ความคิดเห็นที่ 9
คำว่า commission จะว่าไปแล้ว มันก็คือ politically correct word สำหรับคำว่า corruption
ตัวร้ายตัวจริง มันคือ Big Guys ทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด FDA กับ Pharmaceutical industry กับ หมอ กับโรงพยาบาล
เคยมีคนไข้ ไม่สบาย ปวดหัว ครั่นเนื้อครั่นตัว ไปหาหมอ (เหตุการณ์นี้ คนละโรงพยาบาลกันกับกรณีข้างบน) หมอแค่เอา stethoscope แตะๆ (คงนึกภาพออก) แล้วจ่ายยาแก้ปวด ยี่ห้อที่สามารถซื้อได้เองตามร้านขายยาทั่วไปในราคาที่ถูกกว่ามาก คนไข้เลยกลับไปถามหมอใหม่ว่า ทำไมจ่ายยาที่มีขายทั่วไปอยู่แล้ว ถ้าจะจ่ายยานี้ แค่บอกชื่อยามาแล้วให้ไปซื้อเองดีกว่า ถูกกว่าหลายเท่า
หมอบอกว่า ถ้างั้นเอายาอีกตัวไปแทน คนไข้ถามต่ออีกว่า ยาตัวที่จะเอามาแทนนี้ มีหลักการยังไง หมองง เงียบไปแป๊ป แล้วตอบว่า ถ้างั้น เอายาตัวอื่นดีกว่า เป็นเสียงอ่อยๆ ส่อให้เห็นว่า หมอเองก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจว่า อาการ สาเหตุของโรคคืออะไร แต่จ่ายยาไปก่อนแล้ว
คำพูดสุดท้ายของหมอที่ว่า ถ้างั้นเอาตัวอื่นดีกว่า จะเอาตัวไหนดี เป็นคำพูดที่มีน้ำเสียงอ่อยๆไม่แน่ใจ หน้าตาของหมอก็ยังอ่อน อายุยังน้อย ถ้าพูดอังกฤษอธิบาย ก็ต้องบอกว่า still a baby. อยู่เลย "baby" ในกรณีนี้คือ เป็นเบบี๋ในการ BS คือยังอ่อน ยัง BS ไม่เก่ง เลยไม่ค่อย convincing
แต่จะอย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ลักษณะนี้ บอกอะไรกับเราบ้าง ในฐานะของคนไข้
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทั้งหมดนี้ คือ กรณีเฉพาะ เรื่องยาเท่านั้น ยังไม่ได้พูดถึงกรณีของการรักษาที่ต้องใช้การผ่าตัด หรือ เครื่องมือแพทย์อื่นๆที่โรงพยาบาลแข่งกันนำเข้ามา
อะไรที่จ่ายเงินซื้อไปแล้วแพงๆ นำเข้า เพื่อใช้ promote โรงพยาบาล มันก็ต้องมีคนมาใช้ ยิ่งคนใช้มาก ก็ยิ่งคืนทุนเร็ว ยิ่งคนใช้น้อย ก็คืนทุนช้า แต่คนมันไม่ได้ป่วยกันได้ทุกโรค ป่วยได้ทัน ตามใจผู้บริหารโรงพยาบาลนี่ ปัญหานี้ ไม่ยาก เค้าถึงมีภาควิชา marketing ไง ในเมื่อคุณไม่ต้องการสินค้านี้ๆ เรามีหน้าที่ทำให้คุณต้องการให้ได้
ทำ marketing ทำ ad ส่งออกไป ตามสื่อต่างๆ บอกผู้คนว่า ถึงแม้คุณจะรู้สึกปกติ แต่ความจริงแล้วข้างในของคุณอาจจะไม่ หัวใจของคุณ รอไม่ได้ รอให้มีอาการก่อนไม่ได้ คุณต้องไปตรวจด้วยเครื่องนี้ๆ ที่โรงพยาบาลนี้ ๆ จะได้รู้ทัน รักษาทัน กระดูก spine ของคุณ มีปัญหา แต่คุณไม่รู้หรอก กว่าจะรู้ก็สายเกินไป รักษาไม่ทัน คุณต้องไปที่นี่ ใช้เครื่อง scan นี้ๆ
ชีวิตคุณ ก็เหมือนผล apple ดูภายนอก สดใส แต่ข้างในพรุนไปหมด เพราะมีหนอนไชอยู่ อย่ารอช้าเลย ไปที่โรงพยาบาลนี้ๆเถอะ เพราะว่ามีเครื่องนี้ๆ ทันสมัยมาก scan แป๊ปเดียว รู้ผลละเอียดเลย
อย่ารอช้า คุณไม่มีทางวางใจ และ happy กับชีวิตได้ จนกว่าคุณจะไปที่โรงพยาบาลนี้ๆ แล้วใช้เครื่องมือนี้ๆตรวจก่อนเท่านั้น คุณจะไม่มีวัน healthy ได้ จนกว่าคุณจะมาหาเราเท่านั้น !
การรักษาโรคในปัจจุบัน จึงเป็นการ mess-up with human body ไม่ใช่การ Healing แต่เป็นการ messing up with
คนไทยตอนนี้ มีวิธีการ treat ร่างกายตัวเอง เหมือนคนอเมริกัน ปวดหัว ไม่ต้องหาสาเหตุ มันจะเป็นเพราะเหตุอะไร ช่างมัน กิน Tylenol อย่างเดียว ถ้าไม่หาย เอา extra strenght ไป เป็นภูมิแพ้ ไม่ต้องคิดมาก เรามียาตัวใหม่จากอเมริกาเลย FDA Approved (คำนี้น่ากลัวแค่ไหน ถามคนที่เมกาดู)
บางทีเราเห็นภาพในช่องสารคดี วงการแพทย์ใช้หนู ใช้สัตว์ เป็นตัวทดลองสารพัด ก่อนนำมาใช้จริงกับคน เราอาจรู้สึกว่า ทารุณ ไม่เป็นธรรมต่อสัตว์ แต่ลึกๆแล้ว เราก็ทำไรไม่ได้ เพราะเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
แต่หารู้ไม่ว่า ตัวเรา พ่อแม่พี่น้อง คนรักของเรานี่เองแหละ ที่กำลังเป็นหนูลองยาอะไรสักอย่างอยู่
คนที่ profit off of somebody else's sickness ก็คือ คนในวงการ ไม่ใช่ใครที่ไหน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ เขียนเพื่อ 2 สาเหตุ คือ เพื่อเตือนสติคนไข้ และเพื่อท้าทาย
เตือนสติคนไข้ --> ให้มีสติ !! สมัยโบราณ คนในชุมชนไม่สบาย ไปหาสมาชิกในชุมชนที่มีความรู้ความสามารถในการ Heal คือหมอ คือแพทย์ อะไรตรงนั้น มันมี element ของสิ่งที่เรียกว่า จริยธรรม ศีลธรรม เป็นเรื่องของพรหมวิหารธรรม จึงเกิดเป็นหลักปฏิบัติ หลักคิดตามๆกันมาว่า หมอคือคนที่เราต้องยกมือไหว้ เรียกด้วยความเคารพ "คุณหมอ"
แต่นั่น มันคืออดีต สมัยวันวานยังหวานอยู่
ปัจจุบันนี้ The Good Old Day ไม่มีแล้ว และจะไม่มีวันมีได้อีก ไม่ต้องเสียเวลาไปโหยหาถึงมัน หน้าที่เราคือ ---> ปรับตัว ปรับบทบาท เรียนรู้บทบาทใหม่ของเราในฉากใหม่
วางการแพทย์ในปัจจุบัน คือธุรกิจเต็มรูปแบบ ไม่ต่างอะไรกับธุรกิจอื่นๆ ไม่ต่าง ไม่ต่าง ไม่ต่าง
เวลาเราไปคลีนิก หรือไปโรงพยาบาล ให้เราคิดว่า เรากำลังไป shopping mall ให้เราคิดไว้อย่างนี้ คนที่ทำงานในนั้น คือ พนักงานบริษัท ทำหน้าที่ให้ business มัน run ได้ ให้เราคิดไว้อย่างนี้ สินค้าที่เราได้ตรงนี้คือ บริการ คือ service ในการ Healing the body - Cure the sickness
ถ้าเราซื้อของจาก mall มา แล้วเราพบว่า มันไม่ใช่อย่างที่เราต้องการ เราเอาของนั้นไปคืน เอาใบเสร็จไป ซื้อเสื้อมา ซื้อกระเป๋ามา พอกลับถึงบ้าน เอ๊ะ ชั้นไม่ชอบสีนี้เลย ไม่สวย สวยตอนโชว์ที่ร้าน บน shelf แต่พอเอากลับมาที่บ้านแล้ว ลองใส่ดู ไม่เห็นสวยเลย ไม่เอาดีกว่า เอากลับไปคืน ไปเปลี่ยน
หลักการเดียวกัน ถ้าหมอคนไหน วินิจฉัยโรคไม่ดี เรากลับไปที่โรงพยาบาล แล้วขอค่า doctor fee คืน ยาตัวไหนที่เรากินแล้วไม่ดี ไม่หาย หรือมีผลข้างเคียง ให้เรากลับไปเอาเงินคืน
This is not what I agreed to pay for, I'm here to take my money back.....and gimme a comment card , show me where to put it, I got some input that should help the hospital improve the business OKAY ?
นี่คือ หน้าที่ และบทบาทของคนไข้ ในยุคนี้
ซึ่งถ้าคนไข้ทุกคน ทำแบบนี้ ต่อไป หมอจะระวังในการวินิจฉัยมากขึ้น แล้วคนไข้ก็จะ healthy ขึ้น เงินที่จ่ายไปในระบบ ก็จะ worth much much more เพราะไม่ต้องไป spend ตามความต้องการของธุรกิจยา
ในยุคนี้ ให้เราคิดไว้ว่า หมอคือ คนที่มีอาชีพๆหนึ่ง ไม่ต่างจากอาชีพอื่นๆ หน้าที่ของเรา ในฐานะของคนไข้ เราจะต้องเล่นตามบทบาทของยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ก่อนที่เค้าจะมาทำอะไรกับร่างกายของเรา เราต้องรู้ ต้องเข้าใจให้ได้แน่ๆว่า เหตุและผลตรงนั้นคืออะไร ไม่ใช่สักแต่ว่า ทำๆไป เพราะเชื่อ หรือเพราะเหตุอื่นๆ ยุคสมัยมันไม่เหมือนเดิมแล้ว บทบาทก็ต้องปรับเปลี่ยน
ไม่ใช่ทุกครั้งที่คุณเดินจากห้องตรวจ เดินออกจากโรงพยาบาลแล้ว ต้องถือถุงยากลับออกมาด้วยทุกครั้ง คุณจ่ายค่า Doctor Fee เพื่อให้ Doctor วินิจฉัยโรค และอธิบายให้คุณเข้าใจตามสิทธิของคนไข้ที่พึงรู้ ไม่ใช่ให้หมอเอาสเต็ปมาแตะๆ แล้วจ่ายยาเลย หมอไม่ใช่เทวดา เป็นมนุษย์ มีกิเลส ตั้งใจทำงานได้ได้ ทำมั่วๆก็ได้ Just like the rest of us, people do make mistake, people get lazy and people even get sloppy Doctor fee is not for free. It's collected in an exchange for a service.
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ร่างกายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ Your body is sacred. Your body is your temple.
ก่อนที่ สิ่งแปลกปลอม (ยา)ตัวไหน จะถูกกลืนล่วงลำคอลงไป ก่อนที่ สารเคมีตัวไหนจะถูกป้ายแปดเปื้อนบนผิวหนังของเรา ก่อนที่ มีดหมอจะถูกกดลงไปบนร่างกายของเรา ก่อนที่ ใคร หรืออะไรๆ จะมา mess กับร่างกายของเรา
เรามีสิทธิและมีหน้าที่รู้ให้ได้ลงไปในรายละเอียด ว่าเหตุ และผลคืออะไร หลักการคืออะไร
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สำหรับเหตุผลข้อที่สองที่เขียนตรงนี้ คือ เพื่อท้าทาย
หากมีใครที่อยู่ในวงการ อุตสาหกรรมยา บริษัทขายยา เซลขายยา แพทย์ พยาบาล หรือ นักธุรกิจเจ้าของโรงพยาบาล เข้ามาอ่านเจอข้อความตรงนี้ ขอท้าทายให้ท่านทั้งหลาย ช่วยเข้ามาเถียง เข้ามาปฏิเสธ และอธิบายว่า เฮ้ย คุณจะบ้าเหรอ เรื่องพวกนี้ ไม่มี ไม่จริง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ
หรือในกรณีที่ว่า เฮ้ย เรื่องพวกนี้มี แต่น้อย คนดีๆในวงการยังมีอีกเยอะ ถ้าเป็นกรณีนี้ ก็ขอท้าทายให้พวกคุณ ช่วยอธิบายแจกแจงหน่อยว่า ถ้ายอมรับว่ามีจริง ถามว่า แล้วคุณทำอะไรอยู่ มีหลักการ มีวิธีการ มีมาตรการอะไรอย่างไรบ้าง ที่จะทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้ น้อยลง หรือ หายไป
แต่ขอร้องว่า อย่ามา "ทุกวงการก็มีทั้งคนดีคนเลว" เพราะว่า การพูดตรงนี้ไม่มีประโยชน์ คุณค่าของประโยคนี้ เทียบเท่ากับการพูดว่า "ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก" มันไม่มีคุณค่าอะไรที่จะยกขึ้นมา เป็น cliche' ที่น่าเบื่อ มันใช้ได้แค่มา fill in the blank สักแต่ว่า มีอะไรให้พูด
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่กี่อาทิตย์ก่อน ช่อง Nation Channel มีการทำ scoop รายการ เกี่ยวกับ "อาจารย์ใหญ่" พิธีกรของรายการ ไปที่คณะแพทย์ ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ไปยืนถ่ายทำ สัมถาษณ์อาจารย์ในห้องเรียนผ่าตัด ฉากหลังก็คือ เตียงคนไข้หลายเตียง ที่มีร่างของ "อาจารย์ใหญ่" ปิดส่วนบน แต่เผยส่วนล่างที่นักศึกษาแพทย์--กำลังผ่าศึกษาอยู่
พอจบจากการสัมภาษณ์ด้วยคำถามในแง่มุมต่างๆจากอาจารย์ (ที่สอนในคณะแพทย์)แล้ว พิธีกรก็ย้ายไปคุย ไปถามคำถามต่างๆกับนักศึกษาแพทย์นั้นๆ เช่น รู้สึกอย่างไรกับการผ่าศึกษาอาจารย์ใหญ่ อะไรทำนองนี้ คำตอบก็ออกไปในแนวทางเดียวกันคือ รู้สึกเป็นบุญคุณ รู้สึกเคารพผู้ที่บริจาคร่างกายให้นักเรียนแพทย์ได้ผ่าศึกษา
แต่สิ่งที่ผมเห็นก็คือ เด็กนักเรียนแพทย์ที่ผ่าศึกษาร่างของอาจารย์ใหญ่อยู่นั้น พวกเค้ามีการหยอกล้อ giggling กัน เหมือนเด็กนักศึกษาในวัยนี้ ทั่วๆไป ในช่วงที่แบบว่า มา hang out กันสบายๆ แต่กรณีนี้ they do it during the operation over the body they said they honor and respect.
They do it during the operation ----> supervised by real and experienced doctor.
They do it now over the deceased body---> they said they respect and all.
Somebody gimme something, anything to hold on to, anything to convince me that they won't do it later over LIVE BODY. (Not even to mention that the LIVE BODY could be you, or your love ones---- your wife, your kids.)
Is there any thing to guarantee that this-kind-of-practice wouldn't carry on into their profession ?
I am here asking the questions...... hoping somebody would come along and tell me that I'm so wrong here.
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Otherwise, I would have in mind that there is still another dot to connect to --- and I already found it.
จากคุณ :
- 072648
- [
18 เม.ย. 51 22:26:19
A:58.136.51.22 X: TicketID:072648
]
|
|
|