ความคิดเห็นที่ 1 เรามีแฟน (สถานภาพตอนนั้น) เป็นคนนิวซีแลนด์ ที่ย้ายมาอยู่และเติบโตที่ออสเตรเลียตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เนื่องจากย้ายตามพ่อซึ่งเป็นคนออสเตรเลีย แต่ถึงเธอจะเติบโตและอยู่ที่นี่มาตั้งสามสิบปี แต่ยังไงๆเธอก็ไม่ยอมเรียกตัวเองว่าเป็นคนออสซี่เด็ดขาด ภูมิใจและเหนียวแน่นกับความเป็นคนนิวซีแลนด์อย่างมาก และไม่ยอมที่จะเปลี่ยนสัญชาติเป็นออสเตรเลียนด้วย เพราะถ้าเปลี่ยนก็ต้องยกเลิกสัญชาตินิวซีแลนด์ เธอเลยไม่ยอมค่ะ เราเจอ คบหา และใช้ชีวิตร่วมกับแฟนที่ไทย (de facto) ก่อนที่เรื่องวุ่นๆต่างๆจะเกิดขึ้น โดยที่ไม่เคยคิดสักนิดว่า ชีวิตนี้ต้องมาต่อสู้ฟาดฟันกับอิมมิเกรชั่น และระบบต่างๆที่ออสเตรเลียนี่ เพราะเรากับแฟนไม่เคยมีโครงการจะมาใช้ชีวิตที่ออสเตรเลียเลย แผนการชีวิตทั้งหมดของเรา อยู่ที่ประเทศไทยอันเป็นที่รัก (ทั้งของเราและของคุณแฟน) จนหมดสิ้น จนกระทั่ง.. วันนึ่ง คุณแฟนได้รับอีเมลจากน้องสาว บอกว่าแม่เป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย Terminal cancer (from breast to bone) หมอบอกว่าจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 3 เดือน เรื่องความเจ็บป่วยของแม่นี้ เมื่อ Nov. 2003 แม่เคยตรวจพบมะเร็งเต้านม และได้รับการผ่าตัด (ตัดเต้า 1 ข้างทิ้งไปเลย) และรับคีโมรักษาจนหายไปแล้ว และตามปกติของคนที่หายจากมะเร็ง จะต้องได้รับการตรวจมะเร็งทุกๆ 3 เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้มะเร็งมันกลับมาอีก ก็โดยส่วนใหญ่มะเร็งชอบกลับมาหาคนที่คุ้นเคยเสมอ และแม่ก็ได้รับการตรวจทุกๆ 3 เดือนแต่ไม่เคยพบมะเร็งเลย จนกระทั่ง ปลายสิงหา 2007 ผลการสแกนครั้งล่าสุด หมอพบว่ามะเร็งลุกลามกินกระดูกซึ่งตรวจพบทั้งหมด 17 แห่ง!!! กะโหลกศีรษะที่เห็นในฟิล์มนั้นกลายเป็นสีดำไปแล้ว ส่วนตามแขนและขา ถ้าใช้มือลูบๆดูก็จะเจอความขรุขระ นั่นคือรอยมะเร็งนั่นเอง คุณแฟนช็อคมาก เธอไม่ได้เจอแม่หลายปีแล้ว เธอเดินทางมาทำงานในประเทศในเอเชียได้สิบกว่าปี กลับไปเยี่ยมแม่บ้าง แต่ครั้งหลังสุดที่กลับออสเตรเลียคือเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เธอไม่คิดว่าการกลับบ้านครั้งนี้ จะเป็นการกลับไปเพื่อฝังศพแม่ ในตอนนั้นเรื่องแผนการชีวิตอะไรทั้งหมดของเราล่องลอยอยู่ในอากาศ เราไม่รู้ว่าชีวิตจะดำเนินต่อไปอย่างไร รู้แต่ว่าคุณแฟนต้องกลับบ้านอย่างด่วนที่สุด ส่วนเรา.. ว่างเปล่า.. จากคุณ : Le Cielo - [ 8 พ.ค. 51 10:55:13 ]

ความคิดเห็นที่ 2 รออ่านอยู่ค่ะ จากคุณ : เดาสะดอก - [ 8 พ.ค. 51 11:36:09 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ในที่สุดคุณแฟนก็กลับไปออสเตรเลียในสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน 2007 ส่วนเราก็ยังคงอยู่ไทย โดยติดต่อกับคุณแฟนผ่านทาง MSN (คุณแฟนไม่ชอบ msn ที่สุด) และโทรศัพท์คุยกัน นี่เป็นการห่างกันครั้งแรกของเราตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ทรมานที่สุดค่ะ แต่เราก็ต้องเข้มแข็ง คุณแฟนมีเรื่องแม่ให้เครียดอยู่แล้ว เราไม่อยากให้เธอต้องมาเครียดกับเรื่องของเราอีก แต่ถึงแม้จะพยายามเข้มแข็งแค่ไหน บางทีเวลาคุยโทรศัพท์เราก็หลุดร้องไห้ออกไปบ่อยๆ ในที่สุดคุณแฟนก็เสนอว่า ให้เราลาออกจากงานที่ไทยแล้วไปอยู่ออสเตรเลียด้วยกัน นี่เป็นข้อเสนอที่ทำให้เราลำบากใจที่สุด ด้วยตอนนั้น เราทำงานเป็นเลขานุการบริหาร ให้กับรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่ถ้าเอ่ยชื่อไป ทุกคนต้องรู้จักแน่นอน (แต่ไม่เอ่ยดีกว่าเนอะ) พ่อแม่ก็ไม่เห็นด้วย บอกว่าคิดดูให้ดี จะทิ้งงานที่มั่นคงในไทยเพื่อไปตายเอาดาบหน้าที่ออสเตรเลีย ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรที่ออสเตรเลีย คนเคยทำงาน แล้ววันนึงต้องอยู่เฉยๆโดยไม่ได้ทำอะไร จะทนได้หรือ และตอนนั้นเราคิดว่าจะขอวีซ่าท่องเที่ยว ก็มีปัญหาว่า ถ้าวีซ่าเราติด no further stay ซึ่งก็คือห้ามอยู่ต่อกลับไทยได้อย่างเดียว เราจะทำอย่างไร ไปอยู่ออสเตรเลียได้แค่ 3 เดือน พอวีซ่าหมดก็ต้องกลับมาไทย งานก็ลาออกแล้ว กลับมาจะมาทำอะไร โอย สารพัดคำถามที่เราตอบไม่ได้ แต่ เราต้องตัดสินใจ จะรอคุณแฟนกลับมาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ที่ง่ายที่สุดที่เราจะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งก็คือเราไปออสเตรเลีย และหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่อไปเมื่อปัญหามาจริงๆดีกว่า (ความรักและความคิดถึงทำให้คนเราสละได้ทุกอย่าง จริงๆค่ะ) ตอนนั้นก็ใกล้จะสิ้นปีแล้วเรายังเสียดายโบนัสอยู่ถ้าจะออกก่อนโบนัสออก แม้จะคิดถึงคุณแฟนมากแค่ไหนแต่เงินก็สำคัญ (แฮ่..) เลยอดทนรอจนโบนัสออก ซึ่งทำให้เราต้องห่างกันถึงเกือบ 4 เดือน!!! ในที่สุดเราตัดสินใจลาออกในเดือนธันวาคม เพราะวางแผนไว้ว่าจะเดินทางเพื่อไปร่วมฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวคุณแฟน ตอนที่เราบอกนายเรื่องลาออกนั้น นายถามว่าจะเดินทางเมื่อไหร่ เราบอกว่าวีซ่ายังไม่ได้ขอเลย ถ้าได้วีซ่าก็เดินทางวันที่ 23 ธันวา นายเลยยื่นข้อเสนอว่า ถ้าหากไม่ได้วีซ่า ให้เราทำงานต่อไป และรอจนกว่าจะขอวีซ่าผ่านค่อยออกก็แล้วกัน ซึ่งเป็นข้อเสนอที่เราไม่ปฏิเสธ เพราะหากว่าเราลาออกมาแล้วแต่วีซ่าไม่ผ่าน เราก็ต้องหางานใหม่ แต่เมื่อนายเสนอว่าถ้าไม่ได้ไปออสเตรเลียก็ทำงานต่อ เราเลยตกลง แต่อย่างไรก็อยากให้วีซ่าผ่านอยู่ดี แต่ท่าทางคนที่ทำงานจะไม่อยากให้วีซ่าผ่าน เพราะตอนที่เราเริ่มถ่ายงานและสอนงานนั้น เขาต้องใช้คนทำงานถึง 4 คนมารับงานต่อจากเรา เนื่องจากว่าเราทำงานให้กับสองบริษัท คือบริษัทสาขาประเทศไทยและบริษัทที่เป็น ASEAN Headquarters ซึ่งงานเลขาของ VP สาขาประเทศไทยนั้นพี่คนที่เป็นเลขาก่อนเราจะรับทำให้ แต่งานในส่วนของ ASEAN H.Q. ไม่มีใครเคยทำ เพราะบริษัทเพิ่งมาเปิด Headquarters ที่กรุงเทพฯและเราก็เริ่มทำเป็นคนแรก ซึ่งเป็นคนไทยคนเดียวในบริษัทด้วย การจะถ่ายงานทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่เริ่มต้นเป็นเวลาหลายปีจึงเป็นงานใหญ่และเราก็ไม่ได้มีเวลาจะสอนงานนานด้วย เลยดูเหมือนคนที่บริษัทจะช่วยภาวนาให้วีซ่าเราไม่ผ่านมากกว่า ฮา.. จากคุณ : Le Cielo - [ 8 พ.ค. 51 18:30:14 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อตกลงใจได้ว่าจะไปหาคุณแฟนที่ออสเตรเลียแล้วเราก็เริ่มหาข้อมูล ตอนนั้นเป็นที่รักสุดที่เลิฟกับเวบไซต์ http://www.immi.gov.au อย่างมากมาย เพราะเปิดอ่านทุกวัน อ่านจนจำได้หมดว่าต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งตอนนี้ก็ยังต้องเพิ่งเวบไซต์นี้อยู่ต่อไป เรามี 3 วีซ่าให้ตัดสินใจ 1. วีซ่าย้ายถิ่นฐานสำหรับผู้มีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา (de facto) 2. วีซ่าคู่หมั้นเพื่อมาแต่งงานที่ออสเตรเลีย 3. วีซ่าท่องเที่ยว ตอนนั้นเราไม่ได้เจอกับแฟน 4 เดือนแล้วนะคะ นานมาก คิดถึงมาก เราอยากไปเจอคุณแฟนให้เร็วที่สุด แล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากันใหม่ เราเลยตัดข้อ 1 กับข้อ 2 ทิ้งไปเลย เพราะต้องใช้เวลามาก ไม่มีเวลามากขนาดนั้น รอเป็นครึ่งปีจนกว่าจะได้วีซ่าไม่ได้ วีซ่าท่องเที่ยวเลยเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในตอนนั้น เมื่อตัดสินใจขอวีซ่าท่องเที่ยวแล้ว เราก็หาทางที่จะไม่ให้วีซ่าติด no further stay เพราะเรากะว่าเราไปท่องเที่ยวแล้วจะเปลี่ยนเป็นวีซ่าข้อที่ 1 ตอนไปถึงออสเตรเลียแล้ว เราคิดไว้สองทางสำหรับการขอวีซ่า ก็คือทางแรกเรายื่นเอกสารของตัวเองทั้งหมด ทำเหมือนจะไปเที่ยว แล้วก็ไม่พูดถึงคุณแฟนเลย ซึ่งเราคิดว่าถ้าเรายื่นแบบนั้นเราได้วีซ่าแน่ๆ แต่เรากลัวว่าเราจะได้วีซ่าแค่ 3 เดือน แล้วแถมอาจจะติด no further stay ด้วย เพราะคนส่วนใหญ่ที่ขอท่องเที่ยวจะติดเงื่อนไขนี้ทั้งนั้น กับอีกทางนึงคือ เราให้ข้อมูลไปตามจริงว่าจะไปอยู่กับคุณแฟน และขอวีซ่า 6 เดือน (คุณแฟนบอกให้ขอ 12 เดือนด้วยซ้ำ) และในที่สุดเราก็เลือกทางที่ 2 เราเขียนจดหมายแนะนำตัวตอนขอวีซ่า อธิบายเหตุผลที่เราจำเป็นต้องไปออสเตรเลียให้เร็วที่สุด เราบอกด้วยว่าจะไปขอวีซ่า de facto เมื่ออยู่ที่ออสเตรเลียแล้ว และอื่นๆที่เราคิดว่าสถานทูตได้รับทราบแล้วจะให้วีซ่าเรา ส่วนเอกสารประกอบที่เรายื่นวีซ่าประกอบด้วย 1. จดหมายแนะนำตัว 2. หลักฐานการเงินของเราเอง 3. จดหมายรับรองการทำงานจากบริษัท 4. จดหมายรับรองให้ที่พักจากน้องสาวคุณแฟน 5. เอกสารการเป็นเจ้าของบ้านของน้องสาวคุณแฟน 6. เอกสารการเจ็บป่วยของแม่คุณแฟน 7. หลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคุณแฟน 8. กอปปี้พาสปอร์ตของคุณแฟน ที่มีวีซ่าและเวิร์คเพอร์มิทของไทย เราจัดเรียงเอกสารแยกหมวดหมู่ มีใบปะหน้าของเอกสารแต่ละอย่าง เช่น Personal Data ข้างในก็จะเป็นหลักฐานแสดงความเป็นตัวตนของเราเช่นพาสปอร์ต หรือ Financial Statement ก็จะเป็นหลักฐานทางการเงินของเรา รวมทั้ง payslip และอื่นๆที่เกี่ยวกับรายได้ หรือ Evidence of Relationship ก็จะเป็นหลักฐานแสดงความสัมพันธ์ของเรากับคุณแฟน แยกเป็นหมวดหมู่และใส่ซองไปยื่นที่ศูนย์ยื่นวีซ่าออสเตรเลีย ตอนไปยื่นเราออกไปช่วงพักเที่ยง ใช้เวลายื่นแค่ 15 นาทีก็เสร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ให้รอรับการติดต่อจากสถานทูต แต่ถ้าสถานทูตไม่ติดต่อมา และไม่ได้รับแจ้งทางอีเมลว่าวีซ่าไม่ผ่านก็แสดงว่าสบายใจได้ เรารอจนครบกำหนดที่เขาบอกว่าวีซ่าจะต้องออกภายในวันนั้น ไม่เห็นมีใครโทรมาก็แอบดีใจว่าวีซ่าคงจะผ่าน แต่!! มันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะบ่ายวันนั้นเอง เจ้าหน้าที่สถานทูตก็โทรหาเรา จากคุณ : Le Cielo - [ 8 พ.ค. 51 19:47:27 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เจ้าหน้าที่ก็ถามเหตุผลที่เราจะไปออสเตรเลีย และเขาก็บอกว่าเหตุผลว่าไปอยู่กับแฟน ไม่ใช่เหตุผลที่เหมาะสมกับวีซ่าท่องเที่ยว แต่เราก็ยืนยันว่า เราจะไปอยู่กับแฟน และเราต้องการวีซ่าท่องเที่ยวเพราะมันได้เร็ว เราไม่มีเวลาจะขอวีซ่าอย่างอื่น เพราะแฟนเรากลับไปออสเตรเลียหลายเดือนแล้ว เรารอวีซ่าอย่างอื่นไม่ไหว แต่เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าวีซ่า de facto บางคนขอแล้ววันเดียวได้ก็มีถ้าเอกสารพร้อม มันก็ใช่แต่เอกสารเราไม่พร้อมเพราะเราไม่มีเวลาทำเอกสาร เราทำแต่งาน และเราต้องไปให้เร็วที่สุดด้วย และเมื่อไปถึงแล้วเราจะขอวีซ่า de facto ที่ออสเตรเลียเอง เราจะไปเตรียมเอกสารด้วยกันกับแฟน พอเรายืนยันแบบนั้น เจ้าหน้าที่ก็ไม่ว่าอะไร แต่ขอเอกสารเพิ่มเติม คือใบเกิดคุณแฟน กอปปี้พาสปอร์ตคุณแฟนหน้าที่มีวีซ่าและประทับตาเข้าออกไทยทุกหน้า และจดหมายยืนยันความสัมพันธ์จากคุณแฟน ใน application form เราใส่ช่องสถานภาพว่า de facto เจ้าหน้าที่ก็จะให้เราพิสูจน์ว่าเรามีความสัมพันธ์แบบสามีภรรยากับคุณแฟนมาแล้วอย่างน้อย 12 เดือน ซึ่งเราว่าเจ้าหน้าที่หลงประเด็น เราเข้าใจว่าการขอวีซ่าแบบ de facto เราต้องมีความสัมพันธ์มาแล้วอย่างน้อย 12 เดือนจึงจะขอวีซ่าได้ แต่นี่เราขอท่องเที่ยว แล้วทำไมเราต้องหาหลักฐานความสัมพันธ์ 12 เดือนด้วย ซึ่งมันยากมากสำหรับเรา เพราะเราไม่มีหลักฐานที่เป็นเอกสาร นอกจากภาพถ่าย เพราะอพาร์ทเมนท์ที่อยู่ก็เป็นชื่อเรา หลักฐานการเงินเรากับคุณแฟนก็ไม่ได้เปิดบัญชีด้วยกัน แต่เราใช้เงินร่วมกันเพราะเวลาเงินเดือนออกคุณแฟนก็ให้เราเป็นคนจัดการหมด และด้วยความที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องขอวีซ่าเราจึงไม่เคยมีการเตรียมหลักฐานที่เป็นเอกสารไว้เลย เจ้าหน้าที่ขอ statement of relationship จากคุณแฟน ให้เขียนว่าเจอกันที่ไหน รักกันอย่างไร ความสัมพันธ์เดินมาอย่างไร เจ้าหน้าที่ยกตัวอย่างให้ด้วยว่าเช่น เดินชนกันที่แมคโดนัลด์ ซึ่งพอเราบอกคุณแฟน คุณแฟนก็ไม่เข้าใจ จะไม่ยอมเขียน บอกว่านี่มันเรื่องส่วนตัว ทำไมต้องเขียนด้วย เอ่อ คุณที่รักคะ เขาขอมาค่ะ ถ้าไม่เขียนเขาก็ไม่ให้วีซ่านะคะ ในที่สุดคุณแฟนก็ยอมเขียน แต่เขียนว่า ข้าพเจ้าพบกับ Le Cielo เมื่อ.. รักกัน อยู่ด้วยกัน และตอนนี้ข้าพเจ้าต้องกลับมาออสเตรเลียเพราะแม่ไม่สบาย ขอให้ทางสถานทูตให้วีซ่ากับ Le Cielo ด้วย เพราะ I can't stand being away from her any longer (หวานไปไหมเนี่ย :P) และเป็นคำขอของแม่ก่อนตายว่าอยากเห็นว่าที่ลูกสะใภ้ เขียนมาสั้นๆ ไม่ยาวเลย แถมไม่ได้เขียนว่าเจอกันที่ไหนอย่างไร ความสัมพันธ์พัฒนาอย่างไรตามที่เจ้าหน้าที่บอกด้วย เพราะคุณแฟนหัวแข็ง ไม่ชอบทำตามคำสั่ง ฮ่าๆ หลังจากที่เราส่งเอกสารเพิ่มเติมไป ก็รอเจ้าหน้าที่ติดต่อมาอีกที ซึ่งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน จากคุณ : Le Cielo - [ 8 พ.ค. 51 20:10:21 ]

ความคิดเห็นที่ 6 มีใครอ่านอยู่หรือเปล่าคะเนี่ย เงี้ยบ เงียบ (เหมือนนั่งพูดอยู่คนเดียว แหะๆ) จากคุณ : Le Cielo - [ 8 พ.ค. 51 20:14:23 ]

ความคิดเห็นที่ 7 พึ่งเจอกระทู้ อ่านอยู่จ้า........... จากคุณ : Kimpu - [ 8 พ.ค. 51 22:26:20 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ให้กำลังใจ ค่ะอ่านๆ จากคุณ : aom (อ้อม นะ) - [ 8 พ.ค. 51 22:43:27 ]

ความคิดเห็นที่ 9 รีบมาต่อนะคะ อยากอ่านค่ะ จากคุณ : L - [ 9 พ.ค. 51 00:34:27 A:134.102.123.211 X: TicketID:169363 ]

ความคิดเห็นที่ 10 บ่ายแก่ๆวันที่ 13 ธันวา 2007 เจ้าหน้าที่สถานทูตคนเดิมก็โทรมาหาเรา เขาบอกว่าเขาพิจารณาแล้ว จะให้วีซ่าเราได้แค่ 3 เดือน และวีซ่าจะมีเงื่อนไข No further stay (ที่เราไม่อยากได้ที่สุด) อยู่ด้วย เขาให้เหตุผลว่า หลักฐานการอยู่ในไทยของคุณแฟนไม่เพียงพอ เพราะเขาไม่เห็นประทับตราเข้าไทย 1 อัน อันสำคัญด้วย เขาเลยไม่เชื่อว่าคุณแฟนอยู่ในไทยจริงๆ เราบอกว่าก็เห็นว่ามีวีซ่าและเวิร์คเพอร์มิทนี่นา ทำไมหลักฐานถึงไม่พอ เขาบอกว่า การที่มีวีซ่าและเวิร์คเพอร์มิทแปะในพาสปอร์ต ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าของพาสปอร์ตอยู่ในไทยจริงๆ อาจจะได้วีซ่า ได้เวิร์คเพอร์มิทแล้วไม่มาก็ได้ เอ่อ.. วีซ่าพอเข้าใจ แต่เวิร์คเพอร์มิทเนี่ย มันออกในไทยนะคะ ถ้าไม่มาแล้วจะมีเวิร์คเพอร์มิทได้ยังไง แต่เมื่อเขาว่าอย่างนั้นและเขาตัดสินใจไปแล้ว เราก็ทำอะไรไม่ได้ เขาบอกด้วยว่า ให้เรากลับมาขอวีซ่า de facto ที่ไทย ให้ไปเยี่ยมแฟนและแม่แฟนได้แค่ 3 เดือน ถามด้วยว่า ให้ได้แค่นี้ จะเอาไม่เอา โห ถามนักเลงมากๆ แล้วเราจะทำอะไรได้ล่ะคะ มีแค่จะเอากับไม่เอา ไม่มีทางเลือกอื่น ก็ต้องเอาไว้ก่อน แต่ตอนที่ได้วีซ่านั้นเราไม่ดีใจเลย เพราะเราทำทุกวิถีทางเพราะไม่อยากให้วีซ่าติด no further stay และอยากได้มากกว่า 3 เดือน แต่นี่ลงทุนลงแรงขนาดนั้น ยังได้ทุกอย่างที่ไม่อยากได้อีก เซ็งมาก ร้องไห้เลย ที่ร้องไห้ไม่ใช่เสียใจ แต่ขัดใจ (เราค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง ฮ่าๆ) หลังจากได้วีซ่าเราก็โทรไปฟ้องคุณแฟน บอกว่าสถานทูตให้วีซ่าแค่ 3 เดือนเองนะ แล้วยังไม่ให้อยู่ต่อด้วย ต้องกลับมาไทยอย่างเดียว คุณแฟนก็โวยวาย ทำงี้ได้ไง ก็เราจะมาขอวีซ่าที่นี่ แล้วถ้าได้แค่ 3 เดือนแล้วต้องกลับ มันจะมีประโยชน์อะไร คุณแฟนเลยโทรมาคุยกับเจ้าหน้าที่คนที่คุยกับเรา แต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนัก เพราะเขาบอกว่า ได้ตัดสินใจไปแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เซ็งสุดสุด!!! จากคุณ : Le Cielo - [ 9 พ.ค. 51 07:32:52 ]

ความคิดเห็นที่ 11 หลังจากได้วีซ่า เราก็นำข่าวร้าย(ฮ่าๆ)นี้ไปบอกคนที่บริษัท เราจะทำงานถึงวันที่ 18 แล้วเราต้องเตรียมตัวอีก 4 วัน จากนั้นก็ออกเดินทาง เป็นการเดินทางไปต่างประเทศที่มีเวลาเตรียมตัวน้อยที่สุดเพราะเราทำงานยุ่งมาก ทั้งงานตัวเอง ทั้งงานที่ต้องส่งต่อและสอนงานให้คนอื่น ถึงกำหนดวันที่ 18 งานเรายังส่งมอบไม่เสร็จเลย พี่ที่ทำงานขอร้องให้มาวันที่ 19 อีก (23 ชั้นจะก็บินแล้วนะว้อยยยย) เราทำงานแบบไม่ลืมหูลืมตา จนสุดท้ายไม่ไหวแล้วเราต้องปล่อยวาง ถ้าเราไม่หยุดทำงานเราคงเตรียมตัวไม่ทันแน่ๆ เพราะยังไม่ได้ซื้อของ ไม่ได้เตรียมอะไรเลย เราจึงไปทำงานถึงวันที่ 19 แล้วจากนั้นก็หยุด แต่ถึงจะหยุด ถึงจะไปซื้อของหรือไปไหนกับที่บ้าน โทรศัพท์จากที่ทำงานก็ดังตลอด จนแม่ต้องถามว่า ไม่มีเรานี่เค้าทำงานกันไม่เป็นหรืออย่างไร (ก็คงงั้นมั้งคะแม่) หึหึ เช้าวันที่ 23 ธันวา ซึ่งเป็นวันเดินทาง เรายังวิ่งวุ่นซื้อของอยู่เลย แต่พอบ่ายนิดๆทุกอย่างก็พร้อมออกเดินทาง (จนวินาทีสุดท้ายสิน่า) เรานั่งแท็กซี่ไปสุวรรณภูมิตอนบ่ายสอง เครื่องออกสี่โมงครึ่ง นั่งสิงคโปร์แอร์ไลน์ ต้องไปต่อเครื่องที่สิงคโปร์ ตอนต่อเครื่องเดินไกลมาก เป็นเกทสุดท้ายของเทอร์มินอลเลยมั้ง แล้วเรามีกระเป๋าถือหนักมาก เป็นเสื้อผ้าของคุณแฟน หิ้วจนแขนจะหลุด แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเครื่องได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล ขาไปจากไทย เรานั่งติดกับสองสาวจาก Adelaide มาเที่ยวช่วงปิดเทอมและกลับบ้านเที่ยวบินเดียวกับเรา และจะไปต่อเครื่องที่สิงคโปร์เช่นกัน สองสาวไป Adelaide ส่วนเราไปบริสเบน ขาขึ้นจากสิงคโปร์เราได้นั่งติดกับสามีภรรยาชาวสิงคโปร์ ขานี้ไม่มีบทสนทนามากนักเหนื่อยๆกันแล้ว นอนดีกว่าเนอะ คร่อก.. 6:30 ตอนเช้าๆ เครื่องบินที่เรานั่งมาก็ลงจอดที่สนามบินบริสเบน เราต้องเดินอีกไกลมากเพื่อผ่านพิธีการเข้าประเทศ โดยไม่รู้เลยว่า มีอะไรบางอย่างเตรียมรออยู่ข้างหน้าแล้ว.. จากคุณ : Le Cielo - [ 9 พ.ค. 51 07:53:58 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เรื่องเราคล้ายๆกันเลยค่ะ เจอคุณแฟนขอให้ตามไปอยู่ด้วย ผลคือห่างกันมา 6 เดือนแล้ว ฉันทนได้ เธออต้องทนด้ายยยยยยยย เหอๆ ติดตามอ่านอยู่ค่ะ จากคุณ : Blissfully Yours - [ 9 พ.ค. 51 11:27:50 ]

ความคิดเห็นที่ 13 รออ่านต่ออยู่นะคะ จากคุณ : ใหญ่ (TASSY_TT) - [ 9 พ.ค. 51 13:20:39 ]

ความคิดเห็นที่ 14 รออ่านอยู่นะคะ ^^ จากคุณ : noon_naka - [ 9 พ.ค. 51 15:01:55 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ก่อนที่จะไปถึงเรื่องราวระทึกที่สนามบินบริสเบน เราขอพูดถึงการขอวีซ่าก่อนนะคะ เราขอวีซ่าด้วยตัวเองโดยการหาข้อมูลจากเวบไซต์ http://www.immi.gov.au ซึ่งเป็นเวบไซต์อิมมิเกรชั่นของออสเตรเลีย เป็นเวบไซต์ที่ดีมาก มีข้อมูลครบถ้วน ถ้าทำตามข้อมูลในเวบไซต์ การได้วีซ่าก็ไม่ใช่เรื่องยาก แล้วก็ไม่ต้องมาตั้งกระทู้ถาม "จะขอวีซ่าออสเตรเลีย ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้างคะ" ในพันทิปให้เป็นที่น่ารำคาญสำหรับคนอื่นด้วยค่ะ แล้วที่สำคัญ ถ้าขอเองก็ประหยัดไปได้เยอะ ไม่ต้องจ่ายเงินให้เอเจนท์ทำเรื่องให้ ซึ่งเรื่องของเรา ไม่มีใครรู้ดีเท่าเราค่ะ ตามประสบการณ์การทำวีซ่าที่ผ่านมา เราพบกว่า การกรอกใบสมัครเป็นวิธี check list ที่ดีที่สุด เช่นสมมติว่า คำถามข้อแรก ถามเกี่ยวกับตัวเรา ชื่ออะไร หมายเลขพาสปอร์ต เราก็อ้อ ตอบคำถามข้อนี้ปุ๊บ ก็ต้องเตรียมเอกสารเกี่ยวกับตัวเราสินะ แล้วก็เตรียมกอปปี้พาสปอร์ตแยกไว้ เสร็จไปแล้ว 1 เอกสาร มีถามสถานภาพด้วย ถ้าตอบว่าสมรส ก็ต้องเตรียมทะเบียนสมรส ได้อีกแล้ว 1 เอกสาร แต่ถ้ายังโสด ก็ไม่ต้องเตรียมอะไร ข้อต่อไปอาจจะถามว่า คุณทำงานอะไร อ่ะ แปลว่าตอนนี้ต้องเตรียมเอกสารที่เกี่ยวกับการทำงาน ก็เตรียมหลักฐาน หนังสือรับรองการทำงานจากนายจ้าง ของเราแนบนามบัตรไปด้วยค่ะ เขาจะได้เห็นว่า เราชื่อนี้นะ ทำงานที่นี่ นี่ตำแหน่งเรา ตามนามบัตรเลย ถามว่ารู้จักใครที่ออสเตรเลียหรือเปล่า ถ้าเราตอบว่าไม่รู้จักก็ไม่ต้องเตรียมอะไร แต่ถ้าเราตอบว่า มีแฟนอยู่ เราก็ต้องเตรียมเอกสารแสดงความสัมพันธ์ เอกสารแสดงความมีตัวตนของแฟน ถ้าเราตอบในใบสมัครวีซ่าว่าแฟนจะเป็นผู้สนับสนุนที่พัก เราก็ต้องมีจดหมายจากแฟนถึงสถานทูต บอกว่าจะให้ที่พัก การจะให้ที่พักก็ต้องมีที่พัก เพราะฉะนั้นเราต้องแสดงหลักฐานการเป็นเจ้าของที่พัก จะเป็นเจ้าของเองหรือจะเช่าก็ไม่ว่ากัน ขอเพียงให้มีหลักฐานให้สถานทูตเห็นเท่านั้นเอง หัวใจสำคัญที่สุดสำหรับการเตรียมเอกสารก็คือ ไม่ว่าเราจะพูดอะไร เราต้องมีหลักฐานที่เป็นเอกสารมาแสดง เช่นของเราให้ข้อมูลกับสถานทูตว่า แฟนต้องกลับออสเตรเลียเพราะแม่ป่วยและเราจะตามไป เราก็ต้องแสดงหลักฐานวันที่แฟนเดินทางออกจากประเทศไทยเข้าออสเตรเลีย หลักฐานแสดงอาการเจ็บป่วยของแม่ คือไม่ว่าจะพูดอะไรไป เราต้องมีกระดาษเป็นหลักฐานทั้งสิ้น คนที่ขอวีซ่าแล้วไม่ได้ ลองเช็คดูว่าเรามีหลักฐานรับรองคำพูดของเราครบถ้วนหรือเปล่า เพราะสถานทูตถือว่าเราจะพูดอะไรก็ได้ แต่เรามีอะไรที่เป็นรูปธรรมมาสนับสนุนคำพูดหรือเปล่า นั่นสำคัญกว่า แล้วคำถามในใบสมัครทุกข้อจะให้เราเตรียมเอกสารทั้งหมด คือถามปุ๊บ ตอบปั๊บ หลักฐานพร้อม ถ้าทุกอย่างพร้อมแบบนี้ ได้วีซ่าแน่นอนค่ะ ไม่ต้องกังวลเลย นี่คือหลักฐานสนับสนุนคำพูดของเรา ส่วนหลักฐานใหญ่ๆที่จำเป็นต้องมี ในเวบจะมี check list ให้ เราก็ปรินท์ออกมา แล้วก็ติ๊กเอกสารที่เราเตรียมแล้ว ขาดเหลืออะไรก็หาให้ครบ เสร็จแล้วก็ไปยื่นโลดค่ะ รับรอง วีซ่าผ่านแน่ๆ จากคุณ : Le Cielo - [ 10 พ.ค. 51 07:49:22 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ตัดกลับมาที่สนามบิน.. หลังจากที่เราเข้าแถวเพื่อตรวจพาสปอร์ตเพื่อผ่านตมเข้าประเทศออสเตรเลียแล้ว พอถึงคิวเรา เจ้าหน้าที่ก็เอาพาสปอร์ตไปดู ดูแล้วก็ดูอีก แล้วก็เพ่ง แล้วก็บ่นพึมพำ จากนั้นก็ใช้วิทยุคุยกับใครก็ไม่รู้ แล้วก็บอกให้เราออกมาจากแถว เอาแล้ว โทษฐานที่เป็นสาวไทยอย่างที่เคยได้ยินมาแน่ๆเลย เจ้าหน้าที่แยกเราออกมาจากคนอื่นๆ คนรอตรวจพาสปอร์ตเยอะมากมีเราคนเดียวที่โดนกักตัวไว้ ตอนนั้นเริ่มกรุ่นๆ มากักชั้นทำไมเนี่ย ผิดมากเลยใช่มั้ยที่เป็นสาวไทยเดินทางคนเดียว เจ้าหน้าที่พาเราไปยืนรอด้านหลังเคาน์เตอร์แล้วบอกว่าเดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่มาคุยด้วยนะ เราก็ถามว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องคุย เขาบอกว่าเป็นการสุ่มตรวจเฉยๆ แต่เราไม่เชื่อหรอกว่าสุ่มตรวจ คนเป็นเยอะๆ คนเอเชียก็มีแต่มีแต่เราที่เป็นคนไทยและเดินทางคนเดียว เราเลยถามว่า ที่เราโดนกักเพราะเราเป็นคนไทยใช่ไหมล่ะ เจ้าหน้าที่ยิ้มแหยๆแต่ไม่ได้ตอบอะไร (แต่ตอนนั้นเราเริ่มโกรธแล้วนะ รู้สึกโดนเลือกปฏิบัติ รับไม่ได้) รอนานเหมือนกันกว่าจะมีเจ้าหน้าที่มาคุยด้วย 3 คนแน่ะ ผู้ชายคนนึงท่าทางจะเป็นหัวหน้าแล้วก็ผู้หญิงอีก 2 คน ก็ถามเราว่าเรามาทำอะไร เราก็ตอบไปตามตรงว่า มาหาแฟน แล้วเขาก็ถามเกี่ยวกับแฟนเราเยอะมาก เจอกันที่ไหน อย่างไร แฟนอยู่ที่ไหน เราจะไปอยู่ที่ไหน เราก็ต้องเริ่มเล่าความเป็นมาเหมือนกับที่เขียนให้สถานทูตอีกแล้ว ตอนนั้นแบบว่าเบื่อมาก จะอะไรกับกูนักหน้า ฮึ่ย คุยกันนานเหมือนกัน แล้วเราก็พยายามจะให้เจ้าหน้าที่โทรหาแฟนเรา นี่ๆ ทำไมยูไม่โทรไปตามเบอร์ที่ให้ไปล่ะ โทรให้หน่อย ช่วยบอกแฟนไอด้วยว่าโดนพวกยูกักตัวไว้ เลยต้องออกไปช้า นี่ กัดมันไปเลย หงุดหงิด เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมโทรอีก เอาใหม่ นี่ ไอจะต้องต่อเครื่องนะ ถ้าพวกยูกักไว้นานๆแบบนี้ไอตกเครื่องจะทำไง เจ้าหน้าที่ถามว่าขึ้นเครื่องเที่ยวกี่โมง พอเราบอกไป เขาก็บอกว่า ทันน่า เราจะทำให้ทัน ไม่ตกเครื่องหรอก หลังจากคุยเสร็จแล้ว เขาก็บอกว่าเดี๋ยวขอเปิดกระเป๋าดูหน่อยนะ เราแบบ What! Going through all my stuffs??? ทำหน้าแบบว่า นี่มันของส่วนตัวชั้นนะ จะมาเปิดแล้วเผื่อเจอกุงเกงลิงด้านหน้าจะทำไง เจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่หรอก แค่เปิดๆดูนิดหน่อยน่ะ เราก็เออ ทำไรทำไปเหอะ อยากออกไปข้างนอกจะแย่อยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ผู้หญิงไปรับกระเป๋ามาให้จากสายพาน (สบายนิดนึง ฮ่าๆ) แต่ แต่ แต่!!! กระเป๋าเราหายไปไหนก็ไม่รู้ เอ๊า ให้มันวุ่นวายได้อย่างนี้ เจ้าหน้าที่กลับมาบอกว่าหากระเป๋าไม่เจอ เลยต้องไปที่ Lost and found ของสิงคโปร์แอร์ไลน์ รออีกนานมากกกกกกกกก กว่าเจ้าหน้าที่สายการบินจะไปรับกระเป๋ามาให้ ระหว่างรอกระเป๋าเราก็เลยเริ่มคุยกับเจ้าหน้าที่ผู้หญิงที่รอด้วยกัน ก็คุยกันไปเรื่อย เขาถามว่าจะไปเที่ยวไหน เราก็ยังไม่รู้เลย มาแบบว่าแค่จะมาฉลองคริสต์มาส ส่วนไปเที่ยวนั่นเดี๋ยวแฟนพาไปไหนก็ไป ก็คุยเรื่อยเปื่อยสัพเพเหระ แล้วในสนามบินจะมีหมาดมกลิ่นซึ่งเป็นบีเกิ้ล เป็นพันธุ์เดียวกับแมกซี่หมาเราเลย เราก็บอก เนี่ย หมาเราก็พันธุ์นี้แหละ น่ารักเนอะ แล้วก็คุยเรื่องหมาต่อไปอีก ฮ่าๆ คือเครียดไม่ไหวแล้วไง หาเรื่องผ่อนคลายดีกว่า ในที่สุดเราก็ได้กระเป๋ามา เจ้าหน้าที่ก็พาไปตรงทางออก เปิดกระเป๋าดู ก็ไม่มีไรมากมีแต่เสื้อผ้าเราแล้วก็หนังสือทั้งของเราและของคุณแฟน เจ้าหน้าที่ก็ถามว่ายูอ่านหนังสือเล่มนี้เหรอ เราบอกว่าเปล่าหรอก พอดีแฟนไอขอให้เอามาให้ด้วย (หนักมากเล่มใหญ่กว่าดาวินชี่โค้ด) ในกระเป๋ามีรูปแมกซี่หลายรูป ทั้งรูปเดี่ยวและรูปหมู่กับเรากับแฟน เราเลยได้อวดเจ้าหน้าที่ว่านี่ไงๆหมาไอที่เล่าให้ยูฟัง เจ้าหน้าที่บอกน่ารักเนอะ เราบอกว่าน่ารักแต่อ้วน ไม่หุ่นดีเหมือนหมาที่สนามบิน ฮ่าๆ เสร็จจากกระเป๋าใหญ่ก็ไปกระเป๋าเล็ก คือเล็กพริกขี้หนู ข้างในอัดแน่นเต็มไปด้วยเสื้อผ้าชุดทำงานของแฟนเรา เจ้าหน้าที่ก็ถามว่าทำไมยูต้องเอามาล่ะ เราบอกก็แฟนไอกลับบ้านแบบด่วนไม่ได้เตรียมตัว ไอเลยมีหน้าที่ต้องหอบหิ้วเสื้อผ้าทำงานพวกนี้มาให้ เจ้าหน้าที่หัวเราะบอกหน้าที่เมีย ฮ่าๆ เสร็จทั้งสองกระเป๋าเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า Welcome to Asutralia เราแบบ What? ไอไปได้แล้วเหรอ เขายิ้มๆบอกไปได้แล้ว เที่ยวให้สนุกนะ ขอโทษด้วยที่ทำให้ช้า หวังว่าคงจะไม่ตกเครื่อง เราก็ขอบคุณแล้วก็เข็นรถออกมาข้างนอก แต่เจ้าหน้าที่ไม่รู้หรอกว่า ที่เขาหวังว่าเราจะไม่ตกเครื่องน่ะ เขาต้องผิดหวัง!!! จากคุณ : Le Cielo - [ 10 พ.ค. 51 08:15:18 ]

ความคิดเห็นที่ 17 มีใครอยู่เป็นเพื่อนกันบ้างค้า ขอเสียงหน่อย จากคุณ : Le Cielo - [ 10 พ.ค. 51 08:31:56 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อยู่ค่า และจะอยู่ต่อไป เป็นกำลังใจให้อย่างมาก เชื่อว่าตอนนี้คงมีความสุขแล้วนะคะ เข้าใจในความรู้สึกเลย เรื่องราวที่คล้ายกันแต่เปลี่ยนเป็น...ฮ่องกง แค่นั้นเอง ไม่มีใครอยากที่จะเจอกับปัญหาสารพัดแบบ หากเลือกได้ใครก็อยากให้ราบลื่น แต่ชีวิตจริงมันไม่ใช่ จากคุณ : Fan C Lai - [ 10 พ.ค. 51 16:38:20 A:58.9.173.53 X: TicketID:151526 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อ้าว จบแล้วเหรอคะ กำลังอ่านเพลินๆ จากคุณ : L - [ 11 พ.ค. 51 02:56:29 A:134.102.123.211 X: TicketID:169363 ]

ความคิดเห็นที่ 20 Not end yet ka. Still long way to go, this is just a beginning lol I am at work now so need to wait till I'm home otherwise I woudn't be able to type in Thai and I would rather to tell story in Thai ka. จากคุณ : Le Cielo - [ 11 พ.ค. 51 06:35:23 ]

ความคิดเห็นที่ 21 Okay...I'll be patient to read from you. Hurry come back and to be continue naka. จากคุณ : A'Jim - [ 12 พ.ค. 51 10:01:19 ]

ความคิดเห็นที่ 22 กำลังสนุกเลย จากคุณ : clubspanky - [ 12 พ.ค. 51 14:03:44 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มาถึงออสเตรเลีย สิ่งแรกที่ทำหลังจากฉลองคริสต์มาสก็คือ เปิดบัญชีร่วม!!! ฮ่าๆๆ เพราะตอนขอวีซ่าที่ไทย ไม่มีหลักฐานแสดงความสัมพันธ์ที่เป็นเอกสารเลย เลยแก้แค้นด้วยการเปิดบัญชีร่วมมันที่ออสเตรเลียนี่แหละ เตรียมพร้อมสำหรับขอวีซ่า การเปิดบัญชีก็ง่ายมากค่ะ แค่มีพาสปอร์ตก็สามารถเปิดได้เลย ตึกแบงค์ก็อยู่ติดกับตึกอพาร์ทเมนท์ เดินทะลุถึงกันได้อีกต่างหากเลยแว้บเข้าไปเปิดบัญชีแป๊บนึง เสร็จแล้วก็มีบัญชีร่วมแล้ว คราวนี้ลองดูซิอิมมิเกรชั่นจะว่ายังไงอีก ตอนนี้เราเก็บทุกอย่างค่ะ จดหมายหรือพัสดุที่ส่งมาจากเมืองไทยโดยจ่าหน้าชื่อที่อยู่เราที่ออสเตรเลียก็เก็บไว้หมด อะไรที่จะเอาไว้เป็นหลักฐาน เตรียมพร้อมสุดฤทธิ์ โดยไม่ได้รู้เล้ยว่า อะไรที่รออยู่ข้างหน้าน่ะ มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ตอนที่เราลาออกจากงานที่ไทยนั้น เราคิดว่าได้พักผ่อนอยู่ที่ออสเตรเลียตั้ง 3 เดือน ดีจังเลย แต่เราก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่า เราเนี่ย ว่างได้ไม่นาน หลังจากที่ใช้ชีวิตแบบว่างๆไม่ทำงานทำการอยู่ 2 อาทิตย์ คุณแฟนก็ไปสมัครงานที่โรงแรมแห่งหนึ่งในตำแหน่งเชฟ เนื่องจากคุณแฟนเป็น Qualified chef แต่หลังจากที่คุยกับเจ้าของแล้วปรากฏว่า เค้าไม่ได้ต้องการเชฟอย่างเดียวแต่ต้องการผู้จัดการด้วย คือต้องการคู่ผัวเมียที่คนนึงเป็นเชฟอีกคนบริหารจัดการโดยมีที่พักให้ฟรี อาหารกินที่โรงแรม และเงินเดือนดึงดูด คุณแฟนรีบพาเราไปคุยกับเจ้าของทันที ทั้งๆที่ตอนนั้นเรายังถือวีซ่าท่องเที่ยวอยู่เลย แต่คุณแฟนก็มิได้นำพา - -" เราบอกเจ้าของไปตามตรงว่าตอนนี้เรายังไม่มีวีซ่าสำหรับทำงานนะ แต่เรากำลังจะสมัครวีซ่าซึ่งเจ้าของโรงแรมก็โอเค เราทำงานแต่ไม่รับตังค์โดยคุณแฟนเป็นคนรับตังค์ในส่วนของเรา (จะมีอิมมิเกรชั่นที่ไหนมาอ่านมั้ยเนี่ย แหะๆ) และหลังจาก 3 อาทิตย์ที่ไม่ได้ทำงาน เราก็ได้เริ่มเป็นมนุษย์ทำงานอีกแล้วค่ะ เฮ้อ.. ตอนที่เราไปถึงออสเตรเลียได้สักสัปดาห์นึง คุณแฟนก็ขอแต่งงาน เราก็ตกลงเพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธ และแม่คุณแฟนก็อยากเห็นลูกชายคนโตเป็นฝั่งเป็นฝาด้วยก่อนที่แม่จะเป็นอะไรไป เราเลยยุ่งทั้งงานแต่งและงานที่โรงแรมแต่ทุกอย่างก็ผ่านมาได้ด้วยดี หลังจากแต่งงานเราก็ทำเรื่องขอยกเลิกเงื่อนไข no further stay ของวีซ่าท่องเที่ยว คือถ้ามาท่องเที่ยวแล้วติด no further stay เราจะไม่สามารถขอวีซ่าอื่นๆได้เลยต้องกลับไทยอย่างเดียวเมื่อวีซ่าหมด อย่างที่เราเคยบอกไปแล้ว แต่มันก็มีช่องทางให้ขอยกเลิกเงื่อนไขอยู่ซึ่งต้องมีเหตุผลที่สมควร โดยที่การแต่งงานไม่ใช่เหตุผล แปลว่าถึงคุณจะแต่งงานแต่จะใช้เหตุผลนี้ในการขออยู่ต่อไม่ได้!! เราเขียนจดหมายหาอิมมิเกรชั่นวันที่ 22 กุมภา ดังข้างล่างนี้ จากคุณ : Le Cielo - [ 12 พ.ค. 51 19:24:22 ]

ความคิดเห็นที่ 24 February 22, 2008 Attn: 8503 Waiver Request My name is Le Cielo, passport number Axxxxx, date of birth xx xx xxxx, holding a visitor visa with condition 8503. I’ve arrived Australia since December 24, 2007.  I am writing to request for a waiver of the condition according to my circumstances change. I was already engaged to aa bb when we heard news about his mother having terminal cancer so aa returned to Australia and I followed. We planned to go back to Thailand and get married. However, since I’ve arrived in Australia, aa’s mother’s health has declined and requires extra care. She is not strong enough to travel overseas so we decided to move forward the wedding. We were married on February 12, 2008. I would like to ask of your compassion to stay and look after her as my husband, aa is working full time. Please kindly find attached documents supporting information on my mother in law’s health. If required, I am able to send more information. You can contact me at MY ADDRESS I am looking forward to a positive outcome to this matter. With best regards, Le Cielo จากคุณ : Le Cielo - [ 12 พ.ค. 51 19:29:32 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ที่ออสเตรเลีย ก่อนที่จะแต่งงานได้เราต้องจองวันแต่งก่อนอย่างน้อย 1 เดือนกับ 1 วัน (สงสัยให้เวลาคิดให้ดีมั้ง) ซึ่งพอเราตกลงแต่งงานกันเราก็ไปจองที่ court house โดยตอนแรกจะแต่งวันที่ 13 แต่พอดีว่าที่โรงแรมมีฟังก์ชั่นแต่งงานเหมือนกัน เราเลยต้องเลื่อนวันแต่งของเราให้เร็วขึ้นอีกวันนึง แต่นั่นก็ไม่ได้เร็วอะไรมากมายหรอกเนอะเพราะวีซ่าเราเหลือเวลาแค่เดือนครึ่งเอง ก่อนที่จะครบ 3 เดือนวีซ่าหมด หลังแต่งงาน 10 วัน เราก็ได้ส่งจดหมายขอยกเลิกเงื่อนไขเสียที เป็นพวก last minute มากๆ  ไฟไม่ลนก้นไม่กระดิกทำอะไร กรุณาอย่าได้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง และพอส่งไปแล้วเราก็รอค่ะ โทรถามเจ้าหน้าที่ว่าได้รับหรือยังเขาบอกว่าได้รับแล้วกำลังพิจารณาอยู่ อาจจะใช้เวลา 2-5 สัปดาห์ อืม ไม่นานเกินรอ วีซ่ายังเหลือ จากนั้นก็รอต่อไปค่ะ รอ ร้อ รอ รอ รอ เวลาผ่านไป 2 สัปดาห์โทรไปถามใหม่ เขาบอกว่าผลยังไม่ออก ให้รอต่อไป เวลาผ่านไป 3 สัปดาห์ โทรไปอีก เขาบอกว่ายังไม่ได้ให้รอต่อไป แต่ถ้าไม่ได้รับการติดต่อกลับก็ให้เตรียมตัวกลับไทยได้ ตอนนั้นเราก็โทรไปเลื่อนตั๋วกลับวันที่ 23 แล้วค่ะ เพราะคิดว่าอาจจะได้กลับไทยแหงๆ วันที่ 24 มีนาคม วีซ่าหมดค่ะ แต่วันที่ 17 แล้ว ผลก็ยังไม่ออก ตอนนี้เริ่มใจเย็นไม่ได้แล้ว เพราะว่าอิมมิเกรชั่นจะหยุดยาวอีสเตอร์ ตั้งแต่วันที่ 21-24 มีนา ซึ่งพอเปิดมาวันที่ 25 มีนา วีซ่าเราก็หมดไปแล้ว จะกลายเป็นคนอยู่อย่างผิดกฎหมายทันที อ๊ากกกซ์ ถ้าผลการขอยกเลิกออกมาว่าเราสามารถอยู่ต่อได้ เราจะมีเวลายื่นวีซ่าแค่ภายในวันที่ 20 มีนาเท่านั้น นั่นคือวันสุดท้าย แต่วันที่ 17 ผลยังไม่ออก พอวันที่ 18 เราก็โทรไปใหม่ เขาบอกว่า เขาจะตัดสินใจพรุ่งนี้ (วันที่ 19) คิดดูนะ เราจะทำอะไรทันได้ยังไง ถ้ารู้ผลวันที่ 19 เราก็ต้องยื่นวีซ่าวันที่ 20 วันเดียวเลย เครียดมากตอนนั้น จะเตรียมเก็บกระเป๋ากลับบ้านแล้วด้วย คืนวันที่ 18 เรานึกไงไม่รู้ไปเช็คเมล แล้วเราก็ต้องกรี๊ด เพราะว่ามีอีเมลนี้ส่งมาค่ะ จากคุณ : Le Cielo - [ 12 พ.ค. 51 19:50:12 ]

ความคิดเห็นที่ 26 RE: REQUEST TO WAIVE CONDITION 8503 (NO FURTHER STAY) I refer to your request dated 22 February 2008 to waive the 8503 (no further stay) conditon that was imposed on your Tourist visa (Subcalss 676). After careful consideration of the relevant legislation and the circumstances you presented in your request, I have determined that you satisfy legislative criteria for the 8503 condition to be waived. Consequently, your request has been approved. Your request was assessed against the requirements of Migration Regulation 2.05(4). This regulation prescribes the criteria that must be met before the 8503 visa condition can be waived. Under this regulation, visa holders must demonstrate that compelling and compassionate circumstances have arisen since their visa was granted that represents a major change to their circumstances and this change was beyond their control. Based on the information presented, I note that your husband is a New Zealand citizen and your mother in-law is terminally ill requires extra care is compelling and does represent a major change in your circumstances since visa grant that was beyond your control. There fore, I have determined that you satisfy Reg. 2.05(4) I note that your current bridging visa allows you to stay in Australia until 24 March 2008. You should therefore ensure that you apply for a further visa before that date. Yours sincerely Signed electronically จากคุณ : Le Cielo - [ 12 พ.ค. 51 20:03:01 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เอาล่ะ คำตอบมาตอนกลางคืนวันที่ 18 เพราะฉะนั้นก็ตัดวันที่ 18 ไปได้เลย เหลือวันที่ 19 กับ 20 แค่สองวันเท่านั้นที่เราต้องทำเอกสารและยื่นวีซ่าคู่สมรส เมืองที่เราอยู่ห่างจากเมืองที่อิมมิเกรชั่นอยู่ ถ้านั่งเครื่องก็ 1 ชั่วโมง ถ้าขับรถก็ 6 ชั่วโมง ถ้ารถไฟก็ 10 ชั่วโมง เรื่องนั่งเครื่องตัดไปได้เลยเพราะเราไม่ได้จองไว้ล่วงหน้า ค่าตั๋วต้องแพงแบบแตะไม่ได้แน่ๆ ส่วนขับรถเราก็ไม่มีรถอีก เราเลยกะว่าจะนั่งรถไฟคืนวันที่ 19 แล้วไปเช้าที่นู่นวันที่ 20 แล้วยื่นแล้วนั่งรถไฟกลับมา (จะถึกไปไหนคะ) พอตัดสินใจได้แบบนั้นเราก็โทรไปหาเจ้าหน้าที่อิมมิเกรชั่น เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ต้องมาเองหรอก วันที่ 19 ให้ส่งเอกสารด่วนมา วันที่ 20 ก็ได้รับแล้ว แต่เราก็กลัวว่าส่งไปแล้วจะไม่ถึงและอื่นๆ แต่เขาก็บอกว่าถึงแน่นอน และเขาจะถือว่าเขารับเรื่องแล้ว ถ้ามันช้าก็จะถือว่ามันไม่ช้า เราก็เลยตกลงส่งเอกสารทางไปรษณีย์ วันที่ 19 เราตื่นมารวบรวมเอกสารแต่เช้า มีเอกสารหลายอย่างที่ต้องถ่ายเอกสาร บางอย่างต้อง certified true copy โดยผู้มีอำนาจอีก แต่เราก็ได้รับความช่วยเหลือจากน้องสาวคุณสามี (ตอนนี้เป็นคุณสามีแล้ว ฮ่าๆ) เธอพาไปที่ทำงานเก่าเธอให้คนที่ทำงานช่วยเซนต์ให้ ฟรีด้วย แล้วที่ทำงานเก่าเธอก็ติดกับไปรษณีย์ด้วย ไปรษณีย์ที่ออสเตรเลียปิด 5 โมงเย็น เราส่งเอกสารยื่นวีซ่าตอน 4:45 ฮ่าๆๆ 15 นาทีก่อนไปรษณีย์ปิด และเอกสารเราจะถึงสำนักงานวันสุดท้ายก่อนที่วีซ่าจะหมด (วินาทีสุดท้ายกว่านี้จะมีไหมคะ ฮ่าๆๆ) สายๆวันที่ 20 เจ้าหน้าที่จากอิมมิเกรชั่นโทรมาหาเรา เพราะเราลืมใส่หมายเลขบัตรเครดิตสำหรับให้ชาร์จค่าวีซ่า - -" เราเลยต้องเขียนจดหมายเพื่อ authorize การชาร์จบัตรเครดิตแฟกซ์ไปให้อีก และค่าวีซ่า $2,000!!! ค้า อยากรู้ว่ากี่บาทไทยก็เอา 29 คูณเข้าไปค่ะ อ๊ากก จนทันที นึกว่าเรื่องจะจบค่ะ สบายใจแล้วเสียเงิน 2000 คือพอเจ้าหน้าที่ชาร์จค่าวีซ่าปุ๊บ สถานะเราจะเปลี่ยนเป็น bridging visa ทันที เราไม่ต้องออกนอกประเทศแล้ว เราสามารถอยู่ในออสเตรเลียได้อย่างถูกกฎหมายจนกว่าวีซ่าจะผ่าน (แต่ก็ออกไปไหนไม่ได้เหมือนกัน - -") แต่ไม่ค่ะ ง่ายขนาดนั้นก็คงไม่ใช่เรา เพราะประมาณบ่ายสอง เจ้าหน้าที่คนเดิมโทรมาบอกว่า เราสมัครวีซ่าผิดประเภท!!! แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 51 20:33:55 จากคุณ : Le Cielo - [ 12 พ.ค. 51 20:21:27 ]

ความคิดเห็นที่ 28 โอ้โห มันมากๆ ค่ะ ตามมาจากเว็บเว็ดดิ้งค่ะ ว่าแต่อยู่เมืองไหนคะ สามีเราอยู่บริสเบน รออ่านอยู่นะ จากคุณ : ต้า - [ 13 พ.ค. 51 09:59:09 A:222.35.229.83 X: TicketID:176219 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อิอิ...ตามน้องต้า..มาจากเว็บเว็ดดิ้งเหมือนกัน สามีเราเป็นคนนิวซีแลนด์เหมือนกัน...แต่เค้ามาอยู่ที่ออสเตรเลียได้ประมาณ 9 ปี ส่วนเรามาอยู่ได้ปีครึ่ง... เดี๋ยวกลับมาอ่านต่อจ้า...ยาว จากคุณ : Peenida - [ 13 พ.ค. 51 13:33:31 ]

ความคิดเห็นที่ 30 รออ่านนะค่ะ มันส์มากๆเลย อิอิ จากคุณ : jejeejajar - [ 13 พ.ค. 51 19:52:02 ]

ความคิดเห็นที่ 31 อ่านingค่ะ ติดตามๆๆๆ จากคุณ : Shylamb - [ 14 พ.ค. 51 09:15:59 ]

ความคิดเห็นที่ 32 มันส์ มากๆ เลยค่ะ รออ่านเหมือนกันนะค่ะ จากคุณ : plastic flower - [ 17 พ.ค. 51 01:18:11 A:124.120.190.184 X: TicketID:139872 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ยังไม่มาต่ออีกเหรอคะ มันส์มาก จะเซ็บไว้เผื่อมีเืพื่อนจะทำมั่ง จากคุณ : jI@ng jIng zhEn - [ 17 พ.ค. 51 20:41:46 ]

ความคิดเห็นที่ 34 บ่ายสองโมงวันที่ 20 วันสุดท้ายของการยื่นวีซ่าก่อนที่วีซ่าเราจะหมด เจ้าหน้าที่โทรมาเข้ามือถือสามีเรา เขาคงคิดว่าคุยกับสามีน่าจะรู้เรื่องกว่ามั้ง แต่ปรากฏว่าคุณสามีบอกว่า คุยกับมายไวฟ์นะ เพราะชีจัดการทุกอย่าง เราถึงได้คุยกับเจ้าหน้าที่ คำแรกเลยเจ้าหน้าที่บอกว่าเราสมัครวีซ่าผิดประเภท เราก็งงว่าจะสมัครผิดได้อย่างไร คือเราสมัครวีซ่าคู่สมรสออสเตรเลียไปน่ะค่ะ เจ้าหน้าที่ก็ถามว่าตอนเตรียมเอกสารมีใครให้คำแนะนำหรือเปล่า เราบอกว่าเปล่า เราทำตามในเวบหมดเลย แต่เราไม่เข้าใจว่าเราจะสมัครผิดประเภทได้ยังไง เพราะเราตรวจสอบแล้ว เรามีสิทธิสมัครเพราะสามีเราเป็น PR ของออสเตรเลีย เจ้าหน้าที่บอกว่าเราไม่มีสิทธิสมัครคู่สมรสออสเตรเลียเพราะสามีเราไม่ใช่ PR อ้าว ไม่ใช่ได้ไงก็สามีเราบอกเองว่าเป็น PR เลยเกิดการงงเต้ก มันไม่ใช่แล้วมาบอกว่าตัวเองเป็นพีอาร์ได้ไงเนี่ย ซึ่งจนตอนนี้เราก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าสามีเราใช่พีอาร์หรือเปล่า เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ใช่เพราะช่วงที่เค้ามีการเปลี่ยนกฎกันสามีเราไม่ได้อยู่ในออสเตรเลีย ความเป็นพีอาร์เลยหมดไป อะไรประมาณนี้ล่ะ ตอนนั้นไม่มีเวลาจะคุยอะไรมาก เพราะบ่ายสองแล้วและออฟฟิศอิมมิเกรชั่นปิดห้าโมงเย็น เจ้าหน้าที่ว่าไงเราก็ว่าตามไว้ก่อน เราเลยถามว่าถ้าเราสมัครผิดแล้วที่ถูกต้องคืออะไร เขาบอกว่าต้องเป็นสมาชิกในครอบครัวแบบพิเศษ คือสมาชิกในครอบครัวของคนนิวซีแลนด์ที่ถือวีซ่าพิเศษ (แม้แต่แฟนเรายังไม่รู้ว่าตัวเองจัดอยู่ในพวกถือวีซ่าพิเศษ ฮ่าๆ) เขาก็บอกชื่อและซับคลาสของวีซ่ามา เราวิ่งไปที่คอมพิวเตอร์ ขอให้เขาบอกชื่อฟอร์มเป็นตัวเลข เรารีบเซิร์ชแล้วก็ปรินท์ออกมา ตอนนั้นบ่ายสองครึ่งแล้วเรามีเวลากรอกใบสมัครใหม่แค่สองชั่วโมงกว่าๆ นี่คือรวมกรอกและส่งไปให้เจ้าหน้าที่ด้วย กี๊ดดดดด ตอนนั้นเราปรินท์ใบสมัครวีซ่าและกรอกข้อมูลลงไปโดยที่ไม่รู้เลยว่าวีซ่าที่เราสมัครนั้นมันอนุญาตให้เราทำอะไรได้บ้าง แต่ก่อนที่เราจะส่ง เราก็เปิดเน็ตศึกษานิดหน่อย ปรากฏว่าเป็นวีซ่าที่ให้เราตามสามีชาวนิวซีแลนด์มาอยู่ในออสเตรเลียได้ มีอายุคราวละ 5 ปี สามารถทำงานได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ค่าสมัครวีซ่า $190!!! ถูกกว่ากันสิบกว่าเท่า เราอยากได้วีซ่านี้มากกว่าคู่สมรสล่ะเพราะคู่สมรสแพงเกิน หลังจากกรอกใบสมัครเสร็จเราก็สแกนแล้วส่งอีเมลไปให้เจ้าหน้าที่ ตอนนั้นบ่ายสามนิดๆ ยังมีเวลา แต่ก็อย่างที่บอกอะไรๆมันก็ไม่ง่าย เพราะสักพักเจ้าหน้าที่โทรมาบอกว่า ใบสมัครที่เราสแกนแล้วส่งเมลไปให้นั้นมันจางมาก เค้าไม่สามารถอ่านได้ (อ๊ากกกกกกก) ขอให้ส่งมาใหม่ แล้วคิดดูนะคะ ใบสมัคร 18 หน้า แล้วสแกนทีละแผ่น ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ เราไม่อยากเสียเวลา เลยถามว่าเราแฟกซ์ไปให้ได้ไหม พอเขาบอกว่าได้เราก็รีบแฟกซ์ไปทันทีเลย พักใหญ่ๆ เจ้าหน้าที่โทรกลับมาอีก บอกว่าที่เราแฟกซ์มานั้น มาแค่ 8 หน้าแรก ซึ่งมันเป็นหน้า Introduction เท่านั้น ส่วนตั้งแต่หน้า 9 ถึง 18 ซึ่งเป็นข้อมูลเรามันไม่ไป!!! อ๊ากกกก อะไรกันนักกันหนา ตอนนั้นก็สี่โมงกว่าแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่าขอให้แฟกซ์มาใหม่ แฟกซ์มาแค่หน้า 9-18 ก็พอ ไม่ต้องแฟกซ์มาหมด แต่เขาบอกว่าวันนี้คงเอาเราขึ้นระบบเป็นบริจจิ้งไม่ทันแล้ว เราต้องอยู่อย่างผิดกฎหมาย 1 วันคือวันอังคารที่ 25 กี๊ดดดดด จริงๆเหรอตัวเอง เราถามว่าแล้วแบบนี้เราจะโดนแบลกลิสท์ว่าอยู่เกินหรือเปล่า เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่หรอก ไม่ใช่ความผิดเรา เขารู้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว แล้วเขาก็ขอโทษเราด้วยที่เก็บเรื่องของเราไว้นานจนเหลือเวลายื่นวีซ่าแค่วันเดียว เขาบอกว่ายูก็รู้เนาะ ที่นี่ออสเตรเลีย ใช่ รู้ เห็นด้วยมากกว่า อะไรๆก็ใช้เวลาที่นี่ นานมาก และน่าเบื่อมากด้วย ก่อนจะวางสายเขาบอกเราให้ทำใจให้สบาย ตอนนี้เรื่องถึงมือเขาแล้ว เดี๋ยวพอเปิดมาวันอังคารเขาจะทำเรื่องให้เราก็จะได้อยู่อย่างถูกกฎหมายแล้ว ขอให้เราเที่ยวให้สนุก (เที่ยวอีสเตอร์) เราก็เลยสุขสันต์อีสเตอร์เขาแล้วก็วางสาย จะว่าไปเจ้าหน้าที่อิมมิเกรชั่นน่ารักทุกคนเลยนะคะ คือเราคุยกับหลายคนมาก ทุกคนให้ความช่วยเหลือดีมาก พูดกับเราเหมือนเราเป็นคนคนนึง ไม่เหมือนเจ้าหน้าที่ที่ไทย บางทีก็พูดไม่ค่อยดี ยิ่งกับเมียฝรั่งนี่ยิ่งเหมือนไม่ค่อยอยากจะให้เกียรติ ก็ว่ากันไป... จากคุณ : Le Cielo - [ 18 พ.ค. 51 12:33:48 ]

ความคิดเห็นที่ 35 มันส์มากค่ะ อ่านไปลุ้นไป ต่อ ต่อ จากคุณ : bellagallo - [ 20 พ.ค. 51 19:00:24 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เรื่องพี่เหนื่อยดีมากอะ เด๋วหนูจะเลียนเเบบ เเต่ไปทำที่ VICTORIA เหอ กะลังจะขอวีท่องเที่ยวไปหาเเฟน ขอให้ไม่ติด NO FURTHER STAY จะได้ไม่ต้องกลับมา ไม่ได้เจอเเฟนมาเป็นปีเเล้ว จะขาดใจตาย จากคุณ : PW-Family from Wedding Square - [ 23 พ.ค. 51 18:28:57 A:125.25.37.185 X: TicketID:177119 ]