ความคิดเห็นที่ 4
ที่ Kaplan เค้าจะมีหนังสือแจกให้ 2 เล่มและมีชีตแจกให้ห้องอีก เล่มแรกจะเป็นเนื้อหาและแบบฝึกหัด ส่วนอีกเล่มจะเป็นข้อสอบทั้งแบบแยก Part และเป็นชุดแบบข้อสอบจริง (หนามากค่ะ อ่านเสร็จเอามาหนุนแทนหมอนได้เลย)
จะมีอาจาร์ยรับผิดชอบ 3 คน แบ่งกันรับผิดชอบในแต่ละ Part Part แรก Reading จะเป็นอาจารย์คนไทย ซึ่งแนวการสอนก็อย่างที่บอกค่ะว่าเน้นการทำข้อสอบ เค้าจะสอนเทคนิคว่าทำอย่างไรให้อ่านได้เร็วและได้ใจความ ซึ่งจะทำให้เราทำข้อสอบทันและถูกต้อง มีสอนคำศัพท์บ้างในห้องและแจกชีตคำศัพท์ให้กลับไปท่องเอง ส่วนเรื่องรูปประโยคและไวยากรณ์จะไม่มีสอนเลยค่ะ ดังนั้นผู้ที่ไม่แม่นเรื่อง grammar อ่านๆไปถ้าเจอ complex sentence ก็อาจจะเกิดอาการงงและไม่เข้าใจความหมายได้ แต่ที่นี่เค้าถือว่าคนที่มาเรียนต้องมีพื้นฐานมาแล้ว ดังนั้นอยู่ใน class ก็จะมาลุยกันเลยค่ะ เอา passage มานั่งอ่านนั่งทำแล้วก็จับเวลา แต่เค้าไม่ได้ให้คุณนั่งทำข้อสอบแล้วก็จับเวลาอย่างเดียวนะคะ เค้าจะสอนเทคนิคให้ว่าต้องอ่านอย่างไร
Part ต่อไปจะเป็น Listening กับ speaking มีอาจารย์ชาวต่างชาติสอนคนเดียว เค้าจะเริ่มสอน speaking ก่อน แล้วค่อยสอน listening แล้วก็จะทวนทั้งหมดให้อีกทีตอนใกล้ๆจะจบคอร์ส โดยส่วนตัวแล้วประทับใจกับ 2 Partนี้ที่สุด ส่วนหนึ่งเพราะประทับใจตัวผู้สอน เพราะเค้าจบ English major จาก UCLA ทำให้ class ของเค้าพิเศษจากที่อื่นๆที่เคยเรียน คือเค้าไม่ได้แค่สอนให้พูดได้ แต่เค้าจะสอนว่าพวกยูจะต้องพูดให้ได้อย่าง intelligent american (อาจารย์หวังจากพวกหนูสูงไปนะคะ - -a) แล้วเค้าก็จะเป็นคนตลกสนุกสนาน ไฮเปอร์แล้วก็เสียงดังสุดๆ (ขนาดเพิ่งเปิดประตูเข้าโรงเรียนมา ก็ได้ยินเสียงพี่แกลอดออกมาแล้ว) ทำให้ไม่ต้องห่วงว่าจะน่าเบื่อ
วิธีการสอนคือ เค้าจะอธิบายว่าแต่ละข้อของ part speaking จะต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง แล้วหลังจากนั้นก็จะลงมือปฏิบัติ ซึ่งทุกอย่างจะเหมือนตอนสอบจริง คือแต่ละข้อจะมีเวลาให้คิดและเวลาให้พูดจำกัด อย่างข้อแรก จะมีเวลาให้คิด 30 วินาที และมีเวลาให้พูด 45 วินาที อาจารย์เค้าก็จะให้เราถือ timer จับเวลาเอาไว้ แล้วก็ให้หัวข้อเดี๋ยวนั้น ตอนนั้นเป็นอะไรที่กดดันมาก เพราะใน 30 วินั้น เราจะต้องเตรียมอธิบายโจทย์พร้อมเหตุผล support ประมาณ 2 ข้อและสรุปแล้วพูดเป็นเวลา 45 วิ แล้วหลังๆ จะยิ่งยากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะต้องฟังแล้วเอามาสรุปก่อน แล้วค่อยพูด เวลาให้สรุปจะมีเยอะกว่าหน่อยค่ะ คือ 45 วิ ทีนี้พูดเสร็จเค้าก็จะ comment ให้ หลังๆ ก็จะให้จับคู่พูดแล้วก็ comment กันเอง สลับๆกันไป จะเห็นได้ว่าเวลามีจำกัดมาก
สิ่งที่เค้าแนะนำคือ ไม่ควรคิดเป็นภาษาไทยก่อนแล้วค่อยแปลเป็นภาษาอังกฤษ เพราะว่าเวลามันมีจำกัดมาก ยังไงก็ไม่ทันรับประทานแน่ๆ ยิ่งข้อหลังๆ ต้องฟังแล้ว take note ก็ต้อง take note เป็นภาษาอังกฤษ เพราะเราจะต้องใช้เวลา 45 วินาทีสรุปสิ่งที่เราฟังและวิเคราะห์ตามโจทย์ เคยได้ยินเพื่อนที่ไปเรียนที่อื่นเค้าสอนให้คิดเป็นภาษาไทยก่อน อันนี้ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยค่ะ
ส่วน Part สุดท้ายคือ Writing จะมีอาจารย์ชาวต่างชาติอีกคนมาสอน ก็เหมือนเดิมค่ะ สอนเทคนิคในการทำข้อสอบเช่นเคย ว่าข้อแรกต้องทำยังไง ข้อสองต้องทำยังไง แล้วก็ลงมือทำ ทำเสร็จเค้าก็จะอ่านแล้วก็ comment ให้ ซึ่งเราสามารถเอางาน writing มาส่งให้เค้าตรวจได้ไม่อั้นไม่เลยค่ะ
ส่วนเรื่อง facilities อื่นๆ ก็มีห้องสมุด, ห้องคอมเอาไว้ให้ทำข้อสอบ online, รวมทั้งห้อง video หรือจะยืม video กลับบ้านก็ได้ อ้อ video นี่ไม่ได้บันทึก class ที่เราเรียนไปนะคะ แต่จะเป็น video สอนพวก grammar, vocab อะไรยังงี้
แล้วก็จะมี online assets คือเป็น username กับ password ให้เราทำข้อสอบ online ซึ่งข้อสอบนี้จะใกล้เคียงกับข้อสอบ Toefl มาก จะมีทั้งหมด 8 ชุด ให้เราได้ฝึกทำ ซึ่งแบ่งออกเป็น practice test กับ progress test ข้อแตกต่างคือ practice test จะเป็นแบบ non-graded
** ถ้าจะให้แนะนำนะคะ ลองไปทำ placement test ของทั้งสองที่ดูก่อนก็ได้ค่ะ หรือถ้ามีคะแนน Toefl แล้วและคะแนนสูงกว่าขั้นต่ำที่เค้ากำหนดไว้ ค่อยหาข้อมูลต่อค่ะว่าที่ Princeton เค้าสอนแบบไหน ถ้าเค้าเน้นหลักจริงอย่างที่เพื่อนเราบอก ก็ต้องถามตัวเองแล้วล่ะค่ะ ว่าชอบให้เน้นหลักหรือว่าเน้นการ tackle ข้อสอบ โดยส่วนตัวแล้วนะคะการฝึกทำข้อสอบมีความสำคัญมากถึงมากที่สุด เพราะเราจะถูกกดดันด้วยเวลา ดังนั้นต่อให้มีความสามารถดีจริงๆแต่แพ้แรงกดดันเรื่องเวลาก็ทำให้คะแนนออกมาไม่ดีได้ค่ะ
หวังว่าข้อมูลพวกนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจนะคะ ^^~
จากคุณ :
Angie
- [
5 เม.ย. 51 22:56:15
A:58.9.29.147 X: TicketID:172271
]
|
|
|