ความคิดเห็นที่ 1 ที่คุณเข้าใจนั้นถูกต้องค่ะ ถ้าไม่มีบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยกัน คู่สมรสจะขอรับเงินนี้ได้ก็ต่อเมื่อ อายุครบเกณฑ์ คืออายุครบ 62 ถ้าเกิดก่อนปี 1940 ถ้าเกิดหลังจากนั้นก็ต้องรอให้ครบ 65 ค่ะ   มีเงื่อนไขหลายข้อ เช่นว่าต้องแต่งงานกันอย่างน้อย 9 เดือน สาเหตุของการเสียชีวิตต้องเป็นปัจจุบัน ถ้าป่วยด้วยโรคที่รู้ตัวล่วงหน้าเช่นมะเร็ง เลยแต่งงานเพื่อให้ภรรยาได้สิทธิ์อย่างนี้จะไม่ได้นะคะ ฝ่ายภรรยาต้องไม่แต่งงานใหม่ ฯลฯ ถ้าฝ่ายภรรยาไม่ได้ทำงาน หรือทำงานไม่ครบ 40 quarter ถึงอายุครบกำหนดรับเงินแล้ว วงเงินที่จะได้ไม่ใ่ช่ 50% แต่จะเหลือประมาณ 32-37% อดีตภรรยาที่แต่งงานกันมาเกิน 10 ปี มีสิทธิในการขอรับเงินของอดีตสามีในส่วนนี้ด้วย และถ้าต้องพึ่ง medicare คุณต้องอยู่ในอเมริกา เท่านั้น ไม่สามารถใช้ medicare ในต่างประเทศได้ ต้องซื้อประกันสุขภาพเอาเองค่ะ ความจริงคือ ผู้ชายสูงอายุทั้งหลายมักเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นล่อ ความจริงคืิอ ถ้าต้องยังชีพด้วยเงิน social security อย่างเดียว อยู่ในอเมริกาพอกินแต่ไม่พอใช้ค่ะ ถ้าไม่มีรายได้จากแหล่งอื่น เช่น 401K จะลำบากมาก ที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่ทราบคือ social security เปลี่ยนแปลง ข้อกำหนดต่างๆ บ่อยมาก สิทธิประโยชน์ที่ได้ก็ลดน้อยถอยลงทุกวัน ยกตัวอย่างคนใกล้ตัวที่บ้าน จาก prescription drugs ที่ไม่เคยต้องจ่ายสักแดง มาเมื่อปี 2003 มีต้องจ่าย 10% พอมาอีกสองปี ยังจ่าย 10% แต่ยาขึ้นราคาต้องจ่ายเพิ่มเอง มาปีนี้ปรากฏว่ายาสองในสามรายการไม่ cover ไม่ว่าจะเป็น generic หรือไม่ ขอติดเรื่องนี้ไว้ก่อนนะคะ กำลังรวบรวมคำถามยอดฮิตหัวข้อนี้ เพราะมีคนถามบ่อย เสร็จแล้วจะมา update ให้อ่านค่ะ จากคุณ : Lawanwadee - [ 5 เม.ย. 51 02:15:08 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณคุณ Lawanwadee มาก ๆ นะคะ ที่สละเวลามาตอบ มีคนไทยที่รู้จักนะคะ ยืนยันว่าหากสามีรับเงินประกันสังคมอยู่ในปัจจุบัน แต่ไม่ได้ทำงานแล้ว เมื่อสามีเสียชีวิต ภรรยาจะได้รับเงินประกันสังคมจำนวนเท่าที่สามีเคยรับทุกเดือนต่อไปโดยไม่มีเงื่อนไข ในความคิดของดิฉัน คิดว่าไม่น่าจะถูกต้องแต่ประการใด ดิฉันคิดว่าเมื่อสามีเสียชีวิต และภรรยาไม่มีบุตร บวกกับอายุเพียงแค่สามสิบต้น ๆ ดิฉันไม่คิดว่าเธอจะได้รับเงินดังกล่าว  ถ้าดิฉันเข้าใจผิดอย่างไร คุณ Lawanwadee ช่วยให้ความกระจ่างด้วยนะคะ ดิฉันเห็นว่าถ้าหากคุณ Lawanwadee ได้รวบรวมข้อมูลเสร็จสิ้นแล้ว และนำมา update ที่ห้องไกลบ้าน ผู้ที่ไม่มีความรู้ในเรื่องประกันสังคมจะได้มาอ่านประดับความรู้  และเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจที่จะ Move มาที่นี่ด้วยนะคะ   ดิฉันเห็นด้วยกับคุณ Lawanwadee ว่าในอนาคต benefits ต่าง ๆ น่าจะลดน้อยถอยลงอย่างที่คุณ Lawanwadee กล่าวไว้ ขอบคุณมากนะคะ Witty_Girl จากคุณ : Witty_Girl - [ 5 เม.ย. 51 02:33:43 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เห็นด้วยอย่างที่คุณลาวัณวดีว่ามาทุกอย่างเลยค่ะ เรื่องนี้ไม่ได้ตรงไปตรงมาเลยจนนิดเดียว มีหลายๆอย่างที่ต้องพิจารณา สำคัญที่สุดคือกฎหมายเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆอย่างที่คุณลาวัณวดีว่าเลย เปลี่ยนทุกปีเลยจริงๆ ที่ทำงานของดิฉันถึงต้องมีการอธิบายกฎหมาย benefits ลักษณะนี้กันอยู่เรื่อยๆ อีกอย่างที่ต้องพิจารณาคือฝ่ายผู้ชายมีลูกกับภรรยาเก่าหรือไม่ ลูกอายุเท่าไหร่ เพราะปกติ SSN benfits จะไปตกอยู่กับลูกที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก่อนภรรยาเสียอีกค่ะ คือง่ายๆว่า children override spouse anytime ค่ะ เราก็ต้องคิดว่าปกติคนสูงวัยต้องแต่งงานมาก่อนใช่ไหมคะ ถ้ายังไม่เคยแต่งงานเลยจน 50-60 ก็ต้องคิดหนักไปอีกทางแล้วค่ะว่าทำไม :o) แล้วบางทีภรรยาเก่าของเขากำลัง draw benefit ของเขาอยู่แล้วด้วย และถ้าเขาแต่งงานใหม่ก็ไม่ได้หมายความว่าภรรยาใหม่จะได้ benefit นั้นด้วยเช่นกัน กรณีนี้เอาตัวอย่างมาให้ดูได้เลยค่ะ แม่ของคุณสามีของตัวเองค่ะ แก draw SSN benefit ของสามีเก่าของแกมาหลายปีเลยค่ะ แม้ว่าสามีเก่าจะแต่งงานใหม่และตายหลังจากนั้น ภรรยาใหม่ของสามีเก่าของแกก็ไม่มีโอกาสได้ draw benefit นั้นเลยค่ะเพราะตอนที่หย่ากัน แม่สามีกับผู้ชายคนนั้น (ซึ่งไม่ใช่พ่อของคุณสามีนะคะ คือคุณแม่ของสามีดิฉันแต่งงาน 3 ครั้งน่ะค่ะ) มีลูกด้วยกันค่ะ อีกเรื่องที่ต้องคิดคือพินัยกรรม ผู้ชายคนนั้นทำพินัยกรรมไว้หรือเปล่า ถ้าทำ ในพินัยกรรมเขายก benefits ของเขาให้ใคร (นั่นนอกเหนือจากที่คุณลาวัณวดีพูดไปแล้วทั้งหมดนะคะ) แล้วจริงแท้แน่นอนค่ะ ว่าเงินจาก SSN อย่างเดียวไม่พอจะช่วยให้มีชีวิตอยู่ในประเทศนี้ได้ อาจพอค่าอาหารนะคะ เท่านั้นเองจริงๆค่ะ อย่างของดิฉันเป็นตัวอย่าง ทำงานในประเทศนี้มา 25 ปี คือทำมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนอยู่ที่นี่ (อเมริกา) จนเรียนจบ ออกมาทำงาน คือทำงานมาตลอดไม่มีช่วงว่างเว้นเลย ถึงทุกวันนี้ ถ้าสมมุติว่า retire ตอนนี้ คือสมมุติว่าดิฉันอายุครบ 62 หรือ 65 วันนี้ เท่าที่สะสมมาแล้ว 25 ปี บวกกับที่จะทำต่อไปจนเกษียณ เคยลองมาคิดกันกับคุณสามีแล้ว ดิฉันจะ draw SSN benefit ได้ประมาณ $1300 ต่อเดือนแค่นั้นเองค่ะ นี่หมายถึงทำงานเป็นระยะเวลารวมทั้งหมดประมาณเกือบ 40 ปีนะคะ แล้วลองมาคิดค่าใช้จ่ายประจำวัน ค่าอาหารอย่างเดียว ตอนนี้ที่บ้านใช้เงินค่า grocery ประมาณอาทิตย์ละ $300 ค่ะ เงินจาก SSN ก็คงพอสำหรับค่าอาหารอย่างเดียวเท่านั้นเองแหละค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 5 เม.ย. 51 05:21:34 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ดีใจมากนะคะที่ทั้งคุณ Lawanwadee และคุณกุลธิดามาให้ความคิดเห็น ดิฉันเองแต่งงานมาอยู่ที่นี่สิบเอ็ดปีแล้ว ทั้งดิฉันและสามีทำงานมาตลอด แต่เมื่อนึกถึงวันที่ต้องเกษียณและรับเงินจาก SSN อย่างเดียว เราคงใช้ชีวิตอยู่อย่างปัจจุบันนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน   สามีและดิฉันแพลนไว้ว่าเมื่อถึงวันนั้นเราคงจะต้องขายบ้านที่อยู่ปัจจุบัน ซึ่งคงจะได้ผลต่างมากพอสมควร เพราะบ้านหลังนี้เราซื้อมานานแล้ว จากนั้นคงต้องย้ายรัฐไปอยู่ที่อื่น และหาซื้อบ้านด้วยเงินสดที่มีอยู่เพื่อที่จะไม่ต้องมี Mortgage มาค้ำคอ  จากนั้นก็อาจจะทำงานเล็ก ๆ น้อย หรือไม่ทำก็ตาม เราสองคนคงอยู่ได้ด้วยเงิน SSN และเงินสะสมที่พอมีอยู่บ้าง อีกทางที่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้ คือ กลับไปเมืองไทย แต่ถ้าจะใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ค่าครองชีพคงไม่ต่างจากที่นี่เท่าไหร่  ถึงตอนนั้นคงต้องทำการบ้านอย่างหนักว่าอยู่ที่ไหนจะสุขใจกว่ากัน แล้วก็คงเลือกอีกที ที่ดิฉันตั้งคำถามถามคุณ Lawanwadee เพราะเวลาที่ดิฉันโทรศัพท์กลับไปที่บ้าน หรือโทรกลับไปหาเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่เมืองไทย  มักจะได้ยินเสมอว่า คนนั้นคนนี้มีคนรักเป็นคนต่างชาติ กำลังจะแต่งงานมาอยู่อเมริกา  ดิฉันมักจะเตือนอยู่เสมอว่าคิดดี ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรามีหน้าที่การงานที่ดีอยู่แล้วยิ่งต้องคิดนาน ๆ มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งหากต้องปรับตัวทั้งเรื่องภาษา และต้องต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองที่ไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ในระยะแรก ๆ บางทีมันทำให้ Self Esteem หายไปหมด การที่จะหวังพึ่งฝ่ายชายเพราะคิดว่าหากเกิดอะไรขึ้น ตนเองก็จะอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน เพราะจะได้รับเงิน SSN ของสามีนั้น  ดิฉันคิดว่าข้อมูลอันเป็นประโยชน์ของคุณ Lawanwadee จะทำให้สุภาพสตรีไทยได้ไตร่ตรองมากขึ้นค่ะ ตัวดิฉันเองไม่เคยคิดอยากที่จะมาปักหลักที่นี่  แต่เพราะดิฉันและสามีทำงานในสถานทูตเดียวมาก่อน เมื่อตัดสินใจแต่งงานและสามีต้องโยกย้ายตามวาระจึงจำเป็นที่จะต้อง Move แต่ถ้าเลือกได้ดิฉันคิดว่าบ้านเราถึงจะไม่สะดวกกายนัก แต่ก็มีเสน่ห์น่าอยู่ไปอีกแบบนะคะ จากคุณ : Witty_Girl (Witty_Girl) - [ 5 เม.ย. 51 06:13:18 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มาเก็บความรู้ค่ะ ได้ประโยชน์เผื่อวันข้างหน้ามากๆเลย จะรอคุณ Lawanwadee มาอัพเดทให้อ่านน่ะค่ะ บางทีท้อๆอยากกลับบ้านคุณสามีก็จะบอกอดทนหน่อยๆ ทำงานจ่ายภาษีให้ครบ 40 ควอเตอร์ก่อนเพื่อตัวเราเองในภายหน้า เราคิดว่าถ้าสามีเสียชีวิตเราภรรยาเมื่ออายุครบเกณฑ์ก็จะได้รับอัติโนมัติ50%ของที่สามีได้ แต่เหลือแค่ 32-37%เองเหรอค่ะ เมื่อเดือนก่อนได้รับจดหมายจากโซเซี่ยลออฟฟิศว่าเราจ่ายภาษีเท่าไร มีกี่ควอเตอร์เเล้ว ตอนนี้จะได้อะไรบ้างถ้ารีไทร์เมื่อครบเกณฑ์ ก็เลยถามสามีว่าถ้าเราไม่ทำงาน เเล้วพอเขาครบเกณฑ์ที่จะได้รับเงินตรงนี้ เราก็จะได้ครึ่งหนึ่งที่เขาได้ใช่ไหม สามีบอกโนๆๆเราจะได้ตอนเขาตายเท่านั้น ถ้าเขายังอยู่เราไม่ได้ครึ่งหนึ่งต้องทำงานเสียภาษีเอาเอง ใช่ไหมค่ะคุณ Lawanwadee คุณกุลธิดาเสียภาษีมาหลายสิบปีได้เท่านั้น ดิฉันคงจะทำเเค่ครบ 40 ควอเตอร์ สงสัยจะได้ประมาณ500$ต่อเดือน จะพยายามจ่ายให้ครบควอเตอร์ค่ะ ค่าเงินบาทก็เเข็งเอาๆอนาคตกลับไปอยู่ไทยคงได้เดือนละไม่เท่าไร ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากฏหมาย ssn benefit อะไรจะเปลี่ยนไปอีก จากคุณ : เวนิซ (เวนิซ) - [ 5 เม.ย. 51 06:40:31 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ลองเข้าไปดูเล่นในเวปนี้นะค่ะ มีให้ทดลองคำนวณผลประโยชน์ด้วย (ซึ่งหวังว่าถึงตอนที่ตัวเองเกษียณรัฐบาลอเมริกันยังไม่ได้ถลุงเงินไปซะหมดก่อน) http://www.ssa.gov/includes/topiclist.htm จากคุณ : Appreciator - [ 5 เม.ย. 51 11:24:16 ]

ความคิดเห็นที่ 7 กระทู้นี้น่าสนใจมากๆค่ะ คิดว่ามีความสำัคัญและเป็นประโยชน์มากกับคนที่มีสามีสูงอายุ หรือใกล้เกษียณ สามีเราก็พยายามชวนให้ไปอยู่ด้วยกันที่โน่นเหมือนกัน เขาบอกว่าแยกกันอยู่นานๆมันไม่ดี แต่เราก็กลัวเรื่องตอนแก่กับเกษียณนี่แหละ เรากลัวว่าถ้าไปแล้วไม่มีงานทำน่ะ เวลาแก่ลงคงจะแย่แน่ๆ แถมค่าประกันสุขภาพที่โน่นก็แพงมาก สามีเขาก็บอกว่าเราจะได้เงินโซเชียลของเขา ไม่ต้องเป็นห่วง แถมมีเงินประกันชีวิตอีก แุต่ตอนนี้เราเพิ่งรู้ว่าเงิน 401K ของเขาที่มีอยู่นั้น ใส่ชื่อลูกชายเขาเป็น beneficiary (เขาทำไว้นานแล้ว) แถมยังมี Living Trust ที่ใส่ชื่อลูกทั้งสามของเขาเป็นผู้รับผลประโยชน์อีกด้วย (ภรรยาเขาเสียชีวิตไปหลายปีแล้วค่ะ) สรุปคือ ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา เราอาจจะได้เงินโซเชียล ซึ่งที่อ่านจากข้างบนก็คือ ต้องรอจนอายุ 65 บวก เงินประกันชีวิตของเขาซึ่งหลังจากหักค่าโน่นนี่แล้วอาจจะเหลืออยู่ประมาณ 3 แสนเหรียญ แล้วก็อาจมีเงินรายได้ที่เหลือจากเงินเดือนที่ได้มาหลังจากแต่งงานกันอีกนิดหน่อย คือ เขาคิดว่าจะเกษียณอีกประมาณ 3 ปี ข้างหน้า คือ ตอนอายุ 65 น่ะค่ะ (เงินก่อนแต่งอยู่ใน Trust) เราคิดดูแล้ว เราว่าถ้าเราลาออกจากงานไปอยู่อเมริกากับเขาแล้วเกิดหางานทำที่โน่นไม่ได้ อนาคตของเราท่าทางจะลำบากตอนแก่แน่นอน เพราะเงินมันไม่พอใช้แน่ๆ คงต้องกลับมาตายเมืองไทยอย่างเดียว แถมตอนนั้นก็คงจะแก่เกินกว่าจะหางานทำที่เมืองไทยแล้ว จะทำค้าขายก็ทำไม่เป็น รักสามีก็รักนะคะ เพราะเขาเป็นคนดีมากๆ แต่งงานกันมา 2 ปี แล้ว แต่ยังตัดสินใจจะไปอยู่กับเขาด้วยไม่ได้ เพราะอยู่เมืองไทยตอนนี้มีงานทำ ได้เงินเดือนเดือนละ 25,000 บาท ไม่มากนัก แต่ก็พอใช้ (ไม่ได้เอาเงินเขามาใช้เลยค่ะ มีแต่ที่เวลาเขามาเยี่ยม เขาก็ให้ไว้ 1000-2000 เหรียญ) ยิ่งมาอ่านเจอหัวข้อนี้เข้า ยิ่งกลัวมากเลยค่ะ นี่สามีเขาก็กำลังทำเรื่องวีซ่าถาวรให้ด้วย ไม่รู้จะบอกเขาว่าอย่างไร คือ เราก็ไม่อยากพูดเรื่องเงินเรื่องทอง เพราะไม่อยากให้เขาว่าเรางก อยากได้เงินทองเขา เราก็เข้าใจว่าใครๆก็รักลูกตัวเองกันทั้งนั้น เขาเองก็คงอยากมีอะไรให้ลูกหลานเขาเหมือนกัน เพราะเขาเคยเล่าว่าตอนพ่อเขาตาย ไม่มีอะไรมาถึงเขากับน้องสาวเลย แม้กระทั่งสมบัติส่วนที่เป็นของแม่เขาก็ไม่มีเหลือมาเลย แม่เลี้ยงเขาบอกว่าพ่อแม่เขาไม่มีอะไรเหลือให้ ของที่เธอมีอยู่เป็นของที่เธอหามาได้เอง เราฟังแล้วเราก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบแม่เลี้ยงเขา แต่จะให้เราไปลำบากตอนแก่ มันก็ไม่ยุติธรรมกับเราเหมือนกันนี่นา คิดๆแล้วบางทีก็อยากจะหย่าให้หมดปัญหาไปเลยเหมือนกัน ไอ้ตอนรักตอนแต่งก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องเงินทอง เรื่องอนาคตเลย เพราะเขาก็ยังทำงาน เราก็ทำงานอยู่ แล้วเราก็มีเงินใช้จ่ายของเราเอง แต่มาถึงตอนนี้ถ้าจะให้ไปอยู่อเมริกา ต้องไปพึ่งพาอาศัยเขาทุกอย่าง และต้องไปเริ่มหางานทำใหม่ (ซึ่งจะได้หรือเปล่าก็ไม่รู้) เราก็เริ่มห่วงอนาคตแล้วค่ะ เพราะอายุเราก็เริ่มมากขึ้นด้วยเหมือนกัน คุณ Lawanwadee ช่วยเขียนถึงเรื่องนี้ด้วยเถอะค่ะ มีประโยขน์มากๆ อย่างน้อยก็กับเราคนหนึ่งละ ขอขอบคุณมาล่วงหน้าด้วยค่ะ จากคุณ : สาวแก่ - [ 5 เม.ย. 51 18:10:54 A:81.0.253.29 X: TicketID:162483 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณสาวแก่คะ คุณควรต่อรองกับสามีนะคะ เพราะทั้ง Living Trust และ 401K นี่สามารถเปลี่ยนแปลง เพิ่ม/ลดชื่อ beneficiary ได้ แค่ติดต่อ account manager เท่านั้น อย่าไปหวังอะไรมากกับเงิน social security เพราะคุณไม่มีโอกาสทำงานครบ 40 quarter แน่ๆ ถึงทำได้ก็ได้ไม่มาก มีเรื่องเล่าค่ะ.......... เพิ่งปั่นเรื่องพินัยกรรมฉบับรวบรัดออกมาก่อน โพสต์ไว้ที่ http://lawanwadee.com/ เรื่องของเรื่องคือพบว่าผู้หญิงหลายคน พอถึงเรื่องการเอาชื่อเพิ่มเป็น beneficiary ใน Living Trust และพินัยกรรม สามีไม่ยอมทำให้ แถมโดนสามีเอาเพื่อนที่เป็นทนาย มาช่วยกันหลอกว่า ที่ไม่ทำให้ เพราะยังไม่ได้เป็นซิติเซ่น ทำไปก็รับมรดกไม่ได้ สาวเจ้าก็พาซื่อเชื่อสามี พอบอกว่าเขาหลอกเอานะ ก็เถียงแทนสามี... :) จริงอยู่ที่ว่ากฏหมายในแต่ละรัฐไม่เหมือนกันทีเดียว แต่หลักใหญ่ๆ เหมือนกันค่ะ ทีนี้ลองมาใช้สามัญสำนึก คิดกันเล่นๆ แบบคนไม่รู้อะไรเลยนะคะว่า ในอเมริกา คนต่างชาติสามารถซื้อบ้าน เป็นเจ้าของบ้านได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย ไม่จำเป็นต้องมีวีซ่าถาวร หรือมีกิจการอะไรในอเมริกา คือซื้อเอาไว้ เผื่อมาพักเวลามาเที่ยวหรือมาทำธุระ บ้านระดับหรูหราราคาหลายสิบล้าน ในอเมริกานั้น จำนวน 10% เจ้าของเป็นคนต่างชาติ ที่ไม่ได้มีถิ่นฐาน อยู่ในอเมริกา  คนไม่มีวีซ่า หรือเป็นโรบินฯ ก็ซื้อได้ เสี่ยงหน่อยเท่านั้น และอเมริกาเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศ ที่กฏหมายยอมให้คนยกมรดกให้หมาได้ เมื่อเร็วๆ นี้ มีมหาเศรษฐีในนิวยอร์คตายไป ยกมรดกให้หมาตั้งสิบกว่าล้าน ถ้าลงว่าหมารับมรดกได้ คนที่มีฐานะเป็นคู่สมรสถูกต้องตามกฏหมาย มีสถานภาพใบเขียว ฯลฯ จะรับมรดกไม่ได้เชียวหรือ เล่าสู่กันฟังค่ะ................. :) จากคุณ : Lawanwadee - [ วันจักรี 00:18:41 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เห็นด้วยกับความเห็นของคุณ Lawanwadee มากๆๆ เคยได้ยินมาว่าคนใช้เวลาตั้งสิบกว่าปีตั้งแต่เกิดที่จะพัฒนาความคิดที่ว่าทุกสิ่งที่คนอื่นแสดงความคิดมันไม่ใช่ความจริงทั้งหมด มันมีความคิดส่วนตัวของคนๆนั้นแฝงมาด้วย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ความรู้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเอาตัวรอด ยิ่งมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองที่มีกฏ มีระเบียบ วางไว้อย่างละเอียด แถมยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แค่ฟังจากคนที่เคย มันอาจจะไม่เพียงพอเท่ากับหาข้อมูลด้วยตัวเอง ขอใช้พื้นที่ในกระทู้นี้ชื่นชมคุณ Lawanwadee ที่เข้ามาแสดงความเห็นและให้ความรู้ดีๆกับเพื่อนสมาชิกด้วยกันเสมอมา ตอนนี้ตัวเองกำลังสนใจหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ระดับหนึ่ง เพราะกำลังคิดจะย้ายกลับไปอยู่ประเทศไทย และไม่อยากเสียผลประโยชน์ที่พึงได้ของตัวเองในส่วนนี้ จากคุณ : Appreciator - [ วันจักรี 01:32:54 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เรื่อง social security benefits ที่ว่าเมื่อเกษียณอายุจากการทำงานแล้วเราจะได้เดือนละเท่าไหร่นี่แนะนำให้ดูจาก social security statement ซึ่ง Social Security Administration ส่งมาให้ผู้ที่ทำงานและจ่ายเงินลงใน social security ค่ะ เขาจะส่งมาให้ทุกปีค่ะ เหตุก็คือการคำนวน benefits จากเงิน social security นั้นซับซ้อน คำนวนเองยากค่ะ แม้แต่ใน statement ที่รัฐส่งมาให้ผู้เสียภาษีแต่ละคน ที่ได้รับอยู่เรื่อยๆนี่ยังมีบอกไว้ด้วยซ้ำว่าเป็นเพียง 'estimates of your Social Security benefits under current law' คือง่ายๆว่าเป็นเพียง estimate เท่านั้น และเป็นไปตามกฎหมายปัจจุบัน คือกฎหมายของปีนั้นๆ ในแต่ละ statement จะบอกไว้หมดตั้งแต่ว่าเท่าที่ทำงานและจ่ายเงินเข้าในระบบจนมาถึงปัจจุบัน (คือปีที่ได้รับ statement นั้น) ถ้า retire อายุ 62 ในปีนั้นจะได้ payment ประมาณเดือนละเท่าไหร่ ถ้า retire อายุ 66 ปีนั้น จะได้ประมาณเท่าไหร่ ถ้า retire อายุ 70 ปีนั้น จะได้ประมาณเท่าไหร่ และบอกด้วยว่าเรา earned credits เพียงพอที่ว่าถ้าเราเกิดพิการขึ้นมาวันนี้ จะได้ payment ประมาณเดือนละเท่าไหร่ มันบอกต่อไปว่าในกรณีที่เป็น family survivors ของคนที่เป็นผู้จ่ายลงในระบบจะได้เงินเดือนละเท่าไหร่ บุตรได้เท่าไหร่ ภรรยาได้เท่าไหร่ ในกรณี spouse จะต้องเป็น spouse ซึ่ง caring for your child นะคะ ถ้าไม่มีลูกด้วยกัน spouse นั้นจะต้อง reaches full retirement age แล้ว ถึงจะได้รับเงิน social ของสามี และจะได้ประมาณเดือนละเท่าไหร่ ใน statement นั้นมีบอกอะไรไว้อีกมากมาย ถ้าสงสัยในกรณี social security benefits ก็อ่านดูจากที่นั่นได้ทั้งหมดค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ วันจักรี 11:13:20 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : สาวแก่ - [ 7 เม.ย. 51 01:00:44 A:81.0.253.29 X: TicketID:162483 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ลืมบอกไปค่ะ คนที่จะได้รับ statement ที่ว่านี่จะต้องทำงานมาแล้ว 10 ปีเป็นอย่างน้อย คือ 40 quarter ขึ้นไปนะคะ อย่างที่พูดกันน่ะค่ะ สำหรับ social security ต้องทำงาน 40 quarter เสียก่อนถึงจะ qualify เข้าในระบบเพื่อรับ benefits เมื่อเกษียณอายุจากการทำงานด้วยตัวเอง คนที่ทำงานในอเมริกาน้อยปีกว่านั้นไม่ qualify ค่ะ ต้องคอยรับ benefits จาก spouse ของตัวดิฉันเองเก็บไว้หมดค่ะ มีเป็นตั้งเลย ต้องขอบคุณคุณ Witty_Girl ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ทำให้รื้อเอาออกมาดู เพราะปกติพอได้รับมาแต่ละทีก็เอาใส่กล่องไว้รวมๆกัน ไม่เคยเอามานั่งดูอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลย คราวนี้ก็เลยได้เห็นอะไรหลายๆอย่างค่ะ อย่างแรกเลยคือเห็นว่าตัวเองทำงานในอเมริกามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1982 (มีความรู้สึกเหมือนชาตินึงมาแล้ว) แล้วลองเอา estimated payment ที่ควรได้รับถ้าเกษียณมาเทียบกัน โห...มันกระดึบๆขึ้นไปปีละไม่กี่ดอลล่าร์เอง บางปีไม่ขึ้นเลย ทำไมอย่างนั้นก็ไม่ทราบ ส่วน 401K ถ้าอยากทราบว่าเราลงเงินไปเท่าไหร่แล้วก็เอา pay stub มาดูได้เลยค่ะ จะบอกไว้หมดว่าเงินที่นายจ้างหักไปจากเงินเดือนแต่ละ pay period ของเรานั้นไปลงใน 401K เท่าไหร่ ของตัวเองในฐานะเป็น state employee มา 15-16 ปี มี retirement plan ที่ค่อนข้างดีค่ะ คือมีทั้ง 401K และ state pension ก็เลยอยากแนะนำว่าถ้าใครสนใจจะทำงาน ถ้าเป็นงานที่ทำกับรัฐที่อยู่จะดีมากค่ะ เพราะทุกวันนี้ 401K ของบริษัทเอกชนมีปัญหาอยู่เรื่อยๆ บางกรณีน่ากลัวจนไม่กล้าติดตามข่าวอีกแล้ว ทำงานกับรัฐก็คงเหมือนงานราชการของไทยมั้งคะ คือมั่นคง และเวลาเกษียณก็มีความมั่นใจมากกว่าเพราะทุกอย่างรัฐรับประกันให้หมด จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 7 เม.ย. 51 03:59:28 ]