เรื่องแท๊กซี่ที่สนามบิน " สุวรรณภูมิ " ขอร่วมแสดงความเห็นตามที่มีประสบการณ์มา ดังนี้
1. ไม่ว่าที่ดอนเมือง หรือสุวรรณภูมิ แท๊กซี่ประจำสนามบิน คือแหล่งเงินแหล่งทองของเจ้าหน้าที่ที่นั่น (ก็หน่วยไหนที่ดูแลแท๊กซี่ ก็หน่วยงานนั้นนั่นแหละ)
2. เรียกว่าเป็น หรือมี Mafia สนามบินควบคุมดูแลแท๊กซี่ประจำที่นั่นเลยก็ว่าได้ ควบคุมอย่างไร กรุณาอ่านต่อไป
3. ความจริงสนามบิน ( ก็คือการท่าอากาศยาน ฯ ) เก็บเงินเพิ่มผู้โดยสาร 50 บาทให้พิเศษแก่แท๊กซี่ที่มาเข้าคิว โดยการท่า ฯ เรียกเก็บเงินจากแท๊กซี่ จะจำนวนเท่าใดก็ตามมาเป็นค่าใช้จ่าย ก็ถือว่าประชาชนผู้โดยสารพอรับได้กับ 50 บาทที่ต้องเสียไปโดยมีรถแท๊กซี่เข้าไปบริการถึงในสนามบิน
4. แต่ที่ไม่สวย ไม่งดงาม น่าเกลียดมาก ๆ คือการท่า ฯ จะปล่อย หรือละเลย หรือจะรู้เห็นเป็นใจโดยมีค่าตอบแทนเฉพาะบุคคลบางจำพวกจากฝ่ายจัดการรถแท๊กซี่ที่มานั่งจ่าย " ใบงาน " สีขาวให้กับผู้โดยสารเพื่อไปขึ้นรถ ตอนนี้แหละ คือช่องทางฟาดเงินกันมโหฬาร เพราะหากคุณ ๆ สังเกตุให้ดี หลังจากที่คุณได้รับ" ใบงาน " จากฝ่ายบริการแท๊กซี่ มาแล้ว และเข้าคิวรอจะขึ้นรถ จะมีคน อาจเป็นหญิง หรือชาย ก็ได้ เขาผู้นี้เป็นคนของฝ่ายบริการแท๊กซี่จะมาทำทีช่วยเหลือสอบถามแขกว่าจะไปไหน หากเขาดูออกว่าคุณเป็นคนไทย เขาจะเลยไป เขาจะทำทีช่วยเหลือเฉพาะคนต่างชาติไม่ว่าเป็นฝรั่ง หรือแขก หรือคุณมืด โดยถามจุดหมายของผู้โดยสาร แล้วเขาผู้นั้นจะบอกราคาให้ทันทีโดยเขียนตัวเลขลงไปในกระดาษเปล่าชิ้นเล๊กๆแนบ "ใบงาน " ที่ผู้โดยสารถือ ตัวอย่างเช่น ผู้โดยสารบอกว่าจะไปสีลม พนักงานผู้นั้นจะเขียนราคา โดยเขียนว่า " สีลม400 " ผู้โดยสารก็เข้าใจแน่นอนว่าราคา 400 บาท เมือผู้โดยสารขึ้นรถ ก็ต้องนำใบงานพร้อมใบ " สีลม 400 " นี้มอบให้คนขับแท๊กซี่ ก็เป็นสัญญาณรู้กันว่า ผู้โดยสารรับทราบแล้วว่าต้องจ่าย 400 บวกค่าพิเศษ อีก 50 บาท รวม 450 บาท โดยคนขับไม่กดมิเตอร์ในการขับขี่ ( ย้ำ กรณีนี้แท๊กซี่จะไม่กดมิเตอร์เด็ดขาด) คนต่างชาติก็ไม่รู้ หากทวงถาม คนขับก็จะชี้ไปที่ราคา 400 บาท ซึ่งในความป็นจริงแล้ว หากกดมิเตอร์ ราคาจากสุวรรณภูมิไปสีลมจะตกประมาณ ไม่เกิน 200บาท ของอย่างนี้ แท๊กซี่ผู้นั้นต้องจ่ายพิเศษให้แก่พนักงานผู้เขียน " สีลม400 " แน่นอน จะจ่ายก่อน หรือจ่ายหลัง นั่นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะผู้ขับแท๊กซี่ต้องมาหากินแบบนี้ทุกวัน
5. ทำไมแท๊กซี่จึงชอบรับคนต่างชาติ ไม่ชอบรับคนไทย ก็เพราะคนไทยมันรู้มาก พูดตรงเป้าเผงเลย ก็คนต่างชาติที่มานั่งแท๊กซี่สนามบิน หากมาเมืองไทยครั้งแรก ก็สวยสุดยอดซิง ซิง เปิดบริสุทธิเลย แท๊กซี่จะแนะนำโรงแรมราคาถูก หรือราคาไม่แพงให้( ได้ค่านายหน้า) จากนั้นแท๊กซี่จะขายทัวร์วัด ทัวร์วัง ทัวร์นวด ทัวร์เที่ยว ทัวร์ดูโชว์ลามก ทัวร์กินอาหาร ดูมวย ฯลฯ ทั้งนี้ หากผู้โดยสารตกลง แท๊กซี่มีทางเลือก 2 ทาง คือ
5.1 ขายทัวร์ของผู้โดยสารคนนี้ต่อให้เพื่อนขับรถในวงการ โดยตนเองรับเงิน"ค่าแนะนำ"มาก่อน
5.2 หากดูแล้วว่าผู้โดยสารต่างชาติคนนี้ท่าทางจ่ายดี มีภรรยามาด้วย (เดี๋ยวจะบอกให้ว่ามีภรรยามาด้วยดีอย่างไร) แท๊กซี่จะ " ทำทัวร์เอง " เป็นทั้งคนขับและไกด์เองเลย สิ่งที่แท๊กซี่มือแรกจะได้ ก็คือ ค่า คอมมิสชั่น commission ทั้งหลายจากการพาแขกไปนวด ไปกินอาหาร ไปดูโชว์ ฯลฯ ที่ยิ่งใหญ่ เป็นกอบเป็นกำ คือการพาผู้โดยสารไป shopping ซื้อเพชร-พลอย ที่ร้าน Jewellry ที่มีไว้ดักคนต่างชาติทั่วกรุงเทพ เช่นที่ริมคลองปะปา สามเสน ใกล้ที่ทำการปะปาสามเสนนั่นแหละ คุณผ่านไป เห็นไหม รถทัวร์ รถแท๊กซี่ รถตุ๊ก ๆเข้า-ออก แน่นหนาตลอดเวลา ที่นี่มีแต่แขกต่างชาติทั้งนั้น แต่ไม่มีคนไทยเข้า เพชรพลอยมีต้นทุน 3000 บาท เขาขายกันเป็นหลาย ๆหมื่นบาท (เรื่องจริง ไม่มุสา พนักงานขายต้องพูดจากล่อมแขกดีๆ ขายได้พนักงานจะได้เปอร์เซนต์ 1.5 - 2 เปอร์เซนต์ )และร้านให้ " ค่าน้ำ " (ภาษาพวกเขาโดยเฉพาะ ) แก่ใครก็ได้ที่พาแขกมา ถึง 25 -30 เปอร์เซนต์ของราคาขาย แต่ทั้งนี้ แท๊กซี่ที่พาแขกไปต้องคอยตามประกบแขกตนเองให้ดี เวลาจ่ายเงินจะได้รู้ยอดแท้จริง ไม่งั้นโดนร้าน"อมเงิน (OMO)" เช่นแขกซื้อ 50,000 บาท ตอนไปรับคอมมิสชั่นทางร้านจะบอกว่าแขกซื้อแค่ 35,000 เท่านั้นเอง( ก็วงการนี้มันโกงกันตั้งแต่หัวยันหาง)
***และร้านเพชร-พลอยอย่างนี้ ผู้หญิงคนไหนก็ชอบ ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเป็นคู่ จะเป็นสุดยอดหมายปองของไกด์ และคนขับรถ
***อย่างไรก็ตาม ถึงแขกที่แท๊กซี่พามาเข้าร้านไม่ซื้อสินค้าอะไรเลย ก็ไม่เป็นไร เพราะทางร้านอย่างนี้ทุกร้าน จะมี " ค่าจอด " จ่ายให้คนขับรถทุกชนิดเป็น " น้ำใจ" ที่กรุณาพาเหยื่อ เอ้ย แขกมาให้ร้าน โดยจ่ายให้ก่อนอื่นในทันทีที่นำรถพาแขกมาจอดที่ร้าน แท๊กซี่ได้คันละ 200 - 300 บาทราคาเดียวกับรถตุ๊ก ๆ ส่วนรถบัสใหญ่ได้อีกราคาหนึ่ง
6. ก็เหตุผลเหล่านี้ไง ที่บรรดาแท๊กซี่มืออาชีพสนามบินสุวรรณภูมิถึงไม่ประสงค์ได้รับผู้โดยสารที่เป็นคนไทย เพราะคนไทยมันรู้มาก และคนไทยไม่ไป ทัวร์ ต่างๆแน่นอน ที่สำคัญ ผู้โดยสารคนไทยไม่ไปซื้อเพชร-พลอยตามร้านเช่นว่าเด็ดขาด ดังนั้น หากแท๊กซี่คันใดถึงคิวได้รับผู้โดยสารคนไทย ในวงการเขาเรียกกันว่า " กินแห้ว " หรือหนักกว่านั้น คือ " ดวงซวย "
7. ไม่ทราบว่าท่านเบื่อหรือยัง ท่านอยากทราบความลับแท๊กซี่สนามบินสุวรรณภูมิอีกเรื่องหนึ่งไหม ( เอ ข้าพเจ้าเอาความลับพวกเดียวกันมาเปิดเผยหรือเปล่าเนี่ย)
ท่านที่นั่งรถแท๊กซี่สนามบินสุวรรณภูมิเคยสังเกตุบ้างไหมว่า ค่าโดยสารจากสุวรรณภูมิมายังที่พักท่าน จะมีราคาสูงตามมิเตอร์มากกว่าปกติโดยระยะทาง ฮา...ฮา........ ก็ท่านนั่งรถแท๊กซี่มิเตอร์ติดเทอร์โบ TURBO ไงล่ะท่าน มิเตอร์ที่ดัดแปลงนี้จะขึ้นราคาเร็วและมากกว่าปกติประมาณ 20-25 เปอร์เซนต์ เอากันไม่มากหรอกครับท่าน แค่นี้ หากได้รับแขกวันละ 4 เที่ยว ก็ฟันเงินเพิ่มไปอีกเท่าไรแล้วไม่นับรวมค่าคอมมิสชั่นต่างๆ *** ตัวอย่าง *** คนไทยนั่งรถแท๊กซี่ออกจากบ้านพักที่ดินแดงไปสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องไปต่างประเทศ ราคาจากดินแดง-สุวรรณภูมิตามปกติ 135-140 บาท ( แท๊กซี่ธรรมดาทั่วไป) แต่ขากลับ ค่าแท๊กซี่จากสนามบินมาบ้านพักดินแดง ไม่ใช่ 135บวกค่าบริการพิเศษ 50บาท แต่เป็น 170-180 บาทบวก 50 บาท ก็มิเตอร์เทอร์โบ มันออกฤทธิไงล่ะ หากผู้โดยสารคนไทยโวยวาย คนขับก็จะพูดอย่างเห็นใจผู้โดยสารว่า" เอ ผมก็ไม่ทราบนะครับว่าทำไมเป็นอย่างนี้ เอางี้แล้วกัน คุณพี่เคยไปเท่าไรบอกผมมา ผมเอาแค่นั้นพอ " แต่หากผู้โดยสารบอกว่า อย่างนี้เอารถไปตรวจมิเตอร์ที่โรงพักดีกว่า คราวนี้แหละ ข้าพเจ้า เอ้ย.. ....คนขับแท๊กซี่จะรีบบอกทันที "เอางี้แล้วกัน ผมไม่คิดค่าโดยสารพี่หรอก เดี๋ยวกลับไปอู่ผมจะให้อู่เขาเชคมิเตอร์ให้ดี "( ผู้โดยสารต่างชาติไม่โวยวาย เพราะเขาไม่รู้ราคามาตรฐานของไทย และมันก็สูงกว่าปกติไม่มาก แต่คนไทยน่ะตัวดี จอมรู้ทัน และจอมโวยวาย)
**** ค่าดัดแปลงมิเตอร์ให้เป็น เทอร์โบ ประมาณ 600 ถึง1000 บาท ที่ลานจอดรถแท๊กซี่ที่สุวรรณภูมิก็มีเซียนรับทำ แต่อย่างไรก็ตามไม่ใช่แท๊กซี่ทุกคันเสี่ยงทำ Turbo*****
8.ตอบคำถามท่านเจ้าของกระทู้ ท่านไม่มีทางเลือก เพราะรถแท๊กซี่ในสนามบินอยู่ภายใต้การจัดการของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ณ สนามบินสุวรรณภูมิ เขามีการรับลงทะเบียนผู้ต้องการเข้าร่วมโครงการทุกคัน ดังนั้น รถแท๊กซี่ที่ให้บริการในสุวรรณภูมิคือบุคคลกลุ่มเดียวกันที่ร่วมหากินกันอยู่ที่นั่น เพราะรู้ช่องทางหากินกันดี ท่านเจ้าของกระทู้ และผู้โดยสารคนไทยทุกท่านต้องยอมรับสภาพความไม่สุภาพของคนขับทั้งๆที่ไม่อยากรับ (แต่ก็มีบางรายที่ไม่เลวร้ายนัก) อยากแนะนำให้อีกทางหนึ่ง ขากลับจากต่างประเทศ มีคนไทยที่ฉลาด ๆ บางคน ไม่ลงมาขึ้นแท๊กซี่ตามคิวดังกล่าวที่ชั้นล่าง แต่จะขึ้นไปบนชั้น ผู้โดยสารขาออก Departure เพื่อรอแท๊กชี่ที่ถูกว่าจ้างจากที่อื่นมาส่งผู้โดยสารที่สุวรรณภูมิ วิธีนี้คือการ " ย้อนรอย " พอผู้โดยสารลง เราก็เรียกต่อทันทีเลย แต่วิธีนี้ เจ้าหน้าที่สนามบินรู้ดี และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ หรือ Security สนามบินคอยไล่รถที่มาส่งผู้โดยสารให้รีบออกจากสนามบินไปในทันทีที่ส่งผู้โดยสารเสร็จสิ้น ดังนั้น วิธีที่ท่านอาจได้ขึ้นรถแท๊กซี่ประเภทนี้ได้ ท่านต้องลากกระเป๋าไปประตูท้ายๆสุด เช่น ประตู 10 บนชั้นผู้โดยสารขาออก (แต่เจ้าหน้าที่เขาเห็นท่านลากกระเป๋าเดินทางมาพะรุงพะรัง เขาก็รู้แล้วว่าท่าน " เขี้ยว " จะมา " ย้อนรอย " ) เป็นที่ทราบกันดีว่า แท๊กซี่พวกนี้มาจากที่อื่น มิได้อยู่ภายใต้การจัดการของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เมื่อมาส่งผู้โดยสารแล้ว ต่างไม่ต้องการ "ขับรถเปล่า " ออกจากสนามบิน เมื่อคุณเรียก เขายินดีรับยิ่ง และคุณไม่ต้องเสียเงินเพิ่มอีก 50 บาท แถมมารยาทดีตามปกติ
9. สุดท้ายนี้ ใคร่ขอเรียนว่าที่ชี้แจงทั้งหมดมาให้ท่านทราบนี้ เป็นเรื่องที่เขาทำมาหากินกันในสนามบินสุวรรณภูมิปัจจุบันโดยแท้จริง ท่านสามารถพิสูจน์พบความจริงได้ โดยพยายามสอดส่ายสายตาดูผู้โดยสารต่างชาติว่าพวกเขาได้รับการปฎิบัติอย่างไรจากผู้คนที่นั่น หรือมีเพื่อต่างชาติก็ลองถามดู และพยามยามสังเกตุราคาตามมิเตอร์ที่ท่านนั่ง จะได้พบความจริง และ เรื่องที่เล่ามานี้ เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในสามบินสุวรรณภูมิเท่านั้น ความจริงมีมากกว่านี้ แต่ไม่อยากพูดมาก เดี๋ยวข้าพเจ้า เอ้ย... ไม่ใช่ เดี๋ยวคนอื่นเขาอาย ( ไม่ใช่เขาจะหมดทางหากินกันหรอกนะ เพราะเรื่องอย่างนี้ ในประเทศไทยไม่มีใครหน้าไหนมาปราบได้ จริงไหม เชื่อไหมท่าน..... ก็มันเงินทองทั้งน้านนนนนน)
วันนี้ ขอเป็นคนขับแท๊กซี่สุวรรณภูมิสักวัน
แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 51 23:19:23
แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 51 23:10:58
แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 51 22:13:16
แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 51 21:57:51