Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เรื่องที่เค้าไม่ค่อยบอกกัน แต่ควรรู้ไว้ก่อนมาอเมริกา{แตกประเด็นจาก H6457871}

    ค่ะ ขอบคุณทุกความคิดเห็นค่ะ แต่ก็อยากย้ำอีกครั้งนะคะ ว่านี้เป็นมุมมองของเรา แล้วก็เป็นแค่แง่คิดในบางมุมเท่านั้น เราแค่อยากบอกให้คนได้รับรู้ไว้ค่ะ ว่าถ้าได้ยินใครที่เค้าบอกว่า มาทำงานร้านอาหารไทยที่นี่แล้วสบาย ได้เงินเดือนนึงเป็นแสนบาท ขอบอกว่าจริงครึ่งเดียวค่ะ คือได้เงินเดือนนึงเป็นแสนบาท แต่พอคิดมาเป็นเงินที่นี่แล้วนิดเนียวค่ะ แทบไม่พอค่าใช้จ่าย แต่อีกครึ่งนึงที่ไม่จริงคือสบายค่ะ ไม่สบายเลย แล้วที่ได้เป็นแสนบาทเนี่ย ก็ต้องทำงานหนักสิบสองชั่วโมง แถมยังเป็นการยืนเกือบตลอดเวลา แล้วก็ทำงานแทบไม่มีวันหยุดค่ะ

    ส่วนท่านที่อยู่สบาย ก็ขอบอกว่าโชคดีมากค่ะ ที่มีคนดูแลแล้วก็เลี้ยงดู

    ในเรื่องประเด็นที่ว่าชี้ช่องให้ในเรื่องกฎหมายนั้น ไม่มีเจตนาอย่างนั้นค่ะ แค่อยากให้คนที่คิดจะมาหางานทำที่นี่ คิดซักนิด บางทีถ้าเรานั่งไตร่ตรองอีกนิด อาจจะมีหนทางหรือช่องทางที่ดีกว่า การมาที่นี่ก็ได้ค่ะ เพราะอย่างน้อยอยู่เมืองไทยก็พูดภาษาไทย การสื่อสารมันเข้าใจง่ายกว่ากัน สังคมธรรมเนียม วัฒนธรรมเดียวกันค่ะ

    อีกอย่างถ้าคิดจะมาแล้วทำงานไป จนปล่อยให้วีซ่าขาด อันนี้ก็อยากขอใหคิดต่ออีกนิดว่า ถ้าเรายังมีครอบครัวอยู่ที่เมืองไทย ยังมีพ่อแม่ แต่มีใครบางคนเป็นอะไร เราก็กลับได้ค่ะ แต่จะกลับมาที่นี่อีกไม่ได้ ซึ่งคนส่วนใหญ่เค้าก็เลือกใช้วิธีไม่กลับกันค่ะ

    ส่วนเรื่องจ้างแต่งงาน ก็ต้องอยู่ที่นี่จนกว่าเรื่องจะเรียบร้อย ซึ่งอย่างน้อยก็เกือบๆสองปี ถ้าใครเป็นอะไรที่เมืองไทยก็กรณีเดียวกันค่ะ

    แต่คนที่นี่ ส่วนใหญ่ถ้าเค้าอยู่กันมานานแล้ว ก็ไม่ค่อยคุ้นกับเมืองไทยแล้วค่ะ เพราะเค้าก็ปรับสภาพเป็นคนที่นี่ไปแล้ว มีบางคนก็เคยเปรย ๆ ให้เราฟังนะคะ ว่าถ้ากลับไปเมืองไทยจะทำอะไรดี จะอยู่ได้เหรอ สังคมอย่างนั้น อะไรประมาณนี้ ซึ่งในความคิดของเรา ประเทศนี้เป็นประเทศที่ควรมาโกยเงินค่ะ คือทำงานหนักๆ ไปเลยในช่วงที่เรายังพอทำได้ แล้วก็ตั้งเป้าไว้ว่าเราต้องการเท่าไหร่ หรือจะอยู่กี่ปี พอครบหรือได้แล้ว เราก็กลับค่ะ ยังไงอยู่เมืองไทยก็ดีกว่า(ในสายตาของเรานะคะ)

    เราถึงมาเล่าเรื่องราวให้ฟังไงคะ ว่ามุมมืดมันเป็นยังไง เพื่อที่ว่า ถ้าเพื่อนๆ ต้องการจะมาจริงๆ จะได้เตรียมตัวเตรียมใจรับ กับสิ่งที่อาจจะต้องเจอที่นี่ ซึ่งบางคนก็อาจจะโชคดีไม่เจอก็ได้ค่ะ

    แต่ก็มีเหมือนกันนะคะ สำหรับบางคนที่อยู่มายี่สิบปี แต่ไม่มีเงินเก็บเลย หรือกลายไปเป็นคนไร้บ้าน(โฮมเลส) ก็มีค่ะ
    แล้วคนที่นี่(ที่ไม่ใช่คนไทย)นิสัยใจคอก็แปลกประหลาด ไม่เหมือนคนไทยด้วยค่ะ คือบ้ากว่าคนไทยมา จะเป็นยังไงไว้จะมาเล่าค่ะ

    แต่วันนี้ที่จะมาเล่าให้ฟังคืองานแดนเซอร์กับบาร์เทนเดอร์ค่ะ เพราะสองงานนี้เนี่ยเราเคยทำมาแล้ว แล้วเราก็รู้สึกว่ามันก็เป็นงานนึงที่ทำรายได้ได้ดีทีเดียว ในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง แล้วก็ได้ค่าแรงเป็นชั่วโมงเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำของที่นี่ด้วยค่ะ

    เรื่องของเรื่องก็คือ จากตอนที่เรามาที่นี่แล้วไปทำอาชีพนวด(เป็นไงเดี๋ยวเล่าให้ฟังตอนหลังค่ะ) แล้วก็เลิก ก็เกิดไปเห็นประกาศเล็กๆ ในหนังสือพิมพ์ไทยที่นี่ค่ะ ว่าต้องการรับสมัครบาร์เทนเดอร์ แต่ด้วยที่ว่าเราเองเป็นคนไม่ดื่ม แล้วก็เลยไม่รู้ว่าจะทำยังไง แต่ด้วยความที่ต้องกินต้องใช้ ก็ลองเสี่ยงโทรไปหาเค้า ก็ได้ความว่าเป็นบาร์เต้น ซึ่งในที่นี่้เค้าเป็นบีกีนี่บาร์ คือนักเต้นจะใส่บีกีนี่เต้น จะไม่ถอดทั้งหมด

    อ้อขออธิบายนิดนึงนะคะ คือที่นี่บาร์แบ่งออกเป็นหลายแบบค่ะ คือเป็นแบบบาร์ธรรมดา ที่มีเหล้าเบียร์แล้วก็อาหารขาย หรือจะเป็นบาร์ที่มีใบอนุญาตขายได้แต่เบียร์ไวน์ แล้วไม่มีอาหารค่ะ ส่วนบาร์เต้น เท่าที่รู้จะแบ่งเป็นสามแบบค่ะคือ

    บีกีนี่บาร์ บาร์แบบนี้แดนเซอร์จะเต้นแบบไม่ถอดหมด จะใส่บีกีนี่ หรืออะไรก็ได้ที่ปิดบังส่วนบนและส่วนล่างไว้ แล้วบาร์ก็จะมีเหล้า และเบียร์ไวน์ขาย

    ทอปเลสบาร์ บาร์แบบนี้แดนเซอร์จะเต้นแบบใส่บีกีนี่ในเพลงแรกค่ะ ส่วนเพลงที่สองที่สาม(ส่วนใหญ่เค้าจะเต้นสองถึงสามเพลงต่อคนต่อรอบค่ะ) เค้าก็จะเริ่มถอดชิ้นบนเพื่อโชว์หน้าอกแล้วเต้นค่ะ ซึ่งบาร์แบบนี้ส่วนใหญ่เค้าก็จะมีแลปแดนซ์ด้วย คือการที่ลูกค้านั่งอยู่บนโซฟาหรือเก้าอี้ที่เค้าจัดไว้ให้ แล้ววางมือไว้ข้างตัว แล้วนักเต้นก็เข้าไปเต้นแบบตัวต่อตัวค่ะ แบบใกล้ชิดประมาณว่าเต้นบนตักตามชื่อน่ะค่ะ แต่ลูกค้าไม่มีสิทธิจับตัวแดนซ์เซอร์ เพราะเค้าจะมีการ์ดคอยดูแลค่ะ บาร์พวกนี้จะขายแต่เบียร์ค่ะ

    ส่วนประเภทสุดท้ายคือโทเทิลลี่นู้ด หรือนู้ดบาร์ค่ะ บาร์พวกนี้แดนเซอร์ก็จะเริ่มแบบเดียวกับสองบาร์ข้างบน แต่สุดท้ายแล้ว แดนเซอร์ก็จะถอดหมด จนไม่เหลืออะไรเลยค่ะ แล้วก็จะเต้นให้เราดูกัน แล้วบาร์ประเภทนี้ก็มีบริการแลปแดนซ์เหมือนกับทอปเลส แต่บางที่ที่พิเศษหรือหรูๆ เค้าก็จะมีไพรเวทแดนซ์ กับเบเซเลอร์แดนซ์รูม คืออย่างทอปเลสเนี่ย ทางบาร์เค้าก็จะจัดที่นั่งให้ลูกค้าเพื่อใช้บริการแดนซ์ในอีกมุมนึง แต่คนทั่วไปก็จะมองเห็นได้ค่ะ ส่วนไพรเวทรูมก็คือ แดนเซอร์จะเข้าไปเต้นในห้องกับคุณสองต่อสองโดยที่ลูกค้าข้างนอกจะมองไม่เห็น แต่เมื่อครบจำนวนเพลงที่คุณจ่ายเงินให้เค้าเต้นแล้ว ก็ต้องออกมาข้างนอกค่ะ(ส่วนเค้าจะทำอะไรกัน หรือจับกันหรือเปล่า อันนี้ไม่เคยตามเข้าไปดูค่ะ รู้แต่ว่าถ้าแดนเซอร์ไม่ร้องโวยวายก็ถือว่าเป็นกรณีปกติค่ะ) เราเองก็เคยถามแดนเซอร์คนอื่นว่าเข้าห้องส่วนตัวแล้ว ลูกค้าเลยจับหรือแต๊ะอั๋งมั๊ย เธอก็แค่ยิ้มๆ แล้วบอกว่าถ้าไม่มากเกินไป แล้วทิปดีเธอก็ไม่ว่าค่ะ ส่วนเบเซเลอร์แดนซ์ก็คือ คุณสามารถจองห้องเป็นส่วนตัวได้ หรือในกรณีที่คุณจะมีปาร์ตี้ส่วนตัวก็สามารถเอาแดนเซอร์เข้าไปเต้นเป็นส่วนตัว โดยที่ไม่ต้องออกมาปะปนกับลูกค้าข้างนอกค่ะ

    ต่อค่ะ หลังจากที่เราโทรไปสมัคร ก็ปรากฎว่าพี่ที่รับโทรศัพท์เป็นคนไทยค่ะ เราก็บอกเค้าไปตามตรงว่าเราทำอะไรไม่เป็นเลยนะ ภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยดีด้วย พูดไม่ค่อยรู้เรื่องฟังยิ่งแล้วใหญ่ แต่ก็พอได้ เค้าก็ให้เราลองไปดูค่ะ

    อีกอย่างนึงนะคะสำหรับเพื่อนๆ ที่คิดจะมาฝึกภาษาด้วยการทำงานในร้านอาหาร เราขอแนะนำให้ทำงานบาร์ดีกว่าค่ะ เพราะการทำงานในร้านอาหารก็แค่รับออเดอร์อาหาร แค่นั้นก็จบ ไม่ค่อยได้คุย แล้วอีกอย่างส่วนใหญ่ร้านอาหารเค้าก็จะรับแต่คนที่พูดภาษาอังกฤษคล่องหรือพอใช้ได้แล้วค่ะ

    ค่ะผลปรากฎว่าเราได้งานค่ะ แรกเริ่มเลยเราก็เลยเป็นบาร์เทนเดอร์ก่อนค่ะ ตอนมาเริ่มงานเดือนแรกๆ แทบไม่ค่อยรู้เรื่องเลยค่ะ ว่าลูกค้าต้องการอะไร เพราะฟังไม่รู้เรื่องค่ะ คุยก็ไม่ค่อยเป็น เพราะภาษาเรายังไม่ค่อยดี แต่อาศัยคุยบ่อยๆ ในที่สุดก็พัฒนาจนดีขึ้นค่ะ โดยเฉพาะภาษาด่าได้มาเยอะมากค่ะ(อันนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีค่ะ)

    แล้ววันแรกที่เราไปทำงานก็ตื่นตาตื่นใจมากเลยค่ะ เพราะในบาร์เนี่ยบาร์เทนเดอร์ เค้าจะถือว่าเป็นผู้จัดการไปในตัวค่ะ โดยจะต้องมีหน้าที่คอยดูแดนเซอร์ด้วยว่าเค้าทำอะไรที่ไม่ดีหรือเปล่า เพราะบางครั้ง ถ้าแดนเซอร์เค้าอยากไดทิปจากลูกค้ามากกว่าปกติ เวลาเต้นๆ อยู่ถ้าเราเผลอ เค้าก็อาจจะแอบเปิดโน่นเปิดนี่ให้ลูกค้าดูได้ แล้วถ้าเป็นตำรวจปลอมตัวมา แล้วเค้าเกิดจับขึ้นมา ไม่ใช่แค่แดนซ์เซอร์นะคะที่ต้องเสียค่าปรับ บาร์เทนเดอร์โดนด้วยค่ะ ค่าปรับก็เรียกว่าทำเอาจนเลยค่า สามพันเหรียญค่ะ แล้วก็โดนบันทึกประวัติด้วย

    แล้วด้วยเราเป็นคนใหม่ แถมเด็กกว่าใครๆ ด้วย เค้าก็เลยไม่ค่อยเกรงใจค่ะ แล้วตอนนั้นภาษาเราก็ไม่ดีด้วย(ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอกค่ะ) เค้าก็เลยไม่ค่อยฟังกันเข้าไปใหญ่

    แต่เราโชคดีค่ะ ที่บาร์นี้มีแดนเซอร์คนไทยอยู่คนนึงค่ะ เป็นรุ่นป้าแล้วชื่อว่าพี่เคค่ะ พี่เค้าทำมานานแล้วเกือบๆ ยี่สิบปี ไปมาจนทั่วแล้วด้วย แรกๆ ก็ได้พี่เคนี่แหล่ะค่ะที่คอยด่า คอยแนะนำ แล้วก็เป็นคนที่ชักพาเราเข้าวงการแดนเซอร์ด้วยค่ะ เป็นไงเดี๋ยวกลับมาเล่าใหม่ค่ะ ขอออกไปข้างนอกก่อนนะคะ

    จากคุณ : หลงผิด - [ 29 มี.ค. 51 22:52:13 A:75.25.14.7 X: TicketID:035483 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom