Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ค่าครองชีพในเมลเบิร์น

    การตัดสินใจจะไปเที่ยว ไปเรียนต่อ หรือไปอยู่ในเมืองใด ๆ ข้อมูลด้านค่าครองชีพ (Cost of living) เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่กำลังตัดสินใจมาเรียนต่อที่นี่ ไม่ว่าจะด้วยทุนเต็มจำนวน ทุนบางส่วน หรือ ทุนส่วนตัว ข้อมูลดังกล่าวน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดกระเป๋า และวางแผนค่าใช้จ่าย แต่บอกไว้ก่อนนะครับว่าราคาสินค้าต่าง ๆ นี้ เป็นราคาโดยประมาณ เพราะราคาจริง ๆ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ สถานที่ขาย ช่วงลดราคา ฯลฯ ซึ่งราคาที่นี่ผันผวนมาก วันหลังจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังนะครับ

    เรื่องสำคัญที่สุดคือ เรื่องอาหารการกิน เวลาเทียบค่าครองชีพ ผมมักจะเทียบค่าอาหารหนึ่งมื้อ กับรายได้ขั้นต่ำ ที่นี่ราคาอาหารกลางวันอย่างถูกเช่น burger + chips + Coke,  fish and chips, ก๋วยเตี๋ยว, อาหารจานเดียว ฯลฯ อยู่ที่ประมาณ 7-10 dollars  (คูณค่าเงินไทยประมาณ 30 บาทดูเองนะครับ)  กาแฟแก้วละ 3-4 dollars ถ้าเป็น dinner จะค่อนข้างแพงหน่อย ส่วนใหญ่จะสั่ง Entree (อ๊องเทร) เป็นอาหารทานเล่น ราคาประมาณ 7 dollars  ขึ้นไป แล้วก็ main course เป็นพวก สเต๊กต่าง ๆ จะอยู่ที่ประมาณ 15 dollars ขึ้นไป แล้วแต่ว่าสั่งเนื้ออะไร และส่วนไหน อาหารที่นี่จานค่อนข้างใหญ่ คนที่มาใหม่ ๆ อาจจะทานไม่หมด (แต่อยู่สักพักกระเพาะเราจะปรับขนาดได้เอง เหมือนผม ^_^) เราอาจขอ takeaway (เอากลับไปกินที่บ้าน) ก็ได้

    สรุปให้เลยครับ ของที่นี่แพงกว่าบ้านเราทุกอย่าง ถ้าเราทานข้าวนอกบ้านบ่อย ๆ เงินที่เราเอามาจากเมืองไทยจะหมดไปอย่างรวดเร็ว ข่าวดีก็คือ ถ้าเราทำกับข้าวทานเอง นอกจากจะอร่อยกว่าแล้ว ยังประหยัดไปได้เยอะเลยทีเดียว ผมจะลองเล่าราคาวัตถุดิบให้อ่านเล่น ๆ แล้วกันนะครับ ข้าวสารหอมมะลิ 5 กิโลกรัม ประมาณ 15 dollars บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซองละ 35 cents ไข่ 12 ฟอง ประมาณ 2-3 dollars หมูบดกิโลกรัมละประมาณ 6 dollars กุ้งกิโลกรัมละ 15 dollars ผักราคาหลากหลายแล้วแต่ชนิดครับ เช่น แครอท กิโลกรัมละ 1 dollars กว่า ๆ ผักชี กำละประมาณ 2 dollars มะเขือเทศ ประมาณกิโลกรัมละ 2 dollars นมลิตรละประมาณ 1.5-2 dollars น้ำเปล่า ถ้าซื้อเป็นขวดค่อนข้างแพง (600 ml ประมาณ 2 dollars) ส่วนใหญ่เราต้มน้ำก๊อกกิน น้ำอัดลม ยิ่งซื้อขวดใหญ่ยิ่งถูก (2 ลิตร ประมาณ 3 dollars แต่กระป๋องละ 2 dollars) เบียร์ขวดเล็ก 2 dollars ขึ้นไป ไวน์ค่อนข้างถูก มีตั้งแต่ 4 dollars ขึ้นไป

    ผลไม้บ้างดีกว่า apples ที่นี่ค่อนข้างอร่อย รสจัด หอมหวาน ยี่ห้อที่ผมว่าอร่อยก็เช่น Royal Gala, Pink Lady, Fuji ราคาก็ผันผวนมากครับ เฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 4-5 dollars แตงโมไร้เมล็ด กิโลกรัมละ 1 dollar กว่า ๆ องุ่นไร้เมล็ด (หวานกรอบอร่อยมากครับ) กิโลกรัมละ 4-6 dollars สับปะรดไร้เมล็ด ลูกละ 2 dollars (เอ่อ...สับปะรดมันไม่มีเมล็ดอยู่แล้วนี่นา...ก็ประเทศนี้อะไรมันก็ไร้เมล็ดไปหมดนี่ครับ ^_^)

    ของใช้บ้างดีกว่านะครับ ยาสระผม 400 ml ประมาณ 5-6 dollars, ยาสีฟัน160 g ประมาณ 2 dollars , ครีมอาบน้ำ 1 ลิตร ประมาณ 8-9 dollars, แป้งเด็ก 100 g ประมาณ 2 dollars, โลชั่น 400 ml ประมาณ 5-7 dollars โฟมล้างหน้า 175 g ประมาณ 10-14 dollars น้ำยาซักผ้า 475 ml ประมาณ 4 dollars ค่าซักผ้าหยอดเหรียญถังละ 3 กว่า ๆ ปั่นแห้งอีก ประมาณ 3 dollars

    ค่าที่พักที่นี่ค่อนข้างแพง บางคนบ่นว่าทำงานมาจ่ายแต่ค่าห้องหมด ผมเห็นด้วยครับ ค่าห้องที่นี่คิดเป็นสัปดาห์ ราคาห้องพักขึ้นอยู่กับทำเล และสภาพห้อง เป็นหลัก อย่างที่พักขนาด 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขก 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว มีที่จอดรถ มีรถประจำทางผ่าน อยู่ที่ประมาณ 200 dollars ต่อสัปดาห์ แต่หากไปอยู่แถวนอก ๆ เมือง ราคาก็จะถูกลง นักศึกษาไทยส่วนใหญ่มักเลือกที่จะแชร์ห้องพักกัน ก็จะลดค่าใช้จ่ายลงไปได้เยอะทีเดียว แต่ก็ต้องทำใจเรื่องความเป็นส่วนตัว และต้องมีความไว้ใจกันสูงมาก เพราะห้องที่นี่ (แม้แต่ห้องน้ำ) ล็อกไม่ได้ครับ

    การเดินทางในเมลเบิร์นค่อนข้างสะดวกสบาย มีทั้ง tram, train และ bus แต่ค่าเดินทางที่นี่เป็นแบบเหมาจ่าย คือสามารถเลือกได้ว่าจะซื้อตั๋วแบบ 2 hour (3.50 dollars) daily (6.50 dollars) weekly (28 dollars) monthly (104.40 dollars) yearly  (1117 dollars) ก็ได้ โดยเดินทางได้ไม่จำกัดเที่ยว เช่น ถ้าซื้อตั๋ววัน daily เราจะสามารถไปไหนก็ได้ ขึ้น tram, train หรือ bus ก็ได้ ภายในหนึ่งวัน

    พูดถึงแต่รายจ่ายให้ปวดสมองแล้ว ต้องพูดเรื่องรายได้ให้ชื่นใจขึ้นมาบ้างนะครับ นักเรียนส่วนใหญ่ (ที่ไม่ใช่การเรียนแบบทำวิจัย) สามารถทำงานได้ไม่เกินสัปดาห์ละ 20 ชั่วโมง ส่วนใหญ่คนไทยมักจะเริ่มงานจากร้านอาหารไทยก่อน เพราะรู้สึกอุ่นใจ มีเพื่อน ได้ทานข้าวฟรี แถมมีอาหารติดไม้ติดมือกลับบ้านอีกด้วย แต่ข้อด้อยของการทำร้านอาหารไทยคือ ค่าแรงค่อนข้างน้อย (ประมาณ 8 -10 dollars ต่อชั่วโมง) เมื่อเทียบกับร้านฝรั่ง (15 dollars ขึ้นไป ต่อชั่วโมง)

    สรุปได้ว่า ค่าครองชีพโดยรวมแล้วแพงกว่าเมืองไทย แต่ถ้าเทียบกับรายได้แล้ว ก็ถือว่าอยู่ได้ ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนจะมากจะน้อย ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตแต่ละคน บางคนจึงเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำกลับบ้าน บางคนเลือกใช้ชีวิตเต็มที่ หาประสบการณ์ให้มากที่สุด เป็นกำไรกลับบ้าน แต่ถ้าถามผม ผมขออยู่ตรงกลาง คือ เลือกประหยัดถ้าทำได้ (เช่น หาแหล่งที่ขายของถูก หรือ คอยซื้อของเวลาลดราคา) และหาประสบการณ์ใหม่ ๆ เมื่อโอกาสอำนวย เผื่อว่าจะเหลือเงินเล็ก ๆ น้อย ๆพร้อมประสบการณ์กลับบ้านไงครับ

    จากคุณ : กลับมาแล้วเหรอ เก่งมาก ๆ เลย - [ 4 ก.ค. 51 17:07:06 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom