะไร และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมรื้อใหม่หมด เรียกว่าโยนทิ้งไปหมดเลย และมาเขียนสิ่งที่แสดงตัวตนของเราจริงๆ เขียนในสิ่งที่เราอยากเขียนจริงๆ
4. พยายามหาปมให้ได้ ปมในที่นี้คือ สาเหตุว่าทำไมเราถึงเรียนสาขานี้ ผมว่าปมเป็นสิ่งสำคัญด้วยสาเหตุ 2 ประการ
4.1 มันจะเป็น thesis statement ของเรา ทุกครั้งที่เราเขียน เราจะไม่หลุดไปจากสิ่งสำคัญนั่นคือ ทำไมเราถึงอยากเรียนสาขานี้
4.2 ถ้าปมคุณน่าสนใจ คุณจะโดดเด่นจากผู้สมัครคนอื่นทันที ... ขอยกตัวอย่างนะครับ อย่างผมสมัครเรียน English Composition and Rhetoric (วิชาเน้นการเขียนเชิงวิชาการและวาทศิลป์) ผมเริ่มต้นปมด้วยคำพูดของอาจารย์ผมที่เคยพูดไว้ว่า "คุณอย่าไปลงวิชาการเขียนอีกนะ เพราะว่าคุณเขียนห่วยแตกมาก" ในความเห็นผมเอง ถ้าเป็นคนอ่าน ผมคงรู้สึกว่า "เออ เห้ย ไอ้นี่เคยโดนอาจารย์บอกว่าเขียนห่วยแตก แล้วทำไมกล้าที่จะเรียนวิชาการเขียนหละเนี่ย" แต่ผมก็ได้อธิบายทันทีว่าผมหาทางแก้ไขปัญหาการเขียนยังไง แล้วจุดนี้เองทำให้ผมหันมาสนใจศาสตร์ทางด้านนี้ ...
(ผมตัดสินใจนานพอสมควรที่จะเริ่มหัวข้อแบบนี้ เพราะว่าถ้าเขียนไม่ได้ ก็เหมือนเป็นการฆ่าตัวเอง เพราะว่าเท่ากับว่าผมบอกจุดด้อยของผมไปตั้งแต่เริ่มต้น แต่ผมก็เสี่ยงดูเพราะว่าเห็นว่าประโยชน์ของการเริ่มต้นแบบนี้
(1) ทำให้ผมแสดงให้มหาวิทยาลัยเห็นว่าเรามีความพยายามที่จะเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน (ตรงกับคำถามข้อ 6 ที่ผมเขียนไว้ข้างบนนะครับ บอกข้อดีของเรา โดยไม่พูดข้อดีตรงๆ ว่าเราชอบเรียนรู้ ค้นคว้าด้วยตัวเอง)
(2) มันเป็นปมที่ผมคิดว่าน่าจะดึงดูดคนอ่านได้พอสมควร
แต่อย่างที่บอกครับ ถ้าจะลองวิธีนี้ก็ต้องเสี่ยงหน่อยครับ)
5. ตัวอย่างที่ยกต้อง personal คือต้องเป็นเราคนเดียวที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ไม่ใช่ทุกคนเป็นเหมือนเราหมด และ specific คือไม่ใช่บอกว่าอยากเรียนเพราะว่าอยากรู้ว่าจะมีวิธีรักษามะเร็ง แต่บอกเลยว่า ตอนเรียนเคยเจอเคสผู้ป่วยมะเร็ง แล้วรู้สึกว่าทำไมโรคนี้ถึงคร่าชีวิตคนเป็นจำนวนมาก เป็นต้น
6. ลอง research มหาวิทยาลัยสักนิด เพื่อดูว่ามีอะไรที่เราพอจะเขียนได้บ้างในช่วงสุดท้ายของ SOP ผมว่าการทำแบบนี้จะแสดงให้เห็นว่าเราสนใจมหาวิทยาลัยเค้าจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่บอกว่า "มหาวิทยาลัยนี้ดี มีอาจารย์เก่ง" แต่ต้องบอกว่า ดียังไง อาจารย์คนไหนเก่ง เป็นต้น
ขอให้โชคดีครับ
ป.ล. ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นของผมนะครับ อาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็นไม่ว่ากันครับ ผมอยากให้เพื่อนๆ ช่วยแบ่งปันประสบการณ์ด้วยเช่นกันครับ
(อีกนิดนึงไม่เกี่ยวกับ SOP นะครับ ... เวลาขอ recommendation ถือว่าสำคัญครับ มีมหาลัยนึงโทรมาสัมภาษณ์ แล้วก็พูดถึง recommendation ฉบับหนึ่งที่อ. ผมส่งไป เค้าบอกว่า "คุณสนใจเรียนสาขานี้เพราะว่าอ. คนนี้หรือเปล่า เพราะว่าอ. คนนี้ถือว่าเป็นคนที่มี "power in the field"" ดังนั้นพยายามหาอ. ดังๆ ครับ ผมว่าน่าจะมีส่วนมากๆ
สำหรับพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ ที่ต้องเขียน recommendation เอง (ซึ่งผมรู้สึกว่าไม่เหมาะสม) พยายามเน้นตัวอย่างไว้ครับ อย่าพูดแค่ว่า "นักเรียนคนนี้ดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้" แต่ไม่ยกตัวอย่าง ผมได้อ่าน rec. ที่อ. คนนั้นของผมส่งไป ท่านใส่ตัวอย่างงานของผม และความเป็นเอกลักษณ์ของผมไว้อย่างดี ซึ่งผมเชื่อว่าจุดนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผม unique ครับ)
15 มี.ค. 2551
แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 51 09:56:15