ความคิดเห็นที่ 1 จริงๆขอคำแนะนำเพื่อจะขอหลุดพ้นจากการชดใช้ทุน ผมไม่อยากแนะนำเลย ขอแสดงความเห็นต่อประเด็นคนที่คิดจะชดใช้ทุนด้วยเงินว่า คนที่คิดแบบนี้ ตั้งแต่ทีแรกไม่น่าไปรับทุนกันท่าคนอื่นที่เค้าอาจจะมีใจอยากทำงานเพื่อประเทศโดยแท้จริงก็เป็นได้ บางทีคนนั้นอาจจะคิดว่า การชดใช้ทุนด้วยเงินไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเพราะไม่หนีทุน แต่จริงๆแล้วการที่บุคลากรที่รัฐลงทุนพัฒนาด้วยเวลาที่นานและเงิน การออกไปจากระบบของเค้าทำให้ รัฐต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่เพื่อให้ได้มีบุคลาการที่มีความสามารถมาทดแทนคนนั้น แล้วถ้ามีคนแบบนี้เยอะๆในระบบ ประเทศมันจะเจริญไปในทิศทางไหนได้ ทั้งนี้ก็ไม่ได้ว่าคนแบบนั้นจะผิดอะไรนักหนา เพราะยังมีความรับผิดชอบที่จะชดใช้ด้วยเงินแทนเวลา แต่จริงๆก็น่าจะมีความรับผิดกว่านี้อีกซักนิดตั้งแต่แรก ก่อนที่จะรับทุน โดยที่รู้ตัวว่าถ้าไม่คิดจะใช้ชีวิตราชการไปได้ตลอด ก็ไม่ควรจะรับทุนตั้งแต่แรกเลย จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 12 ก.ค. 51 19:18:40 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เงินบางทีก็ทดแทน ความเสียโอกาสของผู้ตั้งใจดีในการศึกษา และการพัฒนาบุคลากรของชาติ ความต่อเนื่องของงานนั้น ๆ ในส่วนของบูคลากร จากคุณ : เก่ายูเค - [ 12 ก.ค. 51 20:06:40 A:124.120.48.249 X: TicketID:174341 ]

ความคิดเห็นที่ 3 จริงๆ เรื่องค่าใช้จ่ายน่าจะประมาณการได้นิค่ะ ว่าคุณใช้ไปเท่าไหร่ในระหว่างที่เรียน เวลามหาลัยตอบรับก็จะมี Statement บอกค่า Tuition  นอกนั้นก็ค่าใช้จ่ายรายเดือน ค่าเดินทาง ฯลฯ ซึ่งคุณน่าจะคำนวณได้   ส่วนเรื่องชดใช้ไม่ขอ Judge คุณ เพราะไม่ทราบที่มาที่ไป  แต่สัญญาให้ทุนส่วนใหญ่ก็จะระบุไว้ชัดเจนว่าใช้เป็นเวลาเท่าไหร่ ใช้เป็นเงินเท่าไหร่ คูณ 2 คูณ 3 ก็ว่าไป ถ้าทำงานไปแล้วระยะเวลาหนึ่งคิดอย่างไร  อาจจะไม่ช่วยได้เท่าไหร่ แต่สิ่งที่คุณต้องดูเป็นหลักก็คือสัญญาที่คุณเซ็นต์ไว้นั่นแหละค่ะ จากคุณ : ไนซ์ (nicechick) - [ 13 ก.ค. 51 00:28:43 ]

ความคิดเห็นที่ 4 วิธีคำนวณเงินนั้นเปลี่ยนไปตามระเบียบใหม่ๆ แต่เท่าที่ผมพอทราบก็คือใช้บัญญัติไตรยางค์เอา สมมติว่าเรียนไปสองปี เอาเงินไปสองล้านบาท ตามสัญญาต้องทำใช้สี่ปี สมมติว่าทำไปแล้วสองปี เหลือสองปี เค้าก็มองว่าทำใช้ไปแล้วครึ่งนึงของเงินที่เอาไป ก็ต้องใช้สามเท่าของเงินที่เหลือ คือ หนึ่งล้านคูณสาม เท่ากับ สามล้านบาท ลองปรึกษาทนายดูนะครับ แม้ว่าตามสัญญาที่ได้ทำไว้จะต้องปรับเป็นสามเท่า แต่ในทางปฏิบัติต้องให้ศาลเป็นผู้พิจารณานะครับ มีตัวอย่างคดีในศาลฎีกามาแล้วว่า เอาจริงๆ แล้วก็ไม่ได้คูณสาม ซึ่งก็แล้วแต่เหตุผลและความจำเป็นล่ะครับ ตั้งแต่ตั้งศาลปกครองแล้วเรื่องผิดสัญญาทุนก็ต้องให้ศาลปกครองเป็นผู้พิจารณา แต่จะใช้บรรทัดฐานเดียวกับศาลฎีการึเปล่าผมก็ไม่ทราบครับ ป.ล. ที่ผมตอบนี้เป็นการตอบให้ตรงกับคำถามของคนถามมากที่สุดนะครับ ไม่ได้แฝงนัยยะที่จะสนับสนุนหรือตำหนิใครนะครับ จากคุณ : นาธ - [ 13 ก.ค. 51 03:26:41 A:67.159.68.55 X: TicketID:066295 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๖๗/๒๕๒๒ กรณีกลับไปทำงานใช้ทุน แต่ทำไม่ครบเวลาตามสัญญา ทางราชการจะปรับเต็มที่ แต่ศาลสั่งให้จ่ายตามอัตราส่วน http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H6771333/H6771333.html จากคุณ : ธนิตา - [ 13 ก.ค. 51 04:28:51 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อยากถามคุณ ธนิตา ว่า ถ้าเด็กทุนพากันขอชดใช้ทุนด้วยเงินกันหมด คุณคิดว่าไงครับ อยากรู้ความเห็นของคุณจริงๆครับ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 13 ก.ค. 51 08:08:08 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ตอนแรกเ้ข้ามาอ่านก็กะปล่อยผ่านเลยไป แต่พอตามลิงค์ของคุณ ธนิตาไป รู้สึกไม่ดีเลยค่ะ กับการที่คุณจะแนะนำให้คนที่ได้รับทุน หาทางหลีกเลี่ยงที่จะชดใช้ทุน ขออนุญาต แปะ ความคิดเห็นคุณจากทู้โน้นหน่อยนะคะ http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H6771333/H6771333.html คห.2 บอกหลังไมค์ คงไม่มีประโยชน์ต่อคนอื่น จึงขอบอกที่นี่นะ ๑ ขอให้ชดใช้ จะได้ไม่เสียหายต่อคนที่ประกันรับรองคุณ ๒ การชดใช้ ไม่จำเป็นต้องจ่ายทีเดียวหมด เพราะศาลเคยตัดสินเป็นตัวอย่าง แล้วว่า ตอนรับทุน ทุนจ่ายให้เป็นงวดเป็นระยะ ดังนั้นการชดใช้จึงทำได้ เช่นกัน และ ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยด้วยจ้ะ จากคุณ : ธนิตา - [ 6 ก.ค. 51 23:56:24 ] คห.4 การชดใช้เป็นงวดๆนั้น ดูเหมือนตามจำนวนเวลาที่ได้ทุนมา หารเฉลี่ยไป แต่ถ้ามีหลักฐานว่า งวดแรก ได้ค่าเดินทาง ค่าเรียน ค่าใช้จ่าย ทั้งหมดเท่าไร แล้วเดือนต่อไป งวดต่อไปเท่าไร จะจ่ายพร้อมค่าปรับแบบนี้ก็ได้ ตามตกลงหรือศาลสั่ง ทางที่ดี บอกให้นายประกัน ไปติตต่อตกลงกับหน่วยงาน ว่าจะทำอย่างไร แต่ถ้าทางการจะให้จ่ายงวดเดียว แล้วเงินมาก ก็ให้เขาฟ้องเอา ถ้าเงินไม่มาก จ่ายเขาได้ ก็จ่ายไปเลย เพื่อให้นายประกันสบายใจ แต่ถ้านายประกัน เป็นพ่อแม่ญาติพี่น้องคนสนิท ที่เข้าใจกันดี ก็เก็บเงินไว้กินดอกเบี้ยดีกว่า ของเราเมื่อ ๒๗ ปีที่แล้วจ่ายไป จากคุณ : ธนิตา - [ 8 ก.ค. 51 07:03:05 ] ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ โอกาสที่ใครสักคนหนึ่งจะไ้ด้ทุนจากรัฐบาลไปเรียนต่อที่สูงขึ้นก็ไม่ได้จะได้มาง่ายๆ แสดงว่าเขาคนนั้น คงจะมีความสามารถมากกว่าคู่แข่งอีกหลายคน เราเคยดูรายการทางช่อง 9 ช่วงประมาณ 20.30 (อันนี้ไม่แน่ใจทางด้านเวลา) จะมีรายการเกี่ยวกับนักศึกษาของทุน อนันทมหิดล หลังจบกลับมาก็ได้นำเอาองค์ความรู้มาใช้สอนกับนักศึกษารุ่นหลัง ออกอากาศประมาณ ครึ่งชั่วโมง เรานั่งดูแล้วปลาบปลื้มแทนคนนั้นจริงๆ (ทุนนี้เป็นทุนให้เปล่าด้วยนี่ ใช่ไหมคะ?) เรามาเจอกระทู้นี้ความรู้สึกมันตรงกันข้าม รู้สึกเสียใจแทนคนที่เขาเสียโอกาสให้กับพวกคุณจัง แต่ละคนก็คงจะมีเหตุผลไปต่างๆนานา ถ้าในสัญญากำหนดให้กลับมาทำงานแทน หรือ จ่ายเป็นเงิน 2-3 เท่า มันก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคนที่สามารถทำได้ ตามกฏหมายก็ไม่ถือว่าผิดหรอกค่ะ รู้อยู่แก่ใจ แต่การที่ออกมาแนะนำวิธีการเลี่ยงใช้ทุนแบบนี้ เราไม่เห็นด้วยค่ะ ถ้าตามสัญญาต้องชดใช้เป็นเงิน เท่าไหร่ คุณก็น่าจะจ่ายตามนั้น แต่นี่เล่นเอากฏหมายเข้ามาช่วยเพื่อประโยชน์ของตัวเอง โคตร----เลย ยิ่งอ่าน คห.4 ที่แนะนำมา เรารู้สึกเสียใจแทนประเทศชาติจริงๆ ถ้าประเทศไทยมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ คงได้แต่บ่นกับตัวเองว่า.... ....เซ็งเลยตู อุตส่าห์ส่งให้ไปเรียน พอจบกลับมาดันหาทางชิ่ง..... เป็นความคิดเห็นหนึ่งของคนที่อยากได้โอกาสในการศึกษา แต่(ยัง)ไม่เคยได้ เห็นด้วยกับคุณ TimeS-To-Enjoy อย่างยิ่งค่ะ จากคุณ : บังเอิญผ่านมาเจอ - [ 13 ก.ค. 51 11:00:30 A:58.10.234.238 X: TicketID:181209 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอเพิ่มเติมข้อมูลค่ะ 1) ในเอกสาร "ระเบียบคลังใหม่ว่าด้วยการทำสัญญาและชดใชทุน 2548 เขียนโดย นางสุทาทิพย์ กิตติเกษมศิลป์ (สืบค้นจาก net)" ระบุว่าสัญญาที่ ทำก่อน พ.ศ. 2548 (ซึ่งเดิมระบุให้รับราชการ 2 เท่าของระยะเวลา) ให้ปรับ เปลี่ยนมาอยู่ใต้ระเบียบใหม่ คือรับราชการเท่าเวลาที่ลาศึกษาต่อ 2)ในเอกสาร "หนังสือเวียนหลักเกณฑ์ปฏิบัติการชดใช้ 26 กันยายน 2549 " ระบุว่าการนับเวลาชดใช้ทุนนั้น ให้นับ การลาป่วย ลากิจ ลาคลอด เป็นระยะ เวลาชดใช้ทุนด้วย ดิฉันยังไม่แน่ใจว่ายังมีเอกสารที่ update และเปลี่ยนแปลงไปจากนี้หรือไม่ จึงขอความกรุณาให้ท่านผู้มีประสบการณ์หรือผู้รู้ช่วยแนะนำเพิ่มเติมด้วยค่ะ จากคุณ : Something to think about - [ 13 ก.ค. 51 11:04:40 A:125.24.173.53 X: TicketID:181386 ]

ความคิดเห็นที่ 9 โดยความคิดเห็นส่วนตัวของดิฉันเอง คิดว่าทางรัฐบาล หน่วยงานราชการ และกระทรวงการคลัง คงได้มีการประชุมปรึกษาหารือและปรับเปลี่ยนหลัก เกณฑ์การชดใช้ทุน (โดยใช้เป็นเวลา หรือ เป็นเงิน) โดยถือประโยชน์ของ ประเทศชาติเป็นหลักอยู่แล้ว ดังนั้นหากบุคคลใดได้ปฏิบัติราชการครบ กำหนดตามกฏเกณฑ์นี้แล้ว จึงไม่น่าจะถือเป็นกรณีทรยศต่อชาติ หรือไม่รัก ชาติแต่อย่างใด เพราะโดยความเป็นจริงแล้วคิดว่า ทุกคนยังสามารถเลือก ดำเนินวิถีชีวิตของตนเองพร้อมๆกับการรักชาติ และทำประโยชน์ต่อชาติบ้าน เมืองได้ อีกทั้งการชดใช้ทุนเป็นระยะเวลาก็คงไม่ได้บอกถึงความรักชาติที่ มากกว่าการชดใช้เป็นเงิน เพราะเพื่อนข้าราชการบางท่านในหน่วยงานของ ดิฉันไปเรียนต่างประเทศ รายหนึ่ง 2 ปี และอีกรายหนึ่ง 3.5 ปี ก็กลับมารับ ราชการจนหมดทุนเป็น 4 และ 7 ปี ตามลำดับ ก่อนจะลาออกไปดำเนินชีวิต ในบริษัทและกิจการอย่างอื่น ซึงในกรณีเหล่านี้ล้วนยากแก่การตัดสิน พิพากษาถึงความรักชาติ เพราะตัวผู้รับทุนเหล่านั้นเองได้ปฏิบัติตาม กฏเกณฑ์ทุกอย่าง แต่อย่างไรก็ตาม บุคคลภายนอกและข้าราชการที่ไม่ได้ รับทุนอื่นๆ ยังคงนินทากล่าวหาในเชิงทรยศต่อชาติอยู่เนืองๆ จึงเป็นเรื่องที่ น่าแปลกใจว่า แล้วระยะเวลาของการปฏิบัติงานที่ทำให้ทุกคนรอบข้างพอใจ นั้นควรเป็นเทาไร หรือจะต้องให้รับราชการชดใช้ทุนไปจนตลอดชีวิตที่ เหลืออยู่เท่านั้นจึงถือเป็นบุคคลที่รักชาติ จากคุณ : Something to think about - [ 13 ก.ค. 51 12:01:07 A:125.24.173.53 X: TicketID:181386 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จากข้อเขียน "ระเบียบคลังใหม่ว่าด้วยการทำสัญญาและชดใชทุน 2548 เขียนโดย นางสุทาทิพย์ กิตติเกษมศิลป์ (สืบค้นจาก net)" นั้นยังได้ อธิบายเหตุผลของการลดระยะเวลาชดใช้ทุน และจำนวณเงินของการชดใช้ ทุนไว้ด้วยว่า เนื่องจากวิทยาการความรู้มีการเปลี่ยนเร็ว ดังนั้นความรู้เมื่อ 10 ปีก่อนจึงล้าหลังและควรได้รับการปรับปรุงศึกษาเพิ่มเติม ดังนั้น การอนุญาตให้มีการชดใช้ทุนได้หมดเร็วขึ้นจึงอาจเป็นการอนุญาตให้ข้า ราชการนั้นๆตัดสินใจไปศึกษาเพิ่มเติมได้ง่ายขึ้น หรืออีกนัยหนึ่ง(ความคิด เห็นส่วนตัว)คือการทำให้เกิดการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนให้ข้าราชการ หรือ บุคคลอื่นๆได้รับโอกาสในการศึกษาต่อ รับวิทยาการใหม่ๆและได้มีตำแหน่ง หรือโอกาสในการกลับมาช่วยพัฒนาประเทศได้มากขึ้น จากคุณ : Something to think about - [ 13 ก.ค. 51 12:22:15 A:125.24.173.53 X: TicketID:181386 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ความรู้ประกอบเพิ่มเติม กรณีเป็นข้าราชการลาศึกษาต่อด้วยทุนประเภท 2 (ทุนส่วนตัว) และทำสัญญาในห้วงก่อนประกาศระเบียบปี 2549 และกลับมาปฏิบัติหน้าที่หลังประกาศระเบียบปี 2549 ให้ถือว่ามีการคิดค่าเสียหายหรือชดใช้แก่ราชการแบ่งเป็นสองช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 ก่อนประกาศระเบียบปี 2549 (10 หรือ 11 พฤษภาคม) ให้ชดใช้สามเท่าของเงินเดือนที่รับมาในขณะลาศึกษาต่อหรือทำงานเป็นสองเท่าของเวลาที่ลาศึกษาต่อ ช่วงที่ 2 หลังประกาศระเบียบปี 2549 ให้ชดใช้สองเท่าของเงินเดือนที่รับมาในขณะลาศึกษาต่อหรือหนึ่งเท่าของเวลาที่ลาศึกษาต่อ อย่างไรก็ตามส่วนที่ดูแลการศึกษาต่อ ของหน่วยงานต้นสังกัดนั้นๆ จะต้องเรียกคู่สัญญามาทำสัญญาฉบับที่ 2 (ซึ่งสัญญาของช่วงที่ 2) ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหายืดเยื้อได้ หากเกิดการผิดสัญญาขึ้นก่อนชดใช้ทุนหมด เพราะหน่วยงานต้นสังกัดย่อมไม่มีสัญญาช่วงที่ 2 ซึ่งจะทำให้เกิดการเรียกค่าเสียหายตามสัญญาช่วงที่ 1 เท่านั้น (ที่มา: สอบถามจากหน่วยความรับผิดชอบทางแพ่ง (ชื่อประมาณนี้) ของกรมบัญชีกลาง) จากคุณ : - - [ 13 ก.ค. 51 13:05:05 A:58.8.159.94 X: TicketID:012743 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้าปฏิบัติถูกต้องตามสัญญา ที่เซ็นไป ก็ไม่ถือว่าผิดอะไรครับ (ไม่งั้น สัญญา จะให้ทางเลือก มาทำไม ?) จากคุณ : คุณชินโซ - [ 13 ก.ค. 51 16:12:43 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เราว่านะ ต้องดูสัญญาข้าราชการลาคู่ไปกับสัญญารับทุน และพิจารณาคู่ขนานกันไป ถ้าไปเรียนด้วยเงินตัวเอง (ทุนประเภท 2) และยังรับเงินเดือนอยู่ (มีแต่สัญญาข้าราชการลา ไม่มีสัญญารับทุน) ก็ทำงานชดใช้เท่ากับเวลาเรียน หรือไม่ก็เสียค่าปรับ โดยต้องเสียกับหน่วยงานที่จ่ายเงินเดือนนะครับ เค้าจ่ายเงินเดือนเราเท่าไหร่ตอนเราไปเรียนก็ต้องจ่ายคืน แล้วก็โดนค่าปรับตามระเบียบที่คุณเจ้าของกระทู้ว่ามาคือเท่าเดียว แต่ ถ้าไปเรียนด้วยทุนรัฐบาลไทย และยังรับเงินเดือนด้วย จะมีสัญญาสองฉบับ สัญญาข้าราชการลาก็เหมือนกับข้อหนึ่ง พ่วงด้วยสัญญารับทุน (ปกติทุนรัฐบาลเรียนต่างประเทศจะทำงานชดใช้สองเท่า) นั่นก็คือต้องจ่ายทุนคืนให้กับเจ้าของทุนด้วย แล้วจ่ายเงินเดือนคืนหน่วยงานต้นสังกัดด้วย แยกกันจ่ายนะครับ เอาเงินใครมาเวลาคืนก็คืนคนนั้น ในกรณีเจ้าของกระทู้ เราว่าไง ๆ ก็โดนสัญญารับทุนคุมไว้อยู่ดี เพราะถึงจะสู้กับหน่วยงานต้นสังกัดจนไม่ต้องชดใช้เงินเดือน (เพราะทำงานใช้เท่ากับเวลาเรียนแล้ว) แต่ก็โดนสัญญารับทุนกับรัฐบาลไทย (ที่มีหน่วยงานเป็นตัวแทน) บังคับให้ทำงานใช้สองเท่าอยู่ดี แล้วเงินเดือนน่ะนิดเดียว ที่ต้องชดใช้ส่วนใหญ่เป็นเงินทุน ชดใช้สองเท่าด้วยหละ ยกเว้นจะขอโอนย้ายไปที่หน่วยงานราชการอื่น (ซึ่งงานนี้ไปปรึกษา กพ. ดีกว่า ทุนรัฐบาลไทย กพ. ดูแลอยู่แล้วนี่) แต่ถ้าเจ้าของกระทู้เป็นพนักงานมหาลัยละก็เข้าใจว่ายังไม่มีระเบียบรองรับนะ โชคดี ถ้ามีความคืบหน้ายังไง มาบอกบ้างนะอาจารย์ จากคุณ : ดิบ (ดิบ) - [ 13 ก.ค. 51 16:56:57 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อยากให้คนที่คิดว่าการขอชดใช้ทุนด้วยเงินเป็นเรื่องที่ชอบธรรม ช่วยตอบคำถามผมหน่อยว่า ถ้านักเรียนทุนพากันขอชดใช้ทุนด้วยเงินกันหมด คุณคิดว่ายังไงบ้างครับ ผมก็เป็นนักเรียนทุนคนหนึง กำลังเรียนเอกอยู่ ที่นี่มีนักเรียนทุนหลายคนที่กำลังเรียนอยู่ เราคุยกันเรื่องนี้บ่อยๆต่อปัญหาในเรื่องนี้ แล้วผมก็ดีใจเหมือนๆทุกคนที่นี่ก็ดีใจที่เวลาเราคุยกัน มองหน้ากันแล้วบอกให้กันฟังว่า เราจะกลับบ้านไปสอนหนังสือไปทำงานให้ประเทศ นักเรียนทุนที่ชดใช้ทุนด้วยเงินตามกฏหมายไม่ผิดหรอกครับถ้าว่ากันด้วยบริบทของตัวกฏหมาย อีกทั้งเราก็ไม่สามารถไปว่าหรือตำหนิใครได้ว่าเป็นพวกไม่มีอุดมการณ์ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบล่ะครับ คุณจะตอบคำถามที่ผมถามว่าอย่างไร สุดท้าย ผมอยากร้องเรียนให้ pantip.com ช่วยมาพิจารณากระทู้แนวนี้ด้วย ถ้า pantip เห็นว่ากระทู้แบบนี้ปลาอยผ่านได้ pantip ก็ต้องช่วยตอบคำถามนั้นของผมเหมือนกัน เพราะถ้ากระทู้แนวนี้มีมาเรื่อยๆ นักเรียนทุนเอาตัวอย่างของการเลี่ยงทุนด้วยการชดใช้ด้วยเงินที่สบายๆได้สำเร็จ มาโชว์บ่อยๆ มันจะกลายเป็นการกระทตุ้นให้นักเรียนทุนที่ไม่มีอุดมการณ์ รวมถึงพวกฉวยโอกาสที่แฝงเข้ามาได้ในระบบ คิดจะทำเช่นเดียวกันหมด แล้วปัญหาจะตกเป็นของใคร ก็ของประชาชนอย่างพวกเรานี่เองแหละหนอ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 13 ก.ค. 51 17:30:24 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ต้นฉบับเอกสารดังกล่าวข้างต้นค่ะ (เผื่อไว้สำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่าน) 1) "ระเบียบคลังใหม่ว่าด้วยการทำสัญญาและชดใชทุน 2548 เขียนโดย นางสุทาทิพย์ กิตติเกษมศิลป์ (สืบค้นจาก net)" จากวารสารกรมบัญชีกลาง หัวข้อลำดับที่สาม http://www.cgd.go.th/library/JDetail.asp?IDColumn=0000167 2) ระเบียบกระทรวงการคลัง ใน ราชกิจจานุเบกษา 2548 http://www.cgd.go.th/uploadfile/doc/1928_doc.pdf 3) "หนังสือเวียนหลักเกณฑ์ปฏิบัติการชดใช้ทุน 26 กันยายน 2549 " และที่เพิ่มเติม http://www.cgd.go.th/uploadfile/doc/2519_doc.pdf http://www.cgd.go.th/uploadfile/doc/6289_doc.pdf หวังว่าคงไม่เป็นการเอามะพร้าวมาขายสวนจนเกินไปค่ะ **หมายเหตุ - เอกสาร 1 เป็นบทความที่น่าสนใจและช่วยเปิดโลกทัศน์ได้มากที่เดียวค่ะ จากคุณ : Something to think about - [ 13 ก.ค. 51 17:39:06 A:125.24.173.53 X: TicketID:181386 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คุณ TimeS-To-Enjoy ค่ะ การตั้งกระทู้เพื่อข้อรับทราบข้อมูลในประเด็น ต่างๆของ web pantip นี้เป็นเรื่องกระทำได้ตามปกติในห้องกระทู้ต่างๆ ตราบใดที่ หัวข้อนั้นมิได้หมิ่นเหม่ต่อศีลธรรมและความมั่นคงของชาติ หาก การให้และรับข้อมูลเรื่องการชดใช้ทุนการศึกษาและการตีความข้อกฏหมาย เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นเป็นเรื่องที่บ่อนทำลายชาติ เห็นทีบทความต่างๆของกรม บัญชีกลาง กระทรวงการคลังที่ได้เขียนอธิบายการตีความข้อกฏหมาย และ การให้รายละเอียดต่างๆ ของการชดใช้ทุนหลาหลายบทความ คงเป็นการ บ่อนทำลายชาติ หรืออีกนัยหนึ่งคือบ่อนทำลายอุดมการณ์ของผู้รักชาติ อย่างมากมายอย่างที่คุณเข้าใจเป็นแน่แท้ แต่บางทีทางกระทรวง และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงอาจเล็งเห็นว่า ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยและ ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพ ในการรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร และ สิทธิในการแสดง ความคิดเห็นก็เป็นได้ จึงไม่ได้ปิดกั้นข้อมูล และรวมถึงไม่ได้ปิดกั้นหนทาง ในการตัดสินใจของปัจเจกบุคคลใดๆด้วย จากคุณ : Something to think about - [ 13 ก.ค. 51 18:00:42 A:125.24.173.53 X: TicketID:181386 ]

ความคิดเห็นที่ 17 งั้นตอบคำถามผมด้วยซิครับ ถ้าวันนี้นักเรียนทุนพากันทำแบบคุณหมด ทิศทางและอนาคตของประเทศจะเป็นอย่างไร จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 13 ก.ค. 51 18:04:34 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณพูดในความเห็นที่ 16 ทุกประการเลย แล้วผมก็ไม่ได้ขอเรียกร้องให้ปิดกันข้อมูลแต่อย่างไร แต่ผมเรียกร้องขอความรับผิดชอบจากคุณ คุณต้องคิดเองแล้วหละว่า ต่อไปข้างหน้าถ้าคุณสามารถประสปความสำเร็จในการชดใช้ทุนในรูปแบบที่ต้องการได้  คุณคิดจะเอาประสปการณ์นั้นไปบอกน้องๆนักเรียนทุนให้รับทราบกันว่าเรื่องนว่าทำได้โดยไม่ยากนะ หรือไม่ นอกจากคุณอาจยังมีคนอื่นๆที่ทำเช่นนั้นกับคุณ ก็ออกมาพูดอีก ไปเรื่อยๆ คุณว่า เมื่อคนรับรู้หนทางนั้นแล้ว  ต่อไป ทุนรัฐบาลจะถูกมองว่าเป็นบันไดก้าวใหญ่ให้พวกฉวยโอกาสจะมาเอาไปหรือเปล่าครับ ขณะเดียวกัน นักเรียนทุนที่ไม่มีอุดมรณ์แต่เริ่ม หรือมาเพื่อฉวยโอกาส จะพากันแห่ออกจากระบบหรือเปล่าครับ ต่อประเด็นว่าทำไม รัฐ ถึงยอมให้คนเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้น เพราะว่าจริงๆไม่ใช่ว่านักเรียนทุกคนจะมีความสามารถที่จะร่ำเรียนแล้วชีวิตจะมีความสุข บางคนเรียนไม่ไหวจริงๆ บางคนมีปัญหาจริงๆต่อการเรียน หรือกลับไปทำงานแล้วมีปัญหา แทนที่จะอยู่ในระบบแล้วดีกลับทำให้เค้าแย่ลง ข้อมูลเหล่านั้นก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนกลุ่มนั้นโดยตรง แต่การเอามาบอกมาสอนวิธีทำกันแบบนี้ ผมเป็นห่่วงว่ามันจะเป็นการกระตุ้นให้คนเริ่มมีความคิดหนีจากระบบด้วยเหตุผลไม่ควรน่ะซิครับ เช่นเกรงว่าพวกที่ได้ offer จากเอกชน หรือแต่งงานกับต่างชาติ จะเอาหนทางนี้เป็นทางหนีออกจากระบบมากกว่า ผมว่าพวกคุณไปคุยหรือแนะนำกันหลังไมค์ จะเหมาะสมกว่ามาก จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 13 ก.ค. 51 18:18:02 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ดังนั้น ผมขอถามถึงความรับผิดชอบต่อสังคมจากคุณเท่านั้นแหละครับ มีหลายๆอย่างไปไม่ใช่หรือที่เป็นสิ่งที่เราเห็นว่าไม่ผิด แต่มันไม่เหมาะ ใช่ไหมครับ แล้วจะเห็นว่ามันเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม บางทีเอากฏหมายมาวัดไม่ได้ มันต้องเอาจิตสำนึกและความรับผิดชอบของปัจเจกชน คนๆนั้นไป ดังนั้น ผมขอให้คุณไตร่ตรองดีๆ ว่า เรื่องที่คุณมาขอความเห็น/มาชวนให้คนให้ข้อมูล ในที่สาธารณะ เป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่ ถ้าคุณบอกว่าเหมาะสม ผมก็อยากฟังคำตอบของคุณต่อคำถามที่ว่า  ถ้าวันนี้นักเรียนทุนพากันทำแบบคุณหมด ทิศทางและอนาคตของประเทศจะเป็นอย่างไร จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 13 ก.ค. 51 18:25:04 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอนอกเรื่องนะคะ เข้ามาปรบมือให้คุณ TimeS-To-Enjoy ดังๆ ประเทศชาติยังต้องการคนแบบคุณค่ะ ชื่นชมด้วยความจริงใจค่ะ จากคุณ : คนเดียวกะ คห. 7_Untitled-II :) - [ 13 ก.ค. 51 19:46:00 A:58.10.234.238 X: TicketID:181209 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เอ้ะ ก็คนเค้าไม่ได้มาถามนี่ ว่าวิธีหนีทุนรัฐบาลทำยังไง เค้ามาถามระเบียบ ถามกฏ ว่าที่จริงแล้วกฏระเบียบมันเป็นไงกันแน่ หากถามหยังงี้แล้วไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมต้องถามยังไงถึงจะมีความรับผิดชอบต่อสังคม ถามกันอย่างนี้แหละดี เปิดเผยว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เวลาคุณๆ เห็นที่เค้าชดใช้ทุนก็จะได้รู้ว่ามันถูกระเบียบหรือเปล่า ถ้าผิดก็ไปร้องทุกข์กล่าวโทษซะ แต่ไม่ใช่มาประนามคนที่เข้าอยากปฏิบัติตามระเบียบ ถ้าเราเป็นหน่วยงานราชการ คนที่เค้าตั้งใจจะลาออกขนาดยอมจ่ายเงินค่าปรับเป็นสิบๆ ล้าน (เงินชดใช้ต่างหาก) เนี่ย ถ้าฝืนเอาไว้ในระบบราชการก็เป็นผลเสียมากกว่าผลดี มันคงทำงานแบบซังกะตาย ไร้ประโยชน์ ให้มันลาออกไปแล้วเอาเงินมาผลิตคนใหม่ที่อยากอยู่ในระบบดีกว่า แต่ก็เห็นด้วย ว่าควรให้ข้อมูลการตัดสินใจก่อนที่จะรับทุนให้มากกว่านี้ เช่น เอาตัวอย่างของคนหนีทุนมาศึกษา แล้วบอกให้ชัดเลย เช่น ถ้าคุณอยากได้สามีฝรั่งเนี่ย มีกี่เปอร์เซ็นต์ที่สามียินดีมาอยู่เมืองไทยกะคุณ มีกี่เปอร์เซ็นต์ที่สามีฝรั่งยินดีจ่ายเงิน และมีกี่เปอร์เซ็นต์ที่ต้องเลิกกัน แล้วก็ยกตัวอย่างคนที่ต้องเป็นหนี้เป็นสิน เพราะลูกมันหนีทุนไปมาให้ดู เอาตัวอย่างคนที่อยู่อย่างผิดกฏหมาย แล้วโดนส่งกลับมาให้ดูเป็นตัวอย่างเลย คือควรให้ข้อมูลให้ครบทั้งสองด้านก่อนที่จะตัดสินใจรับทุนโดยเฉพาะพวกเด็กเพิ่งจบมัธยม จากคุณ : ดิบ - [ 13 ก.ค. 51 20:00:08 ]

ความคิดเห็นที่ 22 สำหรับคนที่คิดจะรับทุนหลวง ผมอยากให้คิดให้ดี ถามตัวเองให้ดีว่าต้องการรับราชการหรือไม่ ไม่อย่างนั้น "ทุน" ก็อาจจะกลายเป็น "trap" ของชีวิตไป มันมีแต่เสียนะผมว่า ถ้าหากไม่รับราชการต่อ  เราก็ต้องเสียเงินมากขึ้นหลายเท่า(เพื่ออะไร?) ส่วนประเทศก็ต้องเสียโอกาส แต่ผมลองมองอีกมุมหนึ่ง ซึ่งก็อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ ผมคิดว่าผู้ให้ทุนเนี่ย เขา"อาจจะ"ดีดลูกคิดไว้ดีแล้วว่า จะมีคนกลับมารับราชการต่อกี่% แล้วที่ไม่กลับควรจะปรับเท่าไหร่ดี ถึงจะทำให้ประเทศคุ้มหรือไม่เสียหาย  การที่ประเทศเสียโอกาสไป ณ วันนี้ ประเทศอาจจะได้โอกาสในอนาคตกลับมามากขึ้นหลายเท่า (ผ่านทางเงินที่ปรับ) ก็อาจจะมองเป็นการลงทุนในอีกรูปแบบหนึ่งก็เป็นได้ บางทีนะครับการให้ทุนไปแล้วก็ปรับสัก 3-4 เท่า ถ้าไม่ทำงานใช้คืนเนี่ย อาจจะทำให้ประเทศมีเงินที่จะส่งคนเก่งๆคนอื่นได้อีกหลายคนเลย ดังนั้น ส่วนตัวผมนะ ผมไม่อยากให้รับทุนมาแล้วมาจ่ายเงินค่าปรับแทนหรอกครับ แต่ถ้ามันจำเป็นจริงๆผมมองว่าไม่ผิด ethics หรือ morals อะไรนะ ผมมองว่าอย่างน้อย เขาก็ financing ให้กับรุ่นหลังอีก 2-3 คน (คล้ายๆตัวเองจะตายแล้ว ก็ออกลูกมาอีกสอง-สามคน 55) และอันที่จริงเงินปรับนี่ก็เป็นจำนวนเงินที่สูงมากๆด้วย หลายๆล้านเลย ผมเลยมองว่า พวกฉวยโอกาสให้ตัวเองถูกปรับหลายล้านนี่ อาจจะไม่เรียกว่าฉวยโอกาสก็ได้นะครับ (โอเคเว้นแต่มีบริษัทออกเงินให้อะนะ) จากคุณ : SummerSoda - [ 13 ก.ค. 51 21:25:23 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ส่วนคำถาม "ถ้าวันนี้นักเรียนทุนพากันทำแบบคุณหมด ทิศทางและอนาคต ของประเทศจะเป็นอย่างไร" ขอแบ่งแยกเป็นประเด็นความคิดเห็นดังนี้ค่ะ 1) แต่ไหนแต่ไรมา ข้าราชการที่ได้รับทุนศึกษาต่อต่าง ประเทศนั้นถือได้ว่า เป็นข้าราชการส่วนน้อยมาก และใน ส่วนน้อยนั้นเอง การที่ข้าราชการส่วน นั้นจะสามารถชดใช้ เป็นเงินแทนการใช้เป็นเวลารับราชการนั้นก็ยิ่งถือเป็น กรณี ที่หาได้ยากหรือน้อยกว่ามาก และจำนวณเงินที่จ่ายชดใช้ นั้นถือเป็นจำ นวณที่สูงกว่าการให้ทุนเดิมมาก (บวกเปี้ย ปรับ และดอกเบี้ย) จึงคาดว่า รัฐบาลได้ตระหนักถึงความ คุ้มทุน ว่าจะสามารถมีการจัดสรรทุนหมุนเวียน ส่วนนี้ให้ใช้ เพียงพอต่อการพัฒนาหน่วยงาน หรือเพื่อส่งเสริมขยาย การ ศึกษาเพิ่มเติมในหน่วยงานนั้นๆได้ -และโดยส่วนตัวยังคาดว่านักเรียนทุนจะไม่พากันทำ แบบเดียวกับดิฉันหมด เนื่องด้วยหากนักเรียนทุนส่วนใหญ่สามารถจ่ายคืน เงินจำนวณมากนี้ได้ อย่างง่ายดาย คงไม่คิดหรือสนใจที่จะรับทุนตั้งแต่แรก เนื่องด้วยสามารถ support ตัวเองได้ 2) และหากหน่วยงานราชการและรัฐบาล ได้คิดตรงกันกับคุณ TimeS-To-Enjoy ในเรื่องที่วา ทิศทางและ อนาคตของประเทศไทยจะตกต่ำ หรือเกิดอันตรายจากการชดใช้ทุนเป็นเงิน ของนักเรียนทุนแล้ว กฏระเบียบการปรับเปลี่ยนลดระยะเวลาการใช้ทุนและ ลดการชดใช้เงิน ที่ เกิดขึ้นในปี 2548-2549 เป็นต้นมา คงไม่มีวันเกิดขึ้นได้ และอาจจะเป็นไป ในทิศทางตรงข้ามแทน แต่เนื่องด้วยกฏระเบียบใหม่นี้ได้ ผ่านการพิจารณา หลายวาระจากผู้ทรงคุณวฒิต่างๆ ก่อนจะนำเข้า ค.ร.ม และประกาศใช้ดังปัจจุบัน นั่นหมายความว่า การพิจารณาเรื่องกำลังคนข้า ราชการ ในสาขา ต่างๆได้ถูกวางแผนและพิจารณาแล้ว ดังนั้น ผลจากการ ชดใช้เงินหรือชดใช้ ระยะเวลาที่น้อยลงตามกฏใหม่นี้จึงไม่ใช่ปัจจัยที่น่าเป็น ห่วงอย่างแท้จริงตาม มุมมองระดับมหภาคอีกต่อไป 3) ยิ่งไปกว่า เงินทุนรัฐบาลบางส่วนยังได้ส่งเสรืมการศึกษาต่อต่างประเทศ แบบไม่ผูกมัด เช่น นักเรียนทุนหวย เป็นต้น ดังนั้นจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า รัฐบาลไทยได้เล็งเห็นว่า การพัฒนาประเทศมิได้จำกัดอยู่ในแค่แวดวง ราชการ การประกอบอาชีพอื่นๆยังสามารถช่วยพัฒนาประเทศได้ ** คำถามเพิ่มเติม เพื่อให้เพื่อนๆได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นค่ะ** "คุณคิดเห็นอย่างไรต่อการปรับระเบียบลดระยะเวลาและจำนวณเงินของ การ ชดใช้ทุนลง" รวมถึง " คิดเห็นอย่างไรต่อการชดใช้ทุนเป็นระยะเวลา ครบ กำหนดแล้วก้ลาออก" จากคุณ : Something to think about - [ 13 ก.ค. 51 22:05:06 A:125.24.173.53 X: TicketID:181386 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ผมเป็นนักเรียนทุนคนหนึ่ง อยากให้นักเรียนทุนทุกคนกลับไปตั้งใจทำงานให้กลับหน่วยงานและบ้านเมืองเรา ไม่อยากให้คิดในลักษณะชดใช้เงินคืนอย่างน้อยนึกถึงประเทศชาติตอนนี้ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ผมมาเรียนต่างประเทศแล้วมองกลับไปบ้านเรามันเห็นอะไรที่แตกต่างจากประเทศอื่นจริงๆ ส่วนใหญ่นักเรียนทุนที่มาเรียนก็ล้วนแต่เป็นคนที่มีความสามารถรัฐบาลก็หวังว่าจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ซึ่งปีหนึงรัฐบาลจ่ายเงินให้นักเรียนไม่น้อยเลยโดยเฉพาะผู้ที่เรียนอังกฤษและอเมริกาและอีกหลายประเทศ ค่าเรียนแพงมาก ก็หวังว่านักเรียนทุนทุกคนคงจะไม่คิดเช่นนั้นนำความรู้กลับไปพัฒนาบ้านเรากันครับรวมทั้งคนไทยทุกคนด้วยนะครับ จากคุณ : รักเมืองไทยที่สุด - [ 13 ก.ค. 51 23:23:22 A:84.19.47.81 X: TicketID:138671 ]

ความคิดเห็นที่ 25 จากความคิดเห็นที่ 14 ถามว่า "อยากให้คนที่คิดว่าการขอชดใช้ทุนด้วยเงินเป็นเรื่องที่ชอบธรรม ช่วยตอบคำถามผมหน่อยว่า ถ้านักเรียนทุนพากันขอชดใช้ทุนด้วยเงินกันหมด คุณคิดว่ายังไงบ้างครับ" หากมีเงินจ่ายชดใข้ถูกต้องตามกฏหมาย ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไป แต่ละคนมีสิทธิและหน้าที่ของตัวเอง อย่าไปก้าวก่ายกับสิทธิของคนอื่นในเรื่องที่ไม่เข้าเรื่อง และอย่าไปคิดในเรื่องที่ไม่เข้าท่าและ"ถ้า"ที่เป็นไปไม่ได้ จากคุณ : - - [ 13 ก.ค. 51 23:27:27 A:58.8.159.94 X: TicketID:012743 ]

ความคิดเห็นที่ 26 1. Compare fellowship, assistantship, TA, RA with Thai loan shark (schoalrship) 2. Is there any student from another country, who receive these loan shark schoarship as Thai student? 3. Find a job in the US is not easy for inter student. 4. There are a large number of Thai student, who can support themself or from TA, RA, etc. Why do they still provide these loan shark. Thinking carefully. I will not provide my opinion. จากคุณ : p - [ 13 ก.ค. 51 23:28:57 A:128.206.48.19 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ถ้านักเรียนทุนพากันขอชดใช้ทุนด้วยเงินกันหมด คุณคิดว่ายังไงบ้างครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นดั๊นจะตั้งตนเป็น ก.พ. เองค่ะ ไม่ค่อยมีเงินหรอกนะคะ แต่เจ๊เกียวหน้าโลหิตที่หน้าปากซอยแกมีอยู่หลายล้านแล้วปล่อยให้กู้ร้อยละยี่สิบ ตีว่าเด็กพวกนี้ไปเรียนเฉลี่ยคนละห้าปี รอห้าปีได้คืนมาสามเท่าใครจะไม่เอาคะ แต่ต้องทำเงียบๆ นะคะ อย่าให้เจ๊เกียวรู้ เดี๋ยวเจ๊ปาดหน้าเค็กดั๊นค่ะ ใช้ความรู้ arbitrage ชิวด์ๆ ค่ะ จากคุณ : pseudo พุซ แห่งบอร์ดปาล์มมาเอง - [ 14 ก.ค. 51 00:25:17 A:76.182.41.244 X: TicketID:036072 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คุณเจ้าของกระทู้ได้แสดงความเห็นต่อประเด็นที่ผมถามไปแล้ว ผมก็ขอบรับฟังด้วยความเคารพ ก็คงสรุปว่าเรามองต่างกันจริงๆ แล้วคงจะเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนมุมมอง ดังนั้นผมก็จะไม่แสดงความเห็นเพิ่งเติมต่อประเด็นี้แล้ว ทั้งนี้ก็เพราะได้พูดอะไรๆออกไปชัดเจนแล้ว ก็ภาวนา ให้ % คนลาออกจากระบบน้อยลงๆ และให้ระบบมีแต่คนมีที่อุดมคติ ทำเพื่อคนอื่นเยอะๆ คิดถึงตัวเองน้อยๆ ประเทศจะได้มีวันดีๆต่อไป แล้วขอไว้อาลัยกับความเห็นที่ 25 อย่างสุดซึ้ง จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 14 ก.ค. 51 00:40:22 ]

ความคิดเห็นที่ 29 When you are in Thailand, you may see a few people who gradauted from MIT, Princeton, Harvard. However, when you come to the US, you will see a lot of people who hold degrees from those universities, normally. So only a few Thai students can find a job sucessfully in the US. They provide a severe regulation and contract to protect only those a few people. Also no country in the world would provide those loan shark (scholarship). In fact, I don't want to provide any opinion. But if you know the facts and think carefully, you will see the wrong and distorted system. จากคุณ : P - [ 14 ก.ค. 51 02:37:17 A:128.206.162.39 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 30 In fact, they should give those loan shark scholarship definitely. It's wasteful and unnecessary. จากคุณ : P - [ 14 ก.ค. 51 02:41:01 A:128.206.162.39 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 31 Sorry they should give up or cancel those schoaleship definitely, it's wasteful and unnecessary. จากคุณ : P - [ 14 ก.ค. 51 02:42:04 A:128.206.162.39 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ผมคิดว่าการรั้งให้คนที่ไม่อยากทำงานอยู่ในระบบไม่ได้อะไรขึ้นมา ไม่ได้ว่าเจ้าของกระทู้ว่าไม่ดีนะครับ ผมถามมั่งว่าถ้านักเรียนทุนกลับมาทำงานแล้วไม่ชอบแต่ก็ถูกรั้งไว้ในระบบ รัฐก็ต้องจ่ายเงินเดือนให้ ผมก็ไม่คิดว่าคนที่เหมือนถูกบังคับให้ทำงานจะทำได้ดีเท่าคนที่อยากทำ การจ่ายเงินคืนไปให้รัฐ เอาเงินไปให้โอกาสคนใหม่ไม่ดีกว่าหรือ? ขอพูดตรงๆ ว่า ผมรู้สึกว่าความล้มเหลวของระบบบางระบบ เกิดขึ้นมาจากหน่วยย่อยๆ ที่ไม่มีประสิทธิภาพ หน่วงระบบด้วยความตั้งใจ หรือบางทีก็ไม่ได้อยากจะหน่วงแต่ถูกบังคับโดยปริยายให้หน่วงระบบ ถ้ารัฐต้องการแค่คนคนหนึ่งให้อยู่ระบบ จ้างใครมาก็ได้ ทำไมต้องคัดเลือกคนไปเรียน ผมเชื่อว่า ระบบสนใจประสิทธิภาพของงานที่ผมคิดว่าเชื่อต่อกับความเต็มใจของบุคลากร ไร้สาระที่จะรั้งคนที่ไม่อยากทำไว้ในระบบ ไม่ได้แค่ว่าในประเทศจะพัฒนาไปหรอกครับ โลกทั้งโลกจะพัฒนาไป ถ้าคนได้ทำอะไรที่พอใจ และตรงกับความต้องการ คนมักจะทำได้ดีมากๆ ลองเทียบดู ถ้าวันหนึ่งทุกคนต้องทำงานในงานที่ไม่พอใจจะทำ กับวันหนึ่งคนส่วนน้อยทำงานแต่เป็นงานที่พอใจจะทำ วันไหนจะเลวร้ายกว่ากัน จากคุณ : EXISTENTIALIST - [ 14 ก.ค. 51 03:16:43 ]

ความคิดเห็นที่ 33 When compare with a large number of corrupted politicians or government officals, I don't think those students who refund a payment of scholarship are bad guys. People usually focus only on a small point, but ignor the hugh corruptible people (politician). Those students did legally, even those scholarships are loan shark. จากคุณ : p - [ 14 ก.ค. 51 04:39:17 A:128.206.162.39 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เก็บเข้าคลังกระทู้ จากคุณ : OumAM - [ 14 ก.ค. 51 05:42:24 ]

ความคิดเห็นที่ 35 Provide useful link  from the opinion above: 1) "ระเบียบคลังใหม่ว่าด้วยการทำสัญญาและชดใชทุน 2548 เขียนโดย นางสุทาทิพย์ กิตติเกษมศิลป์ (สืบค้นจาก net)" จากวารสารกรมบัญชีกลาง หัวข้อลำดับที่สาม http://www.cgd.go.th/library/JDetail.asp?IDColumn=0000167 2) ระเบียบกระทรวงการคลัง ใน ราชกิจจานุเบกษา 2548 http://www.cgd.go.th/uploadfile/doc/1928_doc.pdf 3) "หนังสือเวียนหลักเกณฑ์ปฏิบัติการชดใช้ทุน 26 กันยายน 2549 " และที่เพิ่มเติม http://www.cgd.go.th/uploadfile/doc/2519_doc.pdf http://www.cgd.go.th/uploadfile/doc/6289_doc.pdf จากคุณ : OumAM - [ 14 ก.ค. 51 05:46:36 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เรื่องความถูกต้อง ยุติธรรมมันเป็นเรื่องที่เเต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน เขาถึงมีกฏไว้น่ะ เถียงกันไม่มีจบ หรอก เพื่อนที่เห็นๆ ทุนคิง ทุนอานัน เข้าเฝ้ารับพระราชทาน พระบรมราโชวาท ให้กลับมารับพัฒนาบ้านเมือง พอได้เงินเดือนสูงๆ ก็หายกันไปหมด เราอย่าไปเรียกร้องอุดมการณ์ เลย คนเราทุกคนต้องเลิอกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองอยู่เเล้ว เเละสิ่งนั้นของเเต่ละคนก็ต่างกัน ทำตามกฏน่ะเเหล่ะ เป็นกลางดีเเล้ว หมอที่ได้ทุนเรียนจากประชาชน ปีละเป็นล้าน ถึงเวลา ก็ใช้ทุนไปทำเอกชน ก็มาก ไม่มีใครทำเพื่อคนอื่นหรอก การบริหารบ้านเมืองไม่ใช่มาร้องเเร่เเห่กระเชิงให้คนมีอุดมการณ์ เเต่เป็นการทำให้คนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพระบบเดินหน้าไปได้ ถ้าคนไม่อยากทำงานให้ก็ต้องดูว่าทำไม ไม่ใช่ ไปบอกว่าเขาไม่มีอุดมการณ์ คนทำงานให้ราชการที่เห็นกันนี้ คือคนมีอุดมการณ์ทั้งหมดหรือ ค่ะ จากคุณ : คนที่รู้เรื่องจริง - [ 15 ก.ค. 51 04:08:51 A:125.24.138.156 X: TicketID:181605 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ก็เพราะวันนี้ เราอยู่ในโลกที่ไร้ศัทธา ทำให้เราไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเราเองไม่ได้เป็น หรือคิว่าตัวเองทำไม่ได้ เราเห็นแต่สิ่งแย่ๆเยอะไปหมดรอบตัว จนเราเชื่อว่านั่นแหละคือสิ่งธรรมดาปกติที่คนทุกคนเค้าทำกัน อ้างจากความเห็น 36 ที่ยกตัวอย่างนักเรียนทุนคิง อานัน หรือหมอที่หายไปจากระบบเพราะถูกเงินเรียกร้อง นั่นคุณกำลังจะบอกทุกคนว่า งี่ไง คนเค้าทำกันแบบนี้เยอะแยะไป มันจึงเป็นเรื่องธรรมดา!!!! เพราะใครๆเค้าก็อยากได้สิ่งดีๆเพื่อตัวเองกันทั้งนั้น   ใช่ไหมครับ?????????????? วันนี้เราต้องการคนที่คิดถึงตัวเองน้อยๆแต่คิดถึงคนอื่นเยอะๆบ้าง ระบบอะไรก็แล้วมันต้องการคนเป็นตัวจัดการ ระบบดีคนไม่ดีมันก็พัง เช่นกฏหมายเขียนให้ดีแค่ไหน แต่คนที่รักษากฏถ้ามันไม่ดี กฏหมายก็เป็นแค่ตัวหนังสือ แต่ถ้าคนดีมารวมกันเยอะช่วยกันทำระบบให้ดีมันก็สามารถทำได้ วันนี้ ตลาดแรงงานของคนเก่งๆมีดีกรีมันเป็นตลาดสากล ประเทศไทยจะนำเสนอสิงดีๆตามนิยามของคุณให้แก่คนเก่งๆเข้ามาในระบบ สิ่งดีๆสิ่งนั้นก็คงจะไม่พ้นเรื่องเงินเป็นแน่ แล้วประเทศจนๆอย่างประเทศนี้จะเอาเงินที่ไหนมาดูดคนให้อยู่ในระบบได้เมื่อโลกทั้งโลกมันหมุนด้วยทุนนิยมอย ู่ ปล. ขอคุยกับ ความเห็นที่ 29 ที่บอกว่าคนไทยน้อยนักที่จะหางานในต่างประเทศได้ แต่ที่ผมเห็นทางสายวิทย์เนี่ย ถ้าจบเอกจาก lab ดีๆหน่อย คุณจะบินไปทำ postdoc ทั่วโลกที่ไหนก็ไม่ยากเลย ซึ่งนักเรียนทุนของไทยที่มาเรียนทางด้านวิทยาส่วนมากก็มันจะได้ทำอยู่ใน lab ดีๆกันซะส่วนใหญ่อยู่แล้ว ผมว่าใครเรียนเอกสายวิทยาศาสตร์อยู่ตอนนี้น่าจะรู้ดีว่าตลาดแรงงานในตำแหน่ง postdoc หาไม่ยากเลย แต่ที่เห็นหางานยากกันก็เป็นพวกที่มาเรียนโทแป๊บๆซะส่วนใหญ่ ู่ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 15 ก.ค. 51 05:13:32 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คุณ TimeS... ผมไม่ทราบว่าเอกวิทยาศาสตร์ของคุณคืออะไร แต่ภาค maths u ที่ผมเรียนอยู่ มี prof. จบ Princton 3 คน MIT 3 คน Standford 2 คน Cambridg 2คน Oxford 1 คน.... ทั้งๆที่ u ที่ผมเรียนก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรเท่าไร แค่กลางๆ เอง ผมเห็นเวลาสมัครเป็น faculty ที คนสมัครเป็นร้อยๆ แต่ละคนมาจากที่ดังๆทั้งนั้น ผมพูดในสิ่งที่ผมเห็นมา ส่วนจะถูกหรือไม่ถูกผมไม่ทราบ จากคุณ : p - [ 15 ก.ค. 51 08:58:17 A:128.206.105.9 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 39 โดยส่วนตัวคิดว่าคนที่ใช้ทุนเป็นเงิน ไม่ใช่เรื่องผิด เล่นตามเกมส์ ทำตามกฎ   แปลกที่คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้เหตุผล ความจำเป็น และไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับชีวิตนักเรียนทุนผู้นั้น  กลับมา judge ว่ามันผิด เสมือนว่ารับทุนรัฐบาลไปแล้ว เป็นข้าทาสคนที่คิดเช่นนั้นไปตลอดชีวิต แม้จะทำตามระเบียบที่วางไว้ ไม่ได้หนีทุน ก็ตาม แม้แต่เจ้าของทุนเอง (รัฐบาล) เขายังเปิดโอกาสให้  แต่คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง กลับไม่อยากเปิดโอกาสใดๆให้ทั้งสิ้น จากคุณ : Queen of hearts - [ 15 ก.ค. 51 12:01:48 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ^ เห็นด้วยอย่างยิ่ง จากคุณ : ดิบ - [ 15 ก.ค. 51 13:45:15 ]

ความคิดเห็นที่ 41 น่าแปลกใจเนอะ  ที่หลายคนในโลกนี้ยังเห็นดีเห็นงาม  กับการให้โอกาสชีวิต  ด้วยการหนีทุน ตอน จบตรี สอบชิงทุนรัฐบาล ป โท เมืองนอก  พวกเด็ก “เก่ง” ก็เอาไปกินหมด   พ่อแม่ก็มาคุยกันว่า ลูกฉันได้ทุน “หลวง” พอคนเหล่านั้นเรียนจนจบ  เห็นแววว่า “ตรู” จะรวย ที่เมืองนอก  ก็ชดใช้เงินแทนทุนซะ พ่อแม่ก็คุยอีกว่า ลูกฉัน ได้ทำงานเมืองนอก  (เรื่องทุนไม่พูดถึงเลย) ส่วนลูก  ก็พยายามสะกดจิตตัวเอง  พูดกับเพื่อนว่า  ตนเองทำงานที่เมืองไทยไม่ได้  รับenvironment ไม่ได้ (พูดให้ตัวเองดูดีว่างั้น)   ไม่อยากจะพูดว่า  “พวกหอย”  เหล่านี่บางคน  ถ้าให้ใช้ทุนตัวเองมันเพรียวๆ   มันไม่มีปัญญาไปได้ดิบได้ดีเรียนเมืองนอกหรอก แต่พอสอบชิงทุนได้  ก็............................................ (คิดกันต่อเอาเอง) จากคุณ : สี่ ปี สี่ สถาบัน - [ 15 ก.ค. 51 16:10:10 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คุณ Queen of hearts คงอ่านหนังสือไม่แตกแน่ๆ จึงพูดอะไรซ้ำๆในสิ่งที่ผมได้พูดไปหมดแล้ว ดังนั้นขอผ่านแล้วกันเพราะผมไม่อยากพูดประเด็นเดิมๆ อ่อ นิดนึงตรงที่คุณคิดว่าชีวิตคุณไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตนักเรียนทุน คิดแบบนี้ก็ผิดเต็มทีแล้ว!!! กับความเห็นที่ 41 นักเรียนทุนแบบที่คุณบรรยายให้ฟัง บางทีคนบางคนในนี้อาจมองว่าเค้าไม่ผิดหรอกเพราะใครๆก็อยากให้สิ่งดีๆให้กับตัวเอง แต่ผมมองว่าคนแบบนี้เห็นแก่ตัวมากๆ และไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย เพียงแต่ถ้าเค้าเป็นคน 'ดี' เค้าจะไม่คิดสมัครรับทุนตั้งแต่แรก  หรือถ้ารับไปแล้ว ก็เพียงแต่ถ้าเค้าเป็นคนที่กตัญญู ก็คงจะไม่คิดละทิ้งคนที่เคยให้โอกาสเค้า.... เป็นนักเรียนทุน กลับมารับราชการ โดยเฉพาะทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย (ซึ่งนักเรียนทุนส่วนใหญ่จะกลับมาทำงานใตตำแหน่งนี้กัน) มันจนมากๆเลยหรือ  มันคงจะจนก็ต่อเมื่อคนๆนั้นมีชีวิตเข้าตำราที่ว่า เห็นช้างขี้ๆตามช้าง ทีนี้แหละ ปรัญชาชีวิตที่ว่า ชีวิตใครชีวิตมันเราเลือกเอง จะเข้ามาสุมในหัวเพื่อบรรเทาอาการรู้สึกผิดก่อนที่จะแสวงหาโอกาสไปทำอย่างอื่นที่ได้เงินเยอะกว่านี้ กับความเห็น 38 สำหรับสาขาของผมที่เป็นแนว  biochem, microbiology, biophysics, biotech นี้งานในตำแหน่ง postdoc เยอะมากๆครับ อย่างที่ที่ผมเรียนอยู่ตอนนี้ Singapore มาหว่านเสน่ห์โปรโมทให้ไปทำงานกับเค้าทุกๆ 3 เดือนเลย  จ้างด้วยอัตราเงินเดือนเดียวกันกับที่อังกฤษจ้าง  ผมยังรู้สึกเลยว่า  แหม่ ดีโว้ย ถ้าจบ ป.เอก แล้วมันดีแบบนี้เอง แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 51 17:30:22 จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 15 ก.ค. 51 17:17:39 ]

ความคิดเห็นที่ 43 loads of fallacies จากคุณ : EXISTENTIALIST - [ 15 ก.ค. 51 22:35:24 ]

ความคิดเห็นที่ 44 น่าแปลกดี คนที่ไม่เห็นด้วยส่วนใหญ่ที่ใช้บัตรผ่าน แล้วเถียงว่าเป็นสิทธิ์ของตัวเนี่ย อยู่ต่างประเทศทั้งนั้น (ส่วนใหญ่เมกา ไม่รู้ว่าทำไม แต่เพื่อนผมคนนึงที่เป็นนักเรียนทุนที่อเมริกา มันก็คิดแบบนี้ เพราะมันคิดว่า มันหาเงินเีรียนและทำงานได้แน่ ๆ ) ก็ถ้าเป็นนักเรียนทุนจริง ๆ แล้วคิดแบบนี้ ก็น่าเศร้าใจพอควร RIP จากคุณ : ๋Jiojo (Jiojo) - [ 16 ก.ค. 51 16:52:14 ]

ความคิดเห็นที่ 45 โชคดีที่ผมได้ทุนที่เมกา ไม่งั้นต้องมาทำงานราชการห่วย ๆ ของไทย จากคุณ : Wald5 - [ 16 ก.ค. 51 20:10:55 ]

ความคิดเห็นที่ 46 คุณความเห็นที่ 45  ถามหน่อยว่า ในฐานะที่เป็นคนไทย เมื่อประเทศมันยังไม่ดีพอ คุณจะทำยังไงครับ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 16 ก.ค. 51 20:55:21 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เรียน คุณ คห 39 เพราะว่า คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้เหตุผล ความจำเป็น และไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับชีวิตนักเรียนทุนผู้นั้น  ที่คุณว่านั้น เปนหนึ่งในคนที่ให้ทุนไงคะ คุณรู้อยู่แก่ใจว่า เงินทุนของนักเรียนทุนมาจากภาษีของประชาชน แล้วทำไมเจ้าของเงินเขาถึงไม่มีสิทธิ์หละคะ? จากคุณ : PerhapZ - [ 16 ก.ค. 51 21:23:10 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เพิ่งเห็นความคิดเห็นที่ 43 มาหยอดท้ิงไว้แบบนั้น งั้นผมต้องขออนุญาตขอให้คุณช่วยอธิบายเพิ่งเติมด้วยว่าอะไรคือสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นความเชื่อที่ผิดๆ ผมย้อนกลับไปดูความเห็นเก่าของคุณในความเห็นที่ 32 แล้ว ผมขอแสดงความเห็นของผมต่อความเห็นของคุณเป็นจุดๆไปเลยแล้วกัน คุณพูดว่า ----->ผมถามมั่งว่าถ้านักเรียนทุนกลับมาทำงานแล้วไม่ชอบแต่ก็ถูกรั้งไว้ในระบบ รัฐก็ต้องจ่ายเงินเดือนให้ ผมก็ไม่คิดว่าคนที่เหมือนถูกบังคับให้ทำงานจะทำได้ดีเท่าคนที่อยากทำ การจ่ายเงินคืนไปให้รัฐ เอาเงินไปให้โอกาสคนใหม่ไม่ดีกว่าหรือ?<------ ผมต้องถามก่อนว่า ในคำถามคุณกับคำว่า กลับมาทำงานแล้วไม่ชอบ ต้องถามว่าไม่ชอบเพราะอะไร อันนี้แหละครับสำคัญเลย เพราะความไม่ชอบมันเป็นทั้งนามธรรมแล้วปัจเจกชน ซึ่งคุณจะปฏิเสธไหมว่าปัจจัยที่ทำให้คนไม่ชอบงานที่ตัวเองทำมากที่สุดคือ เรื่องเงินเดือนที่น้อยๆ เพราะไม่ว่างานจะกดดันแค่ไหน จะหนักแค่ไหน แต่สิ้นเดือนเห็นตัวเลขอย่างน้อย 6 หลักเข้าบัญชี ก็ยากที่จะลาออกจากงาน ดังนั้น ถ้าใครจะให้เหตุผลว่า ผมทำงานราชการแล้วผม suffer ผมเข้ากับระบบไม่ได้ ok ใช่จริงว่าคุณทรมานเพราะคุณไม่มีความสุขแล้วกับงานนี้ ถามหน่อยเถอะว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเิงินแน่ๆใช่ไหม ทุกวันนี้ไปถามใครก้ได้ ไม่ว่าจะในหรือนอกราชการ ว่ามีความสุขกับงานไหม มันก้เกินครึ่งแน่ๆที่ต้องตอบว่าไม่ ถ้ามีทางเลือกที่ดีกว่าก็จะไปกันหมด อันนี้เป็นเรื่องจริง ดังนั้นความสุขหรือความทุกข์กับงานเป็น นามธรรม และ ปััจเจกชน จึงไม่เป็นเหตุผลที่ดีพอที่จะนำมาอ้างในการขอออกจากทุน ทีนี้กลับไปตรงที่บอกว่าคนส่วนใหญ่แม้แต่ในเอกชนก็ตามก็มักจะบอกว่าถ้ามีโอกาสที่ดีกว่าก็คงจะไป เช่นเปลี่ยนงานเพื่อเพิ่มเงินเดือน ซึ่งก็เป็นรูปแบบที่เอกชนทำกันเป็นประจำ แต่ราชการทำไม่ได้!! และนี่หรือคือความอึดอัดในงานราชการใช่ไหม ถ้าตอบว่าใช่ ผมก็จะเรียกร้องขอความรับผิดชอบ จะมีบ้างไหม ให้รับผิดชอบโดยคิดว่า งานไหนๆมันคงไม่ทำให้เรามีความสุขได้เต็มที่หรอก แต่ตอนนี้เรามีหน้าที่ภาระมีสัญญากับประชาชนที่ต้องรับใช้ แม้ว่าจะไม่ happy เท่าไหร่ แต่หน้าที่และความรับผิดชอบยังมี จะละทิ้งไปได้หรือ สิ่งที่ผมมองข้างต้นคือ model ที่อยู่บนพื้ฐานของปัญาเรื่อง เงิน ซึ่งคุณว่าผมเชื่อผิดจริงๆเหรอ  ถ้าคุณจะบอกว่าปัญหาที่ทำให้คน suffer ในระบบที่ไม่ใช่เรื่องเงินก็มี  มีจริงๆครับ แต่น้อยมากๆ ที่ผมเห็น ที่เห็นๆกันอยู่ที่ทำงานกันไปวันๆแบบเช้าชามเย็นชามก็เพราะเงินไม่งามนั่นแหละ และก็เห็นคนที่ suffer เพราะระบบจริงๆก็มีแต่อย่างที่บอกว่าน้อยมากๆ ดังนั้นถ้าเราจะพูดอะไรที่เป็นกลางๆ เราก้ไม่ควรยึดกรณีส่วนน้อย ระบบแน่นอนว่ามันไม่ perfect และยังห่างไกลกับคำนั้นอยู่ หลายคนบอกว่า ถ้าระบบดีจริง มันจะดึงดูดคนเข้ามาเองแหละ แต่วันนี้ระบบไทยเรายังไม่ดี แล้วจะทำไงล่ะขณะที่อะไรๆมันยังดำเนินไปตามวิถีของมันแบบนี้อยู่ ดังนั้นผมจึงบอกว่า เราทุกคนต้องช่วยกันแล้ว ช่วยกันเป็นคนที่รับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น ในกรณีนี้ ไม่คิดที่จะทุนเป็นทางผ่านถ้าคุณไม่คิดที่จะเข้ามาเพื่อพัฒนาระบบให้ดีขึ้นจริง ก็เปิดโอกาสให้คนที่เค้ามีใจเข้ามาแทน อย่าไปแย่งที่เค้า อย่าเห็นแก่ตัว เราจะเปลี่ยนอะไรที่มันใหญ่ๆได้ มันต้องเริ่มที่ตัวเองก่อนใช่ไหมครับ ----->ขอพูดตรงๆ ว่า ผมรู้สึกว่าความล้มเหลวของระบบบางระบบ เกิดขึ้นมาจากหน่วยย่อยๆ ที่ไม่มีประสิทธิภาพ หน่วงระบบด้วยความตั้งใจ หรือบางทีก็ไม่ได้อยากจะหน่วงแต่ถูกบังคับโดยปริยายให้หน่วงระบบ<-----  อืมจริงของคุณ แต่ถ้าระบบถูกซ้ำเติมด้วยคนที่เห็นแก่ตัว ไม่คิดจะมาช่วยแต่เข้ามาดูดเอาผลประโยชน์ ในกรณีนี้คือพวกที่คิดจะเอาทุนเป็นบันไดสู่โอกาสแล้วชิ่งหนีเมื่อได้โอกาสนั้น มันจะยิ่งแย่ใช่ไหมครับ แล้วการที่ผมบอกให้คนหยุดเป็นปลิงดูดเลือด ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะทำหรือครับ ----->ถ้ารัฐต้องการแค่คนคนหนึ่งให้อยู่ระบบ จ้างใครมาก็ได้ ทำไมต้องคัดเลือกคนไปเรียน ผมเชื่อว่า ระบบสนใจประสิทธิภาพของงานที่ผมคิดว่าเชื่อต่อกับความเต็มใจของบุคลากร ไร้สาระที่จะรั้งคนที่ไม่อยากทำไว้ในระบบ<------ การส่งนักเรียนเรียนเอก ลุนทุนระมาณ 8-9 ล้านต่อคน แล้วก็ทำงานให้อย่างน้อย 8-12 ปี ซึ่งส่วนใหญ่ถ้ากลับมาแล้วก็จะทำจนเกษียรณ์ เป็นการลงทุนที่ต่ำ ถ้าเทียบกับการไปซื้อ Phd เข้ามาในระบบ Phd สาขาเฉพาะทางในสาขาขาดแคลน เป็นแรงงานของตลาดสากลนะครับ ถ้าคุณจะ import พวกเค้าเข้ามา start ที่เงินเดือนอย่างต่ำเท่าไหร่ คุ้มจริงไหม ----->ไม่ได้แค่ว่าในประเทศจะพัฒนาไปหรอกครับ โลกทั้งโลกจะพัฒนาไป ถ้าคนได้ทำอะไรที่พอใจ และตรงกับความต้องการ คนมักจะทำได้ดีมากๆ<--------  โลกใบนี้มันทุนนิยมนะครับคุณ คนเก่งอยู่ไหนสร้างผลงานดีๆออกมาแน่นอนพูดได้ว่าดีต่อชาวโลก แต่ความว่าดีต่อชาวโลกนั้นหมายถึงว่าโลกใบนี้มีสิ่งนี้เกิดขึ้น เช่นยารักษาโรคมะเร็งแล้วกัน แต่ใครเป็นเจ้าของ โลกทั้งใบเป็นเจ้าของหรือเปล่าครับ มันเอามาแจกฟรีหรือเปล่าครับ โดยเฉพาะประเทศจนๆอย่างเรา นึกถึงคนจนๆในต่างจังหวัด เค้าจะมีปัญหาไหมครับ จะมีประโยชนือะไรถ้าประเทศไทยไม่มีคนเก่งมาช่วยสร้างสิ่งดีๆที่เราจะเป็นเจ้าเองและได้ประโยชน์โดยตรงเพื่อพี่น้องที่ยากจนจะได้มีปัญญาเข้าถึงได้ ---->ลองเทียบดู ถ้าวันหนึ่งทุกคนต้องทำงานในงานที่ไม่พอใจจะทำ กับวันหนึ่งคนส่วนน้อยทำงานแต่เป็นงานที่พอใจจะทำ วันไหนจะเลวร้ายกว่ากัน <--- บอกที่บอกไปข้างต้น ความพอใจเป็นนามธรรม และเป็นปัจเจกชน จะยกมุมไหนมาพูดกันก้ไม่มีวันจบ  แต่เชื่อว่า เพียงแต่ถ้าเรามีความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่านี้ เราต้องอยู่ช่วยกันครับ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 16 ก.ค. 51 22:13:02 ]

ความคิดเห็นที่ 49 In fact, I would way if this loan shark is good and efficient, why don't see any student from China, Korea, Taiwan, etc... even in America are received those loan shark. I saw most of them support themselve, work, or compete for financial aid, etc. Why? this is a very simple question. Also, Department of Education in America provides financial aid, or loan with low ineterest to help students for those who need financial support, and no any condition or obligation like Thai loan shark (work two times and pay 15% interest rate). I agree with no. 36 จากคุณ : .... - [ 16 ก.ค. 51 23:19:53 A:128.206.160.197 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 50 Also, I think if there is a government or private agency in America providing this kind of loan shark (scholarship), it must be illegal. จากคุณ : .... - [ 16 ก.ค. 51 23:36:22 A:128.206.160.197 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 51 แล้วทำไมต้องเปรียบเทียบกับ USA ล่ะครับ เปรียบเทียบเพื่อใน logic ใดเหรอครับ ทราบหรือไม่ครับว่า malaysia singapore ก็มีทุนเหมือนกับไทยเรา ดังนั้นมีก็มีทั้งประเทศที่มีให้และไม่มีให้แหละครับ คำถามคือประเทศไทยเรามีให้ทำไมครับ อะไรคือเหตุผลที่เราจัดสรรทุนนี้ แล้วการที่จัดสรรให้แล้ว พร้อมกับประกาศความคาดหวังต่อตัวคนที่ได้รับทุนได้ชัดเจนแต่ต้น เป็นเรื่องที่ไม่ชอบธรรมพอหรือครับ ผมว่าคุณพยายามมองทุนรัฐบาลให้เป็นทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาแล้วนะครับ ผมว่าเจตนาการจัดสรรทุนรัฐบาลเค้าเิริ่มที่เจตนาดี และมองโลกในแง่ดีที่ว่า คนที่จะสมัครรับทุนคงเป็นคนที่มีใจอยากทำงานราชการเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่คงลืมนึกไปว่าในโลกที่คนยึดเอาประโยน์ส่วนตัวเป็นหลัก พวกนักฉวยโอกาสจะเข้ามาเอาทุนนี้เป็นบันไดก้าวสู่โอกาสที่สนองความต้องการส่วนตัว ตอนนี้ใช่ว่าประเทศเราจะมีแต่ทุนรัฐบาล ทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาก็มี  ทุนให้เปล่าจากองค์กรต่างๆก็ยังมีอีกมากมาย เรามีทางเลือกมากพอสมควรนะครับ แต่ละทุนต่างก็มีปรัชญาและเหตุผลในการให้ทุนแตกต่างกันไป แต่การที่เราจะเบี่ยงเบนให้ทุนรัฐบาลกลายเป็นทุนกู้ยืม ปัญหาอยู่ที่เรามองผิดมุมไปหรือเปล่าครับ สุดท้ายแล้วยังไงเหรอ คุณกำลังจะบอกว่า ก็ในเมื่อปรัชญาของการให้ทุนรัฐบาลมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ (ไม่เป็นเหมือนทุนกู้ยืม) คุณก็จะบอกว่า งันเราก็รับๆทุนไปก่อนแล้วค่อยไปเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงภายหลัง  อืม....ทำไมตัวเราไม่แฟร์ที่จะ่เรียกร้องให้เค้าเปลี่ยนแปลงกฏการให้ทุนจนเป็นที่พอใจก่อนแล้วค่อยไปสมัครรับทุนล่ะครับ  ผมเดาคำตอบเลยก็ได้ว่า ก็เพราะคนแบบนี้มีความเห็นแก่ตัวนั่นเอง  อยากเอาโอกาสนี้ไปเป็นสะพานต่อยอดกันทั้งนั้นแหละ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 17 ก.ค. 51 00:01:59 ]

ความคิดเห็นที่ 52 อ่านมาได้ สักพัก น่ะ ค่ะ เราเถียงกันให้ตาย คน ที่คิดจะเปลี่ยนใจ ก็คงเปลี่ยนอยู่ดี ปัญหามันไม่ได้เเก้ เเบบนี้ หรอกค่ะ ตราบใดที่เราให้ทุนกับ มนุษย์ ปุถุชน ที่มี กิเลส ตันหา รัก โลภ โกรธ หลง มันก็คงเป็นเเบบนี้ น่ะ ตอนเด็กๆ เราอยากเป็นเเบบนึง โตขึ้นอาจอยากเป็นอีกเเบบ ไม่รู้สิ เราจะบังคับคนด้วยอะไร ดีหล่ะ ถ้า คนจะเปลี่ยนใจ เขียนกฏหรอค่ะ หรือ ว่าเราจะเลือก หาคนที่ไม่เปลี่ยนใจเลย มันมีทางไหน ที่ง่าย หรอ ช่วยกันคิดล่ะกัน จากคุณ : คนที่รู้เรื่องจริง - [ 17 ก.ค. 51 00:41:36 A:125.24.173.169 X: TicketID:181605 ]

ความคิดเห็นที่ 53 จริงๆ แล้วผมไม่ได้ทิ้งข้อความนั้นไว้ให้คุณ TimeS-To-Enjoy ผมทิ้งไว้ให้การอ้างเหตุผลที่น่าสงสาร (บางอันโจมตีเข้าไปที่เจ้าของความคิด ได้อะไร?) เวลาเถียงกัน บางคนประชดประชันตัวเจ้าของความคิด ทำเพื่ออะไร? แต่อย่างไรก็ตามคุณก็มีโอกาสได้ตอบผ่านความเห็นเก่าที่ผมทิ้งไว้ พูดถึงเรื่องนามธรรม ผมไม่คิดว่ามันเป็นนามธรรมล้วนๆ แล้วผมไม่ได้สนเรื่องนามธรรม สนแต่ว่าผลมันออกมาเป็นยังไง (ตรงนี้ขออภัยจริงๆ ที่ผมสื่อความได้ไม่รัดกุมพอ) ใครจะชอบไม่ชอบงาน จริงๆ แล้วก็เท่านั้น ถ้าทำออกมาได้ดี แต่ส่วนมากมันเป็นอย่างไร? ผมเห็นคนที่พอใจทำจริงๆ ถึงจะทำงานออกมาได้ดีมีประสิทธิภาพ (ผมจะไม่ไปขุดสถิติหรือไรที่เค้าทำวิจัยกันไว้มา แต่ประกันว่ามี ถ้าอยากอ่านต้องลองหาเอาเองครับ ยังไงก็ตามมันก็เป็นไปตามสามัญสำนึกแหละครับ) ที่จริงก็มีพวกทฤษฎีการใช้ทรัพยากรมนุษย์นะ ว่าทำนองว่าให้ทำให้คนรักงาน หลอกล่อไงก็ได้ ให้หลงคิดว่างานนั้นๆ กะชีวิตคนๆ นั้นเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ไอ้ทฤษฎีการบังคับให้ทำงานนี่ผมไม่เคยเห็นจริงๆ ไม่น่าจะดีเท่าไหร่นะครับ ประเด็นหลักของผมคือ ถ้ามีอะไรที่ไม่สนับสนุนระบบอยู่ ก็เอาออกไป หาสิ่งใหม่เข้ามาแทน ตรงนี่ต้องเสียอะไรบางอย่างแน่ (เวลา เงิน ฯลฯ) แต่ก็ทำเพื่อพัฒนาระบบ ไม่ได้เสียหายอะไร ผมเชื่อว่าไม่ทุกหน่วยราชการ (หรือบางที่ไม่ใช่ราชการ แต่ก็เป็นสังกัดให้นักเรียน) ที่จะรับอะไรก็ได้ที่จบมา ผมเคยคุยกับคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ รู้มาว่าบางที่ถึงกับปฏิเสธนักเรียนบางคนที่ไม่ทำตามกติกา เช่นเลือกเรียนเบี่ยงๆ ไปจากที่ควร ยกประเด็นนี้ขึ้นมาเพื่อบอกว่า ไม่ใช่ว่าจบว่าแล้วก็เป็นพระเจ้าใครก็ อยากให้มาทำงานให้ ผมไม่คิดว่าส่วนใหญ่ของหน่วยงานราชการปัจจุบันจะเรื่อยๆ เปื่อยๆ อะไรก็ได้ ทำนองนี้นะครับ บางคนกลับมาทำงานห่วยๆ เค้าก็อยากให้ออก (แต่ก็ให้ออกได้ยากในทางปฏิบัติ) ก็ยังอยู่ มีอะไรให้ลองเล่นๆ นะครับ ใครก็ได้ ไปถามดูใครที่ทำงานแบบหน่วงๆ เดี๋ยวจะได้คำตอบงงๆ มา ว่าไม่ได้อยากทำนี่หว่า (แต่ก็ไม่ลาออกนะ) แล้วไอ้คนที่อยากทำมันก็เข้ามาทำไม่ได้ ลาออกไป เงินวางไว้ เอาจ้างคนอื่นมาง่ายๆ แค่นี้ (แล้วถ้านักเรียนทุนทำงี้กันตลอด รัฐคงรวยจริงๆ อย่างความเห็นนึงว่าไว้ กำไรสองส่วนๆ ทบไปเรื่อยๆ ถ้าพูดถึงแต่เรื่องเงินนะ แหะๆ) ผมไม่คิดว่าควรจะมาเรียกร้องอุดมการณ์อะไรกันไม่รู้จบสิ้น อยู่ในโลกแห่งความจริงดีกว่าครับ เน๊อะ BE REALISTIC ^^ เพิ่มเติมนิดนึงนะครับ Fallacies ที่ผมใช้หมายถึงการอ้างเหตุผลที่ไม่ valid (ตัวอย่างเช่นโจมตีบุคคลให้ไม่น่าเชื่อถือ, อ้างความน่าสงสาร อะไรพวกนี้) ไม่ได้หมายถึงความเชื่อผิดๆ นะครับ ขออภัยทุกคนถ้าทำให้เข้าใจผิด ตอนนั้นมันเห็นแล้วทนไม่ได้ แต่ไม่มีเวลานานพอจะพิมพ์ยาวๆ แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 51 01:27:54 จากคุณ : EXISTENTIALIST - [ 17 ก.ค. 51 01:16:40 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ทางกพเค้าคงไม่อยากได้เงิืนคืนเท่าไรหรอก อยากได้คนมาทำงานมากกว่า ถ้าใช้ทุนคืน โอเค ถูกกฏหมาย แต่เคยคิดไหมว่าประเทศชาติต้องเสียโอกาสไปเท่าไหร่ ต้องรออีกกี่ปีกว่าจะได้คนใหม่มาแทน ถ้าคนใหม่ที่มาแทนดันมาทำแบบนี้อีก จบเห่ ไม่มีบุคลากรด้านนี้กันพอดี ทั้ง ๆ ที่ก่อนรับทุนก็รู้ว่าต้องกลับมารับราชการ และก็รู้อยู่ว่าระบบราชการไทยเป็นอย่างไร แต่ก็ยังรับ ทำเหมือนกับทุนเหล่านี้เป็นสะพาน ผมว่าคนประเภทนี้แย่นะ ทำอะไรก็ไม่เจริญหรอก และถ้ายิ่งหนีทุนไปเลยนี่ยิ่งหนักไปอีก เพราะคนที่ค้ำคือพ่อแม่ เฮ้อ จากคุณ : พิณแคนแดนอิสาน - [ 17 ก.ค. 51 01:20:21 ]

ความคิดเห็นที่ 55 K. Time... I want you to understand that I did not get Thai government scholarship. I am a labor economist and also mathematician. I told everything based on my knowledge (labor economics) and my experiences. I also a scientist like you. I would say the government scholarship is not efficient and distortion. I have no conflict of interest with this topics. จากคุณ : ..... - [ 17 ก.ค. 51 02:13:12 A:128.206.162.39 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 56 กับ คห ที่ 55 ผมก็คุยกับคุณโดยไม่ได้มีสมมุติฐานว่าคุณจะเป็นผู้ได้รับทุนรัฐบาลหรือไมแต่อย่างใด ผมได้แต่พยายมแสดงความเห็นเพิ่มเติมต่อมุมมองของคุณ ซึ่งเท่าที่เห็นคุณได้แต่บอกว่าคุณเห็นแบบนั้นแบบนี้แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าทำไม ตอนนี้อยากฟังความเห็นจากคุณมากๆว่าทำไมการจัดสรรทุนรัฐบาลถึงเป็นเรื่องที่ผิดพลาดในสายตาคุณ ผิดพลาดในด้านใดบ้าง แล้วการผิดพลาดนั้นสามารถสร้างความชอบธรรมให้กับคนที่คิดจะละทิ้งภาระและข้อผูกมัดที่มีต่อทุนงั้นหรือ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 17 ก.ค. 51 05:02:20 ]

ความคิดเห็นที่ 57 K. Time... Unfortunately, I have no time to explain a long stories. But you can ask an opinion from an economist, in particular labor or educational economist, or from economic professor in your university. But it should not be Thai people. You may hear economic's views. However, no 53 told something close to my economic view. But I don't think he is an economist. Good luck! I know you are determined. จากคุณ : ..... - [ 17 ก.ค. 51 07:30:32 A:128.206.105.9 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 58 อ้าวไปกันโน้นเลย ก็นะ คุณเองก็อุตส่าห์แสดงความเห็นตั้งเยอะมาแล้ว ผมก็อุตสาห์คลำหา point of argument ของคุณจนจะเจอแล้ว ทำไมคุณหลุดออกทะเลไปดื่อๆแบบนี้ซะล่ะ  น่าผิดหวังจริง จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 17 ก.ค. 51 08:33:50 ]

ความคิดเห็นที่ 59 O.K. I will explain shortly. In economics, competitive market is the best (in theory). On the other hand, monopoly is the worst. It distorts resources and allocate resources inefficiently. However, everything in Thailand is monopolistic, i.e, politics, good and services, business, even labor market. Government labor market is monoplistic naturally, together with those scholarships, causing the whole government labor market much more inefficiently. I know you may not learn economics before. Also, there are a few people in Thailand know about labor economics or educational economics, since it cannot make money like finance. I suggest you ask from professor at your university. จากคุณ : ...... - [ 17 ก.ค. 51 09:43:16 A:128.206.105.9 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เห็นอะไรไหมครับ ยังไงคุณก็ discuss ไม่ตรงประเด็นกับกระทู้นอยู่ดีี้ คุณเข้ามาเปิดประเด็นในกระทู้นี้ว่า ทุนรัฐบาลคือความผิดพลาดของรัฐบาลไทย ดังนั้นเพื่อให้ทิศทางการ discuss สอดคล้องไปในทางเดียวกันกับประเด็นที่หลายๆคนถกเถียงกันอยู่เกี่ยวกับความชอบธรรมในการชดใช้ทุนด้วยเงิน  และปัญหานักเรียนทุนลาออกจากทุน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณต้องทำ point และ direction of argument ของคุณให้ชัดเจนว่าคุณกล่าวถึงเรื่องนี้(ทุนรัฐบาลคือความผิดพลาดของรัฐบาลไทย)เพราะอะไร คุณกำลังจะบอกว่า การที่ทุนมีความบกพร่อมจึงเป็นเหตุผลที่จะใช้สร้างความชอบธรรมให้แก่คนที่คิดจะละทิ้งข้อผูกพันธ์ในสัญญาการรับทุน งั้นหรือ จริงๆแล้ว ผมไม่ได้คิดที่จะไปแตะในประเด็นของคุณตั้งแต่เริ่ม เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องนอกเรื่อง อีกทั้งคุณเองก็ไม่สามารถทำให้คนอื่นรู้ว่าคุณเสนอประเด็นนั้นมาเพื่ออะไร เพียงแต่คุยกับคุณเรื่องตำแหน่ง postdoc ที่หาง่ายในอังกฤษให้ฟัง  แต่การที่คุณมาย้ำใน คห 49 ต่อประเด็นเดิมของคุณอีก ผมจึงตอบรับไปในความเห็นที่ 51 และ 56 ซึ่งผมก็พยายามจะชวนคุยให้เข้าประเด็นหลักมากที่สุด จนถึงเวลานี้ ผมยังไม่เห็นจุดยืนของการถกเถียงของคุณเลย แม้กระทั่งใน คห 59 ผมยังไม่เห็นเลยว่าคำอธิบายเหล่านั้นคือความพยายามของคุณที่จะ justify อะไร จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ วันอาสาฬหบูชา 17:47:12 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เอ่อ โทษครับ ไม่ทราบว่า คห ก่อนหน้านี่ต้องการสื่ออะไรเหรอครับ งงครับ แล้ว ไปยุ่งอะไร กับพ่อแม่ ของคุณ Times ครับ งงครับ ขออภัยครับ ผมเข้าใจ แล้วที่คุณพูดนี่มันเกียวกับเนื้อหาของกระทู้ ยังไงครับ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 51 02:17:06 จากคุณ : Jiojo (Jiojo) - [ วันเข้าพรรษา 02:04:31 ]

ความคิดเห็นที่ 63 จริงๆ ผมไม่อยากไปทะเลาะกับใคร แต่ขะขอสรุปดังนี้ 1. ที่เรียกว่าทุนรัฐบาล นี้นะ มันผิดหลักเศรษฐศาตร์ โดยเฉพาะทาง labor or education มันไม่ควรจะมีเลยด้วย เพราะมันบิดเบียนระบบ ผมไม่ได้พูดกว่าใครดีใครชั่วนะ 2. คำว่าทุนในประเทศไทยนะมันใช้ในความหมายที่พรำเพรื่อ เงินกู้ก็เรีกว่าทุน ๆลๆ ถามว่าใน เอมริกา Schoalrship, fellowship, financial aid, assistantship, loan etc มันมีความหมายที่ต่างๆกัน เขาไม่ได้ใช่คำเดียวกันแบบคนไทย และก็ไม่มีเงื่อนไขที่หนักเท่าของไทยด้วย 3. อย่างที่ผมบอก ถ้ามีหน่วยงานในอเมริกามาให้ทุนในความหมายอย่างของไทยบ้าง ผมบอกได้เลยหย่วยงานนั้นถูกฟ้องศาลแน่ เพราะน่าจะเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน และมีลักษรณัเป็น loan shark อย่างที่ว่า อาจจะละเมิดรัฐธรรมนูณด้วยซ่า เสียดายที่ในเมืองไทย ยังไม่มีโครหยิบเรื่องนี้ไปฟ้องศาลปกครองว่า นะเบียบดังกล่าว สัญญา ๆลๆ ลักษณธนี้ขัดกับกฏหมายแรงงาน รัฐธรรมณนูญหรือเปล่า อยากให้พวกหนีทุนทั้งหลายลองฟ้องศาลปกครองดูเหมือน แล้วดูว่าศาลท่านจะตัดสินอย่างไร จากคุณ : ..... - [ วันเข้าพรรษา 02:58:27 A:128.206.148.166 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 64 มีคนไปฟ้องแล้วครับ ... เอ่อ..... ผมไม่ขอเล่าดีกว่า แต่เราคงไม่อยากเห็นใครที่คิดว่า งั้นรีบๆรับทุนนัฐบาลก่อนเลย แล้วไปฟ้องสู้กันในศาล ถ้าคุณแฟร์จริงๆ ก็ฟ้องก่อนที่จะรับทุน ให้อะไรๆมันปรับปรุงขึ้น แล้วคุณค่อยก้าวมารับผลประโยชน์ตรงนั้นภายหลังก็ได้ แทนที่จะตั้ง mind set ว่า วันนี้เราไปกอบโกยก่อนแล้วกัน จริงไหมครับ ถ้างั้นถึงตรงนี้ ผมสรุปได้เลยนะว่า คุณกำลังบอกกับสังคมว่า การหนีออกจากทุนเป็นเรื่องชอบธรรมเพราะทุนมันผิดหลักการมาแต่เริ่ม ใช่ไหมครับ  คืออ่านๆดูเหมือนคุณไม่ได้ catch up ในสิ่งที่เราคุยกันเลย เลยแสดงความเห็นเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 51 04:10:05 จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ วันเข้าพรรษา 03:26:02 ]

ความคิดเห็นที่ 65 แล้วที่สำคัญที่สุด เราไม่ควรมี mind set ที่จะเอาความไม่สมบูรณ์แบบของทุน จะเป็นเหตุเอามาอ้างให้เกิดความชอบธรรมในการที่จะหนีออกจากทุน สรุปถึงตรงนี้ ผมก็ยังไม่เคยเถียงเลยว่า logic ของการให้ทุนรัฐบาล มันถูกต้องสมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อขอให้เราตระหนักถึงภาระหน้าที่ที่มี ตระหนักถึงหลักการดำเนินชีวิตที่ที่อยู่บนพื้นฐานของความเื้อื้ออาธร ไม่เห็นแก่ตัว และถ้าเป็นไปได้ก็ทำตัวเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ ทำไม่ได้ตลอดแต่ขอให้ได้บ่อยๆมันก็คงจะดีขึ้นได้บ้าง ผมรู้จักบางคนที่หนีทุนไป ทั้งในรูปแบบ ชดใช้ด้วยเงิน หนีไปเลย แล้วก็รู้จักหลายๆคนที่ยอมทิ้งเงินเดือนสูงๆ เพื่อก้าวเข้ามารับทุนเพราะอยากจะเอาความสามารถตัวเองไปรับใช้ประเทศ ผมรู้จักคนเก่งๆที่ไปแสวงหาโอกาสให้ตัวเองจนได้ดี โดยไม่ต้องพึ่งพาทุนรัฐบาล แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับบ้านเพราะอยากจะทำอะไรให้ประเทศที่เป็นที่เกิด ผมจึงบอกว่า มันมีอยู่จริงครับคนแบบนี้ คุณต้องได้เห็น ได้พบ ได้คุยกับคนเหล่านี้ แล้วคุณจะเข้าใจว่า ตัวคุณก็เป็นคนแบบเค้าเหล่านั้นได้เหมือนกัน นั่นคือ คิดถึงสังคมมากขึ้น แล้วเริ่มคิดถึงประโยชน์ส่วนตนน้อยลง ดังนั้นในกระทู้นี้ ผมไม่อยากให้ใครมาพูดมาสอนกันถึงวิธีหรือหนทางที่จะออกจากทุน ใช่จริงว่ามุมนึงอาจเป็นประโยชน์ต่อบางคนที่ต้องการหาทางออกจริงๆ แต่อีกมุนมันก็ดาบ 2 คม ที่อาจจะเป็นการชี้โพลงให้กะรอกได้   ใช่จริงที่ระบบมันบิดเบี้ยวไปหมดแล้ว แต่เราผู้เป็นมนุษย์จะยอมบิดเบียวใจตัวเองด้วยหรือ เมื่อเห็นนักเรียนทุนคนหนึ่งมาบอกว่าจะิิออกจากทุน เราควรต้องถามถึงเหตุผล และรั้งเอาไว้ตามความเหมาะสมเพื่อให้สังคมได้รู้ว่าการออกจากทุนไม่ใช่เรื่องที่ดี เราไม่ควรซ้ำเติมระบบหรือบิดเบียวตัวเองด้วยการหาความชอบธรรมจากความบกพร่องของระบบ ทั้งๆที่ความบกพร่องเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่เราทุกคนก็รู้กันมาก่อนทั้งนั้นก่อนที่จะตัดสินใจก้าวเข้าในระบบ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 51 04:02:03 จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ วันเข้าพรรษา 03:56:23 ]

ความคิดเห็นที่ 66 NO. You misunbderstand. I mean it should have no this kind of scholarship, since it's not efficient and distotion. Ok I agree with comments 65. จากคุณ : ..... - [ วันเข้าพรรษา 04:30:32 A:128.206.162.39 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 67 คห ๖๒ ครับ ที่หมายถึง คือผมเบื่อที่เห็นคนมาเรียกร้องให้คนอื่นมีอุดมการณ์ โดยไม่ได้มองถึงความจริงบนโลกใบนี้ ผมเล่าเรื่องชีวิต ผมให้ฟังน่ะคับ ตอนนี้ผมก็อายุ สามสิบกว่า เเล้ว ตอนเด็กๆ เเม่ผมซึ่งเป็นข้าราชการ ทำงานด้านสังคมสงเคราะหฺ์ มาตลอดชีวิต เงินข้าราชการที่ไม่ทุจริตเลย มันก็น้อย เงินเก็บก็ไม่ค่อยมี ตอนผมอยู่มต้น ท่านก็ป่วย เป็นเนื้องอกในสมองในจุดที่ผ่าไม่ได้เลย ในไทยวิธีการเดียวคือการใช้เจ้าเครื่องนึงผ่า เเต่มันไม่มีในโรงพยาบาลรัฐ เเละมีอยู่เครื่องเดียว หมอที่เอกชน ถาม คำเดียวเลยว่าคุณมีเงินเท่าไหร่ ความจริงของชีวีต มันขมขื่น ตั้งเเต่นั้น ผมก็ตั้งใจเรียนจนได้เป็นหมอ ผมก็รู้ว่าระบบมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันไม่ถามหรอกน่ะคับ ว่าคุณเคยเป็นคนมีอุดมการณ์ ทำงานเพื่อสังคมอะไรบ้าง มันถามเเค่ว่าคุณมีเงินพอจ่ายไหม ครับ คนทุกคนย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองเเละคนที่เรารัก น่ะครับ เถียงไปก็เท่านั้น เราจะรีวอร์ด คนที่ทำเพื่อสังคมโดยให้เขาตายหยั่งเขียดเเบบนี้ มันก็คงไม่มีใครทำหรอกครับ จากคุณ : XXX - [ วันเข้าพรรษา 13:22:52 A:125.24.161.166 X: TicketID:181900 ]

ความคิดเห็นที่ 68 อ่อ มีประสปการณ์ชีวิตแบบนั้น เลยคิดว่าสามารถ แช่งแม่ คนอื่นเค้าได้ซิ แนะให้คนอื่นอย่าไปตัดสินใคร แต่ตัวเองก็เป็นเต็มๆเลย  นี่ไงที่พูดว่า -----> ที่หมายถึง คือผมเบื่อที่เห็นคนมาเรียกร้องให้คนอื่นมีอุดมการณ ถ้าเราคุยกันดีๆในกรอบของการแสดงความเห็นที่อิสระตรงไปตรงมา แต่ไม่ไปดูหมิ่นผู้อื่น มันคงจะดีไม่น้อย แต่ถ้าคุณเก็บอารมณ์ไม่ได้ แล้วถึงขนาดเอาแม่ผมมาเกี่ยวด้วย แล้วแช่งกันแบบนี้ ไม่คงไม่ใช่แล้วหละครับ หมันหลุดกรอบของความเหมาะสมเกินไปแล้วหละครับ ผมขอเรียกร้องให้คุณออกมาขอโทษขอขมาแม่ผม ได้ไหมครับ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ วันเข้าพรรษา 18:07:50 ]

ความคิดเห็นที่ 69 งง ดี ครับ ไอ้ ขอความที่้เขียนไป ผมบอกว่าสมมุติว่าน่ะ ครับ เเล้ว ก็มีคนไปขอให้ลบทิ้ง เเละพันทิพ ก็บ้าจี้ให้ลบทิ้ง ที่ผลสมมุตื เเบบนั้นก็ต้องการให้คุณตอบดู ไม่ใช่จะลบหลู่ดูหมิ่น สาปเเช่งอะไร ถ้า คุณคิดเช่นนั้นก็ขอโทษ ด้วย จุดประสงค์ คือ ให้มองว่าเเต่ละคนก็มีเหตุผลต่างกัน ไม่มีสิทธิ์ไปว่าคนนั้นไม่ดี ไม่กตัญญู ไม่บ้าบอคอเเตกอะไรของคุณ เถียงกันได้เป็นสิบโพส แนะให้คนอื่นอย่าไปตัดสินใคร แต่ตัวเองก็เป็นเต็มๆเลย นี่ไงที่พูดว่า -----> ที่หมายถึง คือผมเบื่อที่เห็นคนมาเรียกร้องให้คนอื่นมีอุดมการณ์ ----->เบื่อไม่ได้ เเปลว่าผมไปตัดสินอะไรคุณว่าคุณเป็นคนเเบบไหน เบื่อเเปลว่าไม่เห็นด้วยกับการที่คุณมาเถียงว่าๆ คนอื่นที่เขาอาจมีเหตุผลส่วนตัวของเขาในการใช้ทุนคืน คุณลองตอบสิว่า ถ้าคุณเป็นเเบบในเหตุสมมุติ ของผม อุดมการณ์ของคุณช่วยอะไรได้ ในสังคมทุนนิยม ที่เงินตัดสินหลายๆสิ่ง รวมทั้งการอยู่หรือไปของตัวคุณเเละคนที่คุณรัก จากคุณ : XXX - [ วันเข้าพรรษา 20:22:41 A:125.24.159.6 X: TicketID:181900 ]

ความคิดเห็นที่ 70 คห ๖๑ ถ้าเผื่อใครพลาด อ่านก่อนจะถูกลบ อย่างย่อๆ เท่าที่จำได้ ตราบใดที่โลกยังเป็นทุนนิยม เงินก็ย่อมเป็นปัจจัยตัดสิน สิ่งต่างๆ ในสังคม ถ้าคนที่อ่านกระทู้นี้เเล้วคิดว่าตัวเองมีอุดมการณ์เเลัวจะต้องกลับมาทำงานให้ประเทศทั้งๆที่ตัวเองยังไม่พร้อมจะดูเเลตัวเองเเละคนรอบตัว โดยเฉพาะคนที่มาว่า คนอื่นเยอะๆ เเบบคุณ TimeS-To-Enjoy ถ้าสมมุติมีพ่อเเม่ เเล้ววันนึงท่านป่วยหนัก ค่ายา คอร์ส ละสิบล้าน เงินเดือนข้าราชการไม่พอจ่าย เเล้ว คุณต้องบอกยังไงดีคับ บอกว่า ผมเป็นคนมีอุดมการณ์ ขอให้ไปอย่างสงบ น่ะครับ เเม่ บ๊ายบาย อย่างนี้ใช่ไหมครับ ชีวิตเเต่ละคนมันมีตัวเเปรที่เเตกต่างกัน คุณจะไปเที่ยวตัดสินว่า คนทำเเบบนี้ดี ไม่ดี ไม่ได้เด็ดขาด จากคุณ : XXX - [ วันเข้าพรรษา 20:37:23 A:125.24.159.6 X: TicketID:181900 ]

ความคิดเห็นที่ 71 สมมุติเล่นไปถึงแม่ สมมุติว่าแม่ผมจะตายแบบนี้ มันเกินไปหรือเปล่าครับ   หรือเอาเป็นว่า คนเรามีจุดที่ sensitive ต่างกันไป ผมไม่ชอบให้ใครมาล่วงเกินแม่ของผม แล้วตอนนี้ผมขอให้คุณเ่อ่ยขอโทษ ออกมา จะทำได้ไหมครับ ก่อนที่เราจะคุยกันในสาระของกระทู้ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ วันเข้าพรรษา 20:57:35 ]

ความคิดเห็นที่ 72 อ้า.... อ่านดีๆอีกทีเห็นคุรเอ่ยขอโทษแล้ว ผมก็สบายใจแล้ว ทีนี้ถ้าอยากคุยกันก็จะได้คุยกันได้สบายใจ และขอให้คุยในกรอบที่เหมาะสม แสดงความเห็นตรงไปตรงมาได้ เจ็บๆคันๆ ก็มันส์ดี แต่ไม่ควรเอาคนอื่น โดยเฉพาะพ่อแม่ของคนอื่นที่เค้าเคาก็เคารพกันเอามากล่าวอ้างในทางที่ไม่ควร พ่อแม่ กับคำว่า ตาย เนี่ย ไม่เหมาะเลยนะครับ คุณขอโทษแล้ว ผมก็ให้อภัย ทีนี้มาว่ากันที่สาระต่อไป จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ วันเข้าพรรษา 21:02:55 ]

ความคิดเห็นที่ 73 มาว่าด้วยประเด็นที่คุณว่าผมไปตัดสินคนอื่นในเรื่องการออกจากทุน คำว่าตัดสินมันกว้างไปน่ะครับ ถ้าไม่นิยามให้ชัด ก็คงจะพูดหรือแก้ตัวกันไปมา เฉียดไปเฉียดมาอยู่อย่างนั้น เช่น คุณบอกว่าเบื่อ ไม่เห็นด้วยกับผม แล้วก็พยายามเถียงกลับมา ผมจะมองว่าคุณตัดสินผมแล้วก็ได้ว่าเป็นฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับคุณ หรือคุณได้ตัดสินผมไปแล้วว่า ความคิดของผมเช่นนี้ จะไม่ได้ี่รับการสนับสนุนจากคุณ ดังนั้น ถ้าจะมาเถียงกันโดยการเล่นคำ กับคำว่า ตัดสิน ก็คงจะแก้ตัวกันไม่จบ แต่ผมขอให้เราพูดกันให้ชัดในจุดยืนตัวเองดีกว่า บอกมาเลยว่า ผมหรือคุณเห็นหรือไม่เห็นด้วยกับอะไร แล้วการที่ไม่เห็นก้อธิบายมาว่าเพราะอะไร จุดยืนผมก็บอกไปแล้วว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการที่นักเรียนทุนจะออกจากทุน แม้ว่าจะชดใช้ด้วยเงินก็ตามที่ ผมพูดในกรอบแค่นี้นะครับ เพราะผมก็เข้าใจอยู่แล้วว่า ต่างคนต่างมีเหตุผลและความจำเป็นส่วนตัวที่ทำให้ต้องเลือกออกจากทุนไป แต่...ถ้าจะให้ผม แสดงความเห็นชอบ หรือสนับสนุนกับคนที่ออกจากทุน ผมคงทำไม่ได้ แต่ผมทำให้ได้คือการแสดงความเห็นใจ และให้ความเข้าใจ แต่ไม่สนับสนุน ตรงนี้เข้าใจไหมครับ ถ้าคุณจำเป็นต้องออกจากทุนด้วยเหตุจำเป็นจริงๆ ผมก็ไม่ค้าน แต่ถ้าถามผมว่าผมสนับสนุนไหม ตอบว่่าไม่ แต่เห็นใจและเข้าใจว่าทำไมคุณต้องเลือกทางนั้น ดังนั้นในกรอบของสังคมในฐานะที่เป็นประชาชนที่เสียภาษาก็มีความคาดหวัง และทั้งในฐานะที่เป็นนักเรียนทุนก็มีความเข้าต่อเพื่อนนักเรียนทุนด้วย ผมจึงเห็นว่า ผมสามารถทำได้ที่จะทำให้สังคมได้รู้สึกว่า การออกจากทุนของนักเรียนทุนเป็นเรื่องที่น่าเศร้า และไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะสนับสนุน ดังนั้นในกระทู้นี้ ถ้าใครจะมาสอนกันถึงวิธีออกจากทุน ผมจะทำการค้านเต็มที ซึ่งโชคดีที่ไม่มีใครทำเช่นนั้น ถ้าคุณอ่านความเห็นผมดีพอ แล้วติดตามความต่อเนื่องของการออกความเห็นผม คุณจะเห็นบทสรุปของผมต่อตัวเจ้าของกระทู้ในความเห็นที่ 28 นั่นคือความเข้า และเคารพต่อการตัดสินใจของเค้า แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่สามารถที่จะให้การสนับสนุนได้ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าผมไปกล่าวว่าเค้าเป็นคนเลว หรือคนไม่ดี ผมยังคงแสดงความเห็นของผมต่อไปด้วยการยึดประเด็นเดิม คือไม่ต้องการให้ใครมาบอกมาสอนถึงวิธีการออกจากทุนในที่สาธารณะ เพราะผมเห็นว่าเป็นดาบ 2 คม ถูกครับว่า การที่เราเรียกร้องขอให้คนมีอุดมการณ์ อาจจะดูเป็นเรื่องที่เหมือนไม่ยอมมองความเป็นจริงของสังคม แต่การทำเช่นนั้นมันก็ยังดีกว่าการสนับสนุนให้คนแปลงร่างกลายเป็นปลิงแล้วเข้ามากอบโกยระบบ ใช่ไหมครับ อีกประเด็นที่เป็นห่วงและได้พยายามพูดไปแล้ว และพูดชัดเจนมากเลยใน คห 65 ผมไม่อยากให้เกิด mide set ในสังคมที่ว่า เราต้องปากกัดตีนถีบ จนยอมลดศีลธรรมลงไป เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องปรารถนา อะไรที่เพลาได้ก็เพลาบ้าง อย่างทุน ถ้าคิดว่าตัวไม่มีใจให้ระบบเป็นทุนเดิม ก็อย่าไปเอา แต่ถ้าจะเอาก็ตระหนักถึงภาระหน้าที่ที่ตามมาบ้าง ไม่ใช่มองว่า มาเอาๆเพื่อเป็นบันได้แล้วจะทิ้งไปเมื่อได้โอกาสที่ดีกว่า วัฒนธรรมแบบนี้ไม่ดีครับ แล้วมักจะถูกบิดเบือนด้วยการถูก justified ด้วยเหตุผลว่า ใครต่างก็รักตัวเองต่างทำเพื่อตัวเองก่อนเพราะอุดมการณ์กินไมไ่ด้  ส่วนตัวผมก็ไม่ได้หวังอุดมกรณ์ในอุดมคติหรอกครับ แต่หวังเพียงว่า เราจะมีสำนึกกันอย่างน้อยสามารถทำเพื่อคนอื่นได้บ้าง มากกว่าจะทำเพื่อตัวเอง ถ้าคุณลองออกกรอบของความคิดที่เป็นอคติออกไป แล้วไม่คิดว่าการแสดงความเห็นของผมเป็นการต่อว่าคนอื่น (อย่างที่คุณเข้าใจ) แล้วพยายามเถียงด้วยการบอกว่าไม่เห็นด้วยกับผมตรงไหน แล้วคุณเห็นแบบไหน จุดยืนของการเถียงของคุณคืออะไร แบบนี้เมื่อบทสนทนาจบลง เราทั้งคู่ก็อย่างน้อยคงได้เรียนรู้มุมมองที่แตกต่างจากกันและกัน สุดท้ายที่อยากบอก คือ ผมชอบการแลกเปลี่ยนความเห็นมากๆ ไม่รู้สึกเหนือยที่จะพิมพ์ หรือติดตามกระทู้ เพราะชอบเรียนรู้โดยเฉพาะความคิดที่แตกต่าง บางครั้งความเห็นของผมหรือของคนอื่นก็มีบ้างที่ทำให้รู้สึกเจ็บๆคันๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่เป็นของคู่กันกับ argument ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อยากให้คุณและทุกๆคน value คุณค่าของการ argument แบบนี้ด้วย อย่าถึงขนาดควบคุมอารมณ์ไม่ได้แล้วต้องพิมพ์อะไรออกมาให้่รู้สึกสะใจ เพียงแค่อยากจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกไม่ดี ดังนั้นแล้ว ข้อความใน คห 70  ถ้าลบได้ลบเถอะครับ ถ้าคุณยังอยากคุยกับผมต่อ แต่ถ้าคุณไม่ value ผมในฐานะคู่สนทนาแล้ว คุณจะไม่ลบก็ตามใจแล้วผมคงจะคุยกับคุณเพียงแค่ตรงนี้. จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ วันเข้าพรรษา 21:58:20 ]

ความคิดเห็นที่ 74 คห ๖๑ ถ้าเผื่อใครพลาด อ่านก่อนจะถูกลบ อย่างย่อๆ เท่าที่จำได้ ผมตัดส่วนที่เป็นชื่อคุณ ออกถ้าไม่สบายใจ เเต่ คำถามมันก็เหมือนเดิมคือ สังคมวัตถุนิยม อุดมการณ์ไม่มีความหมาย?? ตราบใดที่โลกยังเป็นทุนนิยม เงินก็ย่อมเป็นปัจจัยตัดสิน สิ่งต่างๆ ในสังคม ถ้าคนที่อ่านกระทู้นี้เเล้วคิดว่าตัวเองมีอุดมการณ์เเลัวจะต้องกลับมาทำงานให้ประเทศทั้งๆที่ตัวเองยังไม่พร้อมจะดูเเลตัวเองเเละคนรอบตัว ถ้าสมมุติเเล้ววันนึงพ่อเเม่ ของคุณ ป่วยหนัก ค่ายา คอร์ส ละสิบล้าน เงินเดือนข้าราชการไม่พอจ่าย เเล้ว คุณต้องบอกยังไงดีคับ ชีวิตเเต่ละคนมันมีตัวเเปรที่เเตกต่างกัน คุณจะไปเที่ยวตัดสินว่า คนทำเเบบนี้ดี ไม่ดี ไม่ได้เด็ดขาด จากคุณ : XXX - [ วันเข้าพรรษา 22:16:26 A:125.24.159.6 X: TicketID:181900 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ข้อความใน คห 70 ด้วยครับ ช่วยแก้ไขด้วยครับ  ผมไม่แน่ใจว่า บัตรผ่านสามารถแก้ไขข้อความตัวเองได้หรือไม่ ถ้าได้ ช่วยแก้ด้วยครับ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ วันเข้าพรรษา 22:30:53 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ข้างล่างนี้อ่านดูเเล้วกันครับ ของคุณเองที่บอกว่าคนพวกนี้เป็นคนไม่ดีไม่กตัญญู อ่านเเล้วมีอะไรจะดิ้นได้อีกไหมครับ กับความเห็นที่ 41 นักเรียนทุนแบบที่คุณบรรยายให้ฟัง บางทีคนบางคนในนี้อาจมองว่าเค้าไม่ผิดหรอกเพราะใครๆก็อยากให้สิ่งดีๆให้กับตัวเอง แต่ผมมองว่าคนแบบนี้เห็นแก่ตัวมากๆ และไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย เพียงแต่ถ้าเค้าเป็นคน 'ดี' เค้าจะไม่คิดสมัครรับทุนตั้งแต่แรก หรือถ้ารับไปแล้ว ก็เพียงแต่ถ้าเค้าเป็นคนที่กตัญญู ก็คงจะไม่คิดละทิ้งคนที่เคยให้โอกาสเค้า.... เป็นนักเรียนทุน กลับมารับราชการ โดยเฉพาะทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย (ซึ่งนักเรียนทุนส่วนใหญ่จะกลับมาทำงานใตตำแหน่งนี้กัน) มันจนมากๆเลยหรือ มันคงจะจนก็ต่อเมื่อคนๆนั้นมีชีวิตเข้าตำราที่ว่า เห็นช้างขี้ๆตามช้าง ทีนี้แหละ ปรัญชาชีวิตที่ว่า ชีวิตใครชีวิตมันเราเลือกเอง จะเข้ามาสุมในหัวเพื่อบรรเทาอาการรู้สึกผิดก่อนที่จะแสวงหาโอกาสไปทำอย่างอื่นที่ได้เงินเยอะกว่านี้ ตรงนี้ที่ไม่เห็นด้วย คนดีคือคนที่ห้ามเปลี่ยนใจ หรือ ครับ คนกตัญญูต่อประเทศ เเล้วไม่ต้องกตัญญูต่อคนอื่น หรือครับ พ่อเเม่ อย่างนี้ ตัวเเปรในชีวิตเเต่ละคนต่างกัน จะมาตัดสินว่าเขาดีไม่ดี ไม่กตัญญูเพราะใช้ทุนมันไม่ได้ น่ะครับ (คห ๗๐ ผมสั่งลบไปเเล้วน่ะครับถึงมาโพสใหม่) จากคุณ : XXX - [ วันเข้าพรรษา 22:33:36 A:125.24.159.6 X: TicketID:181900 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ok ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวผมมาขอตอบในประเด็น คห 76 ภายหลังนะครับ วันนี้วันศุกร์มีนัดครับ กลับมาแล้วจะมา discuss ต่อครับ คงประมาณหลังเที่ยงคืนของที่นี่หรือ 6 โมงเช้าที่ไทย จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ วันเข้าพรรษา 22:43:58 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เห็นว่า ดร ศุภชัย พานิชภักดิ์ ก็ทำงานใช้ทุนไม่ครบ นะครับ ไม่แน่ใจ ถ้ายังไงให้ท่านช่วยมาตอบคำถามคุณ Times น่าจะเหมาะ จากคุณ : ห - [ 19 ก.ค. 51 00:40:28 A:58.8.171.44 X: TicketID:049788 ]

ความคิดเห็นที่ 79 มาต่อครับ กับข้อความของผมที่คุณยกมา เป็นความเห็นที่ 42 ซึ่งเป็นความเ็ห็นที่พูดถึง ตัวอย่างนักเรียนทุนดังที่บรรยายในความเห็นที่ 41 !!!! ซึ่งถือว่าเป็นถ้านักเรียนทุนคิดแบบที่ คห 41 บรรยายไว้ ผมก็มองว่าใช่ไม่ได้เลยนักเรียนทุนคนนี้ ดังนั้นใช่ครับ ผมต่อว่า แต่ต่อว่านักเรียนทุนที่คิดแบบที่บรรยายไว้ใน คห 41 ทีนี้ลองมามองสิ่งที่เกิดขึ้นจริงรอบตัว เอาที่นี่เลยที่ผมเรียนอยู่ นักเรียนทุนที่นี่ที่ผมรู้จัก ที่ hang out ด้วยกันทุกวัน ไม่ได้เป็นคนที่มาจากบ้านที่มีฐานะยากจนเลย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมเรา คนที่เรียนเก่งคือคนที่บ้านมีโอกาสซะโดยมาก คนจนจริงๆคงยากที่จะพัฒนาความรู้ตัวเองจนมาสอบชิงทุนติด ดังนั้นจะเห็นว่านักเรียนทุนส่วนใหญ่ ฐานะที่บ้านห่างไกลกับคำว่าลำบากมากเลยทีเดียว ดังนั้นประเด็นที่เราต้องมองต่อไปคือ ถ้านักเรียนทุนเหล่านี้ี่ซึ่งฐานะที่บ้านก็สบายกันอยู่แล้ว ทำไมถึงอยากคิดจะออกจากทุนเพื่อจะได้ทำในสิ่งที่สามารถทำเงินได้มากๆ คำถามคือว่า เงินคือสิ่งจำเป็นสำหรับเค้ามากขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วซักเท่าไหร่ล่ะถึงจะพอ ดังนั้นมันจึงมาถึงจุดที่ทำให้ผมกังขาว่า จริงๆแล้ว เพราะความโลภ หรือความจำเป็นกันแน่ที่เป็นเหตุผลของนักเรียนส่วนใหญ่ที่ออกจากทุน ด้วยประสปการณ์ที่ผมรู้จกคนที่หนีทุน 2-3 คน ทั้งหมดเหล่านี้คือคนหนีทุนไปเพราะต้องการไปหาเงินที่มากขึ้น ทั้งๆที่ในขณะนั้น เค้าก็เป็นคนที่ไม่ได้ยากจน บ้านไม่ได้ลำบาก แต่ก็บอกไม่ได้ว่ารวย ดังนั้นจึงอยากรวย ดังนั้นแล้วส่วนตัวผมจึงเชื่อว่า ถ้านักเรียนทุนคนใดมาบอกว่าจะขออกจากทุน ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเหตุผลน่าจะเป็นเรื่องของความโลภ มากกว่าความจำเป็น  เมื่ออ่านถึงตรงนี้ ขอให้ตระหนักว่า ผมก็ไม่ได้พูดว่าคนที่ออกเพราะจำเป็นก็มี ถึงตรงนี้คงพอจะเห็นใช่ไหมครับว่า ผมพูดเรื่องนี้เป็นภาพรวมๆ และโดยธรรมชาติ เรื่องทุกเรื่องย่อมมีข้อยกเว้น อย่างเช่นในกรณีสมมุติที่คุยยกขึ้นมาถามผม ถ้าอ่านความเห็นผมเข้าใจดีแล้ว คุณคงจะได้คำตอบว่าผมจะตอบอย่างไร ซึ่งแน่นอน ถ้ามีความจำเป็นจริง ออกก็ต้องออก ดีกว่าอยู่แล้วทรมาน แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมจะทำและจะทำต่อไป นั้นคือกระตุ้นให้คนคิดให้มากก่อนที่จะรับทุน เพราะทุนมันมากับความคาดหวังและความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งถ้ารับมาแล้วก็ต้องตระหนักไว้เสมอ   ถ้าจะออกไปก็ต้องมีความจำเป็นจริงๆ แต่กระนั้น ถ้าคุณจะออกไปจริงๆ ผมก็เข้าใจ แต่จะไม่สนับสนุนหรือสงเสริมให้ใครออกไปอย่างแน่นอน อย่างเช่นในกระทู้นี้ ไม่สนับสนุนให้ใครเอาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวิธีออกจากทุนมาบอกมาสอนกัน เพราะในแง่หนึ่งมันอาจไปกระตุ้นให้พวกที่มีใจคิดจะหนีด้วยเหตุผลที่ไม่ดีพอ มีโอกาสได้ทำง่ายขึ้น แต่ถ้าใครจะบอกว่า ก็ดีนี่ ถ้าคนเห็นแก่ตัวหลงเข้ามาในระบบ ก็ให้มันออกไปเถอะ  อืมถูกครับ ผมเห็นด้วย แต่จริงๆสิ่งที่ผมห่วงมากกว่า คือ ถ้าสังคมได้เรียนรู้ว่าการออกจากทุนไม่ใช่เรื่องยากหรือลำบากอย่างที่คิด บางทีมันอาจไปกระตุ้นให้คนที่จิตใจไม่ดี คิดอยากก้าวเข้ามาเอาทุนนี้เพราะจะมองว่าทุนเป็นบันได เข้ามาแล้วได้โอกาสเมื่อไหร่ ก็จะไปเลย เพราะการใช้ทุนหรือหนีทุน ง่ายนิดเดียว จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 19 ก.ค. 51 06:41:51 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ดร ศุภชัย พานิชภักดิ์ รับทุนอิสระหรือเปล่าครับ ไม่แน่ใจนะครับ ผมเคยได้ยินเรื่องเล่าจากคนแถวนี้ว่า ว่ามีน้องคนหนึ่งติดทุนเรียนหมอ แต่เค้าไม่แน่ใจว่าจะเอาทุนดีหรือเปล่า เพราะไม่แน่ใจตัวเองว่าอยากเป็นหมอจริงๆหรือ ตอนสัมภาษณ์ที่คณะแพทย์ น้องคนนี้เค้าก็ได้เอ่ยความลำบากในการตัดสินใจให้อาจารย์ที่สัมภาษณ์ฟัง พออาจารย์ได้ฟังแล้ว ก็บอกกับน้องคนนั้นประมาณว่า ก็ให้คุณเอาไปคิดต่อเองนะ ว่าเมื่อก่อนย้อนไปซัก 30 กว่าปี ทุนหมอหมอประกาศออกมา มีคนได้ทุนเป็นตัวจริง 1 คน และมีตัวสำลองอีก 1 คน   1 คนในนั้นคือคุณศุภชัย วันนี้คนที่ได้สอบได้ที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ได้รับทุนตัวจริง เป็นคณะบดีคณะแพทย์ซึ่งกำลังนั่งคุยกับคุณอยู่ แต่ผู้ได้เป็นตัวสำรองคือประธาน WTO คุณชอบแบบไหน เลือกเองได้ ปล ผมไม่แน่ใจในรายละเอียดของเนื้อหาเรื่องนี้ ฟังเอาไว้เป็นแง่คิดก็พอครับ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 19 ก.ค. 51 06:51:28 ]

ความคิดเห็นที่ 81 การตอบลักษณะอุดมคติ ใครๆก็มาเขียนตอบได้ เพราะมันเท่ากับเอาดีเข้าตัว โดยที่ไม่ได้มองโลกอย่างความเป็นจริงและเป็นอย่างคนที่ผ่านโลกมาพอสมควร ประกอบกับเหตุและผลต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากกรณีนี้ก็มีกฏหมายเข้ามาจับในหลักการต่างๆ ไว้อยู่แล้ว ซึ่งอย่างน้อยคนที่มาถามข้อมูลเรื่องชดใช้ทุนนั้น ก็ควรจะมีสิทธิทราบถึงสิทธิของตนเองที่พึงจะมี จากคุณ : - - [ 20 ก.ค. 51 21:28:12 A:58.8.154.206 X: TicketID:012743 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ----->การตอบลักษณะอุดมคติ ใครๆก็มาเขียนตอบได้ เพราะมันเท่ากับเอาดีเข้าตัว โดยที่ไม่ได้มองโลกอย่างความเป็นจริงและเป็นอย่างคนที่ผ่านโลกมาพอสมคว<----- คำถามจากผมคือ คนที่คอยจ้องที่จะเอาเปรียบ กอบโกยเข้าตัวเองโดยไม่มีสำนึกชั่วดี มันก็อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ แล้วพวกนี้ก็หวังที่จะ้หาช่องทางเพื่อให้ได้มาซึ่งโอกาสแบบที่ตัวไม่คิดจะรับผิดชอบใดๆ นี่คือความเป็นจริงบนโลกใบนี้หรือไม่ กฏการออกจากทุน เค้ามีให้คนที่มีความจำเป็นจริงๆไว้เป็นทางออก ใช่หรือไม่ แต่ความจริง คนที่หวังจะออกเพราะต้องการสร้างประโยชน์เข้าตัว มันก็มีจริงๆใช่หรือไม่ และนี่คือความจริงเป็นโลกใบนี้ใช่หรือไม่ ข้อมูลหนึ่งที่ว่ามีประโยชน์เฉพาะกับคนกลุ่มหนึ่งๆ อีกด้านหนึ่งของมันก็คือดาบ 2 คม  นี่คือความเป็นจริงของโลกใบนี้หรือไม่ หรือท่านผู้มีประสปการณ์มาก จะเห็นแตกต่างอย่างไร โปรดชี้แจง ดังนั้นมองออกหรือไม่ว่าผม กำลังบอกให้พวกเรา ระวัง!!!! อย่าไปชี้โพลงให้กะรอก อย่าไปทำให้คนที่เห็นแก่ตัว ได้เกิดความคิดว่า เออดี ทุนรัฐบาลเราเข้ามากอบโกยเอาไปดีกว่าแล้วรอหาช่องหนีออกไปเมื่อสบโอกาส ผมมั่นใจว่าผมทำถูกต้องตามคนเห็นโลกมาเท่าที่ผมใช้ชีวิตอยู่ เออ แล้วผมก็ไม่ได้ตอบแบบอุดมคติ สงสัยคุณคงไม่ได้อ่านคำตอบของผมแล้วคิดตาม เลยไม่ได้พูดอะไรที่ตรงจุดในสิ่งที่ผมพยายามชี้แจง ซึ่งใน คห 79 ก็น่าจะชัดเจนมากทีเดียว โปรดอ่านใหม่ แ้ลวคุยต่อให้เข้าทิศทางของบทสนทนา ไม่ใช่มาหยอด จุ๊ดๆ แบบนี้ โดยไม่มีคำอธิบาย ไม่บอกว่าอะไรคืออุดมคติที่คุณคิดว่าผมอ้างถึง  ไม่บอกว่าตนเองคิดอะไร ไม่บอกเหตุผลที่ตนเองคิด แบบนี้ใครๆกมาเขียนตอบได้ เพราะไม่ต้ิองคิดไร ใช้แต่แรงเขียนอย่างเดียว จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 20 ก.ค. 51 23:28:50 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ลองอ่านดูว่า ทำไม ลอจิกที่ เลขาเเพทย์สภาเสนอในการเเก้ปัญหาของเเพทย์ กับการมองเรื่องการใช้ทุนของ นร ทุน ต่างกัน นร ทุนเป็นพลเมืองชั้นสองเมื่อเทียบกับเเพทย์ ? สธ.เสนอเพิ่มค่าปรับชดเชยแพทย์จบใหม่แทนก ารใช้ทุน จากปัจจุบันคนละ 4 แสน เป็น 4-10 ล้านบาท สกัดสมองไหลเข้า รพ.เอกชน เผยหนีจากระบบปีละ 400-500 คน ทำให้โรงพยาบาลรัฐขาดแคลนหมอมากขึ้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ถูกซื้อตัวอย่างหนัก ---> แพทย์สภาค้าน ชี้ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แนะเพิ่มค่าตอบแทน-สวัสดิการให้ดีขึ้น <--------- นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ว่า ในการประชุมคณะแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งชาติในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งมีคณบดีจากคณะแพทยศาสตร์ของสถาบันการศึกษาทุกแห่งของไทยเข้าร่วม รวมทั้งกระทรวงศึกษาธิการ และแพทยสภา ฯลฯ สธ.จะเสนอหลักการในการหารือ เรื่องการขอเพิ่มเงินค่าปรับชดเชยแทนการใช้ทุนของนักศึกษาแพทย์ ในกรณีที่ลาออกจากราชการก่อนการใช้ทุนหมด 3 ปี จากเดิมที่ต้องเสียค่าชดเชยจำนวน 4 แสนบาท แต่ข้อเสนอใหม่ขอปรับเพิ่มเป็น 4-10 ล้านบาท แล้วแต่ที่ประชุมพิจารณาค่าชดเชยตามความเหมาะสม "การปรับค่าชดเชยนี้เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับงบประมาณที่รัฐได้สนับสนุ นในการเรียนแพทย์ และนักศึกษาแพทย์ได้คิดไตร่ตรองก่อนจะออกจากระบบไปสู่ภาคเอกชน เชื่อว่าหน่วยงานอื่นๆ จะเห็นด้วยกับข้อเสนอของ สธ. เนื่องจากภาครัฐต้องลงทุนสนับสนุนเงินให้นักศึกษาแพทย์คนละ 3 แสนบาทต่อปี หลักสูตรแพทย์ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 6 ปี เท่ากับรัฐต้องเสียงบฯไป 1.8 ล้านบาทต่อแพทย์ 1 คน ขณะที่ค่าชดเชยเดิมที่นักศึกษาแพทย์ต้องจ่ายให้รัฐ 4 แสนบาท เมื่อเทียบกับรายได้ที่แพทย์จบใหม่เหล่านี้ไปอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนใช้เวลาเพ ียงแค่ 1-2 เดือนเท่านั้น ก็สามารถหาเงินมาจ่ายค่าชดเชยได้แล้ว ทำให้หมอใหม่ไม่คิดมาก จึงเกิดภาวะสมองไหลออกจากระบบไปอยู่ที่ภาคเอกชนกันมากขึ้น โดยเฉลี่ยจะมีแพทย์ลาออกจากระบบ 400-500 คนต่อปี ในจำนวนนี้ร้อยละ 40 เป็นแพทย์ที่ใช้ทุนยังไม่ครบ 3 ปี ส่วนอีกว่าร้อยละ 60 เป็นแพทย์ที่บรรจุเป็นข้าราชการแล้ว" นพ.ปราชญ์กล่าว ปลัด สธ.กล่าวว่า นอกจากนี้ ขณะนี้แนวโน้มความนิยมการเรียนแพทย์ของนักศึกษาลดน้อยลง จึงจำเป็นต้องมีมาตรการใหม่ออกมาเพื่อให้แพทย์จบใหม่คงอยู่ในระบบมากที่สุดเ พื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแพทย์ ซึ่งที่ผ่านมาได้จัดค่ายกิจกรรมให้นักศึกษาแพทย์ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันหลอม ใจให้เป็นหนึ่งเดียว ทำให้เกิดแรงจูงใจให้แพทย์จบใหม่ยินดีที่จะใช้ทุนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งในอดีตมักไม่มีแพทย์จบใหม่สมัครใจไปใช้ทุนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เมื่อมีกิจกรรมนี้ขึ้นทำให้มีแพทย์จบใหม่สมัครใจลงพื้นที่ถึง 26 คน จากทั้งสิ้น 40 คน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน "ปัญหาที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องคือ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่อาวุโส ซี 6-8 มีแนวโน้มถูกซื้อตัวมากกว่าการซื้อตัวของแพทย์จบใหม่เสียอีก ทำให้ สธ.ต้องให้ความสำคัญใน 2 ส่วนคือ ค่าตอบแทน ที่ต้องเพิ่มมากขึ้น แม้จะได้ไม่เท่าภาคเอกชนก็ตาม และเรื่องเกียรติยศ ศักดิ์ศรี เมื่อแพทย์อาวุโสปฏิบัติหน้าที่มาอย่างยาวนาน แต่ก็ยังไม่ได้ตำแหน่งระดับ 9 ทำให้ขาดแรงจูงใจ ขาดเกียรติยศและศักดิ์ศรี ซึ่ง สธ.จะเร่งผลักดันเพื่อรักษาจำนวนแพทย์ในระบบให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่" นพ.ปราชญ์กล่าว ด้าน นพ.สมศักดิ์ โลห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเพิ่มค่าปรับแทนการใช้ทุน เพราะที่ผ่านมาการบังคับแพทย์ให้ทำงานในโรงพยาบาลรัฐบาลไม่ได้ผล การบังคับคนให้ทำงานโดยความไม่เต็มใจ เมื่อทำหน้าที่เสร็จก็หนีทันที ดังนั้น สธ.ควรแก้ปัญหาที่ระบบ ด้วยการสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้เงินเดือนสูงขึ้น ฝึกอบรมความรู้ต่างๆ ช่วยให้ภาระของแพทย์ไม่มากจนเกินไป ในทางกลับกันการเพิ่มเงินค่าปรับในอัตราที่สูงขึ้นนั้น จะทำให้ค่าตัวแพทย์เพิ่มสูงขึ้นไปอีก นำไปสู่การถอนทุนคืน และถือเป็นการลงโทษแพทย์มากกว่าการแก้ปัญหา ที่สำคัญแนวคิดนี้ เป็นการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการลบ มากกว่าทางบวก "เงินไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้แพทย์หันไปทำงานในภาคเอกชน แม้ได้เงินเยอะแต่ทำงานอย่างไม่มีความสุข เขาก็ไม่อยู่ แต่ปัญหาน่าจะมาจากแพทย์ต้องใช้ทุนต่างจังหวัดมีสภาพความเป็นอยู่ลำบาก บางแห่งบ้านก็ไม่มีอยู่ ไม่มีมุ้งลวด มีแต่เสียกำลังใจ แถมต้องทำงานหนัก อุปกรณ์ทางการแพทย์ก็ไม่พร้อม บุคลากรไม่เพียงพอ ต้องอยู่เวรตลอด 24 ชั่วโมง และยังเกรงว่าจะถูกร้องเรียนจากคนไข้ ขณะที่ภาคเอกชนแพทย์มีการทำงานเป็นทีมได้รับการอำนวยความสะดวกทุกสิ่งอย่าง ดังนั้น หากจัดระบบงานให้เหมาะสม แก้ระบบใหม่ ไม่ใช่แค่ปรับเงินเพิ่มขึ้น จึงจะเป็นทางแก้ปัญหาที่ดีกว่า" นพ.สมศักดิ์กล่าว จากคุณ : XXX - [ 21 ก.ค. 51 19:36:52 A:125.24.120.178 X: TicketID:181900 ]

ความคิดเห็นที่ 84 บทความนั่นเคยอ่านแล้วครับ มีหมอหลายคนก็ไปแสดงความเห็นมากมาย ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ผมเห็นด้วยครับว่าการเพิ่มค่าปรับไม่ใช่ solution ที่ดี แต่อ่านดีๆจะเห็นว่า เงิน คือปัจจัยหลักเลยครับ อ่านไปอ่าน ก้ได้ความรู้สึกเดิมคือ งานสบาย เงินดี ใครก็อยากอยู่ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆในทุกวงการ อีกประเด็นที่คุณบอกว่า logic การแก้ปัญหาแพทย์กับนักเรียนทุน ต่างกัน ผมยังไม่เห็นบทความนี้พูดเกี่ยวกับประเด็นนี้ยังไงเลย แต่ถ้าคุณเข้าใจว่าผมกำลังบอกว่าต้องเพิ่งเบี้ยปรับกับนุกเรียนทุนที่จะออก อันนี้ต้องบอกว่าผมไม่เคยมองเช่นนั้นเลย แล้วผมก็ยังไม่เคยไปแตะในประเด็นการเสนอ solution สำหรับนักเรียนหนีทุนเลย เดี๋ยวจะเข้าใจผมผิดคิดไปว่า ผมสนับสนุนให้เพิ่มเบี้ยปรับ ที่ผ่านมาผมเพียงแต่พูดในกรอบของจิตสำนึกและความรับผิดชอบของนักเรียนทุนหรือคนที่คิดจะมารับทุน ให้ตรองดีๆถึงภาระที่จะตามมากับทุน แต่ถ้าคุณเห็นว่า หรือรู้สึกว่า ทำไมเบี้ยปรับนักเรียนทุนถึงดูโหด ก็เพราะว่านักเรียนทุนคนนึงลงทุนแพงมากครับ เฉลี่ยแล้ว ปีละ 1.6 ล้านบาท เรียนเอกอย่่างน้อย 4 ปีก็ไม่ต่ำกว่า 6 ล้านบาท จะเห็นค่าตัวของนักเรียนทุนคนนึงแพงมากๆ ไม่ต้องพูดถึงคนที่ได้ทุนเรียนตั้งแต่ ตรี โท เอก นั้นก็ทะลุ 14 ล้านกันเลย ซึ่งแพงกว่าค่าตัวนักเรียนแพทย์มากมายนัก พอเวลาจะมีคนขอออกจากระบบที แม้ว่าจะไม่ต้องมีดอกเบี้ยปรับ แค่เงินต้นมันก็ดูแพงดูโหดไปเลย ทั้งๆที่ความจริงก็คือต้นทุนมันแพงมากๆอยู่แล้ว ที่นี่มีหมอคนนึงเรียน โท เอก อยู่ แกเป็น ผอ โรงบาลต่างจังหวัดทำงานในชนบทเ็ล็กๆ มา 8 ปี ก่อนจะมาเรียนต่อด้วยทุนตัวเองบวกกับทุนอิสระ ถามแกว่าจบแล้วจะไปไหน แกตอบจะกลับไทยไปช่วยคนที่ลำบากในต่างจังหวัดเหมือนเดิม อุดมการณ์มันกินไม่ได้ก็จริง แต่มันทำได้ เหมือนทำบุญนั่นแหละครับ มีโอกาสทำก็ทำเถอะ แต่ก็อย่าให้ถึงกับทำแล้วตัวเองลำบาก แบบนี้็ก็ไม่ได้บุญเหมือนกัน จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 22 ก.ค. 51 03:16:51 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ผมไม่ขอตัดสินอะไรใครนะครับ แต่ขอแสดงความคิดเห็นในฐานะนักเรียนทุน ที่รับทุนมา ตั้งแต่มัธยมจนจะจบระดับบัณฑิต เหตุผลของเจ้าของกระทู้อาจจะมีความจำเป็นมาก เนื่องด้วยสาเหตุที่ผมเองก็ไม่ทราบ และเคารพในการตัดสินใจ สำหรับผมยังไม่มีอะไรให้ต้องตัดสินใจอย่างนี้ อาจจะด้วยสถานภาพยังไม่มีอะไรต้องคิดมาก แต่สักวันถ้ามันมีเหตุต้องตัดสินใจผมก็ขอคิดอย่างนี้   ภาษาปาก            =     กตัญญู, ทดแทน ภาษาทุน (นิยม)    =     ตอบแทนเจ้าของทุน, ปันผลผู้ร่วมหุ้น เพราะหากมองมูลค่าของทุนอาจจะไม่ใช่แค่เรื่องตัวเงิน แต่อาจจะต้องรวมถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น เวลาที่หน่วยงานต้องรอคน แล้วไม่สามารถสร้างงานได้ ---> มูลค่าเท่าไหร่? นักศึกษาที่ต้องรออาจารย์แต่ไม่มีใครสอน เพราะกำลังผลิตไม่พอ ทำให้คนในระบบ ที่ต่อเนื่องจากมหาวิทยาลัยขาดแคลน หรือกลายเป็นบัณฑิตด้อยคุณภาพ ---> มูลค่าเสียไปเท่าไหร่? ถ้านำไปลงทุนกับหน่วยอื่นแทน ถ้าลงไปกับงานวิจัย หรือสร้างนักศึกษา ป.ตรี หรือระดับบัณฑิตในประเทศ เทียบเคียงกับทุนที่ใส่ลงไป ต่อหน่วย ---> มูลค่าเสียไปเท่าไหร่? ขั้นตอนการตัดงบประมาณ ส่งต่อ รอรับบุคคลากร ---> มูลค่าเสียไปเท่าไหร่? สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ หรือผลงาน ที่ได้สร้าง หรือสั่งสมประสบการณ์ช่วงรับทุนรัฐบาล แต่นำไปใช้ประโยชน์ หรือต่อยอดในภายหลัง ---> มูลค่าเสียไปเท่าไหร่? มูลค่าพวกนี้ ถ้าลองตีเป็นเงิน ผมว่าเกินกว่าการสินทดแทนแน่ ๆ แต่ถ้าผู้รับทุนตัดสินใจจะทดแทน กฏหมายก็ต้องปรับเอาเท่าที่นับจริงได้ น่าจะลองทำวิจัยดูว่ามูลค่าที่เทียบเคียงได้ สามารถนำมาใช้ในข้อบังคับทุนได้ไหม เมื่อปีที่แล้วมีรุ่นน้องมานั่งกลุ้มเรื่องสัญญาทุน เพราะพึ่งมานึกได้ตอนที่เซนต์สัญญาไปแล้ว ว่าต้องใช้ทุนอีกนาน (ก่อนเซนต์มัวแต่ดีใจ) ทางผู้ใหญ่ก็อัดมาว่าเอาเธอเอาภาษีไปใช้ ก็ต้องทำงานคืนประชาชน ต้องกตัญญูต่อชาติ ผมบอกน้องไปว่า อย่าเอาเรื่องนี้มากดดันตัวเอง ถ้ามันทำให้กังวล เรื่องเดียวกันมองคนละมุมแล้วสบายใจกว่าก็ควรทำ ให้คิดใหม่เสียว่าเราตัดสินใจไปแล้ว ต้องรับผิดชอบสิ่งที่ทำ แค่เปลี่ยนมุมมอง จากกดดันเพราะต้องกตัญญู --> รับผิดชอบเพราะเราตัดสินใจ การเซนต์สัญญาทุน ไม่น่ามองว่าเป็นสัญญาทาส เพราะมีก็มีค่าเท่ากับเซนต์สัญญาจ้างงาน แต่ต่างกันตรงนายจ้างของเรามีคนร่วมลงทุน มากกว่า 40 ล้านคน (คนเสียภาษี) หรือหันมามองสถานการณ์ปัจจุบัน ทางเลือกของคนเก่ง ๆ ในปัจจุบัน ก็มีมาก ปีนี้เฉพาะน้องป.ตรี ที่รู้จักกันตัดสินใจแบบนี้มากกว่า 5 คน เลือกที่จะหาทุนเรียนต่อด้วยทุนจากมหาวิทยาลัยและกองทุนต่างชาติ จะได้มีทางเลือกมากขึ้น จะกลับไม่กลับ ก็อีกเรื่อง อีกอย่างก็แฟร์ดี เอาทุนมหาลัยเรียนไป ก็เป็นคนของเค้า อยากทำงานให้เค้าก็ทำไป อยากกลับบ้านเมื่อไหร่ก็มา บางคนที่รู้จัก เก่งขนาดชี้นิ้วเอาว่าตัวเองอยากได้ทุนไหน ชอบน้องคนหนึ่งที่เลือกทุนจากไทยแบบให้เปล่า เพราะเค้าตั้งใจจะอยู่ทำงานต่อสักพัก ก่อนกลับมาทำงาน เพื่อจะได้มีประสบการณ์มาถ่ายทอดให้นักศึกษาฟัง และจะได้สร้างคนที่ทำงานร่วมกับคนในระดับนานาชาติได้จริง เพราะเห็นแล้วว่าอาจารย์หลายคน ยังขาดการเชื่อมโยงกับงานระดับอุตสาหกรรมระดับนานาชาติ แต่ส่วนตัว ขอยืนยันว่า ระบบส่วนมากในไทยหวังจะได้คนมาทำงาน มากกว่า เอาเงินมาส่งอีกหลายคนไปเรียน เพราะบ้านเรางานมันมากกว่าคน ส่วนเรื่องงานที่ชอบ... คิดว่ามันน่าจะเลือกได้นะครับ เลือกงานไม่ได้ ก็เลือกมองด้านดี ๆ ได้ อาจารย์ผมเคยบอกว่า เรื่องบางอย่างมันเป็นหน้าที่ จะเอาแต่ชอบไม่ได้ คุณคิดว่าที่อาจารย์ทำอยู่ทุกวันนี้มันสนุกหรือ ถ้ามันเป็นหน้าที่ คุณก็ควรจะทำให้ดีที่สุด เพราะทุกอย่างที่คุณทำมันมีผลกับคนอื่นเสมอ แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 51 21:00:30 แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 51 20:59:57 แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 51 20:08:49 จากคุณ : นักเรียนไทยในประเทศ (ปีย์) - [ 25 ก.ค. 51 20:07:11 ]

ความคิดเห็นที่ 86 คุณปีย์พูดได้ถูกใจผมมากๆ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 27 ก.ค. 51 03:19:33 ]

ความคิดเห็นที่ 87 มาอ่านเเล้วก็อดไม่ได้ อ่านเเล้วก็วนๆ เหมือนเดิม เอาเป็นจุดๆ คุณปีย์บอกว่าตีค่าทุน ให้ไปทำวิจัย นู่นนี้ ของคุณ ผมถามง่ายง่าย ที่พ่อเเม่เลี้ยงคุณมา กับทุนของประเทศ อันไหนมูลค่ามันเยอะกว่ากันเเล้วต้องตอบเเทนอันไหนมากกว่า ส่วนของคุณ time อะไรน่ะ ถ้าคุณมีความจำเป็นต้องออกจากทุน คุณบอกว่าคุณก็ไม่ว่า คือคุณมองคำถามผมเเคบไปครับ คุณจะรู้ได้อย่างไร ว่าคุณต้องใช้เงินในอนาคตเท่าไร่ ถ้าเกิดมีเคสเเบบที่ผมยกมาต้องใช้เงินสิบล้าน รักษา พ่อเเม่ ไม่ใช่ว่าคุณออกทุนวันนี้ พร่งนี้ คุณมีเงินจ่ายที่ไหนกัน สังคมทุนนิยม คุณมาเรียกร้องอะไรได้ ทุกคนก็ทำเพื่อเงิน เงิน เงิน เเละความพอใจ คนที่มีโอกาสดีกว่าก็ไปหมด มันคงมีน่ะคนที่เสียสละทั้งๆที่ไม่พร้อม เเต่ คงเป็นส่วนน้อยมากกๆๆๆๆๆๆ ทำไมไม่ทำให้คนที่มาทำงานใช้ทุน รู้สึกว่าเขาไม่ได้เสียสละอะไร ทำในงานที่ได้ผลตอบเเทนพอๆกับโอกาสอื่นๆ หรือมากกว่า มองเเค่เทียบผลตอบเเทนในประเทศมันก็ไม่เท่าเเล้วน่ะ ครับ ไม่ต้องไปมองถึงทำงานต่างประเทศหรอก โลกทุนนิยม คุณจะมาเรียกร้องให้คนไม่ต้องคิดถึงเงิน ซึ่งเงินหมายถึงความเป็นความตายของคนคนนั้นหรือคนที่เขารัก มันคงตลก น่ะ ครับ ผมก็อยากให้ทุกคนเป็นคนดี สังคมเสียสละ เห็นเเก่ส่วนรวม เเต่มันไม่มีหรอกน่ะครับ ถ้าฝันๆ ไปคงพอได้ ไม่เชื่อลองไปถาม หมอโรงพยาบาลเอกชนหรือรัฐก็ตามว่าถ้าคุณไม่มีเงิน เขาเเคร์ไหมว่าคุณเป็นใครเคยทำงานเพื่อสังคมอะไรบ้าง จากคุณ : XXX - [ 29 ก.ค. 51 01:59:25 A:125.24.128.107 X: TicketID:181900 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ในสังคมทุนนิยม ชื่อมันก็บอกน่ะครับ ไม่มีทุน(เงิน)ก็ไม่มีใครนิยมหรอกครับ ในกรอบคิดทุนนิยมวิธีการคิดของการให้ทุนมันผิดน่ะครับ คิดว่าให้ทุนไปเรียนเเล้วคนมันจะกลับมากลายเป็นนักบุญหรอครับ ที่จะยอมโง่จนอยู่ในขณะที่สังคมทุกคนคิดเเต่ว่าจะหาเงินอย่างไรให้ได้มากๆ จากคุณ : XXX - [ 29 ก.ค. 51 02:07:38 A:125.24.128.107 X: TicketID:181900 ]

ความคิดเห็นที่ 89 งันผมคงบอกให้คุณกลับมามีความสัทธาในความดีล่ะกันครับ ขอให้เชื่อว่า ความรับผิดชอบต่อหน้าที่และสังคม มันสามารถทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้นได้ ขอให้เชื่อว่าในสังคมเรามีคนแบบนี้อยู่ และก็ขอให้เชื่อว่า ตัวคุณก็สามารถเป็นคนๆนั้นได้ ส่วน model ที่ว่าหากพ่อแม่ป่วยต้องใช่เงินสิบล้าน หากคุณจะใช้ model นี้เป็นตัวชี้นำวิถีชีวิตของคุณ ผมไม่บอกแล้วกันว่ามันเหมาะสมหรือไม่อย่างไร แต่จะเปรียบเทียกับเหตุการณ์ง่ายๆ ว่าเหมือนคนที่กลัวเครื่องบิน เพราะคิดว่าถ้าเครื่องตกคงต้องตายแน่ๆ เลยชีวิตนี้จะไม่ขึ้นเครื่องบินไปไหน แต่มั่วแต่ติดกับความคิดในรูปแบบนั้นๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี ครั้งผมจะบอกให้เค้า มาขึ้นเครือง บินไปกับผมเถอะ ผมก็จะเจอคนนั้นถามกลับว่า โอกาสเครื่องบินตกมันนี่ใช่ไหมล่ะ ผมก็ตอบว่าใช่ ตกแล้วโอกาสตายสูงใช่ไหม ผมก็ต้องตอบว่าใช่ ดังนั้นคนนั้นก็บอกว่างั้นเค้าไม่ขอบินแล้วกัน เพราะโอกาสบินแล้วตายมันมี ผมก็ต้องบอกว่า ok นะ แต่ยังไงผมก็จะบิน จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 29 ก.ค. 51 02:34:55 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ดังนั้น model เรื่องคนกลัวเครื่องบิน น่าจะช่วยให้คุณคิดอะไรได้บ้างนะครับ ผมเห็นคุณเหมือนจะจดจ่อและมุ่งลงไปแต่สิ่งที่ตัวเองคิดและเชื่ออย่างมากมายจนเหมือนยึดติด ด้วยการที่บอกว่าผมมองคำถามคุณแคบไป เอาหละ งั้นผมขอพูดนอกประเด็นกระทู้ เพื่อที่จะ clarify คำถามคุณแล้วกัน ผมพูดแบบนี้แล้วคุณจะว่าอย่างไร นั่นคือ ถ้าคุณชีวิตคุณคิดแต่ว่าต้องรวยๆๆๆๆ คุณไปทำอย่างอื่นให้รวยก็ได้ไม่ง่ายกว่าเหรอ เทียบกับการเข้ามารับทุนแล้วลุ้นให้มี บ. มาซื้อตัวออกไป ??? คุณคิดว่าพวกที่มีความคิดที่อยากจะรวย แล้วจ้องมารับทุนเพราะพวกนี้มองทุนเป็นโอกาสได้ไปต่างประเทศ ไม่ใส่ใจเลยซักนิดว่าทุนเค้าเอาไว้ให้คนที่มีใจอยากกลับมาทำงานให้ประเทศ เป็นพวกที่ทำสิ่งถูกต้องเหรอครับ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! คุณสนับสนุนให้สังคมมีคนจ้องหาโอกาสแบบไร้ความรับผิดชอบแบบนี้เยอะๆเหรอครับ คุณสามารถตอบว่า ใช่ ได้เต็มปากไหมครับ ถ้าตอบไม่ได้เต็มปาก ผมก็จะถามคุณว่า แล้วคุณมาเถียงกับผมเพื่ออะไรกันแน่ เพื่อให้ผมไปสนับสนุนคนให้เห็นแก่ตัวกันมากขึ้นงั้นเหรอ  ขอให้คุณแสดงจุดยืนคุณตรงนี้ด้วยนะครับ คือผมสงสัยจริงๆ ผมบอกไปแล้วตั้งแต่ต้นๆเลยว่า คนที่มีความจำเป็นที่ต้องออกจากทุน ผมเข้าใจ!!!! แต่ผมไม่สนับสุน!!!  คำพูดตรงนี้ ไม่สามารถทำให้คุณเข้าใจความคิดผมได้หรือครับ ?????? หรือสุดท้ายแล้วคุณเพียงต้องการให้ผมพูดว่า  ....เอ้า!! ทุกคนมารับทุนไปแล้ว ได้ทุนแล้วก็เอาไปสร้างโอกาสไห้รวยๆๆๆกันนะ ไม่ต้องสนใจหรอกประเทศนี้ อยู่ไปก็มีแต่โง่จนตลอด ไม่ผิดหรอกไม่ต้องอาย....... ใช่ไหมครับ สรุปว่าผมขอให้คุณพูดให้เครียด้วยว่า คุณมาเถียงกับผมเพื่อให้ผมเปลี่ยนมุมมองอะไรตรงไหนอย่างไร ? สุดท้ายจริงๆ คือ มันจะไม่เหมือนวนในอ่างได้อย่างไร ก็คุณไม่ได้คุยต่อจากความเห็นเดิมเลย คุณเด้งไปยังจุดที่คุณยึดติดเองอีกแล้ว ดู คห ของผมที่ 84 ซิ ผมว่าเราคุยกันมาได้ไกลแล้วนะ ผมก็คุยกับคุณต่อเนื่องจากความเห็นคุณ แทนที่คุณจะคุยต่อ คุณกลับย้อนกลับไปจุดเดิมเองซะงั้น ทำให้ผมรู้สึกว่าผมโดนคุณปลักปลำทางความคิดยังไงยังงั้นเลย จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 29 ก.ค. 51 03:25:14 ]

ความคิดเห็นที่ 91 หลักๆ คือ สังคมทุนนิยม คุณมาเรียกร้องอะไรได้ ทุกคนก็ทำเพื่อเงิน เงิน เงิน เเละความพอใจ คนที่มีโอกาสดีกว่าก็ไปหมด มันคงมีน่ะคนที่เสียสละทั้งๆที่ไม่พร้อม เเต่ คงเป็นส่วนน้อยมากกๆๆๆๆๆๆ ในกรอบคิดทุนนิยม วิธีการคิดของการให้ทุนมันผิดน่ะครับ คิดว่าให้ทุนไปเรียนเเล้วคนมันจะกลับมากลายเป็นนักบุญหรอครับ ที่จะยอมโง่จนอยู่ในขณะที่สังคมทุกคนคิดเเต่ว่าจะหาเงินอย่างไรให้ได้มากๆ ทำไมไม่ทำให้คนที่มาทำงานใช้ทุน รู้สึกว่าเขาไม่ได้เสียสละอะไร ทำในงานที่ได้ผลตอบเเทนพอๆกับโอกาสอื่นๆ หรือมากกว่า เเค่เทียบผลตอบเเทนในประเทศมันก็ไม่เท่าเเล้วน่ะ ครับ ไม่ต้องไปมองถึงทำงานต่างประเทศหรอก เเถมอีกหน่อยมันไม่ใช่ โมเดลเเบบ ขึ้นเครื่องบินตก น่ะครับ เรื่องเงินเกี่ยวข้องกับชีวิตเราทุกอย่าง ความถึ่ในความเกี่ยวข้องมันเหมือนกับหายใจ น่ะครับ ส่วนความดีของคุณมันเหมือนกับเครื่องบินตกน่ะครับ นานๆเจอที่ ผมไม่สนับสนุนคนเห็นเเก่ตัวเเต่คุณห้ามคนไม่ให้เห็นเเก่ตัวไม่ได้ ถามตัวคุณเองเเล้วกัน คุณไม่เคยเห็นเเก่ตัวหรือ มองกว้าง คือ การเเก้ปัญหาทุกอย่างในสังคม ไม่ใช่การที่บอกให้ทุกคนเป็นคนดีเสียสละ เเล้วทุกคนจะเป็นคนดีเสียสละ มันง่ายเเละตลกไป เเล้วจะหาวิธิคัดคนรับทุนอย่างไรก็ตามก็ไม่ได้คนเเบบนั้นทั้งหมดหรอกครับ คนทุกคนมีพื้นฐานเห็นเเก่ตัวเองเเละพวกพ้อง ต่อให้ ให้ทุนพระไปเรียนที่ผ่านมาสึกเเล้วไม่กลับก็มี รัฐต้องมองปัญหาบนความเป็นจริง ที่เกิดขึ้นเเละเเก้โดยความเป็นจริง ถ้ากรอบคิดของรัฐยังเป็นเเบบคุณ ชาติหน้าประเทศมันก็ไม่พัฒนา (ในโลกทุนนิยม) ไปมองสิงค์โปร์ง่ายๆว่าทำไมเขาดึงคนเก่งทั้งโลกไปทำงานให้เขาได้ เขาใช้วิธีการที่คุณบอก หรือว่าเขาเข้าใจปัญหาว่าโลกมันเป็นทุนนิยมเเล้วก็เเก้ให้ตรงจุด ส่วนความเป็นจริงของประเทศ คือเงินเราน้อย ก็ทำเเบบนี้ เรามีทรัพยากรน้อยเราก็เลือกให้ความสำคัญเป็นด้านๆ ไป เหมือนกับที่เราคิดว่า ผู้พิกพากษา อัยการ เเละ หมอ สำคัญต่อการ พัฒนาประเทศ เราก็ให้เงินเดือนเขาสูงกว่าระบบราชการทั่วไป ไม่ใช่ให้ทุนเเบบเหวี่ยงเเห เเล้วหวังว่ามันจะกลับมาเป็นคนดีเสียสละ ร้อยเปอร์เซนต์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เงินที่เราให้ทุนเเล้วหายไปไม่กลับ เรามาทำให้ระบบการทำงานของคนรับทุนที่น้อยลงมันดีขึ้นจะดีกว่า ที่จะหวังว่าให้ทุนไปเยอะๆ เเล้วพยายามคัดคนดีเสียสละไม่เห็นเเก่ตัว ซี่งในความเป็นจริงทำไม่ได้ ถามง่ายๆ ในฐานะที่อ่านมาเห็นว่าคุณเรียนด้านชีวะ ถ้ารัฐบอกคุณว่าผมจะให้ทุนคุณทำวิจัยมากขึ้น ให้เงินเดือนในระดับเดียวกับเอกชนในประเทศ หรือคุณชอบให้รัฐบอกว่าเราขอให้คุณเป็นคนดีเสียสละ เราไม่ให้ทุนคุณทำวิจัยหรอก คนดีเสียสละอย่างคุณอยู่ในระบบสอนหนังสือไปเถอะ เเล้วเงินเดือนน่ะก็ไม่ต้องคิดมากคุณเป็นคนดีเสียสละ ไม่ต้องเอาเงินเดือนยังได้เลย อันไหนคือการเเก้ปัญหาอันไหนคือการสร้างปัญหา จากคุณ : XXX - [ 29 ก.ค. 51 11:05:14 A:125.24.117.169 X: TicketID:181900 ]

ความคิดเห็นที่ 92 อ่านที่ผมเขียนผมไม่ได้พูดถึงคำว่ารวยสักคำ มองภาพกว้างๆ หน่อย ปัญหาระบบราชการไทยลองไปดูซิว่า คนที่ทำอยู่เเล้วได้เงินน้อยกว่าเอกชนน่ะเพราะเขาเป็นคนดีเสียสละหรือไม่มีทางไป คนที่มาเป็นครูโรงเรียนสมัยนี้เพราะว่าเขาเสียสละ หรือ ว่าเอนท์อย่างอื่นไม่ติด ลองไปดูการเออรี่รี่ไทร์ได้ คนที่ออกคือคนที่มีทางไป คนที่อยู่คือคนที่รัฐอยากให้ออกเเต่ไม่ออก ทำไมพวกบริหารงานรัฐมองเเค่นี้ไม่ออกว่าระบบมันมีปัญหา กรอบความคิดของรัฐมันเพี้ยน ไม่อยู่บนความเป็นจริง หลอกตัวเองไปวันๆหรือเปล่า เราต้องการให้มีประสิทธิภาพ ต้องการคนเก่ง เเต่เราจะให้ผลตอบเเทนเขาน้อยๆ โดยหวังว่าเราจะได้คน เก่ง ดี เสียสละ ตื่นๆได้เเล้วน่ะครับ คนอย่างนี้มันจะมีสักกี่คน พวกที่นั่งบริหารก็ได้เงินเดือนมากมาย เงินเพิ่มตำเเหน่งนู้นนี่ ลองให้มารับเงินเดือนเเบบ ราชการทั่วไป จะยอมไหม ผมมาพูดเเบบ เนี่ยเพราะผมเคยรับราชการเเล้วเคยมาทำเอกชน มีคนที่รู้จักรับทุนด้วย ยังไงๆ ผมก็รักประเทศนี้เเละอยู่ประเทศนี้ไปจนตาย ลูกหลานญาติพี่น้องก็คงอยู่ที่นี้เป็นส่วนใหญ่ อยากให้คนเห็นปัญหาบนความเป็นจริงเเละมองหาทางเเก้บนความเป็นจริง ถ้ารัฐยังมองเเบบคุณ ผมว่าเราก็คงย่ำอยู่กับที่ ทางเเก้ปัญหามันไม่ใช่ว่าจะให้ทุกคนเป็นคนดีเสียสละ มันเป็นไปไม่ได้ จากคุณ : XXX - [ 29 ก.ค. 51 13:46:51 A:125.24.171.81 X: TicketID:181900 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ในฐานะที่คุณเป็นนักเรียนทุน (ผมเดาๆจากที่พูดคลับคลัายคลับคลาว่าเป็นน่ะ) คุณอยากให้รัฐทำให้ระบบ การทำงานผลตอบเเทนดีขึ้น ทุนวิจัย มากขึ้นอย่างทั่วถึง ไม่มีระบบเส้นสาย หรือคุณต้องการให้รัฐใช้ คำว่าคุณรับทุน คุณต้องเป็นคนดี เสียสละ กตัญญูต่อประเทศ รักชาติ ฯลฯ เเล้วรัฐก็ลอยตัวเหนือปัญหา ไม่ต้องคิดกระตือรื่อร้นในการเเก้ปัญหา ปล่อยมันไปเป็นอย่างนั้นหรือ จากคุณ : XXX - [ 29 ก.ค. 51 14:00:21 A:125.24.171.81 X: TicketID:181900 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ผมพอเข้าใจในจุดประสงค์ของการแสดงความเห็นคุณแล้ว แต่คุณยังไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูดเลย   อืม........... คุณวาดให้ผมเป็นคนในรูปแบบสุดขั้วตามความคิดของคุณ ดังนั้นการ response ของคุณต่อประเด็นของผม โดยเฉพาะการวิจารณ์เกี่ยวกับแนวคิดผมจึงไม่ตรงเท่าไหร่ อย่างที่บอก และจะยืนยันอีกครั้งว่า ผมเข้าใจคุณ และเข้าใจคนที่มีความจำเป็นที่ออกจากทุน ถึงตอนนี้ผมเชื่อเลยว่า ผมเข้าใจคุณ แต่คุณไม่เข้าใจผม นั่นก็เพราะคุณมีความเชื่อของคุณอย่างเหนียวแน่น จะไม่พยายามเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด แล้วการแสดงความเห็นคุณก็มีความขัดแย้งในตัวเองเป็นอย่างมาก เช่น model เครื่องบินตก ผมว่าคุณก็เกือบจะเข้าใจมันแล้ว ที่คุณพูดเรื่องความถี่ของเหตุการณ์นี้ว่ามันต่ำมากๆ คุณเข้าใจดีเลยนี่ครับ แต่แล้วทำไมคุณถึงได้ตั้ง model ที่ว่าหากทางบ้านจำเป็นต้องใช้เงิน 10 ล้านเป็นค่ารักษาพยาบาล อืม....นะ ไม่อธิบายต่อแล้วกัน แต่ผมต้องขอให้คุณคิดให้ดีๆ แล้วกัน แล้วขอให้มองกว้างๆ คุณจะเห็นทุกอย่าง และเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อกับคุณมากขึ้น อีกประเด็นที่คุณสับสน แล้วก็ชัดเจนเลยว่า คุณเถียงกับผมโดยยึดในความคิดว่าผมเป็นคนสุดขั้ว ประเด็นที่ว่าผมขอให้คนมีความรับผิดชอบอย่าเห็นแก่ตัว แล้วกลับมาย้อนถามผมว่าผมก็ต้องมีความเห็นแก่ตัวเหมือนกันนั่นแหละ ผมคงตอบคุณว่าใช่ครับผมก็เป็นคนเห็นแก่ตัว แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณจะใช้คำพูดนี้เป็นการโต้เถียงของคุณ ผมเข้าใจว่าคุณน่าจะเข้าใจของกรอบความพอดีด้วย!!! ดังนั้นประเด็นนี้ คุณจะเถียงแบบสุดขั้วไปทำไมกันครับ ก็ในเมื่อ ผมเองนักเรียนทุน และเพื่อนๆผมอีกหลายๆคน เป็นคนที่รับผิดชอบมากพอ หรือมีความเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าเกลียด โดยเรารู้ว่าเรารับทุนเค้ามาแล้ว เราต้องรับผิดชอบในหน้าที่นี้เอาไว้ ไม่ละทิ้งโดยไม่จำเป็น !!! แล้วการที่ผมเป็นคนรับผิดชอบแบบนี้ ก็ไม่ได้แปลว่า ผมไม่ได้อยากจะลำบาก หรือผมไม่สนใจเรื่องการหาเงิน ผมสนครับ แต่ผมจะทำอะไรอยู่ในความพอดี และความไม่น่าเกลียด ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ซึ่งผมเป็นคนแบบนี้ ผมจะสอนลูกแบบนี้ ผมจะบอกเพื่อนๆและสังคมแบบนี้แหละครับ ดังนั้น เอาอีกแล้ว model สุดขั้วของคุณมาอีกแล้ว เรื่องเงินทุนวิจัยกับการเสียสละ อะไรอีกเนี่ย ก็คงขอร้องให้คุณทำความเข้าใจข้อความของผมจริงๆก่อนแล้วกัน เพราะการที่คุณเอา model ใหม่นี้มาพูด แปลว่าคุณไม่เข้าใจอะไรๆที่ผมสือสารแล้ว อืม อีกเรื่อง คุณบอกเองเลยว่า หมอ เป็นพวกที่รัฐเห็นความจำเป็น จึงให้เงินเดือนเยอะ นี่คุณพูดเองนะ ดังนั้นแล้วหมอที่หนีออกระบบก่อนเวลาเพราะอยากได้เงินที่เยอะกว่า นี่แปลว่าอะไรเหรอครับ ???? ผมก็มองได้ 2 แบบ คือบางคนมีความจำเป็นจริงๆเรื่องเิงิน ซึ่งผมเข้าใจ และอีกแบบพวกเห็นแก่ตัวและโลภไงครับ ซึ่งพวกนี้ เราควรตำหนิครับ ถ้าเราจะมาเถียงเพื่อสร้างความชอบธรรมให้พวกที่โลภ ผมว่าเราเองหรือเปล่าที่กำลังจะทำให้สังคมบิดเบี้ยว สรุปอีกทีนะครับ แล้วขอให้อ่านอย่างละเอียดด้วยว่า ผมพูดในกรอบของผมซึ่งคือคนได้รับทุน ผมไม่ได้พูดในกรอบของการแก้ปัญหาของรัฐ ดังัน้นเอาแนวคิดผมตรงนี้ไป apply กับรัฐไม่ได้เลย ผิดครับ  แล้วผมก็ไม่เคยเสอน solution ใดๆให่แก้รัฐในนี้เลยนะครับ และในกรอบของนักเรียนทุน ผมก็จะพูดว่า เราควรมีความรับผิดชอบในหน้าที่ และไม่ควรละทิ้งโดยไม่จำเป็นครับ นี่คือกรอบหรือ notion ของผมครับ อันนี้ FYI ครับ ก่อนที่ผมจะมารับทุน ผมก็ทำงานในราชการมาก่อนถึง 7 ปี (คิดว่านานพอจนเข้าใจความจริงที่ใครๆพูดในนี้ ซึ่งพูดกันไปเองจริงบ้างมั่วบ้าง ก็ช่างเพราะไม่ใช่ประเด็นหลักของกระทู้ ผมก็ปล่อยผ่านไปไม่ได้ไปแก้ไข) ผมเลือกที่จะเป็นอาจารย์สอนหนังสือเองเลยครับ ไม่ใช่ไม่มีที่ไป (อย่างที่คุณเข้าใจไปเองแบบสุดขั้ว) และในกรอบนี้ ผมบอกว่าผมทำได้ ผมเลือกทำอะไรๆให้ประเทศได้บ้างตามความเหมาะสม โดยที่ผมไม่เดือนร้อน แล้วไม่ใช่ผมคนเดียวที่ืำทำได้แบบนี้นะครับ มีหลายคนมากๆเลยครับ แต่คุณคงยังไม่เคยเจอ ถ้าคุณได้เจอคนแบบนี้ ผมว่าคุณจะได้แรงบัลดาลใจครับ ให้อีกตัวอย่างของคนที่ไปครูบนดอย ที่คุณหาว่าเค้า entrance ไม่ติด ไม่มีทางเลือก (อันนี้ก็สุดขั้ว) เพื่อนคนนึงจบ Phd Computer engineering จากเยอรมัน ที่บ้านฐานะดี แต่พอมันจบมากลับมาไทย มันบอกว่ามันอยากสอนเด็นต่างจังหวัด มันมีความคิดว่า ชีวิตมันสบายได้โอกาสมาเยอะแล้ว มันอยากให้ชีวิตมันเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นที่มีโอกาสน้อยกว่าบ้าง ตอนนี้มันก็ไปเป็นครูดอยที่แม่ฮ่องสอนมา 5 ปีแล้วครับ สรุปตรงนี้ ถ้าคุณมีโอกาสทำดี ก็ทำเถอะครับ มันได้บุญ แต่ถ้าไม่มีโอกาสแบบนั้น ขอแค่เราควบคุมความโลภ ความเห็นแก่ตัวให้อยู่ในระดับไม่น่าเกลียด แค่นี้สังคมก็น่าอยู่ครับ ปล. ทั้งหมดนี้ถือว่า เล่าสู่กันฟังแล้วกันครับ ไม่ได้เจตนาให้คุณเปลี่ยนแนวคิดใดๆ และยินดีที่ได้คุยกันครับ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 29 ก.ค. 51 15:53:22 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ผมว่า คุณไม่เข้าใจผมมากกว่า น่ะ ครับ คุณมองปัญหาว่าเกิดเพราะบุคคล เเต่ ผมมองว่าปัญหาเกิดเพราะระบบ คนทั่วโลกเหมือนกัน ในประชากรใดๆ ย่อมมีคนดีไม่ดีปนกัน มีคนที่เสียสละให้ส่วนรวมมากคนที่เสียสละน้อย คนที่วัตถุนิยมมาก วัตถุนิยมน้อย เเปรผันไปตามเเต่ละประเทศ เเต่อัตราส่วนคงไม่เเตกต่างกันมากมาย เเต่ทำไมบ้างประเทศมีคนเก่งๆ คนมีความสามารถมาทำงานให้รัฐ เเต่ในบางประเทศอย่างไทยเราคนเเบบนั้นมีน้อยเต็มที มันเป็นที่คนไม่ดี หรือ ระบบไม่ดี คนเเบบที่คุณว่าคงมีในทุกประเทศ การเเก้มันไม่ได้เเก้ได้โดยการบอกให้ทุกคนเสียสละ เป็นคนดี ไม่เห็นเเก่ตัว สิ่งที่คุณทำมันเปล่าประโยชน์ เเต่ผมไม่ได้บอกให้คุณไปชมคนที่ออกจากทุน เเต่ผมอยากให้มองจริงๆที่ปัญหาเเล้่วช่วยกันกดดันรัฐให้เกิดการเปลี่ยนเเปลง เเละผมยังขอสนับสนุนให้ นักเรียนทุนลาออกจากทุนตราบใดที่รัฐไม่สนใจเเก้ปัญหาระบบราชการอย่างจริงจัง มันเป็นสิ่งนึง ที่รัฐจะได้มองย้อนดูตัวเองบ้าง จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนเเปลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็จะเป็นผลดีต่อส่วนรวมเสียอีกในระยะยาว เรื่องเครื่องบินตกผมหมายความว่า เรื่องที่ยกตัวอย่างเรื่องเงินสิบล้านน่ะผ มไม่ได้หมายความว่าเเค่นั้น ผมยกเเค่ที่สุดโต่งเเต่ในความเป็นจริงทุกอย่างในโลกทุนนิยมมันเกี่ยวกับเงินตลอดเวลาเหมือนหายใจเข้าออก เช่นถ้าคุณใช่ประกันสังคม ยาเเก้อักเสบที่ได้ก็จะห่วยกว่าจ่ายตังเอง หรือถ้าคุณขับรถเก่าๆ โอกาสเกิดอุบัติเหตุเป็นอันตรายถึงชีวิต ก็มากกว่า เเต่เรื่องความดีการเสียสละน่ะมันเหมือนเครื่องบินตก นานๆ จะเจอ เช่น หมอที่มาถามว่าคุณทำงานอะไรมีเงินจ่ายไหม ถ้าคุณทำงานให้สังคมคุณก็ไม่ต้องจ่ายเต็มหรือจ่ายเเต่ค่ายา ชาตินี้คุณจะเคยเจอเเบบนี้ไหมครับ มันเหมือนเครื่องบินตกน่ะ ไม่มีหรอกครับ นั่งเครื่องทั้งชาติอาจไม่เจอตกก็ได้ ยินดีที่ได้คุยเเลกเปลี่ยนความเห็นกันครับ จากคุณ : XXX - [ 29 ก.ค. 51 16:39:31 A:125.24.171.81 X: TicketID:181900 ]

ความคิดเห็นที่ 96 Very long discussions and arguments on this never-ending issue. :) As a used-to-be scholarship awardee who is working as a civil officer in Thailand, I am still happy to do it and will continue to do it. For those awardees who determine to join the club, I must welcome all of those.... Anyway for those who want to leave, no offense, there are choices that you guys can choose. IMHO, paying back as said in the contract is the fairest way to do it for all parties involving in this controversial affair. Hmmmm, life always has a sharp turn from time to time krub.... You and me or neither one of us could foresee the future though.... But responsibility is one major factor that all of us have to keep in mind. จากคุณ : amatuer translator - [ 2 ส.ค. 51 12:15:03 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ตอนยังไม่ได้เรียน ป.เอก จะหาเงินไปเรียนนั้นแสนยาก พอได้ทุนไปเรียนจนสำเร็จการศึกษาแล้ว ด้วนวุฒิ ป.เอก ที่รัฐสงสัยเสียเรียน สามารถนำมาหาเงินคืนได้แสนง่าย ฮาๆ ผมพึ่งรู้น่ะครับเนี้ย ว่าเดิ๋ยวนี้เงินมันซื้อเวลาได้ด้วย #22 แล้วไม่คิดบ้างเหรอครับว่า คนที่จบกลับมาแล้ว สามารถสอนเด็กได้อีกเป็นร้อยเป็นพันคน ในช่วงเวลา ห้าปีที่ส่งคนใหม่ไปเรียนแล้วก็มาลุ้นว่ามันจะโดดทุนตอนจบแล้วหรือไม่ ฮาๆ คนเราย่อมมองที่ผลประโยชน์ตััวเองก่อนเสมอ ตอนยังไม่มีเงินได้ทุนไปเรียนนี้ดี้ด้า ไม่มีใครเอาปืนจ่อหัวให้ไปก่อไปกัน พอจบแล้ว มีโอกาส มีช่องในชีวิตเพิ่มขึ้น ก็ชิ่งซิครับ จะกลับมาให้โง่ทำไมจริงไหม????????? กระทู้นี้แสดงให้เห็นว่า การศึกษาพัฒนาความสามารถคนได้ แต่ไม่เคยพัฒนาจริยธรรมและความรับผิดชอบแต่อย่างใด ปล. พี่ A.T. ก็เอากับเค้าด้วยเหรอกระทู้นี้ ปล.2 ผมไม่ได้รับทุน กพ. น่ะ เพราระรู้สึกว่าทันมันไม่คุ้มก็เลยไม่รับ ให้คนที่เค้าจะกลับมาจริงๆรับไปดีกว่า จากคุณ : kanoomtan - [ 2 ส.ค. 51 13:23:11 ]

ความคิดเห็นที่ 98 I saw someone mentioning about this thread in the Graduate Lounge.... Well, curiosity always kills a fAT cAT, so here I came! :) จากคุณ : amatuer translator - [ 2 ส.ค. 51 14:02:58 ]

ความคิดเห็นที่ 99 ถ้าวันนี้นักเรียนทุนพากันทำแบบคุณหมด ทิศทางและอนาคตของประเทศจะเป็นอย่างไร? เป็นคำถามที่มัน  extreme เกินไป  และคิดว่าคงไม่มีวันเกิดขึ้นแน่นอน เพราะยังมีคนที่มีอุดมการณืแรงกล้าอย่างคุณ TimeS-To-Enjoy อยู่หลายคน นี่เท่าที่ดูจากคนตอบกระทู้นี้เท่านั้นนะ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  ดิฉันว่าระบบของรัฐมันต้องมีอะไรที่ผิดปกติอย่างมาก และความผิดปกตินั้นคงจะถูกสังเกตเห็นได้ก่อนที่จะมีวันเกิดขึ้นจริง   และผู้บริหารประเทศก็จะต้องหาทางป้องกันไม่ให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้ เห็นว่าเจ้าของกระทู้เธอเล่นตามเกมส์   เรื่องคุณธรรมจริยธรรมมันเป็นอะไรที่ abstract เอาการอยู่ เพราะฉะนั้นจึงเอาเรื่องพวกนี้มาเป็นบรรทัดฐานได้ยาก เอาแค่เล่นตามกฏ สังคมก็น่าอยู่ใช้ได้แล้ว จากคุณ : PaMouth - [ 2 ส.ค. 51 20:49:18 ]

ความคิดเห็นที่ 100 อ่านไม่หมด ยาวมาก แต่ขอแสดงความเห็นนะครับ ขอออกตัวว่าค่อนข้างจะแตก9jงกับคนอื่นเสียหน่อย ถามว่าคิดอย่างไร กับนักเรียนทุนที่ชดใช้เงิน ตอบว่า เฉยๆครับ ว่าเค้าอะไรไม่ได้เลย และทางด้าน ethics เค้าไม่ผิดครับ ตราบใดที่เค้าไม่โกง และเค้าทำตามสัญญาที่ว่าไว้ เค้าไม่ผิดครับ ทั้งด้านกฏหมาย และจริยธรรมครับ ตอบคำถามคุณ Times-To-Enjoy ถ้าวันนี้นักเรียนทุนพากันทำแบบคุณหมด ทิศทางและอนาคตของประเทศจะเป็นอย่างไร คาดเดายากครับ เพราะว่าผมไม่มีตัวเลขจำนวนนักเรียนทุน และไม่ได้อ่านแผนพัฒนาบุคลากรของราชการไทย อีกทั้งตัวเองมิได้เป็นนักเรียนทุนกอพอแต่อย่างไร (เคยได้รับข้อเสนอ ตอนจบมอหก) แต่ขอเดาครับ ว่าคงทิศทางของประเทศ คงไม่ไปไหนครับ คงแย่ครับ ประเทศไม่มีบุคลากรดีๆครับ ----------------------------------------------------------------- จากนี้ไป ผมขอคอมเม้นเพิ่มนะครับ คอมเม้นที่หนึ่ง ถ้าถามผม ว่า เรื่องอย่างนี้ โทษใครดี ผมไม่โทษนักเรียนทุนที่คิดจะชดใช้ทุน แล้วโทษใครล่ะ ? ตอบตรงๆ ผมโทษกอพอครับ! ออกแบบสัญญาอย่างไรให้คนออกกันได้? ตัวเองเป็นคนทำสัญญาเองทั้งหมด ยื่นให้นักเรียนเซ็น แล้วพอนักเรียนทำตามสัญญาทุกอย่าง เราโทษนักเรียนไม่ได้เลยครับ นายจ้าง ลูกจ้างที่ไหน จะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน มันเป็นคอมมอนเซ้นส์มากๆ ว่านายจ้าง ต้องออกแบบสัญญาอย่างรัดกุม ลูกจ้างก็ต้องอ่านสัญญาอย่างถี่ถ้วน เพราะงั้น กอพอก็เหมือนกันครับ เป็นนายจ้าง ก็ต้องไปพิจารณาใหม่แล้วครับ ว่าจะออกแบบสัญญายังไง ให้คนเค้าไม่สามารถจะชดใช้ทุนได้ง่ายครับ คอมเม้นที่สอง ผมว่าสังคมไทยยังยึดตัวบุคคลมากกว่าระบบครับ ในความเห็นของผม สังคมไทยกำลังคิดผิดครับ เราหวังแต่หว่า เมื่อไรจะมีคนดีขึ้นมาบริหาร เมื่อไรเราจะมีคนดีมาช่วยชาติ เมื่อไรทักเรียนทุนจะมีสำนึกต่อชาติของเรา ผมว่าความคิดเช่นนี้ นำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างไม่ยั่งยืนครับ ถ้ามีคนดี มาบริหารประเทศ ประเทศจะเจริญ ตรรกกะอันนี้ถูกต้องครับ แต่ผมคิดว่า คนดีอย่างนั้น มีอยู่ไม่มากมายนักครับ แล้วคนดีขนาดนั้น เค้าจะมีโอกาส ได้ขึ้นมาบริหารประเทศหรือครับ? แล้วถ้าเค้าได้ขึ้นมาจริง คนน่ะ ก็มีกิเลสนะครับ เค้าจะเป็นบุคลากรที่ดี ซื่อสัตย์ตลอดไป แม้มีตำแหน่งและเงินทองแล้วตลอดไปหรือไม่ อันนี้เราไม่มีทางรู้หรอกครับ แล้วคนน่ะ ยังไงก็ต้องตายครับ เค้าตายแล้ว จะมีคนดีๆมาสานงานต่อหรือไม่ เราก็ไม่รู้หรอกครับ เพราะงั้น ผมคิดว่า ถ้าเราหวังแต่ว่า จะให้คนดีๆมาร่วมมือกัน ให้นักเรียนทุนทั้งหมด มีจิตสำรึกที่ดี ประเทศชาติจะได้เจริญ ผมว่า ความคิดเช่นนี้นำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างไม่ยั่งยืนครับ แล้วอย่างไหนจะยั่งยืน ผมตอบว่า เราต้องหัดยึดระบบ มากกว่าตัวบุคคลครับ กฎหมายมีิอย่างไร ว่าตามนั้น สัญญามีอย่างไร ว่าตามนั้น กฎหมายยังไม่รัดกุม ปล่อยให้คนเลี่ยงกฎหมายได้ เราก็ต้องไปแก้กฎหมายครับ ถ้าสัญญาไหน ที่ยังไม่รัดกุม เราก็ไปแก้สัญญานั้นๆครับ ตัวอย่างง่ายๆ สัญญาทุนไงครับ ถ้ายังไม่ได้ผล นักเรียนทุนขดใข้ทุนแทนการทำงานกันเยอะ ก็ต้องไปคิดสัญญาใหม่แล้วครับ ถ้าสัญญาที่แก้มาแล้ว มีผลบังคับใช้ ทำให้คนไม่สามารถชดใช้ทุนกันได้ง่ายนัก ผมว่า เราจะสามารถใช้สัญญานี้ได้อีกหลายสิบปีเชียวครับ แต่ถ้ารอให้นักเรียนทุนมีจิตสำนึก เวลาเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน คนเปลี่ยนครับ วันนี้ เราอาจจะมีนักเรียนทุน ที่มีจิตสำนึก แต่ผ่านไปอีกสิบปี มันจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ไม่มีใครบอกได้เลยครับ คอมเม้นที่สาม แล้วทำอย่างไร เราจะแก้กฎหมาย แก้สัญญาเพื่อให้ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศชาติได้อย่างยั่งยืน ผมตอบไม่ได้ครับ จบแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 51 23:26:43 จากคุณ : บุ้ง (B Oprysk) - [ 2 ส.ค. 51 23:12:21 ]

ความคิดเห็นที่ 101 Dear K... I am (hopefully) also an economist and a mathematician. Your opnion is very close to mine. จากคุณ : บุ้ง (B Oprysk) - [ 2 ส.ค. 51 23:35:25 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ไม่มีความรู้พอที่จะตอบกระทู้ จขกท ค่ะ แต่ประเด็นที่ตามมามีความเห็นตามคุณบุ้งและ Pamounth ค่ะ......ระบบสำคัญมาก อย่ายึดตัวบุคคล เพราะฉะนั้นทุกอย่างจะดีหรือเลว ต้องให้ระบบเป็นตัวคุม อย่าคาดหวังว่า คนที่เป็นแบบนี้ ตำแหน่งแบบนี้ ต้องเป็นคนจริยธรรมสูงส่ง ต้องคิดหรือทำแบบนี้ ดิฉันเชื่อว่ ไม่มีใครดี 100%   เจ้าของกระทู้ ถือว่าปฏิบัติตามกฏ มีสิทธิ์ถามในนี้หรือไม่    มีสิทธิ์ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะตอบหรือไม่ตอบ ได้หรือไม่    มีสิทธิ์ตามวิจารณญาณของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ดิฉันว่า ความคิดเรา ไม่มีผิดหรือถูก ตราบที่มันยังเป็นความคิดเรา ขอให้ทุกท่านโชคดีนะคะ จากคุณ : ดวงเด่นเดือน (ดวงเด่นเดือน) - [ 3 ส.ค. 51 03:01:24 ]

ความคิดเห็นที่ 103 NO. 101 Thank you that you agree with my opinion. I think most people think on the basis on their ego or bias rather than think on the basis of reasons, logic, academics, and law. จากคุณ : .... - [ 3 ส.ค. 51 05:22:30 A:161.130.224.6 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 104 Additional comments: As I understand, Thailand sent students (scholarship, etc) to study aboard since King Rama V. However, until now why Thailand is still the same, even its objective to develop country. When comparing with China, Hong Kong, South Korea, etc. I did not see those students from those countries would receive money from their counties. They come by themselves. If this method is correct, why Thailand is still the same or only a little bit better, whereas those countries go ahead of Thailand. Why???? จากคุณ : .... - [ 3 ส.ค. 51 05:41:23 A:161.130.224.6 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 105 Dear k. ..... , Your argument may not be strictly correct, IMHO. When King Rama V reigned Siam. If I am not mistaken, Siam merely had any basic infrastructure for its people. Even the crown prince deceased as a result of chlorela infection, which nowadays can be cure for almost 100% of the cases even in the most remote area of the kingdom. In those days, life expectancy was lower than 45 years old. As far as I am concerned, we have more than 65 years of life expectancy, not to mention any other parameters in health, economics and social affairs. Well, your points were well taken at least in one aspect though. Comparatively, we lack behind many other Asian countries.... I don't think that we need an Einstien to answer the question, it's quite no brainer actually... It's apparent in our society, isn't it? With this imminent problem, another 1,000 people like k. Times-to-Enjoy won't make any change in a near future or even in his life time. But I delightfully welcome him to do what he has determined to do as well as any others. At least, you know, one more good willful effort may inspire many others. It may be a pure conjecture based on hope. However, hope is what brings and ulholds the entire humanity up to today, isn't it? However, I respect people's thoughts... There should be something reasonable as a determinant resulting in difference in decision among a group of people. I would not dare to judge those who think otherwise. For the thread's owner, she (right?) has her own reasons to do or not to do for her own life. It's not my business nor any others to intervene. Anyway, laws and rules adhere one society together. So, we are all adults, right? Based on this basic assumption, we should take it like one. :) แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 51 08:56:06 จากคุณ : amatuer translator - [ 3 ส.ค. 51 08:49:12 ]

ความคิดเห็นที่ 106 K. Amatuer, Thank you for your information. The main point I want to focus is that Thai gov use the incorrect method to develop country (develop human resouce by giving those shoalarship), since it distort economic resouce and cause a lot of following problems, i.e. labor market (monopolistic labor market). I know you or K.Time wound not understand the logic that I told. Therefore, I raise those countries as the simple example why they do not give money to their people to study aboard. จากคุณ : .... - [ 3 ส.ค. 51 09:29:59 A:128.206.96.13 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 107 Dear K. ...., As a mathematician in biology, I think I know what you meant mathematically. Although, maybe my knowledge is a bit narrow. Please correct me, if I am wrong.... but, in South Korea as well as Singapore, these governments have provided this similar kind of scholarships.... They called these people as "the chosen ones". In all mathematical scenarios, there are several critical points in one model which ones can intervene, depending on underlying thoughts or assumptions or belief. So, if you may, please provide me such appropriate interventions within our existing scenario. I don't mind if you have to extend your explanation or knowledge using Monte Carlo simulation or stochasticity or anyt mathematical tools you've been using. I think I can handle most of them. Personally, without any mathematical proof, I was raised and born to think liberally as a socialist..... Thus, I still believe that scholarship system (under modified conditions) can still do some good for this country. There are some living proofs on that.... Don't you think? Well, to your credit, ensuing problems like you said do truly exist.... That's true, admittedly... But I can live with all of those. :) แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 51 10:22:35 แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 51 10:10:54 จากคุณ : amatuer translator - [ 3 ส.ค. 51 10:06:58 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ขออนุญาตหยิบประเด็นนี้มานะคะ "โอกาสที่ใครสักคนหนึ่งจะไ้ด้ทุนจากรัฐบาลไปเรียนต่อที่สูงขึ้นก็ไม่ได้จะได้มาง่ายๆ แสดงว่าเขาคนนั้น คงจะมีความสามารถมากกว่าคู่แข่งอีกหลายคน" 1. บางครั้งก็งงและสงสัยกับการจัดการของทุน กพ และทุนกระทรวงต่างๆเช่นกันค่ะ ได้รู้จักคนคนหนึ่ง ได้ทุนอยู่แล้ว แต่ทุนนั้นให้ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าทุน กพ ไม่กี่ร้อยเหรียญ คนคนนี้บอกว่ามีการวิ่งเต้นนิดหน่อย สุดท้ายได้ทุน กพ มา ไม่มีการสอบ สัมภาษณ์ ใดๆทั้งสิ้น บุคคลนี้กระทำดังกล่าวเพื่อให้ตนเองได้ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น มากกว่าทุนแรกที่ตนเองนั้นได้รับมา เมื่อรับรู้เรื่องดังกล่าวทำให้รู้สึกว่าบางครั้งเรื่องของเส้นสายก็เคยไม่จางหายไปในระบบข้าราชการไทย 2.ได้พบเจอนักศึกษาบางคนที่ได้รับทุน กพ มีโอกาสได้ทำ postdoc แต่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากทางทุน กพ ไม่อนุญาต ตนเองนั้นเคยมีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ กพ เช่นกันเมื่อไม่นานมานี้ว่า หากนักเรียนมีโอกาสได้ทำ postdoc ต่อสักปีสองปี จะทำได้หรือไม่ ? คำตอบคือไม่ได้....ต้องกลับหลังจากเรียนจบ ในขณะเดียวกันได้ไปอ่านเจอ website ของนักเรียนไทยในอเมริกา มีการเชิญเจ้าหน้าที่ กพ มาพูดคุยและระบุว่านักเรียนทุนสามารถทำ postdoc ได้แต่ต้องทำให้ประเทศที่ตนเองเรียนอยู่ห้ามเปลี่ยนประเทศ โดยสามารถให้ทำได้หนึ่งปี เมื่อได้รับข้อมูลมาแบบนี้หรือรู้สึกสับสนกับมาตราฐานของทุน กพ ว่าความยุติธรรมและความชัดเจนในการจัดการนักเรียนทุนที่เรียนในแต่ละประเทศแตกต่างกันอย่างไร อยากให้ทาง กพ มีการจัดการระเบียบตรงนี้ออกมาให้ยุติธรรมและชัดเจนกับนักเรียนที่เรียนในทุกๆประเทศ จะให้ทำ postdoc หรือไม่ให้ทำหรือให้ทำก็ระบุให้ชัดเจนเหมือนๆกัน ไม่ใช่แต่ละประเทศมีมาตรฐานแตกต่างกันไป บางครั้งความไม่ชัดเจนบางอย่างอาจทำให้นักเรียนทุนบางคนรู้สึกไม่ดีเล็กๆและเป็นเหตุของการหนีทุนได้ คิดเหมือนกับที่คุณบุ้งเสนอไว้เรื่องกฎความชัดเจนของทุนค่ะ 3. กรณีนักเรียนขอชดใช้ทุนไม่ว่าจะทำงานไม่ครบตามวาระหรือไม่กลับไปชดใช้ทุน สำหรับตนเองนั้นมีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับคุณบุ้งว่ารู้สึกเฉยๆกับคนที่ชดใช้ทุน และรู้สึกแย่กับคนที่หนีทุน อย่างไรก็ตามในกรณีของการชดใช้ทุน อยากให้ผู้ชดใช้ทุนมีความรับผิดชอบในการชดใช้ทุนให้หมดสิ้นก่อนที่ตนเองจะออกจากวงจร กพ ค่ะ ไม่อยากให้มีการแบ่งจ่ายใดๆทั้งสิ้น คือเมื่อคิดจะไปขอให้รับผิดชอบทุกอย่างให้จบสิ้นก่อนที่จะออกไป รับมาเท่าไรก็คืนให้หมดตามสัญญาก่อนที่จะตัดสินใจไปทำอย่างอื่น ได้พบนักเรียนทุนบางคนเรียนจบแล้วทำงานต่างประเทศและปัจจุบันยังเป็นหนี้ กพ อยู่หลายล้าน กับอีกคนยกเงินก้อนจ่ายกลับคืน กพ ทั้งหมดทันทีก่อนที่จะตัดสินใจทำงานต่างประเทศ กรณ๊นี้ขอชมเชยคนหลังในเรื่องของความรับผิดชอบและปฏิบัติตามสัญญาที่ตนเองทำไว้ อยากบอกนักเรียนทุนว่าเมื่อคิดจะไม่ทำงานชดใช้ทุนก็ขอให้คืนเงินทั้งหมดก่อนตีจากไม่ใช่แบ่งจ่าย หากคิดว่าทำไม่ได้ขอให้กลับไปชดใช้ทุนจนกระทั่งตนเองพร้อมจ่าย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อข้อกำหนดสัญญานั้นๆ 3.สำหรับตนเองนั้นเคยสมัครทุน กพ เพราะต้องการนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มากลับไปทำงานที่บ้านเรา ผลการสมัครผ่านการคัดเลือกรอบแรกของทุน กพ แต่หลังจากอ่านสัญญาอย่างถี่ถ้วนและปรึกษา Professor ชาวตะวันตกที่ใกล้ชิด แกบอกว่าไม่เคยเห็นสัญญาแบบนี้ที่ไหนในโลกพร้อมบอกว่า "It is unfair rule" จึงตัดสินใจสละสิทธิ์การเข้าสัมภาษณ์ ได้นำเสนอทาง กพ ให้พิจารณาการเปลี่ยนกฎดังกล่าว แต่ไม่ทราบว่าการนำเสนอนั้นจะได้รับการพิจารณาหรือไม่ หากมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาก็คงจะสมัครอีกแน่นอน แต่....คงยากที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ความเห็นส่วนหนึ่งของนักเรียนที่ไม่ใช่นักเรียนทุนรัฐบาลไทยค่ะ สุดท้ายที่อยากฝากไว้คือคิดและเตือนถามตัวเองให้ดีก่อนเซ็นต์สัญญาค่ะ.... จากคุณ : โดโรที - [ 3 ส.ค. 51 12:04:23 A:124.170.125.139 X: TicketID:103951 ]

ความคิดเห็นที่ 109 โอ้ มีต่อภาค 2 ด้วย แต่ผมรู้สึกล้ากับกระทู้นี้ซะแล้ว ก็คงจะพูดในประเด็นที่ถกกันระหว่างคุณ K. .... กับคุณ amatuer translator ก็อยากจะบอกคุณ K. .... ว่าอย่าคิด underestimate ผมว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณพูด :) แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หรือถ้าคุณพูดอะไรเกี่ยวกับ math หรือ economics ยากๆขึ้นมาจริงๆ ผมก็มีคนแถวนี้เซียนๆทั้งนั้น(ที่มหาลัย)ช่วยอยู่ครับ  ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าผมจะฟังไม่รู้เรื่อง เพียงแต่คุณพูดและอ้างทฤษฎีมาให้ชัดแล้วกัน พูดให้ clear ที่สุดมาแล้วกัน แล้วผมจะขอวิเคราะห์เอง สิ่งที่คุณ K. .... ทำอยู่ตอนนี้ คือการพยายามจะบอกว่าการให่้ทุนรัฐเป็นการผิดพลาด โดยคุณอ้างเหตุผลที่ตื้นเขินมากๆๆๆๆๆๆ  เน้นนะครับว่าตื้นเขินมากๆๆๆๆๆๆๆ เช่นอ้างการเปรียบเทียบประเทศอื่นๆ หรืออ้างเปรียบเทียบยุค 100 ปีที่แล้ว เป็นต้น ใช่ครับถ้าเป็นชาวบ้านๆคิดเปรียบเทียบในกรอบแบบนั้นเค้าอาจรู้สึกว่าโอ้โห 100 ปีเรายังทำอยู่าเหรอ โอ้โหชาวบ้านไม่ทำแล้วเรายังทำอยู่เหรอ แบบว่าคิดตื้นๆให้รู้สึกมันส์  แต่นักวิชาการแล้ว ผม expect ความคิดที่มีมิติมากกว่านั้น constructive มากกว่านี้ และ critical มากกว่านี้ครับ แค่คุณบอกมาแค่นี้ ผมต้องบอกว่ายังไม่ convinced และไม่ได้ใจแคบไม่รับฟังนะครับ ก็จะขอรอคำอธิบายเพิ่งเติมจากคุณแล้วกัน ข้างต้นคือพูดในกรอบนักวิชาการนะครับ ซึ่งสรุปว่า การที่คุณมาสรุปว่าผมหรือบางคนไม่ได้คิดในกรอบของเหตุผลหรือวิชาการหรือกฏหมาย แต่กับสิ่งที่คุณให้เหตุผลตื้นๆแค่นั้น แล้วมาสรุปว่าผมไม่เข้าใจในกรอบของคุณ เป็นการ jumping conclusion ของคุณมากๆ ยังไม่ได้มาตราฐานทางวิชาการครับ แต่ตอนนี้อย่างไรก็ตามี้ผมยังไม่ได้บอกว่าที่คุณคิด ถูก หรือผิดนะครับ กรุณาพิจารณาขั้นตอนการแสดงความคิดของผมให้ดีๆ จะได้ไม่เข้าใจผิด แล้วสิ่งหนึ่งในการถกเถียง ขอให้เข้าใจไว้ด้วยว่าผมไม่ได้จะและจะไม่ขอ engage ในบทสนทนาวิจารณ์ว่าการกระทำของรัฐต่อการให้ทุนรัฐบาล มันเป็นสิ่งบกพร่องหรือไม่อย่างไร  แต่ผมขอมาพูดในสิ่งที่เป็นกำลังเป็นอยู่และใกล้ตัวผมคือ ผู้ได้รับทุน และใกล้ตัวใครๆซึ่งอาจจะเป็นผู้กำลังจะได้รับทุน เมื่อมาพูดในส่วนนี้ ผม็ไม่ได้อะไรนอกจากจะบอกดังๆว่า จะคิดจะทำอะไรกันสำหรับนักเรียนทุน หรือคนที่คิดจะรับทุน ให้ตะหนักว่าความรับผิดชอบมีอยู่ ขอให้รับผิดชอบให้มากที่สุด ก่อนที่จะตัดสินใจละทิ้ง ถ้าจะละทิ้งก็ขอให้มีเหตุผลที่เหมาะสม แค่นั่นที่ผมพยายามพูดมาทั้งหมด และก็ไม่ได้เป็นอุดมการณ์มากจนเกินไปด้วย จริงไหมครับ อีกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของกระทู้ ซึ่งเค้าเป็นนักเรียนทุน ซึ่งในตอนนี้เค้ามาบอกว่ากำลังจะออกจากทุน ผมในฐานะนักเรียนทุนด้วยกัน และในฐานะเจ้าของเงินที่เสียภาษี ต้องถามว่าจะออกไปทำไม ตรงนี้จะมองว่าผมมาใส่เกือกไม่ได้ เพราะคนๆนึงกำลังจะ give up หน้าที่ที่เค้าเคยสัญญาว่าจะทำให้เสร็จกับประชาชน ประชาชนต้องถามหาคำตอบแล้วดูว่าเหตุผลเหมาะสมหรือไม่ อีกประเด็นต่อมา เจ้าของทำการขอคำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับการเอื้อหนุนต่อการออกจากทุน ตรงนี้ผมมาองว่าถ้าไปๆมาๆ มันกลายเป็นมาสอนกันเกี่ยวกับการออกจากทุนด้วยวิธีชดใช้เงิน ซึ่งไปๆมาๆแล้วพบว่า โอ้การออกจากทุนด้วยการชดใช้ ง่ายนิดเดียว ดังนั้นแล้วข้อมูลนี้อาจเป็นดาบ 2 คมได้ คมนึงก็ช่วยเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีความจำเป็นจริงๆที่จะออกจากทุนด้วย อีกคมก็อาจเป็นข้อมูลให้พวกที่เห็นแก่ตัว พวกที่เป็นปลิงสังคม ได้รู้หนทางว่าถ้าจะเข้ามาในระบบเพื่อจะเอารัดเอาเปรียบมากขึ้น  ความเห็นคุณ โดโรทีในข้อที่ 3 นั้นเป็นเรื่องจริง มีน้องที่นี้ให้ที่บ้านเอาเงินกว่า 10 ล้านไถ่ตัวไป แต่อีกคนกลับขอทำเรื่องผ่อนส่งด้วยจำนวนเงินที่ผ่อนสบายๆ แล้วไปทำงานต่างประเทศเงินเดือนสูงๆ ซึ่งถ้าการกระทำอย่างกรณีที่ 2 เป็นเรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดายมากๆ คุณคิดว่าพวกปลิงสังคมจะคิดอย่างไร จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 3 ส.ค. 51 17:07:41 ]

ความคิดเห็นที่ 110 แวะมาอ่านอีกรอบคุณ TimeS-To-Enjoy ไม่ต้องล้าค่ะ ทำหน้าที่ของตนเองไปให้ดีที่สุด โดโรทีเชื่อว่าคนที่ต้องการชดใช้ทุนคงมีเหตุผลส่วนตัวของเขา อย่างที่โดโรทีบอกคือขอให้ชดใช้ทุนทั้งหมดให้เรียบร้อยก่อนจะไปทำอย่างอื่น ซึ่งตรงนี้โดโรทีไม่ตำหนิผู้ที่ใช้ชดทุนเหล่านั้นค่ะ ส่วนคนที่ขอแบ่งจ่ายเป็นงวดๆโดยที่ตนเองอยู่ต่างประเทศต่อนั้นอันนี้โดโรทีมองว่ายังขาดความรับผิดชอบ 1. สำหรับตนเองนั้นโดโรทีไม่เข้าใจเรื่องการทะยอยจ่าย และไม่เห็นด้วย แต่สงสัยว่าเหตุใดทาง กพ ถึงปล่อยให้เกิดกรณีแบ่งจ่ายได้ แต่คงไม่ประนามว่าใครเป็นปลิงสังคมค่ะ (บางครั้งถึงแม้ว่าเราจะโกรธใครมากมาย แต่หากเราควบคุมอารมณ์ได้ บทสนทนาต่างๆน่าจะมีมุมมองที่ดีและน่าพูดคุยกันมากขึ้น ถึงแม้จะมีความเห็นต่างกันบ้างก็ตาม) โดโรทีเชื่อว่าส่วนใหญ่คนที่ได้รับทุนมาต่างก็กลับไปทำงานกันทั้งนั้นค่ะ และเชื่อว่าเรื่องของการชดใช้ทุนคงมีเกิดทุกปี มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับว่า กพ ผู้ให้ทุนมีการทำสถิติเรื่องดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร ซึ่งหากมันเป็นปัญหาใหญ่จริงทาง กพ คงจะออกมาทำอะไรมากกว่านี้ แต่ปัจจุบันก็ดูเหมือนๆเดิม 2.กรณีเจ้าของกระทู้ขอคำแนะนำนั้น อย่าติงเธอเลยค่ะ ดาบสองคมตรงนี้อาจจะทำให้เกิดเป็นปัญหาใหญ่หรือไม่ใหญ่ ณ ปัจจุบันเราต่างก็ตอบกันไม่ได้ หากผู้รับทุนต้องการชดใช้ทุนจริงๆมันมีวิธีขั้นตอนต่างๆมากมายให้ศึกษา ไม่จำเป็นต้องเป็นที่นี่ หากคนที่ต้องการไป เราไม่สามารถทำอะไรได้ สิ่งที่ทาง กพ ควรทำ หรือสิ่งที่ควรปลูกฝังกันคือ ทำอย่างไรให้ไปแบบรับผิดชอบต่อตัวสัญญานั้นๆมากกว่า (ไม่ใช่ทั้งหนี ทั้งทะยอยจ่าย ก็ควบคุมไม่ได้แบบปัจจุบันที่เห็นกันอยู่ ) 3.ความเห็นจากบางท่านที่บอกว่าประเทศอื่นไม่มีการให้ทุนนั้น...ไม่จริงค่ะ เช่น รัฐบาลจีน มาเลเซีย เกาหลี ฮ่องกง อิหร่าน ยังคงมีทุนลักษณะคล้ายคลึงกับประเทศเราอยู่ค่ะ จะต่างกันก็สัญญาการชดใช้ทุน และการให้ทุนว่าให้ผู้เรียนอย่างเดียว หรือให้ผู้ติดตาม เช่น ภรรยา หรือ บุตรด้วย โดโรที ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอที่ว่าให้ยกเลิกการให้ทุนไปค่ะ "ทุน" ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนที่ไม่มีเงินแต่มีความสามารถค่ะ จากคุณ : โดโรที - [ 3 ส.ค. 51 19:02:10 A:124.170.125.139 X: TicketID:103951 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ้ำคุณโดโรที ครับ ผมขอขยายความหมายของคำว่า ปลิงสังคม ซักนิดนึง คำนั้นไม่ได้พูดด้วยความโกรธแต่อย่างใด แต่เป็นคำใช้แทนพวกเห็นแก่ตัว พวกที่คิดจะหาช่องทางมาตักตวงผลประโยชน์ของสังคมอย่างไม่ละอาย ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พวกนี้มีอยู่จริงและอาศัยร่วมกับเราในสังคม ดังนั้นแล้วผมกล่าวถึงปลิงสังคมเพื่อให้เราได้ระวังและนึกถึงการมีอยู่ของพวกนี้ และไม่ได้ใช้คำนี้เพื่อตำหนิใครในนี้แต่อย่างใด ที่คุณโดโรทีสงสัยว่าทำไม กพ จึงยอมให้คนผ่อนจ่ายใช้ทุนได้ จริงๆ กพ ไม่ได้ยอมนะครับ แต่มันมีกระบวนการและวิธีการที่ กพ ต้องยอม! ซึ่งผมเองพอจะรู้ว่าเค้าทำทำอย่างไรกัน ซึ่งก็รู้ว่าทำได้โดยไม่ยาก ดังนั้นเนื่องจากตัวผมเองพอที่จะรู้ความจริงในส่วนนี้อยู่บ้าง จึงเห็นว่าไม่ควรที่ใครจะีมาสอนกัน (หากมีเกิดขึ้น) ถึงกระบวนการเลี่ยงการชดใช้เงินเป็นก้อนให้เป็นแบบผ่อนจ่าย เพราะผมมองเห็นว่ามันเป็นดาบ 2 คมอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 3 ส.ค. 51 20:23:10 ]

ความคิดเห็นที่ 112 ขอบคุณสำหรับคำอธิบายนะคะคุณ TimeS สุดท้ายนี้ขอให้เจ้าของกระทู้ที่มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถทำงานชดใช้ทุนตามกำหนดได้ ทราบจำนวนเงินที่ต้องจ่ายคืนทั้งหมดตามที่ข้อกำหนดสัญญา และมีความพร้อมที่จ่ายคืนเงินทุนทั้งหมด ก่อนที่จะไปทำอย่างอื่นนะคะ ขอบคุณท่านอื่นๆที่มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ทำให้ได้เห็นมุมมองหลายๆอย่าง และขอสวัสดีทักทาย พี่ A.T. ด้วยค่ะ พึ่งจะทราบวันนี้ว่าพี่ A.T. และครอบครัวเดินทางกลับไทยแล้ว ขอให้สนุกกับการทำงานนะคะ จากคุณ : โดโรที - [ 3 ส.ค. 51 20:56:13 A:124.170.125.139 X: TicketID:103951 ]

ความคิดเห็นที่ 113 NO. 108 You told the true stories in Thai culture as following: 1. Corruption 2. Double Standard 3. unfair rule that your professor told. K. A.T. I think you are applied maths. However, I learn about pure maths. When I took analysis class, I think my solution is a little bit mistakes, but the professor who taught me told that for mathematical proof, we have to prove or show that it is true for every case. So if we can find one untrue case, the theory would be fault. I also learn stochastic, but it focus on finance or macro economics, not in biology like you. I think there are several economist in Thailand have similar opinion like me such as K บุ้ง (B Oprysk). Unfortunately, rare people can give or support this opinion, since it would against the belief and not conform that most people think. จากคุณ : .... - [ 3 ส.ค. 51 23:25:14 A:161.130.224.6 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 114 มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะตอนนี้ ผมหมายถึงว่า หลักฐานที่จะสนับสนุนในคำกล่าวอ้างของคุณมันอ่อนไปต่างหาก ถ้าคุณหวังให้คนอื่นเชื่อในความคิดคุณ คุณควรอธิบายให้ดูน่าเชื่อถือว่านี้ คุณคิดว่าการตั้งคำถามเชิงเปรียบเทียบระหว่างไทยและประเทศอื่น หรือไทยตอนนี้กับเมื่อ 100 ปีก่อน เป็นหลักฐานที่สมเหตุสมผลที่จะสนับสนุนแนวคิดคุณได้ดีหรือ นี่ยังไม่ร่วมถึงความถูกต้องในแง่ของข้อเท็จจริงที่ของสิ่งที่คุณอ้างถึง ซึ่งถ้ามองลงไปอาจเจอช่องโหว่ก็ได้ ลักษณะออกความเห็นของคุณ มันมาในรูปแบบคุณพูดในสิ่งที่คุณเชื่อเท่านั้น แต่ไม่ได้บอกว่าเชื่อเพราะอะไร ข้อมูลที่อ้างก็ยังอ่อน นี่แหละสำคัญเลย ดังนั้นอย่าเข้าใจผิดว่าผมหรือใครไม่ได้ไม่เข้าหรือไม่ support สิ่งที่คุณเชื่อ หากเพียงแต่ตอนนี้คุณยังไม่มีข้อมูลที่ดีพอที่จะมา convince คนอื่นได้ต่างหาก จริงแล้วข้อมูลไม่มีเลยต่างหาก  ถ้าคุณเข้าใจว่า ข้อมูลที่คุณเขียนใน 104 เป็นสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลทางวิชาการ หรือเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือแล้วหวังให้คนเชื่อตาม ผมต้องบอกคุณว่า ไม่ใช่ มันไม่ใช่ นักวิชาการที่ดีจะไม่คิดเพียงแค่นั้นแน่ มันต้อง critical กว่านี้ ดังนั้นอย่าเพิ่งกล่าวหาว่าใครไม่เชื่อหรือไม่เข้่าใจคุณ เพราะผมยังไม่ได้ตัดสินตรงนั้นเลย เพียงแต่รอฟังจากคุณว่าจะมีอะไรมาให้อ่านเพิ่มเติมหรือไม่ หวังว่าคงจะไม่จบลงด้วยแนวที่ว่า ถ้าต้องอธิบายคงยาว นะครับ :) จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 3 ส.ค. 51 23:55:08 ]

ความคิดเห็นที่ 115 ถามเพื่อนจีนมา เค้าบอกว่าบ้านเค้าก็มีนะครับคุณแบบเรา ส่งไปเรียนแล้วต้องกลับมาใช้ทุน สิงค์โปร์มีแน่นอนครับ เพราะ roommate เก่าเป็นเด็กทุน malaysia ก็มีครับ เพราะเพื่อนซี้เป็นเด็กทุน บรูไนมีครับ เพราะเพื่อนบรูไนพาไปอวดหอพักที่ประเทศเค้าซื้อไว้ให้นักเรียนทุนอยู่ จริงๆจะบอกว่า ผมก็คิดมาก่อนตั้งนานแล้ว และได้คุยกับเพื่อนที่เป็น economist มันก็ร่ายยาวให้ฟังตั้งเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วว่าทำไมทุน กพ ถึง ดุแล้วไม่ยุติธรร และอาจเข้าข่ายผิดกฏหมายปกครอง ผม convinced โดยเพื่อนคนนั้นครับ แต่กับคุณ ผมยังไม่เห็นอะไรเลยครับ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 4 ส.ค. 51 00:19:59 ]

ความคิดเห็นที่ 116 อ้า เพื่อนที่เป็นหมอชาวฮ่องกง 2 คนก็ยืนยันว่ามี เพราะ 2 คนแกก็เป็นเด็กทุนมาเรียนแล้วต้องกลับไปทำงานให้รัฐบาลของเค้า จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 4 ส.ค. 51 00:45:51 ]

ความคิดเห็นที่ 117 Let's see 1. Wage rate = Marginal revenue product of labor 2. Thai government employer is monosonistic labor market, together with monopolistic markets. The situation is worst. 3 We also make an additional monosonistic labor market via this Schpalarship. The situation is even worst. 4. For simple example, if the government agency wants to hire one qualified officer, but they can't since they must hire that scholarship student. What do you think about this? 5. In fact, we should not intervene a job market, since labor market can be adjusted by the force of demand and supply in labor market. This kind of scholarship is one intervention. 6. If government labor market is good, why don't most people want to work? On the other hand, even the labor market is very bad, there are still some workers who want to work with. In summary, labor market can be in an equilibriem by the force of demand and supply. We should not intervene, since it distorts economic resources and cause a lot of problems. The easy way can we compare benefit and cost of this kind of scholarship? จากคุณ : .... - [ 4 ส.ค. 51 02:31:16 A:198.209.9.54 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 118 "labor market can be in an equilibriem by the force of demand and supply. We should not intervene." "Equilibrium" is not universal, first of all. Although a system with a slightly different set of parameters can achieve an equilibrium as well as the one without any intervention. The resulting equilibrium may be slightly differnet from the "unintervened" one. Since I am not an economist.... I might be ignorant about assumptions of "demand and supply". In this particular case, what are those? Can it be strictly applied to "our job market"? As far as I am concerned, in this case, "supply" in some fields of studies is hard to come by. As such, when will your equilibrium be attained? Infinity? Neither one of us can wait that long, can we? So, I would disagree with the sentence, "we should not intervene". BTW, mathematics is a universal language. I do not see any difference between users even though they are theoretical physicists, experimental physicists, engineers, Nobel Laureate economists, or worst of all a mediocre person like me. All of these people are "users" of mathematics.. :) As a scholar, basic information used to lay things down should be accurate, not exaggerated nor faulty. The reason why people are arguing with you, not because they disagree with you personally, but because your basic information was fault which can likely lead to wrong assumptions, methodology, results, interpretations and conclusion. Well, science is science, mate.... Even you are a scientist studying crystal structure like someone here or anything, the above principle is always prevailed. With all due respect and I 'm really having fun discussing with you.... no hard feelings krub. :) จากคุณ : amatuer translator - [ 4 ส.ค. 51 05:48:45 ]

ความคิดเห็นที่ 119 K. A.T. Thank you for your comments. I try to give simple examples or simple reasons. But I don't know how to make you guys understand this logic. By the way, let me tell you something. There is one principle of economics text book that is very popular now and sold around the world ( written by N. Gegrory Mankiw). This book is very easy to understand. If you read the first two chapters of this book, you may undersatnd why economic logic, sometimes, against those general belifes of people. Foe example, minimum wage law "good or bad" Most people think it is good; however, if you see most mainstream text books, they will tell it is a wrong or bad policy. Anyway, Mankiw also served as economic policy for Bush's administration. He told that even a good policy that most econimists agree. However, people who implement those policy or pass a law is human, in particular, politicians, They may have benefit, want voting, good images, etc. That why a good policy sometimes cannot be implemented or be passed the law. Not only in Thailand, even in developed country like America, they still have a problems like this. Anyway, I may not answer exactly your questions. But hopefully you may get some ideas I want to convey. P.S. I am studying econs, maths, and business simutaneously. I am a geneous guy, but willing to get your ideas. When I was in Thailand, I saw a few people who graduated from MIT, Harvard, but I did not see anyone graduate from Princeton. However, when I come to the U.S., I saw a lot of professors graduated from those reputable universities, it is very normal. So there are a lot of talent people in the world. In particular, most genious Chinese people can graduated from those unversities without financial support from their government. That is why I agaist those Thai scholarship. You are a mathematician. You should know Princeton University is no.1 in Mathematics and it is also the best university in the U.S. In Maths Department in my Univ, there are 4 Princeton guys, 4 MIT, etc... Unfortunately, there are rare talent people in Thailand. In particular, the level of maths study in Thailand is very much far from in the U.S. จากคุณ : ... - [ 4 ส.ค. 51 08:33:49 A:128.206.48.22 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 120 Sorry, I am "not" a genious guy, but willing to exchange with your opinions. จากคุณ : .... - [ 4 ส.ค. 51 08:36:33 A:128.206.48.22 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 121 Dear K. .... , First of all, it's a pleasure talking to you....Secondly, notably, I am not a genious either krub! :) All in all, I respectfully saw your points and I would like to tell you that I do not 100% agree with the current scholarship awarding system. But I have my gut feelings that it (with certain modifications) can still do a better good to the country than hurting. I am a mathematical modeller in biology. In this case, in worldly perspective, this field of study is so rare but very useful for many profitable industries (e.g. pharmaceutical and chemical industries)--- but having high demand despite low, low supply (less than 5 people/year worldwide). With such low supply with unmatchedly high demand from the industries, all of my lab mates have gone to American pharmaceutical/chemical companies as soon as they're graduated without any postdoctoral trainings. Right before graduation, a drug company tried to recruit me but I did not respond to its kind offers, certainly, part of that because of my contractual obligations. In my case, if we assume no interventions, letting the market fully play its roles, I would not sit here responding to you at this moment. :) I would be in either MI or CT writing mathematical models for my living: Thanks to capitalistic approaches and capitalism itself. In reality, with the Thai government's intervention, it made me a university professor providing me with some academic opportunity along with tiny salary compared to the big giant. However, I feel darn good about my current position and its prospect. Since I knew long before I signed the contract that I fully committed to this job in Thailand and I believe that I can do some good under these well-known austere working conditions. Since I have shown my potential to all parties previously, I am pretty lucky that I have had supports from the adminstration to do my job (almost at will). With this given freedom, I feel much comfortable to work upon the Thai govenrmental system even being bound with the huge contractual obligation. I don't feel bothered about it at all.... :) So, in conclusion (for me), the scholarship system in our country is still needed. However, to make this program fully benefit Thailand as much as it possibly can, the following issues should be taken into considerations: 1) Scholarship and field of study shoulde be granted based on goals and/or strategies of which lead the country to its sustainability; 2) Selection & screening processes should be seriously modified. A better selection scheme should be replaced the current one. We need competent persons with commitment, not ones with the most superior academic background; 3) Content of the current contract should be amended, and; 4) Working conditions of the awardees and thier job satisfactions should be systematically assessed. Savvy? :) Got to go now, proposals are awaiting! :) NOTE: I came back to make some revisions in this comment. แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 21:33:47 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 18:19:13 จากคุณ : amatuer translator - [ 4 ส.ค. 51 09:24:37 ]

ความคิดเห็นที่ 122 โอ้ยหนังเรื่องยาวๆ จริงๆ คนไทยนี่แปลกน่ะ สังเกต ดูซิ ไม่เคยโทษหรอกว่าตัวเองผิด โทษคนอื่นไว้ก่อนเสมอ อย่างเรื่องนี้ก็มาโทษนู้นเลยระบบ ฮาๆ อย่างขำ ผมมีคำถามอยากถาม??? ถ้าคุณไม่ได้ทุน คุณมีปัญญาหาเงินไปเรียนเองไหม ถ้ามีทำไมไม่เอาที่อื่น ในเมื่อไม่คิดจะกลับอยู่แล้ว รัฐบาลให้โอกาสส่งคนไปเรียน ออกเงินให้ก่อน ดูแลอย่างดี วีซ่าก็ไม่มีปัญหา มีเรื่องอะไรขึ้นมา รัฐบาลก็ออกหน้ารับให้ เรียกว่าเป็นอภิษิตชนตอนไปเีรียต่อเลยทีเดียว พอเรียนจบคุณมีลู่ทาง มีช่องทางที่ดีกว่า ก็ไม่อยากกลับมา ในสัญญาที่เขียนไว้ ให้ใช้เป็นเงินได้ ก็ใช้ไป แต่จริงๆ รัฐยังไม่ได้คิดค่าเสียโอกาสเลย ที่เสียไปแต่ล่ะปี อยากหนีก็หนีไปเถอะมันห้ามไม่ได้กันอยู่แล้ว แต่อยากรู้ทำไมวันสอบสัมภาษณ์ ไม่บอกกรรมการไปเลยล่ะครับ ว่า ถ้าผมมีโอกาสผมจะไม่กลับมาใช้ทุน อยากจะรู้นักพูดแบบนี้มันยังจะได้ทุนกันอยู่ไหม ไอ้ที่หนีๆ กันวันสอบสัมภาษณ์ก็บอกกันทั้งนั้นแหละกลับครับ กลับค่ะ ดี้ด้า ขอให้เค้าให้ทุนกันใหญ่ ชิๆ ทุเรษ ไม่ละอายคำพูดตัวเองในวันนั้นกันบ้างหรือไง ย้ำอีกทีกระทู้นี้ กระทู้นี้แสดงให้เห็นว่าทำไมประเทศไทยไม่เจริญ มันไม่ใช่เพราะระบบหรอก เพราะตัวคนต่างหาก รู้จักแต่สิทธิ์ แต่ไม่รู้จักหน้าที่ ขนาดคนเรียนจนจบ ป.เอก ได้ แต่ยังไม่รู้จักรักษาคำพูด ยังมองหาช่องทางเอาเปรียบให้ตัวเองก่อนเลย แล้วจะไปหวังอะไรกับคนอื่น เลิกโทษระบบ แล้วลองสำเนียกมองตัวเอียงซะก่อนเถอะพ่อคู้น อ่านแล้วจิ้ด เว้ยกระทู้นี้ ขอออกแนวดุเดือดหน่อย จากคุณ : kanoomtan - [ 4 ส.ค. 51 09:59:15 ]

ความคิดเห็นที่ 123 ใจเย็นๆ เน้อ คุณขนมตาล จี๊ดมากเดี๋ยวงานไม่เดินนะเอ้า มีสองคอมเม้น สั้นๆ ง่วง ไปนอนแล้วถ้าว่างจะกลับมาพิมพ์นะครับ หนึ่ง ผมคนหนึ่งล่ะที่โทษระบบเต็มๆ ทำไมผมโทษระบบ และไม่โทษตัวบุคคล ผมได้อธิบายไปหมดแล้ว รบกวนลองไปอ่านดูได้ไหม แล้วช่วยบอกหน่อยว่าไม่เห็นด้วยตรงไหน สอง ผมว่า คุณขนมตาลกำลังdefine คำว่าหน้าที่ผิดไปนะครับ ในสังคมใดๆก็ตาม สิทธิของประชาชน นั้นถูกกำหนดตามกฏหมาย และหน้าที่ของประชาชน ก็ถูกกำหนดตามกฏหมายนะครับ เช่น การไปเกณท์ทหารเป็นต้น เช่นเดียวกัน เมื่อมีสัญญาทุนเข้ามา สิทธิ ก็ต้องเป็นไปตามสัญญานะรับ เช่น ได้รับเงินเดือน เท่านั้น เท่านี้ หน้าที่ ก็ต้องตามสัญญาครับ กล่าวคือ ไม่กลับมาทำงาน ก็ใช้เงินคืน เพราะงั้น ที่คุณใช้คำว่าหน้าที่ ในบริบทนี้ ผมว่าผิดนะครับ อย่างที่คุณกำลังพูด เค้าเรียก จิตสำนึกครับ มีเงินพอจะใฃ้ทุนคืน การจะทำงานต่อกับราชการหรือไม่นั้น จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ครับ เพราะไม่ใช่หน้าที่ครับ เป็นเพราะคนๆนั้นเค้ามีจิตสำนึกที่จะทำครับ อย่างที่กล่าวไปแล้ว เราจะมานั่งรอให้คนทุกคน ในสังคมมีจิตสำนึกไม่ได้หรอกครับ หรือเราจะคาดหวังว่า แค่ให้ คนที่อยู่ระดับหัวกะทิของสังคมนั้นมีจิตสำนึก มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ แล้วผมขอบอกตรงๆว่าเราควรจะเลิกหวังอย่างนี้ได้แล้วครับ มันชัดอยู่แล้วว่าหวังไม่ได้ ลองนึกดูสิครับ มีบุคคลระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี นักวิชาการ นักวิจัย กี่คนบนโลกนี้ครับ ที่มีชู้ มีเมียน้อย ขาดศีลธรรมในการดำเนินชีวิต โลกเรามันเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ มันไม่ได้เพิ่งมาเป็นเสียด้วย มันเป็นมาเป็นร้อยๆพันๆปีแล้วครับ เพราะงั้น ผมว่าเราควรจะเลิกหวังให้คนมีจิตสำนึกได้แล้วครับ อย่างที่สาม จะมาเชื่อถือ ยึดเอาคำพูดคน แต่ปาก ว่าตอนสัมภาษณ์ เค้าพูดอย่างงี้ พอผ่านไปหลายๆปี เค้าไม่เห็นทำตามที่พูด ไม่ได้หรอกครับคุณขนมตาล ลมปากคนนั้นยึดถืออะไรไม่ได้หรอกครบ ปากและใจคนเรา มันเปลี่ยนทุกวันนะครับ วันนี้พูดอย่าง วันนั้นพูดอย่าง หลายคนก็พูดอย่างที่ปากไม่ตรงกับใจ ผมคิดว่าไม่มีใครในโลกนี้เค้าพูดอย่างตรงกับใจหมดหรอกครับ เพราะงั้น แค่ลมปาก ของนักเรียนผู้สัมภาษณ์ เราคงจะเชื่อถืออะไรไม่ได้หรอกครับ แล้วผมว่ากอพอเค้าก็รู้ครับ ไม่งั้นคงไม่มีข้อกำหนดให้ชดใช้เงินคืนอยู่ในสัญญา ขอตัวไปนอนครับ และใจเย็นๆนะครับ ปอลอ ขอเล่าเรื่องย่อยๆ ให้ฟังเล็กน้อย แต่จำได้ลางๆ อาจจะผิดไปบ้าง นายกเวียดนาม เคยถามedmund phelps นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลว่่า "เราจะพัฒนาประเทศอย่างไร" phelps ตอบสั้นๆว่า "การพัฒนาประเทศควรทำให้สอดคล้องกับแรงจูงใจของบุคคลในประเทศด้วย" จากคุณ : บุ้ง (B Oprysk) - [ 4 ส.ค. 51 13:25:05 ]

ความคิดเห็นที่ 124 ถ้าตามที่คุณบุ้งบอก ระบบครับที่มันผิด ผิดที่ให้โอกาสคนเลวๆ ไร้จริยธรรม อย่างพวกนี้ ระบบที่ดีควรจะคัดกรองคนที่จริยธรรม ระบบมันแย่เองที่ให้โอกาสคนเลวๆ น่าเสียดายจริงๆ เสียดายประเทศไทยดันมีระบบเลวๆ ที่ไว้คอยให้โอกาสคนเลวๆ ฮึๆ ระบบมันแย่ แก็ซโซฮอลล์ แหละผิด กรูถูกแล้ว เพราะกรูจบ ดร. น่ะเว้ย อย่าเถียง ฮาๆ แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 13:38:05 จากคุณ : kanoomtan - [ 4 ส.ค. 51 13:36:19 ]

ความคิดเห็นที่ 125 อีกเรื่องที่สงสัย ทีกับคนที่หนีทุน กับไม่พูดเรื่องจริยธรรม ทีกับนักการเมือง-ครูอาจารย์ กับพูดเรื่องจริยธรรม โอ้ย นักการเมืองด่าเค้าเลวอย่างนู้นอย่างนี้ ไร้จริยธรรมอย่างนู้นอย่างนี้ กับคนหนีทุน โอ้ย ฉลาดอย่างนู้นอย่างนี้ จริยธรรมมันกินไม่ได้ ถ้าวันนี้คุณทำแบบนี้ คราวหลังก็สำเนียกตัวเองก่อนไปด่าคนอื่นด้วยน่ะครับ ท่องไว้ด้วยน่ะ จริยธรรม เวลาสอนลูก-หลาน ก็อย่าลืมบอกเค้าน่ะครับ ว่าจริยธรรมมันกินไม่ได้ ไม่ต้องไปมีมันหรอก ท่องไว้ๆ ตัวกรูของกรู คนอื่นไม่เกี่ยว ผลประโยชน์กรูเป็นที่ตั้งเท่านั้น เรื่องอื่นไว้ที่หลัง แหมถ้าลมปากคนเรามันเชื่อไม่ได้ ก็น่ะ เฮ้อ.... ปล. ความเห็นนี้ผมเอามาจากคุณบุ้งน่ะ ผมไม่ได้เริ่มเรื่องจริยธรรมน่ะครับ ฮุๆ จากคุณ : kanoomtan - [ 4 ส.ค. 51 13:48:37 ]

ความคิดเห็นที่ 126 โอว เพิ่งเห็นกระทู้นี้ ยาวจัง ไม่ได้อ่านจนจบหรอกนะครับ แต่โดยส่วนตัว ผมไม่สนุบสนุนนโยบาย ส่งเสริมศักยภาพบุคคล โดยให้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ แล้วกำหนดให้ชดใช้ มันฟังดูไม่ดีอยู่ในตัวอยู่แล้ว ผมคิดว่า น่าจะเอาเงินส่วนนั้น มาพัฒนาในประเทศ เช่น เป็นงบประมาณให้เด็กทุกคนเรียนฟรี (จริงๆ หนังสือฟรี อาหารกลางวันฟรี ชุดนร.ฟรี ฯลฯ) เป็นงบประมาณพัฒนาหลักสูตรในประเทศให้เข้มแข็ง และอื่นๆ ได้อย่างสบายๆ ด้วยเหตุผลสองสามประการ หนึ่ง องค์ความรู้ที่มีอยู่ในเมืองไทย มีมากมายพอสมควรแล้ว นโยบายที่จะสนับสนุนให้พัฒนาไปให้ถูกทางต่างหากที่สำคัญกว่า สอง ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ จากทั่วโลก สามารถหาได้อย่าง่ายและรวดเร็ว ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ เรียนเมืองไทย ไม่ต่างกับเรียนเมืองนอก (มากนัก) สาม ประหยัดงบประมาณ โดยอัตราส่วน ผมว่า ถ้างบส่วนนี้ถูกนำมาใช้อย่างฉลาด จะพัฒนาคน ได้ดีกว่า ทั้งปริมาณ และคุณภาพ อีกเรื่องคือ คนส่วนมาก จะถามว่า เราจะเสียโอกาสอะไร ถ้ารับทุน กพ หรือ ถ้าต้องชดใช้ต่อไป (กรณีรับทุนแล้ว) แต่ไม่เคยถามว่า ส่วนรวมจะเสียโอกาสอะไรบ้าง เพิ่มเติม เพิ่งเห็น 104 ก็นั่นหละครับ แล้วเราจะส่งคนไปเรียนยอกอีกทำไม ถ้าคุณในฐานะนักเศรษฐศาสตร์คิด ก็คงเห้นว่า ขาดทุนป่นปี้ แล้ะเช่นเดียวกัน เราต้องสนับสนุนให้คนไทย ไปขอทุนรัฐ หรือ มหาลัย ตปท เรียนมากกว่า นั่นจะเป็นวิถีทางที่ดีกว่า ดังนั้นเราน่าจะตั้ง องค์กร แบบ admissions-office (บ.รับปรึกษาและช่วยสมัครทุน และเรียนต่อมหาลัยระดับโลก) แต่เอาเป็นองค์กรของรัฐ ฝึก นร.ไทย ให่้ไปชิงทุน รัฐและมหาลัย ตปท ดีกว่า แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 23:43:51 จากคุณ : g9h - [ 4 ส.ค. 51 23:37:55 ]

ความคิดเห็นที่ 127 เบื่อ คน ที่ มาเรียกร้อง คนอื่นให้มี จริยธรรม บนเว็บบอร์ด จัง การทำให้ทุกคนเป็นคนดี มันเป็นไปไม่ได้ เเละ การคัด นักเรียนทุนให้ได้คนดี ทั้งหมด(ในนิยามคุณ) ก็เป็นไปไม่ได้ มันก็ต้องมีปะปนกันไป มองความดีเป็น normal distribution คนในสังคมก็มีตั้งเเต่ดีสุดจนถึงเลวสุด คุณจะเปลี่ยนให้คนเป็นคนดีทุกคนไม่ได้ (ไปดูพระบรมราโชวาทน่ะ) การเเก้ปัญหาที่จะเอาคนเก่งมาทำงานให้รัฐไม่ใช่ บอกว่าเราขอคนดีๆ เก่งๆ มาทำงานให้หน่อย เเล้วเราจะให้ผลตอบเเทนคุณน้อยๆ น่ะ มันจะมีคนเเบบนี้ไหม ถ้า คนโดยส่วนใหญ่มีโอกาสดีกว่าก็ไปหมด คุณจะด่าคนยกใช้ทุน ไปอีกล้านชาติ มันก็ไม่เเก้ปัญหาให้คนพวกนี้หมดไปหรอกทำได้เเต่ระบายอารมณ์ตัวเองไปเท่านั้น มองที่ปัญหาจริงๆครับ จากคุณ : XXX - [ 5 ส.ค. 51 02:24:52 A:125.24.130.18 X: TicketID:181900 ]

ความคิดเห็นที่ 128 ^ ^ ^ ไม่มีใครว่า นักเรียนทุนที่หนีทุนมีจริยธรรมสักคนนี่นา   แต่ต้องเข้าใจว่า การหนีทุน คือไม่กลับมาทำงาน และ ไม่จ่ายเงินคืน การชดใช้ทุนด้วยเงินเป็นสิ่งที่ทำได้เพราะได้ระบุไว้ในสัญญา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้โดยชอบ แต่นักการเมืองที่โกงกินนี่มันไม่มีกฏหมาย (หรือสัญญา) รองรับ มันคนละเรื่องกัน เอามาเทียบกันได้อย่างไร การที่นักเรียนทุนจำนวนหนึ่งขอชดใช้ทุนด้วยเงิน (ไม่มีข้อมูลหรอกว่ากี่เปอร์เซ็นต์ แต่คิดว่าไม่มาก อันนี้ประมาณจากเพื่อนๆนักเรียนทุนด้วยกัน  คือตัวเองไม่รู้จักคนที่ขอใช้ทุนคืนด้วยเงินสักคนเดียว ดังนั้นจึงอนุมานเอาเองว่า นักเรียนที่ขอชดใช้ทุนด้วยเงินนั้นมีไม่มาก) กรณีนี้เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล  แต่ถ้านักเรียนทุนทุกคนขอใช้ทุนคืนด้วยเงิน (อย่างที่มีคนถามไว้) กรณีนี้ระบบของราชการต้องมีปัญหาแน่ๆ  และปัญหานั้นก็ต้องหนักหนาสาหัสเอาการอยู่เพราะว่าระบบราชการมันไม่ appeal นักเรียนทุนเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งเคสนี้เป็นไปได้ยากมากๆ อย่างที่ว่าไปแล้ว จากคุณ : PaMouth - [ 5 ส.ค. 51 02:35:50 ]

ความคิดเห็นที่ 129 2. Thai government employer is monosonistic labor market, together with monopolistic markets. The situation is worst. ต้องรบกวนให้ขายาความเพิ่มด้วยครับ เกรงว่าผมจะเข้าใจไม่ตรงกับที่คุณสื่อ อย่างไรก็ตามขอแสดงความเห็นดังนี้ ผมเอา model ตำแหน่งอาจารย์หรือนักวิจัยในมหาลัยหรือศูนย์วิจัยในกำกับของรัฐนะครับ ซึ่งตำแหน่งนี้ถูกสรรหาและคัดสรรผ่านการให้ทุนกว่า 80% แล้วกว่า 80% ของคนที่ได้ทุน ก็จะต้องกลับมาทำงานในตะแหน่งดังกล่าว ดังนั้น ผมของเอา model ตำแหน่งดังกล่าวมาอ้างอิง คงจะไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงมากนัก ข้อแรก ตำแหน่งดังกล่าว เป็นของรัฐอยู่แล้ว แล้วหมาัลัยที่มีอยู่ในประเทศก็เป็นของรัฐ ดังนั้นคุณจะมองว่ารัฐเป็น monopsonistic นั้น ผมว่ามุมมองนี้แข็งกระด้างเกินไป แล้วเป็นมุมอมงที่ไม่ได้นึกถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์  อีกอย่าง ถ้าหน่วยงานเอกชนต้องการจะแย่งซื้อนักเรียน ป เอก ก็สามารถทำได้และสามารถของได้ว่าคู่แข่งก็คือรัฐนั่นเอง หากแต่เอกชนจะทำได้ไหมที่จะให้ incentive โดยการส่งไปเรียนเอกจนจบ หากทำไม่ได้ในขณะที่รัฐทำได้ ให้เงิน 20 ล้านไปเรียนให้่จบเอกกลับมาจะได้ตำแหน่งงานที่คุณอยากจะทำ (ต้องมองว่าผู้สมัครคงอยากทำ ไม่งั้นคงไม่คิดที่จะเข้ามารับทุน หรือ incentive ตัวนี้) ดังัน้นแล้วจะกล่าวหาว่ารัฐเป๋น monosonistic ผมเห็นว่าไม่ถูก สำหรับ monopolistic ผมไม่เข้าใจว่าคุณอ้า่งถึงอะไร ขอใ้ห้่อธิบายให้ชัดกว่านี้หน่อยครับ 3 We also make an additional monosonistic labor market via this Schpalarship. The situation is even worst. พูดไปแล้วข้างต้น จริงๆนักเรียนทุนคือพนักงานของรัฐนั่นเองที่ตอนนี้ถูกส่งไปพัฒนาคุณภาพเพื่อกลับมาทำงานในต่ำแหน่งที่ระบุแต่ต้น ผู้สมัครก็รู้แต่ต้นว่าการสมัครรับทุนก็คือการสมัครงานเข่ามาทำในต่ำแหน่งอาจารย์ แต่ ณ เวลาสัมครคุณสมบัติไม่ถึง แต่มีศักยภาพ รัฐจึงส่งไปพัฒนา พอใช้งานได้แ้ล้วก็กลับมาทำงาน 4. For simple example, if the government agency wants to hire one qualified officer, but they can't since they must hire that scholarship student. What do you think about this? ข้อนี้ผิดถนัดเลย จะบอกว่าผมเป็นอาจารย์ในมหาลัยมาก่อนที่จะรับทุนมาเรียนต่อ ดังนั้น ถ้าตำแหน่งอาจารย์ว่าเมื่อไหร่ ทางเราสามารถรับสมัครอาจารย์ได้โดยตรง แต่มันไม่มีคนจบ Phd ในสาขาที่เราต้องการนะซิครับ (เป็นเหตุผลหลักเลย) จึงทำให้ต้องเขียนแผนพัฒนาบุคลากรโดยเริ่มจากคัดสรรผู้ที่เหมาะสมไปเรียนต่อในสาขาที่เราต้องการแล้วกลับมารับตำแหน่งอาจารย์เมื่อเรียนจบ ดังนั้นแล้ว ทุกวันนี้ ทุนที่ส่งคนไปเรียน เค้าส่งไปเรียนในสาขาที่ขาดแคลนกันครับ ไม่ได้ส่งไปไม่มีทิศทาง ถ้าไม่ส่งคนไปเรียน จะให้รัฐซื้อผู้เชี่ยวชาญ import มาเลยจากต่างประเทศ ถามว่า คุ่มไหมในเรื่องของหารลงทุน? และในเรื่อง value ของวัฒนธรรม  เค้าจะ fit กับสังคมไหม ถ้าไม่ fit แล้วเราจะเสียอะไรหรือเปล่า ตรงนี้ทางเศรษฐศาสตร์เค้าก็ต้องมองกันด้วยนี่ครับ ใช่หรือเปล่า เอาเป็นว่า ถ้าวันนี้จะเปิดมหาลัยใหม่ในไทย จะทำไงดีครับ ระหว่างซื้ออาจารย์จากต่างประเทศมาเลย หรือสร้างคนของเราเองให้มีความสามารถแล้วส่งไปทำงาน 5. In fact, we should not intervene a job market, since labor market can be adjusted by the force of demand and supply in labor market. This kind of scholarship is one intervention. ข้อนี้ คุณ A.T พูดไว้ชัดแล้ว กว่าจะถึงจุดสมดุล ชาตินี้่ตายไปก่อนคงไม่ได้เห็น เอาง่ายๆ  เริ่มจากเราต้องการผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Protein Structure มาสอนในมหาลัยละ 2 คน (ปัจจุบันทั้งประเทศมีไม่ถึง 10 คน ) ถ้าไม่มีทุน ถามว่า ใครมันจะไปเรียน เรียนมาก็ทำเงินไม่ได้ ใครมันจะลงทันเกือบ 30 ล้านเพื่อไปเอา Phd ทางด้าน protein แล้วเพื่อกลับมาทำงานในมหาลัยที่ทำยังไงก็คงหาเงินไม่ถึง 30 ล้านทั้งชีวิต แล้วถ้าจะงดให้ทุนรัฐบาล แล้วเปลี่ยนเป็นทุนกู้ยืม ถ้าคนต้องกู้มา 30 ล้าน คงกู้เอามาเรียนด้านที่มันหาเงินดีกว่า แล้วคงไม่ต้องเรียนเอกหรอกมั้ง ถ้าจะทำงานหาเงินน่ะ ดังนั้นแล้วชาตินี้เราคงไม่เห็นใครลงทุนไปเรียนเป็น Dr ทางสาขานี้หรอกครับ ถ้ารัฐไม่ให้ทุนไปเรียน 6. If government labor market is good, why don't most people want to work? On the other hand, even the labor market is very bad, there are still some workers who want to work with. ข้อนี้ไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไร -_-'' ต่อไปขอพูดไว้เป็นข้อคิดว่า การศึกษาคือโอกาส ถูกต้องไหมครับ ทำไมเราต้องมองกันว่าเป็นการแข่งขัน ทำไมเราไม่มองว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงได้โดยง่าย !!!! อีกข้อ คนที่พูดว่าโทษระบบๆ ไม่โทษคน อืม..... ถามว่า คนคือส่วนหนึงของระบบป่ะครับ ผมเห็นด้วยว่าระบบในประเทศเรามันมีจุดอ่อนเยอะ และ 1 ในจุดอ่อนเหล่านั้นก็คือ คนที่ขาดสำนึก ประเทศที่เค้าพัฒนาแล้ว เค้าไม่ใช่แค่รวยนะครับ เค้ามีระเบียบกันด้วย เค้ามีจิตสำนึก การพัฒนาองกรหนึงๆ นอกจากจะมีระบบการทำงานที่ต้องดีแล้ว คนทำงานต้องมีจิตสำนึกที่เป็นส่วนหนึงของทีมด้วยครับ เราต้องพัฒนาไปทุกปัจจัยครับ โทษอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะพัฒนาแค่ด้านใดด้านหนึงไม่ได้ ต้องพร้อมๆกัน และสำหรับ ผมเป็นนักเรียนทุน ผมก็ขอพูดเรื่องใกล้ตัวผม นั่นคือของให้นักเรียนทุนตระหนังถึงหน้าที่และคำสัญญาที่เคยฝากไว้ อย่าละทิ้งโดยไม่จำเป็น และก็บอกไปถึงคนทั่วไปที่คิดจะรับทุน ก็ขอให้นึกถึงความรับผิดชอบที่จะต้องตามมาเมื่อรับทุน ดังนั้นขอให้ทุกคนมีความรับผิดชอบ ปัญหาเรื่องคนก็จะทุเลาลง ขณะเดียวกัน ระบบก็ต้องพัฒนาไปด้วยควบคู่กัน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมบางคนเถียงกับผมราวกับอยากจะให้ผมหรือนักเรียนทิ้งทุนไปเพื่อจะเป็นการประชดระบบหรือรัฐ ซะอย่างงั้น ผมทำไม่ได้หรอก ผมยังมีหลักการ ไม่ได้เป็นคนขาดสติ และที่สำคัญผมมีความรับผิดชอบพอ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 5 ส.ค. 51 02:49:27 ]

ความคิดเห็นที่ 130 คุณ PaMouth ครับ ปกติแล้ว เวลาสัมภาษณ์ผู้สมัครรับทุน เค้าจะถามเลยว่า ไปเรียนแล้วกลับมาทำงานแน่นะ ถ้าใครตอบว่า ไม่แน่ ก็คงไม่ได้ทุนหรอกครับ อย่างเจ้าของกระทู้ พนันได้เลยว่า ต้องมีการแสดงว่าตนตั้งใจที่จะรับทุน รับแล้วจะกลับมาทำงานจริงจัง จึงได้ทุน วันนี้จะขอออกจากทุน เค้าไม่ผิดกฏหมายหรอกครับ แต่เค้าผิดคำพูด และคำสัญญาแล้วไง มันไม่มีหรอกนะครับ ที่ กพ.จะบอกว่า เอานักเรียนรับทุนไปแล้วก็ไม่ต้องคิดไร เบื่อเมื่อไหร่ก็เอาเงินมาใช้คืนนะ เราไม่ serious เค้ามีแต่บอกว่า การชดใช้ทุนด้วยเงินเป็นทางเลือกให้คนที่มีความจำเป็นจริงๆเท่านั้น ไม่สนับสนุนให้ใครออกจากระบบโดยไม่จำเป็น ดังนั้นแล้ว นักเรียนที่จะออกจากความรับผิดชอบนี้ ก็ทำได้โดยไม่้ผิดกฏหมาย แต่ต้องยอมรับว่าตนเองไม่สามารถทำตามที่ให้คำพูดได้ และนั้นแหละ เราประชาชนมีสิทธิถาม ว่าทำไมถึงออก !! จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 5 ส.ค. 51 03:02:31 ]

ความคิดเห็นที่ 131 คุณ  127 ผม (คนอื่นไม่รู้) จะบอกว่า เราก็ทำทั้ง ตำหนิคนที่ละทิ้งทุนโดยไม่มีเหตุที่ดี และพัฒนาระบบไปด้วยทุกๆด้านไงครับ ผมไม่เค้ยไม่เคยที่เถียงกับคุณเรื่องระบบ แต่การที่ผมตำหนิคนที่มีความรับผิดชอบน้อย แล้วกระตุ้นให้สังคมช่วยกันมีความรับผิดชอบ ผมว่าก็เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบเช่นกัน จริงไหมครับ แน่นอนครับว่ามีส่วนอื่นที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย แต่ปัจจัยเรื่องคนก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องพัฒนา จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 5 ส.ค. 51 03:10:14 ]

ความคิดเห็นที่ 132 "ข้อนี้ผิดถนัดเลย จะบอกว่าผมเป็นอาจารย์ในมหาลัยมาก่อนที่จะรับทุนมาเรียนต่อ ดังนั้น ถ้าตำแหน่งอาจารย์ว่าเมื่อไหร่ ทางเราสามารถรับสมัครอาจารย์ได้โดยตรง แต่มันไม่มีคนจบ Phd ในสาขาที่เราต้องการนะซิครับ (เป็นเหตุผลหลักเลย) จึงทำให้ต้องเขียนแผนพัฒนาบุคลากรโดยเริ่มจากคัดสรรผู้ที่เหมาะสมไปเรียนต่อในสาขาที่เราต้องการแล้วกลับมารับตำแหน่งอาจารย์เมื่อเรียนจบ " โดโรทีว่าเรื่องตรงนี้มีจุดอ่อนมากมายค่ะคุณ Times ปัจจุบันต้องยอมรับว่าตำแหน่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยไม่ใช่มีว่างรอให้คนสมัครกันง่ายๆ เท่าที่ศึกษามามีน้อยมากที่จะประกาศเปิดรับสมัครเป็นทางการ ส่วนใหญ่มักเป็นวงใน ปัจจุบันมีเด็กไทยมาเรียนต่อต่างประเทศในระดับปริญญาเอกด้วยทุนตรนเองมากมาย บ้างก็มาหาทุนเอาเองที่ต่างประเทศ เมื่อจบกลับไปโอกาสกว่าจะได้สมัครเป็นอาจารย์นั้นนานแสนนาน อย่างที่บอกการประกาศรับสมัครเหล่านี้ ทำเป็นวงในไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ ซึ่งหากจัดการระบบกันแบบนี้ จะสรรหาบุคคลที่ Phd ในสาขาที่ต้องการมาได้อย่างไรคะ ? ขอยกตัวอย่างนอกเรื่องเกี่ยวกับระบบการจัดการทุนค่ะ ปัจจุบัน กพ เปิดทุนตัวใหม่ วัตถุประสงค์คือไม่อยากให้คนไทยสมองไหลออกสู่ต่างประเทศ โดยการให้ทุนสำหรับคนที่เรียนต่างประเทศด้วยทุนตัวเองหรือทุนอื่นกลับในบางสาขาไปทำงานในระบบมหาวิทยาลัยหรือสถานที่ราชการเมืองไทย แต่สัญญาของทุนคือ 1.ต้องทำงานตามกำหนด หากไม่ครบกำหนดจ่ายคืนส่วนที่รับไป และจ่ายเพิ่มอีกสองเท่า 2.หากทำงานได้ผลประเมินตำกว่ามาตรฐานหรือไม่เป็นที่พึงพอใจ ต้องออก ต้องจ่ายเงินที่รับไปคืน และจ่ายเพิ่มอีกสองเท่าเป็นค่าปรับ สัญญาข้อหนึ่งคือรับได้ แต่ข้อสองคือไม่ไหวค่ะ เป็นสัญญาที่ไร้มนุษยธรรมมากเกินไป ไม่ทราบว่าสัญญานี้ผ่านการกรั่นกรองมาได้อย่างไร ซึ่งตรงนี้คงต้องตำหนิคนที่พยายามจัดระบบโดยจัดตั้งสัญญาดังกล่าวกระมังคะ เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เมื่อบอกว่าต้องการกำลังคนกำลังสมองกลับไปทำงาน แต่การจัดการมีการชักจูงและดึงดูค่อนข้างต่ำ จนบางครั้งอดคิดไม่ได้ว่าผู้ให้ทุนต้องการอะไรกันแน่ อีกกรณีนักศึกษาไทยบางคนได้ทุนมาเรียน ปีแรกลองสมัครทุนต่างประเทศไปด้วย ซึ่งทุนต่างประเทศนั้นๆ ก็จ่ายให้เป็น full scholarship ทั้งหมดและมีค่าครองชีพมากกว่าที่ กพ ด้วยซ้ำ แต่ทาง กพ ยังคงจ่ายเงินค่าครองชีพดังกล่าวให้นักศึกษาอยู่ เพื่ออะไร ? เหตุใดไม่เก้บเงินส่วนนี้ไว้เพื่อนำไปจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษาเปิดโอกาสจำนวนทุนให้คนอื่น กพ ออกปากบังคับว่าอย่างไรก็ต้องรับถ้าไม่รับถือว่าผิดสัญญาทุน...ฟังแล้วงงกับระบบทุนไทย.. จากคุณ : โดโรที - [ 5 ส.ค. 51 06:11:20 A:124.170.125.139 X: TicketID:103951 ]

ความคิดเห็นที่ 133 K.No 132 I agree with your opinion. There are a lot idiat system in Thailand. This kind of scholarship is an example. As I told, find a job in America is not easy for inter students, except you are very talent. Now the immigration law is very severe, if we cannot find a job in 3 months after we graduate, we must leave the country. I agree that there are some people can find a job but not all. The Gor Por contract are written to protect only a few people that I think it does not make sense. There are a lot of Thai students studying aboard with their own funds or from TA, RA, etc. So I don't think we lack human resource. The problem is managerial system in Thailand. I saw several Gor Por students trying to find a job and staying here, but they can't. When they come to Thailand, they told they want to devote to country, not break contract, etc. But if we your the truth, those guys are very bad. จากคุณ : .... - [ 5 ส.ค. 51 07:42:16 A:161.130.224.6 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 134 I think Gor Por you thses information and the truth as I told. However, as I told, no one can agaist or refute this system, since if it against those belief that most people believe and conform. If they do, they would be criticized bad guys. จากคุณ : .... - [ 5 ส.ค. 51 07:45:33 A:161.130.224.6 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 135 Additionally, as I told, we may see a MIT guy in Thailand a god. However, in the U.S. it is normal. there are a bery much big gap between people in Thailand and here. จากคุณ : ..... - [ 5 ส.ค. 51 07:48:55 A:161.130.224.6 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 136 คุณ ..... พูดอะไรของคุณอ่ะ ผมว่าคุณพูดไม่รู้เรื่องแล้ว และไม่พูดตรงประเด็น ออกทะเลไปแล้ว !! There are a lot of Thai students studying aboard with their own funds or from TA, RA, etc. So I don't think we lack human resource. นี่คุณก็พูดเองคิดเองล้วนๆเลย รู้หรือเปล่าหรือคิดจริงๆบ้างหรือเปล่าว่าปีนึงรัฐต้องการคนเข้าทำงานกี่คน แล้วคนจบมาต่อปีกี่คน จบ Phd แล้ว หางานในต่างประเทศไม่ยากเลย เพียงแต่ว่าคุณจบมาจาก U ไหม คุณมีมาตราฐานแค่ไหน ผลงาน Phd คุณมีหรือเปล่า Phd คนไทยที่นี่ที่ผมเรียน cambridge จบไปแล้ว จะไป postdoc ทั่วโลกที่ไหนก็ได้ ยังไม่เห็นมีใครหาไม่ได้ซักคน และนี่คือข้อมูลที่จริงๆ ผมไม่รู้ว่าคุณยังจะพูดส่งเดชไปว่า Phd หางานยากไปทำไม แต่ถ้าจบแค่ โท จริงครับหางานยากมาก เอาเป็นว่าเด็กไทยที่เรียนที่เดียวกับผมเรียน คนที่ผมรู้จักก็หางานกันได้หมดที่อังกฤษ แต่อาจจะมีที่หาไม่ได้ แต่ผมคงไม่เคยเจอหรือได้รู้จัก แต่อย่างไรก็ตาม การที่คุณกำลังจะบอกว่า จบ Phd แล้วหางานยาก ยังไงเด็กทุนก็ต้องกลับไปตายรังที่บ้านอยู่แล้ว (ความเชื่อของคุณล้วนๆเลย) คิดแบบนี้คุณก็แค่คิดอยู่ในกรอบที่คุณเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา และการ argument ของคุณก็อ่อนไร้เหตุผลแต่เต็มไปด้วยความเชื่อมากมาย การ flow ของ Phd มีหลายปัจจัย เช่นถ้าทุกอย่างอิสระ คนก็ต้อง flow ไปตามกระแสเงิน แล้วยิ่งที่ถ้ารู้สาขาไหนหางานยาก ก็ไม่ไปเรียนหรอก เรียนอะไรที่มันหางานง่ายๆไว้ก่อนเลย แล้วเมื่อไหร่จะมีคนไปทำ Phd ในสาขาขาดแคลนแต่ไม่ทำเงินล่ะครับ   ซึ่งผมก็พูดไปแล้ว แต่คุณไม่ยอมพูดต่อ ไม่ให้เหตุผลว่าผมพูดผิดตรงไหน หรือว่ายอมรับแล้วใช่ไหมครับ ถ้าคุณมีความสามารถให้เหตุให้ผลจริงๆ ไม่ใช่พูดไม่ตามอารมณ์ ก็กรุณาคุยกันให้ต่อเนื่องด้วยครับ เล่นคุยกระเจิดกระเจิงแบบนี้ ไม่ไหวครับ แล้วนี่จะมาพูดเรื่อง คนไทยจบ MIT เทียบกับ US แล้วธรรมดา อะไรทำไมครับ เพื่อประเด็นอะไร ไม่เห็นประเด็นจริงๆเลยว่าจะเกี่ยวกับกระทู้ตรงไหน ช่วยพูดให้เครียด้วย หรือว่าคุณเข้า MIT เลยพูด discredit ไปซะงั้นแหละ ? ผมว่าประสปการณ์คุณยังน้อง เอาง่ายๆ คุณไม่เคยเห็นคนไทยที่เรียนที่ princeton ทำการแปลอะไรไปต่างๆนาๆ แต่ก็ยังมีคนมากมายที่รู้จักคนที่เรียนที่ princeton  หรือเรียนที่นั่นอยู่  หรือเห็นอะไรนิดๆหน่อยๆก็เอาอคติตัวเองแปลออกมาในรูปแบบที่ไม่จริง แล้วนี่บ่นอะไรเนี่ย ???? อคติล้วนๆ แถมไม่เกี่ยวอะไรกับที่คุยกันเลย I saw several Gor Por students trying to find a job and staying here, but they can't. When they come to Thailand, they told they want to devote to country, not break contract, etc. But if we your the truth, those guys are very bad. I think Gor Por you thses information and the truth as I told. However, as I told, no one can agaist or refute this system, since if it against those belief that most people believe and conform. If they do, they would be criticized bad guys. คือคุณพูดอะไรมาไม่ต่อเนื่อง ไม่ชัดเจน ไม่มีทิศทาง อยากจะบ่นก็บ่นๆๆๆ คงต้องถามว่า อยากคุยกันหรือเปล่าครับ หรือแค่อยากเถียงให้ชนะจนลืมนึกถึงทิศทางที่เราต้องคุยกัน ลืมนึกถึงเหตุผล ถ้าคุณอยากคุยกัน คงต้องบอกว่าช่วยเรียบเรียงความคิดและแสดงความเห็นมีทิศทาง ต่อเนื่องและเข้าเป้า และถ้าจะเสนอประเด็นอะไรใหม่ ให้มีที่มาที่ไปด้วยนะครับ  อย่าพูดอะไรซ้ำซากครับ เช่น 3 ความเห็นล่าสุดของคุณนั่น ผมว่าคุณพูดมันซ้ำรอบที่ 3 แล้ว สิ่งที่คุณควรทำต่อไปถ้าจะคุยต่อคือ การให้เหตุและผลให้ต่อเนื่องกับบทสนทนาด้วยครับ ทั้งผม และคุณ A.T ได้ทำการให้เหตุผลหักล้างในสิ่งที่คุณพูดไปบ้างแล้ว คุณกลับไปอ่านใหม่แล้วเห็นอย่างไรก็ว่ามา  ไม่ใช่กระเจิดกระเจิงแ้ล้วไปบ่นๆๆอะไรซ้ำซาก   เฮ้ออออออออออออ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 5 ส.ค. 51 15:25:30 ]

ความคิดเห็นที่ 137 คุณ โดโรที ครับ ขอค้างออกความเห็นต่อประเด็นของคุณไว้ก่อนนะครับ ขอไปทำงานกลับมาตอนเย็นแล้วค่อยคุยกันต่อครับ ขณะเดียวกัน ฝากคุณ ..... ลองให้นึกถึงข้อดีของการมีทุนรัฐบาลดูหน่อยครับ อยากรู้ว่าในขณะที่คุณนึกถึแต่ข้อเสีย (ที่ไร้เหตุผลและหลักฐานสนับสนุน) ได้หลายข้อเหลือเกิน คุณจะนึกถึงข้อดีได้เกิน 3 ข้อหรือไม่ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 5 ส.ค. 51 16:01:07 ]

ความคิดเห็นที่ 138 If what I said is not true, why are you angry? O.W. you can't accept the truth that I said. If you think it is not true, you can ignor it and skip my opinion. จากคุณ : ... - [ 5 ส.ค. 51 21:22:00 A:161.130.224.22 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 139 the thing is I did not even know what was the truth you talking about!!! Your opinion is scattered and your indirect and obscure explanations, let alone the low validity of your supportive information, only make the conversation worse. I then might as well ignore you as I fail to find any thing academic from you. จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 5 ส.ค. 51 23:40:26 ]

ความคิดเห็นที่ 140 ตอนแรกคิดว่าหยุดไปแล้วเหมือนกัน บังเอิญมาดูอีกที แต่อ่านทุกคำไม่ไหวแล้ว ขออนุญาตชี้ให้เห็นนิดนึงครับ ผมว่าตอบกันหลุดประเด็นไปตั้งแต่แรกแล้วครับ ร้อยกว่าความเห็น กี่อันที่ตอบตรงคำถามของกระทู้ ดังนั้นไม่น่าต้องสนใจเรื่องตรงไม่ตรงประเด็นครับ เล่นกันตามสบายครับ ผมเองคิดว่าเถียงๆ กันไป แก่นมันเบี่ยงไปบ้างก็ ธรรมดา เหมือนเป็นธรรมชาติเวลาถกเถียงกัน แต่ ผมจินตนาการว่าถ้าเป็นคำถามอื่น อย่างเช่น เวลาสอบ ตอบแบบนี้คงโดนครูตีเลยครับ แหะๆ ผมคงต้องโดนเหมือนกัน จากคุณ : EXISTENTIALIST - [ 6 ส.ค. 51 01:01:10 ]

ความคิดเห็นที่ 141 คุณ EXISTENTIALIST ครับ ประเด็นหลักของกระทู้หลุดไปตั้งนานแล้วแหละครับ ช่วงที่ผ่านนี้มีคนอย่างเช่นคุณ ... ก็มายกประเด็นว่าทุนรัฐเป็นสิ่งที่ควรยกเลิก ปัญหาคือว่าพอผมถามหรือชวนถกว่ามีเหตุผลใดที่ควรยกเลิก จับใจความได้ว่า คุณ ... ให้มา 4 เหตุผลนั่นคือ 1. เพราะประเทศบางประเทศเช่น US เค้าไม่ทำกันแล้ว ดังนั้นไทยก็ควรทำตาม US ซิ  (เหตุผล academic มากเหลือเกิ้น!)  2. เพราะทุนอิสระมีเยอะแยะ โดยอ้างว่านักเรียนจากบางประเทศก็มาเรียนด้วยทุนที่ได้จากมหาลัยใน US ( ซึ่ง validity ของคำกล่าวอ้างนี้ก็ต่ำเหลือเกิน อาจมองเป็นการพูดยกเฆกไปตามอารมณ์ ไม่ academic อย่างแรง) 3. เพราะเชื่อว่า Phd จบแล้วก็ต้องตกงาน ดังนั้นต้องกลับไทยอยู่แล้ว (อันนี้ก็ไม่จริงเท่าไหร่ แต่ถึงจะจริงก็ยังไม่ใช่เหตุผล เพราะก่อนจะไปเรียน Phd มันก็ต้องมีเงินไปเรียน แล้วจะเอาเงินจากไหน แล้วถ้าให้ไปแข่งเอาทุนอิสระ ปีนึงเท่าไหร่กัน แต่ความต้องการของรัฐมากกว่านั้นมาก) 4. เพราะเชื่อในหลักเศรษศาสตร์ที่ว่า demand และ supply ย้อมถึงจุดสมดุลในที่สุด ไม่ควรไปรบกวน (อันนี้ผมก็ไม่ได้บอกว่าผิดหรือถูก แต่ได้ให้ความเห็นแย้งชวนคิดไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการอธิบายเพิ่มเติ่ม) แล้วเมื่อผมจับใจความได้ดังนั้นแล้ว ผมก็แสดงความเห็นแย้งไปตามเหตุผลและหลักการ แทนที่คุณ ... discuss ให้ต่อเนื่อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน แกกลับทำไม่ได้แล้ว แล้วพาลไปพูดเรื่องเดิมๆ ย้อยกลับไปจุดเร่ิมต้นของบทสนทนาใหม่อีกครับ (ดูใน คห 133, 134, 135 ได้)  แล้วการมาพูดเพิ่มเติมใน 138 แบบนั้น สะท้อนว่า คุณ ... ไม่ได้เคารพคู่สนทนาเลย แล้วไม่เคารพต่อคู่สนทนา อีกทั้งในฐานะที่เค้าเป็นผู้เปิดประเด็นซึ่งจะต้องควรให้เหตุผลเพื่อทำให้จุดยืนของต้นเด่นชุดแล้วน่าเชื่อถือ  แต่กลับไม่สามารถทำได้ และยังพูดจาเลอะเทอะหาว่าคนอื่นไม่เข้าใจตน หรือไม่ยอมรับในสิ่งที่ตนพูด  (จะให้ยอมรับได้ไงตอนนี้ เพราะยังไม่เห็นเหตุผลที่น่าเชื่อถือเลย) ทั้งมหดนี้สะท้อนว่า คุณ ... มาออกความเห็นในกระทู้นั้ เพียงเพราะต้องการระบายอารมรณ์ ไม่ได้ต้องการแลกเปลี่ยนความเห็นแต่อย่างใด ที่น่าตลกที่สุดคือ อ้างตัวว่าเป็นนักคณติศาสตร์ นักเศรษศาสตร์ แต่ flow of logic ของเค้าในการแสดงความเห็นที่นี่มีปัญหาอย่างแรง ดังนั้นแล้วและเมื่อผมกล่าวว่า คุณ ... พูดออกประเด็น ผมหมายถึงประเด็นการสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างผมและคุณ ...  มิใช่ประเด็นของกระทู้ตามที่คุณ EXISTENTIALIST เข้าใจ แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 51 02:34:20 จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 6 ส.ค. 51 01:46:34 ]

ความคิดเห็นที่ 142 คุณโรโรทีครับ สิ่งที่คุณพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการเปิดรับสมัครตำแหน่งอาจารย์ คุณได้ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนโดยเฉพาะในเรื่อง ที่ต่ำแหน่งอาจารย์ไม่ค่อยมีให้เห็นที่จะประกาศเปิดรับสมัครอย่างเปิดเผย และคิดว่าคงจะจัดการกันภายใน ผมขอแสดงความเห็นดังนี้ครับ 1. ผมยังเชื่อว่า (อันนี้ความเชื่อจริงจังครับ) ในสาขาที่ขาดแคลนและเฉพาะด้าน มันยากจริงๆที่จะหา Phd ที่จบมาตรงสาขา อย่างน้อยที่ภาควิชาคณิตศาสตร์ในคณะที่ผมทำงานอยู่ เปิดรับอาจารย์ ประกาศเป็นปียังไม่มีคนมาสมัครเลย เหตุผลหลักคือ ไม่มีใครที่เคยทำวิจัยในเรื่องนั้นๆ อาจารย์หลายๆก็บ่นกันเพราะต้องการคนมาแบ่งภาระงาน แต่ไม่มีคนที่ทำเรื่องนั้นเป็นมาสมัคร ลักษณะเดียวกันนี้ก็เป็นปัญหากับมหาลัยหลายๆที่เช่นกันครับ จึงทำให้สิ่งท่ต้องทำควบคู้่กันไปด้วยคือ เขียนแผนพัฒนาบุคลากรส่งไปยังกระทรวง ให้จัดงบมาเป็นทุนส่งคนไปเรียนทางด้านที่ต้องการไปเลยนั้นเอง 2. จริงครับที่มีบางที่ใช้วิธิคัดสรรหาบุคคลเข้าทำงานแบบจัดการกันเอง ผมว่าถ้าเค้าทำเช่นนั้นได้แปลว่าเค้ามีตัวเลือกเยอะ แต่กับสาขาที่ขาดแคลนอีกทั้งไม่ทำเงิน แทบไม่มีเลยครับที่จะได้ Phd จากนอกที่เรียนด้วยทุนตัวเอง ทุกวันนี้หรือที่ผ่านมา เพื่อนนักเรียนทุนด้วยกันที่เรียนทางด้านวิทยาศาสตร์เฉพาะทางเป็นเด็กทุนทั้งนั้น แล้วคนที่เรียนด้วยเงินตัวเองส่วนใหญ่เรียนสาขาอื่นแล้วก็มักจะเรียนแค่โท ดังนั้นแล้ววิธีที่หน่วยงานรัฐเห็นว่าจะทำอย่างไรที่ในอาคต 4-5 ปีข้างหน้าเราจะมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านนั้นๆมาประจำ วิธีหนึ่งก็คือการจัดสรรทุนส่งให้คนไปเรียนด้านนั้นเืพ่อกลับมาทำงานให้นั่นเอง 3. เมือการจัดสรรทุนให้คนไปเรียน คือวิธีการแก้ปัญหาวิธีหนึ่งที่แก้ได้ตรงจุดและแน่นอน จะทำอย่างไรให้ทุกคนมีโอกาสได้เข้ามาทำงานในตำแหน่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยได้เท่าเทียมกัน คำตอบก็คงจะเป็น ทำการประกาศรับสมัครและคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสม (เหมือนสมัครงานเลยหละครับ) 4. ถ้ามองว่า ทุน จะกลายเป็นสิ่งผูกมัดให้เราต้องทนทำงานไปจนตาย ไม่เหมือนสมัครงานทั่วไปที่เบื่อเมือ่ไหร่ก็ออกได้ ดังนั้นผมขอให้ลองมองว่า การจะเข้ามาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย คุณสมบัติหนึ่งคือ คุณควรต้องจบเอก และมีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆอย่างลึกซึ้ง  ถ้าไม่มีทุนส่งคนไปเรียน คนไทยส่วนใหญ่คงไม่สามารถที่จะไปเรียนเอกกันได้ โดยเฉพาะสาขาที่ไม่ทำเงิน คงจะไม่มีคนคิดลงทุนกู้เงินหรือเอาเงินตัวเองไปเรียนแน่นอน 5. ที่มาที่ไปของการคิดจัดตั้งทุนรัฐบาล มีเหตุมีผลมากครับ แต่มีจุดอ่อนที่ใหญ่หลวงอยู่จุดหนึ่งคือ สัญญาที่ผูกมัดยาวนาน ตรงนี้มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องว่าทำไมสัญญาถึงผูกมัดขนาดนั้น เช่น เพราะการลงทุนเรียนเอกในต่างประเทศสูงมาก (เฉลี่ยปีละ 2 ล้าน) ปัจจัยนี้ก็มาจากภายนอกที่ต่างประเทศเค้ามีค่าเทอมและค่าครองชีพที่แพง เมื่อ phd กลับมาไทย ก็ต้องทำงานที่ไทย จะต้องทำงานนานแค่ไหนถึงจะคุ้มกับ 10 ล้านที่รัฐลงทุนไป ถ้าคิดจากรายได้ของอาชีพนี้หรือคนที่จบ ป เอก โดยทั้วไปมีรายไดเฉลี่ยเท่าไหร่ แล้วลองคิดว่าจะใช้เวลากี่ปีที่จะหาเงิน 10 ล้านคืนได้ คนโดยทั้วไปต้องบอกว่า โชคดีจริงๆถึงจะมีรายได้ถึง 10 ล้านภายใน 10 ปี  ดังนั้นถ้าเราเองเป็นเจ้าของเงินที่ลงทุนไปแล้ว เราก็ไม่อยากให้เงินก้อนนี้หายไป  หรือลงทุนไปแล้ว ผ่านไป 5 ปี กลับเท่าทุน แต่ขาดทุนที่เวลาและโอกาส อันนี้เพิ่มเติม ไม่เกี่ยวกับความเห็นของคุณโดโรทีเท่าไหร่ หลายคนบอกว่า ต้องแก้ที่ระบบ ผมเห็นด้วย แต่ระบบที่ว่านั้นคืออะไรหรือ การทำงานที่ต้องมีประสิทธิภาพใช่ไหม ความยุติธรรมในองค์กรใช่ไหม ความโปรงใส่ของการบริหารใช่ไหม ถ้าใช่ผมเห็นด้วย  แต่ถ้าระบบใหม่ถึงคุณภาพชีวิตของอาจารย์มหาลัย ผมว่าเรื่องคุณภาพชีวิตไม่ใช่สิ่งเลวร้าย เพราะถ้าคุณขยันทำงานมีฝีมือ เงินเดือนอาจารย์ที่จบเอกและมีทุนวิจัย ก็พอเพียงกับการใช้ชีวิตอย่างสบาย ถ้าไม่ฟมเฟือย อีกทั้งความสบายของการทำงานมันเป็นเรื่องปัจเจกบุคคลแล้วเป็นนามธรรม ซึ่งยากต่อการวัด และง่ายต่อการถูกบิดเบือน เช่นนั้นแล้วข้อนี้ก็ต้องยกประโยช์ให้แก่รัฐในแง่ของ benefit of doubt เพราะถ้าจู่ๆมีอาจารย์ซึ่งเคยได้รับทุนไปเรียนนอก บอกว่าจะขอลาออกเพราะไม่ happy กับระบบ เราก็ต้องมองไปที่ตัวคนนั้นเก่อนว่าค้ามีปัญหาเองหรือเปล่า เหตุผลที่อ้างจริงไหม มีความจำเป็นขนาดนั้นหรือเปล่า หรือว่าแค่ความสำนึกรับผิดชอบมันน้อยลงไปเท่านั้น เป็นต้น ดังเช่นในกระทู้นี้เป็นต้น จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 6 ส.ค. 51 02:29:21 ]

ความคิดเห็นที่ 143 สวัสดีค่ะ ขอบคุณค่ะคุณ Times แจกแจงมาให้เห็นชัดในเรื่องสาขาขาดแคลนเฉพาะด้าน แต่อย่างไรก็ตามเรื่องตรงนี้คงขึ้นอยู่กับการจัดการของแต่มหาวิทยาลัยด้วยค่ะ ในเรื่องของทุนนั้นอย่างที่โดโรทีกล่าวไว้ตั้งแต่แรกๆ ว่าควรมีการจัดการต่อ แต่ขอให้ทางผู้ให้ทุนคิดถึงเรื่องของความยุติธรรมต่อผู้รับทุนด้วย ไม่ใช่มองด้านเดียวว่า "ฉันจ่ายเป็นนายเธอรับเป็นบ่าว" อย่างตัวอย่างเรื่องทุน กพ ตัวใหม่ที่พึงออกมา โดโรทีสับสนมากกับการจัดการ ว่าเหตุใดจึงร่างสัญญาเช่นนั้น (สัญญาข้อ 2,ความเห็น 132 )เรื่องของการคิดค่าปรับหากผลการทำงานต่ำกว่าประเมิน จึงไม่น่าแปลกใจที่ชาวตะวันตกจะบอกว่าไม่เคยเห็นสัญญาแบบนี้ที่ไหนในโลก เรื่องเหล่านี้ผู้ให้ทุนควรพิจารณาและทบทวนดูใหมค่ะ ส่วนเรื่องระบบที่คุณ Times ท้งท้ายไว้ โดโรทีเห็นด้วยค่ะว่าเรื่องเหล่านั้นคือเรื่องสำคัญที่ต้องแก้ไข หากเมืองไทยแก้เรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ได้ ปฏิบัติต่อคนทุกระดับเท่าเทียมกัน หลายๆอย่างน่าจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น สำหรับโดโรทีนั้นเคารพการตัดสินของผู้ที่ต้องการชดใช้ทุนเสมอค่ะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามมันคือเหตุผลของเขาที่ต้องทำเช่นนั้น อย่างที่บอกก่อนจากไปเขาชดใช้ทั้งหมดนี่คือความรับผิดชอบอันหนึงค่ะ เท่าที่ตามอ่านมาคุณ Times เป็นคนตั้งใจจริงนั่นคือสิ่งที่ดีค่ะ แต่ในขณะเดียวกันอย่าลืมว่า เรานั้นไม่สามารถเอาตัวเราไปเป็นข้อกำหนดเปรียบเทียบกับใครต่อใครได้มากนัก เช่น "ฉันจะทำงานชดใช้จนครบวาระ เธอจะต้องทำด้วย หากเธอไม่ทำ ฉันจะต้องขุดคุ้ยว่าเธอจะไปทำอะไร สมเหตุสมผลหรือไม่" นี่คือสิ่งหนึ่งที่โดโรทีไม่ชอบในระบบสังคมไทยค่ะ (หวังว่าคงไม่โกรธกันนะคะ) สัญญาเขียนไว้แบบนั้น เขาทำตามสัญญาแล้ว โดโรทีไม่ตำหนิเขาเลยค่ะ เขาจะไปเพราะเหตุผลสมควรหรือไม่สมควรก็ตามแต่ แต่เมื่อเขารับผิดชอบในสัญญา โดโรทีเคารพในสิทธิ์ของเขาค่ะส่วนเรื่องหนีทุนนั้นเป้นเรื่องที่ควรตำหนิค่ะและนำมาลงโทษ รวมถึงการทะยอยจ่ายควรป้องกันไม่ให้เกิด มีคนแอบมาเตือนว่าคุยนอกเรื่อง อย่างที่คุณ Times ว่ามันนอกเรื่องตั้งแต่ต้นที่เริ่มมีการติติงเจ้าของกระทู้ แต่บางครั้งการคุยเรื่องหนึ่งต่อยอดแตกออกไปอีกหลายๆเรื่อง เป็นเรื่องที่ดีนะคะ ได้หลากหลายความคิด ได้หลายมุมมอง เหมือนพูดคุยกันในห้องสัมมนาเลย :) ใครชอบก็มาร่วมคุยกันใครไม่ถนัดก็หยุดร่วมวงไป ขอบคุณอีกครั้งที่มาพูดคุยกันค่ะ จากคุณ : โดโรที - [ 6 ส.ค. 51 06:55:00 A:124.170.125.139 X: TicketID:103951 ]

ความคิดเห็นที่ 144 เรืองสัญญา สัญญาข้อ 2,ความเห็น 132 นั่นส่วนหนึ่งมาจากปัญหาที่ว่า เมื่อเป็นนักเรียนทุนกลับไปทำงานแล้ว อีกด้านแทบจะสบายลอยตัวไปเลย เพราะทำยังไงก้ไม่มีใครไล่ออกออกถ้าไม่ผิดวินัยอะไร ดังนั้นแล้วการกระตุ้นให้คนหาทางหนทางหนึ่งก็คือทำให้รู้ว่า เป็นนักเรียนใช่ว่าจะโดนไล่ออกไม่ได้ถ้าไม่ตั้งใจทำงานเหมือนคนอื่นเค้า <--- อันนี้ความเข้าใจส่วนตัวนะครับ จริงๆไม่รู้ว่าคนคิดเค้าคิดแบบนี้ด้วยหรือเปล่า อีกอย่าง ผมไม่ได้พยายามบอกให้ทุกคนทำเหมือนผมนะครับ เพียงแต่พยายามบอกว่า ถ้าเราจะตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้ว เช่นการรับทุน เราต้องรู้ว่านี่คือภาระหน้าที่ที่ต้องรักษาไว้ แล้วเมื่อรับแล้วก็อย่าละทิ้งโดยไม่จำเป็น นี่คือจุดยืนในความพยายามของผมครับ แล้วผมก้ได้อธิบายไปแล้วถึงเหตุผลว่าทำไมจึงยอมมีการให้ชดใช้ทุนด้วยเงินได้ ซึ่งขอพูดอีกครั้งว่า ให้ยอมทำได้เมื่อมีเหตุจำเป็นจริงๆ แล้วทำไม่ต้องเป็นเหตุจำเป็น ก็เพราะว่าถ้าทำลงไปแล้วก็เท่ากับการผิดคำพูดที่เคยให้ไว้ และนั่น สังคมหรือประชาชนควรใส่ใจ อย่างน้อยก็เป็นการรักษาสิทธิในฐานะเจ้าของเงินที่ส่งคนผู้นั้นไปเรียน ใช่ว่าใครจะออกก็ออกกันไปเงียบๆ แล้วสังคมยังเฉยไม่คิดที่จะท้วงถามถึงว่าทำไมต้องการ จำเป็นจริงหรือ อีกอย่าง ก่อนจะมีการเซ็นสัญญารับทุนจริงๆ ทาง กพ มีการเรียนผู้ได้สิทธิรับทุนไปสัมนาก่อนด้วยนะครับ แล้วเค้าก็เน้นเลยว่า คิดให้ดีก่อนเซ็น ไม่พร้อมก็อย่ารับทุน แต่ถ้ารับแล้ว กพ ไม่หวังว่าจะมีคนมาสละเมื่อเรียนจบ เพราะนั้นคือความล้มเหลวของการให้ทุน แต่ถ้าจะออกก็ออกได้ถ้าจำเป็น เมื่อ logic ของการให้ทุนถูกทำให้ชัดแต่เริ่ม ดังัน้นคงที่จะออกจากทุนต้องสามารถอธิบายได้ แล้วเราก็มีสิทธิที่จะแสดงว่าเราผิดหวังได้ครับ ส่วนเืรื่องออกประเด็น ผมไม่ได้ว่าเป็นเรื่องไม่ดี หากแต่เป็นเรื่องดีมากๆต่างหาก การแตกประเด็นช่วยสร้างมุมมองใหม่ๆได้เยอะมาก อย่างเช่นประเด็นผมไม่ตรงกับตัวกระทู้ที่ต้องการคำตอบ เพราะผมไม่ต้องการให้ใครมาสอนกันถึงวิธีออกจากทัน ถ้าใครสงสัยว่าผมทำอย่างนี้ทำไม ผมก็มีความรับผิดชอบที่จะแลกเปลี่ยนความเห็นให้อ่านกัน อย่างที่ทำมาโดยตลอด ต่างกับบางคนที่เปิดประเด็นเพียงแค่ต้องการระบบอารมรณ์ เอาสะใจเข้าว่า ไม่มีการให้เหตุผล อะไร อย่างที่เห็นๆกันอยู่ ยิ่งเลวร้ายกว่านั้นคือการมาหยอดเอาสะใจแล้วจากไป บางทีต้องมองว่า เรามานั่งพิมพ์กันทำไมยาวๆ เพื่ออะไรกัน สำหรับผมไม่ได้เพื่อจะเอาชนะหรอก แต่เพราะอยากรู้ไปจนถึงที่สุดว่าคนที่คิดแตกต่างจากผม มีอะไรที่อยู่ในใจเค้าจริงๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของแต่ละคนด้วยว่า ถ้ามาทิ้งประเด็นใดๆไว้แล้ว หากมีคนต้องการคุยต่อ จะรับผิดชอบมาคุยให้ต่อเนื่องจนประเด็นนั้นกระจ่างได้ไหม หลังจากผ่านการเขียนความเห็นในกระทู้นี้มาเกือบเดือน ผมว่าคุณโดโรที คือคนเดียวเองมั้งครับที่แสดงความได้ต่อเนื่องและสอนคล้องกับบทสนทนาของคู่สนทนา (ณ ที่นี่หมายถึงผม) อย่างไรก็ตามก็ไม่ใช่คุณโดโรทีคนเดียวที่ผมต่อบทสนทนาด้วย และต่างคนที่ผมคุยด้วยก็ต่างประเด็นออกไป อย่างไรก็อย่าสับสนไปก่อนล่ะกันครับเวลาผมบอกใครว่าอย่าออกประเด็น นั่นหมายถึงว่าอย่าคุยนอกเรื่องที่เราคุยกันอยู่ระหว่างเรา 2 คน จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 6 ส.ค. 51 07:42:13 ]

ความคิดเห็นที่ 145 สำหรับคืนนี้คงพอเท่านี้ก่อนล่ะกันครับ นอนหลับฝันดีครับ ทุกคน จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 6 ส.ค. 51 07:46:24 ]

ความคิดเห็นที่ 146 ขอมาเพิ่มเติมน่ะครับ ถูกต้อง คนเป็นส่วนนึงของระบบ เเต่ผมมองว่า การทำให้คน เปลี่ยนความคิด มันไม่ใช่ เรื่องง่ายๆทำได้ในระยะเวลาสั้น มันเป็นค่านิยม การศึกษา การเลี้ยงดูตั้งเเต่วัยเด็ก เเละสิ่งเเวดล้อมในเเต่ละช่วงชีวิต มันเหมือนกับบอกว่าทำยังไงให้คนไทยหันมาสนใจประชาธิปไตย ไม่ต้องถูกซื้อเสียง มันคงทำไม่ได้ง่ายๆ น่ะคับ คุณ ไทม์ คิดว่าการมาด่า หรือเรียกร้องคนให้เป็นคนดีในเเบบของคุณ มันทำให้คนเปลี่ยนได้หรอ คับ :p เรารณรงค์ให้คนไม่ซื้อขายเสียงตอนเลือกตั้ง มานานเเค่ไหนเเล้วด้วยวิธีเเบบนี้ เเล้วมันเวิกไหม ครับ จากคุณ : XXX - [ 7 ส.ค. 51 09:02:09 A:125.24.157.189 X: TicketID:181900 ]

ความคิดเห็นที่ 147 การที่ นักเรียนทุนพูดตอนสัมพาดอย่างนึก เเล้วทำอย่างนึง การที่คนเห็นโอกาสดีกว่าเเล้วก็ไป การที่คนไม่รักษา สัจจะ มันเป็นเรื่องที่คุณเเก้ไม่ได้ เเละ ยังก็เเก้ไม่ได้ คนเเบบนี้ มีในสังคมปกติ อยู่เเล้ว การเเก้ คือ การศึกษา สังคม วัฒนธรรม ค่านิยม การเลี้ยงดู ร้อยเเปด น่ะ ครับเเล้วต้องทำระยะยาว คนเดียวนี้ไม่เข้มเเข็ง นักศึกษาบางส่วนยอมเเม้กระทั่งขายตัว เพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุที่ต้องการ บางคนต้องประจบสอพลอ อาจารย์เพื่อให้ได้ คะเเนนมากๆ เรื่องพวกนี้มีในสังคมมากมาย มันเป็นเรื่องเหมือนว่าคนละเรื่องเเต่จิงๆเเล้ว เรื่องเดียวกันหมด ถามว่าคุณจะเเก้ยังไง ครับ บอกหน่อยได้ไหม จากคุณ : xxx - [ 7 ส.ค. 51 09:09:58 A:125.24.157.189 X: TicketID:181900 ]

ความคิดเห็นที่ 148 ถูกต้องครับ ซึ่งแปลว่า คุณก็ยอมว่าตัวคนก็คือปัญหา แต่เป็นปัญหาที่แก้ยากโดยการอ้างที่ว่าปัญหานี้มีมายาวนาน ถ้าแก้ได้ป่านนี้คงทำได้ไปนานแล้วใช่ไหมครับ งั้นถ้าผมจะมองเรื่องระบบของไทย มันก็แย่ ช้า ไร้ประสิทธิภาพ ไม่โปร่งใส เงนิเดือนน้่อย มานาน 100 ปีแล้วเหมือนกันนี่ครับ งั้นเราก็ควรยอมรับมันซะเลยตอนนี้เป็นไงครับ ไม่ต้องคิดแก้แล้วเหมือนกันใช่ไหมครับ สรุปว่ามีปัญหาก็ไม่ต้องไม่แก้มันแล้ว เพราะดูเหมือนว่ามันแก้ยาก ? สำหรับผมมองว่า ทุกอย่างยังมีหวังครับ แล้วนั่นแปลว่า เราเองต้องเชื่อ และลงมือทำ ถามว่าผมจะแก้ยังไง ผมก็คงทำไปเท่าที่ผมจะทำได้ แล้วไม่หยุดทำเพราะเชื่อว่าอย่างน้อยสังคมเล็กๆรอบตัวผมก็จะไม่เป็นอย่างนั้น ถ้าทุกคนช่วยกัน ไม่ใช่ผมคนเดียวมันก็เปลี่ยนแปลงได้  แต่ไม่ได้บอกว่ามันจะง่ายหรอกครับ แต่ถ้าทุกคน give up ความหวัง แล้วหยุด ทุกอย่างก็จบเลย ใช่ไหมครับ ดังนั้นแล้วครับ ในกรอบของตัวบุคคล เช่นตัวผม ตัวคุณ มองอย่างคร่าวๆ เราต่างก็ก็มี 2 ตัวเลือกให้เลือกทำในชีวิต คือดี หรือไม่ก็ทำไม่ดี เราควรจะเลือกทำแบบไหนครับ และในกรอบของการเขียนความเห็นในกระทู้ เมื่อเห็น นักเรียนทุนมาบอกว่าจะออกจากทุน เราควรทำไงครับ  นิ่งเฉย หรือ ชื่อชม หรือ ทวงถามความรับผิดชอบ แต่สิ่งที่ผมทำคือ ทำอย่างที่เขียนไปใน คห 1 นั่นแหละครับ ผมกระตุ้นให้เค้าทบทวนในสิ่งที่เค้าเคยพูดไว้ ทบทวนให้นึกถึงความรับผิดชอบ  การทำอย่างนี้อย่างน้อยมันคงช่วยให้เค้าแน่ใจว่าถ้าเค้าจะออกคงเพราะมันจำเป็นจริงๆ และทำอย่างนี้ก็เพื่อนนักเรียนทุนในสังคมเราจะได้ตระหนักว่า สังคมจับตามองอยู่ อย่าคิดว่จะทำอะไรไร้ความรับผิดชอบไปโดยง่าย เพราะอย่างน้อยคุณต้องอธิบายให้สังคมได้ และนั่นคือสิ่งที่อย่างน้อย สังคมไทยเราควรมีกันใช่ไหมครับ การสอดส่องดูแล เอาใจใส่ในปัญหาบ้านเมือง มาถึงตรงนี้แล้ว ก็เห็นชัดแล้วว่า สิ่งที่ผมทำ ก็ไม่ผิด คุณเองก็ไม่ได้บอกว่ามันผิด แต่บอกผมว่าทำไปมันก็เท่านั้น  อย่างไรก็ตามถ้ามันไม่ผิด ผมก็คงทำแบบนี้ต่อไป เพราะผมเชื่อว่าผมคงจะทำอะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย ดังนั้นแล้ว ผมคงบอกว่าแทนที่จะมาห้ามผมให้เลิกตำหนิคนที่ไม่รักษาคำพูด/ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่  ผมว่าคุณควรต้องมาช่วยกันทำ/บอกคนในสังคมว่าคนแบบนี้น่าผิดหวัง  ซึ่งดีกว่าที่คุณจะไม่ทำอะไรเลย อย่างไรก็ตาม การไม่ทำอะไรเลยดีกว่าสิ่งที่คุณพยายามทำในตอนนี้นั่นคือ บอกให้คนอื่นเลิกทำ แม้ว่าอาจจะเห็นว่ามันไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้เลยในตอนนี้ แต่การลงมือทำ ย่อมดีกว่าการหยุดนิ่ง สุดท้าย อย่ามาบอกผมว่า เรายังสามารถทำอื่นๆได้อีกหลายอย่างที่จะแก้ไขปัญหา ถูกครับ แต่ 1 ในหลายๆอย่างก็คือสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้ไงครับ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 7 ส.ค. 51 15:10:22 ]

ความคิดเห็นที่ 149 โชคดีที่เปิดเจอกระทู้นี้พอดี เราเองก็ได้มีโอกาสสมัครทุนก.พ. ครั้งล่าสุดนี้เอง เป็นครั้งแรก และ"โชคดี"สอบติด 5 คนแรก ได้เข้าสัมภาษณ์เพื่อเลือกเพียงหนึ่งเดียว และผลก็ประกาศไปแล้วเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา.....ถึงเราไม่ได้ แต่ก็ดีใจกับคนที่ได้จริงๆ เพราะเราเชื่อในความสามารถและความเหมาะสมที่สุดของเค้าเช่นกันค่ะ เท่าที่อ่านหลายความเห็นในนี้ ก็เข้าใจและยอมรับความคิดเห็นของท่านทั้งหลาย รู้สึกได้เปิดโลกทัศน์ดี ได้อ่านความเห็นข้างต้น ความเห็นหลักสิบบนๆ(จำเลขที่ไม่ได้) เกี่ยวกับ คนที่ได้ทุนคิง ทุนอานันทมหิดลแล้วได้เข้าเฝ้าฯ จากนั้นในหลวงท่านมีรับสั่งว่า ให้ช่วยกันกลับมาพัฒนาประเทศชาติ พอท้ายที่สุดก็หนีไปทำงานแลกกับเงินเยอะๆแทน ความเห็นของเราที่อยากจะเขียนนี้ อาจจะไม่เกี่ยวกับประเด็นนี้เลยก็ได้ เพียงแต่อยากจะร่วมแบ่งปันประสบการณ์ที่เรามีน้อยนิดของเราบ้างเกี่ยวกับประเด็นข้างต้นท่านั้นเอง ขอเล่าเกี่ยวกับตัวเองสั้นๆ...... ตัวเราเป็นสาวประเภทสองที่"โชคดี" เอนท์ติดมหาวิทยาลัยของรัฐบาล ในสาขาที่ตัวเองชอบและใฝ่ฝันมาตลอดเวลาที่เรียนม.ปลาย ไม่ใช่สาขายอดนิยมหรือเลิศหรูอะไรเลย เพียงแต่เรารู้สึกว่าเรามีความสุขในทุกๆวันกับการเรียนเท่านั้นเอง ช่วงเวลาเรียน...หลังจากหมดพิธีทางการและไม่ทางการช่วงปี 1 ที่จัดโดยทางมหาวิทยาลัยเอง และคณะอย่างหมดสิ้นแล้ว.....ตลอด 4 ปีของการเรียนเราก็ใช้ชีวิตเยี่ยง"นิสิตหญิง"คนหนึ่งในมหาวิทยาลัยตามปกติ ไม่เคยรู้สึกและไม่เคยมีใครทำให้เรารู้สึกว่า"เป็นตัวประหลาด" เลยสักนิดเดียว ตลอดเวลาที่เรียนที่นี่ ทุกๆคน ไม่ว่าจะเป็นคณบดี รองคณบดีฝ่ายกิจการนิสิต อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ทุกท่านทุกคณะ เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียน ฝ่ายแนะแนว และอีกมากมาย ....ทุกคนดีกับเรามาก แต่ความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ ในวันสำเร็จการศึกษา เราเข้าร่วมพิธีพระราชทานปริญญาบัตรไม่ได้....เป็นเรื่องปกติของสาวประเภทสองทุกคนในมหาวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เราทำใจไว้แล้วตั้งแต่เข้ามาเรียนปี 1 แต่สิ่งที่เรายึดถือเสมอมาก็คือ การยึดมั่นในความดี การมองโลกในแง่ดี และความมั่นใจในการทำสิ่งใดๆก็ตามที่ไม่เดือนร้อนตนเองและผู้อื่น เพราะแค่ที่เราได้เรียนมหาวิทยาลัยของรัฐ ต้องจ่ายค่าเทอมที่ถูกกว่าความเป็นจริง เนื่องจากมีเงินภาษีของประชาชนมาช่วยอุดหนุนอยู่บางส่วน....เราก็สำนึกในบุญคุณของประชาชน บูรพาจารย์ที่ร่วมกันก่อตั้งมหาวิทยาลัย และ ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ พระมหากรุณาธิคุณของในหลวงที่ทรงมีต่อมหาวิทยาลัยของเรา ในวันที่มีงานพระราชทานปริญญาบัตร เราในชุดครุยบัณฑิตหญิงเต็มยศก็ไปร่วมแสดงความยินดีกับตัวเองและเพื่อนๆด้วย เราไม่ได้บอกใครสักคนเรื่องงานรับปริญญาเลย ขอให้มีเพียงพ่อ แม่ และพี่ชาย(แท้ๆ) เพียงแค่นี้มาร่วมกับเรา เราก็ดีใจแล้ว เมื่อเสียงประกาศเรียกบัณฑิตเข้าอาคารที่จะมีพิธี.....เราก็ยอมรับว่ารู้สึกวูบและใจหายไปไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งๆที่เราจะต้องอยู่แถวหน้าๆในวันนั้น แต่แค่ได้เข้าร่วมซ้อมย่อยแค่ 1 วัน เราก็มีความสุขมากแล้ว สำหรับเราแล้วการได้เข้าร่วมพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้แต่การรับพระราชทาน/ประทานรางวัลอะไรสักอย่าง เราไม่สามารถเลยแม้สักนิดเดียว.....เราจึงรู้สึกดีใจและแอบอิจฉาคนเหล่านั้นที่ได้ใกล้ชิดกับพระองค์ ถือเป็นโอกาสอันดีในชีวิตก็ว่าได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายๆคนอาจจะไม่รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่พวกเขาได้รับนัก เพราะในชีวิตนี้อาจจะไม่เคยต้องเจอกับการ"ถูกปฏิเสธ" โดยไม่มีข้อแม้แบบเรา แค่มีความรู้ ความสามารถ และภาพลักษณ์ที่แสดงสู่สายตาคนภายนอกว่าไม่ใช่"ตัวประหลาด" เท่านั้น ทุกเรื่องก็ดูเหมือนเป็นสิ่งที่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด เราก็พอจะเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องความอึดอัดในการทำงานวงราชการ และการต้องอยู่ชดใช้ทุน ที่เป็นเหมือน"บ่วง" แต่ถ้าเรามองในอีกแง่มุมหนึ่ง กับการทำงานเอกชน ได้ค่าตอบแทนหรูหรา มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งคุณก็ต้องทำงานให้เค้าแบบถวายหัวเลยเหมือนกัน ไม่มีที่ไหนเค้ามาจ่ายให้คุณเป็นแสนๆหรอก ถ้าจะให้คุณจะมานั่งโชว์สวยเฉยๆ คุณน่าจะใช้โอกาสดีๆที่คุณได้รับ มาปรับปรุงระบบงานราชการของประเทศเราน่าจะดีกว่านะคะ ....อย่ารอแต่จะให้มันดีขึ้นมาเอง เพราะถ้าเราไม่ช่วยกันแล้วใครจะมาช่วยเรา แล้วมันจะพัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร ประเทศนี่มันก็ประเทศของเราเอง ถ้ามันแย่มากนัก ก็ช่วยกันปรับปรุง ช่วยกันพัฒนา.....เห็นกลัวกันจังเวียดนามน่ะ ทั้งๆที่เราน่าจะกลัวการย่ำอยู่กับที่ของพวกเราเองมากกว่า เพราะเราเชื่อว่าคนรุ่นใหม่มีศักยภาพมากพอที่จะแสดงพลังของตนเองออกมา สร้างสิ่งที่ดีงามให้กับประเทศของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของภาคราชการหรือเอกชนก็ตามที แต่ถ้ามันขื่นขมนักก็ใช้ทุนเป็นจำนวนเงินเถอะค่ะ....เพราะไม่อยากให้ใครต้องอยู่อย่างตายทั้งเป็น แต่เราเชื่อนะว่าทุกปัญหามีทางออกเสมอ และท่านผู้ได้รับโอกาสอันดีนี้ก็ใช้สติปัญญาที่ดีกว่าคนส่วนใหญ่ทั่วไปในประเทศนี้ มาช่วยกันคนละไม้คนละมือเถอะนะคะ เพราะเมื่อเรารู้จักรับก่อน ก็ต้องรู้จักให้ก่อนบ้างเช่นเดียวกันค่ะ จากคุณ : แบรนดี้ - [ 8 ส.ค. 51 17:39:23 A:125.25.24.192 X: TicketID:183890 ]

ความคิดเห็นที่ 150 อ่านเเล้วก็ทนไม่ได้ ไม่รู้จะด่าว่าไงพวกที่มาเพ้อเจ้อเนี่ย ค่ะ ทุกคนก็อยากให้คนอื่นเสียสละ เเต่ถึงตัวเองก็เห็นเเก่ตัวกันอยู่ ผู้บริหาร กพ ได้เงินเดือนเท่าไหร่ เงินเดือนพิเศษเท่าไร ไปนั่ง คณะกรรมการไหน เเล้วได้เบิ้่ยประชุม อีกเท่าไหร่ ค่ะ คนที่มาโพสเรียกร้องให้คนอื่นเสียสละ เคยทำไรเพื่อส่วนรวมไหม ทำเเค่ไหน หล่ะ ค่ะ คิดอะไรบนความเป็นจริง กันหน่อยก็ดี ข้าราชการระดับล่างจะอดตายกันอยู่เเล้ว ของก็เเพง เงินก็น้อย น่ะค่ะ ถามเเทนพวก นักเรียนทุนด้วย ถ้า จบ ป เอก เศรษฐศาสตร์ มาจาก ฮาวาร์ด คุณจะมารับเงินเดือนหมื่นห้า ทำงานเช้าชามเย็นชามในระบบราชการไทย ไหม ถ้าคุณมีพ่อเเม่ที่ต้องรับผิดชอบ ครอบครัว ลูกที่จะมีในอนาคต ถ้าเทียบกับเงินเดือน ใน ตปท ระดับ สามสี่เเสน ต่อเดือน มันต่างกันยี่สิบเท่า มาเรียกร้องบ้าบอ ไม่เข้าเรื่อง พูดความจริงกันไหม ว่า คนที่ทนทำถ้าบ้านไม่รวย ก็ต้องมีเงินเหลือใช้ หรือไม่ก็คงเป็นคนที่ทำอะไรไม่คิดให้ถี่ถ้่วน ไม่เเคร์ พ่อเเม่ ลูกเมีย หรือที่เเย่ที่สุดก็คงจะบ้า น่ะค่ะ ลองคิดๆๆๆๆ ดูน่ะค่ะ ความจริง อย่าเพ้อฝันให้มันมากนักเลยค่ะ จากคุณ : คนที่รู้เรื่องจริง - [ 9 ส.ค. 51 00:16:44 A:125.24.113.89 X: TicketID:181605 ]

ความคิดเห็นที่ 151 คุณ Time อะไร นี่ ด้วย ค่ะ เท่าที่อ่านมาเห็นว่าทำงานในมหาลัยมาสักพัก เงินเดือนคงมากเเล้วไหม ค่ะ ลามาเรียนก็คงได้เงินเดือนอยู่ใช่ไหม ค่ะ เเล้ว กลับไป มหาลัยของคุณคงออกนอกระบบ เงินคงเยอะขึ้นน่ะค่ะ มิน่าดูเเฺฮปปี้ดีน่ะค่ะ ถ้าให้มาทำราชการเงินเดือนหมื่นห้า ไม่มีบ้านกรุงเทพ พ่อเเม่ไม่ได้มีเงิน จะทำไหม ค่ะ อย่าตอบโยกโย้ น่ะค่ะ ตอบว่าทำไม่ทำเเค่นั้น จากคุณ : คนที่รู้เรื่องจริง - [ 9 ส.ค. 51 00:35:10 A:125.24.113.89 X: TicketID:181605 ]

ความคิดเห็นที่ 152 ให้ลองเเจกเเจง ค่าใช่จ่ายเเล้ว คิดด้วย น่ะค่ะ ว่าจะใช้ชีวิตเเบบไหน อย่าตอบเเบบว่าขอไปที่ น่ะค่ะ เช่นตอบว่าไปนอนวัดไม่มีค่าที่พักคงไม่ได้น่ะค่ะ เเล้วก็เห็นในบล็อกของคุณเรียนเคมบริดจ์ ใส่ชุดในรูปซะเท่ห์ จะให้ไปนอนเเฟลตถูกๆ เเละ นั่งรถเมล์คงไม่ได้หรือเปล่าค่ะ จากคุณ : คนที่รู้เรื่องจริง - [ 9 ส.ค. 51 00:43:35 A:125.24.113.89 X: TicketID:181605 ]

ความคิดเห็นที่ 153 K. คนที่รู้เรื่องจริง Very good opinion, even ironic. As I told, even we told the true story or propose the good policy, but if it against the opinion the most people think, we will be citicized bad guys. This is a Thai soceity. P.S. As I know no Thai student can enter Economics program at Harvard or MIT several years. จากคุณ : ..... - [ 9 ส.ค. 51 01:16:21 A:161.130.224.6 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 154 คุณไทม์ ผมขอตอบสาเหตุจริงที่ผมคิดน่ะ เรื่องอื่นไม่อยากไปพูดมากเเล้ว ผมคิดว่าการที่คุณมาโทษ คน ทำให้คนที่มีหน้าที่เเก้ปัญหาระบบราชการห่วยอ้างได้ว่าเป็นที่คนเเล้วก็ปัดสวะไปไกลๆ ตัว ไม่ตั้งใจเเก้ปัญหาคนเก่งไม่อยากทำงานให้รัฐอย่างจริงจัง ผมมองว่าการที่คุณมาบอกเเบบนี้ มันไม่ไดเรคเรื่องไปยังปัญหาจริงๆ คือระบบ ไม่ใช่ คน คุณต้องช่วยกันด่า พวกที่ออกนโยบายปัญญาอ่อน จะเอาคนเก่งเเต่จะจ่ายน้อยๆ ประเทศมันถึงสืบทอดความดักดานมาได้ขนาดนี้ หันดูรอบตัวว่าไอ้คนที่เป็นราชการนี้มันหัวกะทิของประเทศไหม หรือเป็นหางกะทิ หรือเเค่กะลามะพร้าว ในขณะที่ประเทศอื่นเขาไปถึงไหน เวียดนามขาดอาจารย์ก็มาจ้างอาจารย์ไทยไปสอนเบ็ดเสร็จเดือนเป็นเเสน นี่เขาเรียกว่า ใครโง่ใครฉลาด ใครปัญญาอ่อน ใครดักดาน จากคุณ : XXX - [ 9 ส.ค. 51 01:51:51 A:125.24.129.218 X: TicketID:181900 ]

ความคิดเห็นที่ 155 อ้า ใจเย็นแล้วฟังดีๆนะครับ คุณคนที่รู้เรื่องจริง ผมจะตอบไม่โยกโย้ แล้ว ตอบอย่างไม่โกหกด้วยครับ คุณจะเชื่อไม่เชื่อ สุดแล้วแต่ ถ้าบ้านผมจน พ่อแม่ลำบาก แล้วเราเป็นที่พึ่งหลัก แน่นอนครับผมจะต้องเลือกทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้บ้านผมสบายก่อน ดังนั้น หนทางที่ต้องมาสมัครรับทุน กพ เพื่อแค่ไปเรียนนอกแล้วกลับมาเงินเดือนน้อยๆ ผมก้ไม่เลือกหรอกครับ อ่านดีๆนะครับ ผมไม่เลือกสมัครรับทุนหรอกครับ  !!!! ผมจะไม่มีทางคิดเอาเปรียบสังคมหรอก ที่จะมารับทุน เพื่อจะเอาทุนชุบตัวแล้วรอจังหวะหนีไปทำงานเงินเดือนสูงเมื่อเรียนจบ แต่ผมจะแสวงหาทุนอิสระด้วยตัวเองหากผมต้องการเีรียนต่อต่างประเทศแล้วหวังจะทำงานที่นั่นเมือ่เรียนจบ แต่ถ้าใครคิดจะมารับทุนโดยมีความตั้งใจแอบแฝงว่าเรียนจบเมือ่ไหร่จะหาโอกาสชิ่งทันที คิดแบบนี้แย่ครับ แล้วที่ผมพูดมาทั้งหมด ผมพูดในส่วนนี้นะครับ นั่นคือส่วนของความรับผิดชอบ ถ้่าคุณมีความจำเป็นต้องหาเงิน เพราะเงือนไขทางบ้าน ก็อย่ารับทุนเพราะการรับทุนไม่ได้ทำให้รวย แล้วอย่าคิดบิดเบี้ยวใจตัวเองเพียงเพราะความลำบากจนคิดจะโกงและเอาเปรียบสังคม  จนหลงผิดคิดไปว่า ทุนให้มาเพื่อเอาไปชุบตัว เห็นด้วยไหมครับ ??? เออ อีกอย่าง จะบอกว่า ผมไม่ได้รณรงค์ให้คนมารับราชการนะครับ คุณตั้งคำถามจี้ผมซะราวกับว่าผมมาเรียกร้องให้คนเสียสละมารับราชการทำเพื่อชาติอะไรอย่างนั้น ที่ผททำคือผมรณรงค์ให้คนคิดให้ดีก่อนจะรับทุน รับผิดชอบต่อความเป็นคนทีดีไม่เอาเปรียบสังคมโดยการคิดจะแอบเข้ามารับทุนเพียงเพื่อหวังจะชุบตัวแล้วตั้งใจหาโอกาสทุกอย่างเพื่อหนีออกไป   ส่วนคนที่เผลอมาแล้วแล้วอยากจะออกก็ควรคิดให้ดีแน่ใจว่านั่นคือความจำเป็นจริงๆ  ตรงนี้ไม่เกี่ยวกับการขอร้องให้คนเสียลสะละทิ้งความสบายและหันมาทำงานเพื่อชาติแต่อย่างใดเลยนะครับ --------------------------------------------------------------- สำหรับคุณแบรนดี้ ขอบคุณสำหรับความเห็นดีๆ ที่สะท้อนมุมมองชีวิตในด้านดีๆออกมา ขอชื่นชมครับ :) แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 51 03:01:44 จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 9 ส.ค. 51 02:09:38 ]

ความคิดเห็นที่ 156 คุณ XXX อืม ... ก็คงจะเป็นความเชื่อส่วนตัวของคุณนะครับ แต่ผมก็ไม่ได้บอกหรือชวนให้เรามานั่งตำหนิที่คนอย่างเดียวนี่ครับ เพราะมันมีอะไรหลายๆอย่างที่ต้องทำเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่ในกรอบของตัวบุคคล มีอะไรไม่ถูกเราก็ต้องวิจารณ์ไปตามนั้น และในทางกลับกัน ถ้ามองอย่างที่คุณมอง ผมก้พูดได้แบบนี้เหมือนกันว่า ถ้าระบบยังต้องใช้เวลากว่านะพัฒนา แล้วเราละเลยไม่สนใจที่ตัวคน ดีไม่ดี ตัวคนนี่แหละ ที่จะเอาระบบมาอ้างเป็นเหตุบังหน้าที่ตัวเองอาจเป็นคนไร้ประสิทธิภาพหรือเห็นแก่ตัวจริงๆ แต่อ้างระบบไว้ก่อนเลยว่านี่แหละเพราะระบบฉันเลยให้ได้แค่นี้   อย่างไรก็อย่างนั้น แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 51 02:35:37 จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 9 ส.ค. 51 02:29:01 ]

ความคิดเห็นที่ 157 เห็นด้วยกับคุณ TimeS-To-Enjoy ในประโยคค.ห. 155 ที่ว่า "ที่ผมทำคือผมรณรงค์ให้คนคิดให้ดีก่อนจะรับทุน รับผิดชอบต่อความเป็นคนทีดีไม่เอาเปรียบสังคมโดยการคิดจะแอบเข้ามารับทุนเพียงเพื่อหวังจะชุบตัวแล้วตั้งใจหาโอกาสทุกอย่างเพื่อหนีออกไป ส่วนคนที่เผลอมาแล้วแล้วอยากจะออกก็ควรคิดให้ดีแน่ใจว่านั่นคือความจำเป็นจริงๆ" จากประโยคข้างบน โดยเฉพาะตรงเนี้ย "ที่ผมทำคือผมรณรงค์ให้คนคิดให้ดีก่อนจะรับทุน" เรื่องค่าตอบแทนนั่นเราก็เห็นด้วยว่า มันน้อยมาก จบตั้งป.เอก ฮาวาร์ด จะให้มารับเงินเดือนหมื่นห้า (เอ่อ...มันหมื่นห้าจริงหรอ) ขึ้นรถเมล์ ก็กระไรอยู่ แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน เราว่างานราชการมันทำงาน จ-ศ 9.00-16.00 น. ก็อาจจะพอหา JOB พิเศษอย่างอื่นได้อีก เชื่อว่าคนระดับป.เอก ฮาร์วาร์ดน่าจะคิดอะไรขั้นเทพได้ พอๆกับปริญญาขั้นเทพที่ได้รับมา ทำให้นึกถึงคำพูดเจ๊ม้าในรายการ The Star ที่มีคนใน pantip มาเขียนเอาไว้ว่า "เมื่อดังแล้ว อย่าลืมว่าตัวเองมาจากที่ไหน" เช่นเดียวกันกับ "มงกุฎฮาวาร์ด" ที่สวมอยู่ ถ้าไม่มีทุนนี้ "คนเก่ง"คนหนึ่งจะได้มันมาครองหรือเปล่า ถ้าสามารถไขว่คว้าหามันได้ด้วยตนเอง โดยไม่มีเงินภาษีของประชาชนมาเกี่ยวข้อง คุณก็ไม่ต้องมากดดันอย่างนี้หรอกค่ะ เพราะฉะนั้น ขอยืมประโยคเดิมมาอีก "ที่ผมทำคือผมรณรงค์ให้คนคิดให้ดีก่อนจะรับทุน" เราว่ามันก็ครบแล้วนะ ใช่ว่าก่อนรับทุนจะเป็นละอ่อนเดียงสาน้อย ไม่รู้ว่าระบบราชการไทยนี่"ขึ้นชื่อ"แค่ไหน ทั้งที่รู้ๆอยู่ทุกคนล่ะนะ ทั้งหมดทั้งปวงก็อย่าลืมดู "วัตถุประสงค์ของทุน" ก่อนจะสอบทุนด้วยนะจ๊ะ เค้าก็บอกแล้วว่าอยากให้มาเป็นกำลังของประเทศ ถ้ามันไม่ดีก็ช่วยกันพัฒนา....ต้องหลายๆคนด้วย เพราะคนเดียวมันทำไม่ได้หรอก ขอเป็นกำลังใจให้จ้ะ จากคุณ : แบรนดี้ - [ 9 ส.ค. 51 15:28:17 A:125.25.63.147 X: TicketID:183890 ]

ความคิดเห็นที่ 158 จริงๆก็อยากรู้ด้วยว่า ทำงานราชการมันแย่มากเลยหรอคะ แบบว่าเรามันไม่มีประสบการณ์ค่ะ อยากทราบจากทุกๆท่านที่ว่ามันแย่ มันแย่ยังไงหรอคะ ช่วยบรรยาย วิจารณ์กันให้ฟังหน่อย ไม่ได้กระแนะกระแหนนะ แต่อยากทราบจริงๆ ละเอียดได้ยิ่งดี ว่าเจออะไรกันมาบ้าง เพราะอะไรถึงเจอ แล้วมันส่งผลกระทบต่อท่านและครอบครัวอย่างไร เพราะถ้าไม่ระบุปัญหา เราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจที่ท่านพูดมาสักเท่าไหร่....ขอความรู้ด้วยนะคะ ตุ๊ดงงค่ะ จากคุณ : แบรนดี้ - [ 9 ส.ค. 51 15:42:01 A:125.25.63.147 X: TicketID:183890 ]

ความคิดเห็นที่ 159 เวลาติดต่อกับราชการเเล้วเจอข้าราชการนั่งเมาท์กัน หรือ เเปรงฟันอยู่ เจอตำรวจจับเเบบเเปลกๆ หรือ เวลาไปติดต่อขอเอกสารที่มหาลัยเเล้วรอเป็นเดือน อันนี้ คือตัวอย่างง่ายๆ ที่เเสดงถึงการขาดประสิทธิภาพของระบบราชการ น่ะค่ะ ปัญหาระบบราชการมันใกล้ตัว จนทุกคนนึกว่าเป็นส่วนนึงของชีวิต ไม่มีปัญหาอะไร หรือค่ะ เพิ่มเติมจากคุณ ไทม์ เเสดงว่าคุณไทม์คิดว่าคนเก่งที่ไม่พร้อมทางครอบครัวมาก่อนก็ไม่สามารถมาทำงานให้ราชการได้หรือค่ะ เเล้วทำไมข้าราชการไม่เเก้ปัญหาให้เขาทำได้หล่ะค่ะ เเล้วเรื่องคิดก่อนรับทุน ถ้าคนนั้นรับตั้งเเต่ ม ต้น หรือ ม ปลาย หล่ะ ค่ะ เเล้วไม่รู้่ว่า ตัวเองมีชีวิต มีครอบครัวต้องรับผิดชอบ ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เงินมากมายจริง หรือเกิดว่า ฐานะทางครอบครัวเปลี่ยนไปในช่วงเรียนต่อ เเปลว่าเขาไม่ต้องกลับมารับใช้ทุนได้ คิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องเเล้วใช่ไหม ค่ะ อย่างนี้ถือว่าเป็นปัญหาระบบราชการไหม ค่ะ คือถ้าคุณเก่งเเต่ครอบครัวไม่มีฐานะ ก็ไม่ควรทำราชการ หรือค่ะ ทำไม ราชการจะเอาเเต่คนรวยๆ เก่งๆ เสียสละ หรอ ค่ะ มันจะมีไหม ค่ะ คนเเบบนี้ จากคุณ : คนที่รู้เรื่องจริง - [ 9 ส.ค. 51 16:59:37 A:125.24.142.149 X: TicketID:181605 ]

ความคิดเห็นที่ 160 เเล้ว ที่ ถามไปเมื่อวานน่ะค่ะ เเปลว่า ถ้าคุณไทม์ จบ ปเอก ฮาวาด ครอบครัวไม่มีฐานะ คงไม่ทำงานให้ราชการใช่ไหม ค่ะ เเอบเห็นว่าตอบเลี่ยงไปซะ ว่าจะไม่รับทุน ตั้งเเต่เเรกซะงั้นเลยน่ะค่ะ จากคุณ : คนที่รู้เรื่องจริง - [ 9 ส.ค. 51 17:10:31 A:125.24.142.149 X: TicketID:181605 ]

ความคิดเห็นที่ 161 คนที่รู้เรื่องจริง ''เเล้วเรื่องคิดก่อนรับทุน ถ้าคนนั้นรับตั้งเเต่ ม ต้น หรือ ม ปลาย หล่ะ ค่ะ เเล้วไม่รู้่ว่า ตัวเองมีชีวิต มีครอบครัวต้องรับผิดชอบ ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เงินมากมายจริง หรือเกิดว่า ฐานะทางครอบครัวเปลี่ยนไปในช่วงเรียนต่อ เเปลว่าเขาไม่ต้องกลับมารับใช้ทุนได้ คิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องเเล้วใช่ไหม ค่ะ''  <--- ถ้าเค้ามีเหตุผลที่จำเป็น ก็ต้องให้เค้าไปหละครับ ถามผมว่าถูกต้องไหม  ผมก็ตอบว่าไม่ถูกต้องหรอกเพราะการไปของเค้าคือ error ค่าหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ของ process การให้ทุน   และสำหรับผมคือความเข้าใจแต่ไม่สนับสนุน เข้าใจที่ทุกคนไม่เหมือนกัน เงือนไขชีวิตแตกต่างกัน ถ้ามีความจำเป็นจริงๆคือเข้าใจครับ แต่ไม่สนับสนุนให้ใครคิดจะละทิ้งหน้าที่โดยไม่จำเป็น  (เอ๊ะ่นี่ ผมก็พูดแบบนี้มาหลายรอบแล้วนี่ คุณไม่ได้อ่านเลยหรอ)   ''เพิ่มเติมจากคุณ ไทม์ เเสดงว่าคุณไทม์คิดว่าคนเก่งที่ไม่พร้อมทางครอบครัวมาก่อนก็ไม่สามารถมาทำงานให้ราชการได้หรือค่ะ เเล้วทำไมข้าราชการไม่เเก้ปัญหาให้เขาทำได้หล่ะค่ะ''  <---- อืม นี่คุณกำลังพูดถึงคนที่มี 'ใจ' อยากทำราชการแต่ไม่มีโอกาสใช่ไหมครับ  แต่ที่ผ่านมาผมพูดถึงคนที่ไม่ได้มีใจอยากทำราชากรแต่ดันมาหาโอกาสกอบโกยในระบบราชการ เช่นมาสอบชิงทุนเพื่อหวังชุบตัวผมเลยบอกว่าคนแบบนี้ขอให้มีความรับผิดชอบหน่อย  ดังนั้นคำแย้งของคุณถือว่าตกไปนะครับ เพราะไม่ใช่อธิิบายหักล้างในประเด็นของผมได้:)   ดังนั้นคราวนี้ คุณต้องตอบคำถามผมบ้างว่า คุณคิดยังไงกับคนที่มองทุนเป็นโอกาสที่จะกอบโกยผลประโยชน์เพียงเพื่อตัวเอง และพร้อมที่จะละทิ้งความรับผิดชอบในทันทีเมื่อสามารถทำได้ ???  แล้วเห็นด้วยไหมว่าเราต้องช่วยกันแก้ปัญหานี้ในทุกๆทางทั้งตัวบุคคลและระบบไปพร้อมๆกัน ไม่สามารถละทิ้งทางใดทางหนึ่งได้  ??? ปล. เผื่อคุณจะลืม ดังัน้นขออีกครั้งว่า  ผมไม่เคยคัดค้านเลยที่เราต้องแก้ที่ระบบด้วย ดังนั้นเวลาจะเถียงกันต่อ อย่าเถียงใน model ที่คิดว่าผม ไม่เชื่อว่าระบบต้องแก้ หากแต่ต้องแก้ที่คนเท่านั้น เอาหละ จะรออ่านความเห็นต่อไปนะครับ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 9 ส.ค. 51 18:07:50 ]

ความคิดเห็นที่ 162 อ้าว ????? ''เเล้ว ที่ ถามไปเมื่อวานน่ะค่ะ เเปลว่า ถ้าคุณไทม์ จบ ปเอก ฮาวาด ครอบครัวไม่มีฐานะ คงไม่ทำงานให้ราชการใช่ไหม ค่ะ เเอบเห็นว่าตอบเลี่ยงไปซะ ว่าจะไม่รับทุน ตั้งเเต่เเรกซะงั้นเลยน่ะค่ะ'' นี่ก็พูดไม่คิดเลยยยย  พูดเอามันส์จริงๆ คำถามคุณมันก็ต้องมี logic หน่อยซิครับ ถ้าไม่มีเหตุผลเจืออยู่ในคำถาม แบบนี้ก็เท่ากับว่าถามหาเรื่องหรือเปล่าครับ hahaha   อ่ะ ของเล่นไปกับคุณก็ได้  งั้นต้องบอกผมก่อนว่า ถ้าบ้านผมจนที่บ้านมีหนีสินต้องการการเงิน พี่น้องวัยกำลังเรียน จู่ๆผมได้เรียน ป เอก ที่ Harvard ได้ไงครับ และอธิบายด้วยว่า ถ้าเห็นๆอยู่ว่าบ้านต้องการกำลังจากเราไปช่วยเลี้ยงดู การไปเรียนเอก 5-6 ปี ที่บ้านจะเอาอะไรกินระหว่างนั้น แล้วก็รู้ๆอยู่ว่า เรียนกลับมาแล้วเงินเดือนจะได้น้อยๆไมพอกิน แสดงว่า ผมต้องคิดอะไรอยู่ในใจเกี่ยวกับการรับทุน จึงรับทุนไปเรียนเอก ทั้งๆที่บ้านแทบจะอดตายอยู่แล้ว ????? ขอ logic จากคุณเพิ่มเติ่มด้วยนะครับ จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 9 ส.ค. 51 18:19:20 ]

ความคิดเห็นที่ 163 I did not go to Harvard nor MIT nor Ox-Bridge... :) I may not be qualified to make this honorable discussion. If it's the case, I do apologize. I signed a contract with the Thai government and intended to come back for my old job as a university instructor..... Because I believe that I can make a difference to my students, my workplace and Thailand, more or less. Six long years in the US as a graduate student, I brought my family to a middle of nowhere in the US, and earned a paper and other perspectives in life. Right before my PhD exam, a drug company offered me a job to continue to do research like what I did during my PhD. I thought really good about myself and believe that that offer would imply my quality somehow... Here I am in Thailand, working as a university instructor (again) for about 6 months.... Few months ago, my dean and my president allowed me to get financial support to my research to enhance "my" research facility for another 0.25 M USD..... I am now in another debt, willingly. :) Last Friday, I successfully encouraged #1 scientist on this planet in my field to be one of my co-investigators/mentors in a jointed research project with me, a person with almost nothing but ideology. My salary? 15,000 Baht per month... as you ironically satired! :) However, a sense of pride and confidence is fulfilled.... Right now, I am more than ready to serve this country and its people with the offered salary, whatever it is, truly! :) I am glad that I stick to my own "words", unless I would not have the chance of my lifetime to be trusted by my president & dean, and be mentored by that person, #1 scientist in the world in my field. I have a chance to validate my belief that education can uplift my country.... All of these comes into a reality because I have kept my words tight and truthful, that includes the one I signed with Kor Por. :) จากคุณ : amatuer translator - [ 9 ส.ค. 51 21:23:27 ]

ความคิดเห็นที่ 164 Dear K.  A.T. I would firstly say "congratulations" for your splendid achievement made in your early career. I am sure that Thailand will soon have many more potential and extremely capable human resources, provided that it has many people who are  a man of his words as well as a dedicated  scientist like you. Honestly, I wont be saying untrue had I said I completely understand every worlds written in you comment #163. This might be because we are more or less sympathetic about each other, as a lecturer for one,  a Thai scholar for two, a person with passion on science for three and maybe a few other more. Thank your for sharing some of your positive perspective. Its full of hope and above all its real. :) By the way, since you are biocomputational scientist, I reckon that the guy you talking about is Prof David Baker who work on protein modeling and have published 2 papers in Nature within 6 months ? I am just curious, if you may. PS. sorry to express my comment in English. I came to the lab this morning to have some fun with my electron density map. ::P จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 9 ส.ค. 51 22:48:25 ]

ความคิดเห็นที่ 165 Take it easy, everyone. We are arguing the controversial issue. I don't think no right or wrong answer. I have learned "consumer behavior" this summer. I saw it probably easier or more difficult than sciences such as mathematics. What we are talking is social issue. In my views, social sciences or social issue is more difficult than sciences since they have many uncontroled variables, whereas in laboratory we can control temperature, etc... Let me raise one example. When I told several American people about Thailand such as spend money to buy votes, corruption, etc. they told me that those apperaed in America one hundred years ago. In my views, if I'm correct, those problems in Thailand, including we are arguing now will disappera if our country is more civilized, propersous good economy, etc, like in America. I don't those kinds of problem that are solved within in our lifespan, unfortunately. จากคุณ : ..... - [ 9 ส.ค. 51 22:52:57 A:161.130.224.6 X: TicketID:170537 ]

ความคิดเห็นที่ 166 ^ ^ ^ แบรนดี้ขอมอบมงกุฎให้ประโยคของอาจารย์ท่านข้างบนค่ะ "I have a chance to validate my belief that education can uplift my country...All of these comes into a reality because I have kept my words tight and truthful" แบรนดี้เชื่อว่า คนเราก่อนที่จะซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น ต้องซื่อสัตย์ต่อตนเองก่อนค่ะ สำหรับคุณคนที่รู้เรื่องจริง แบรนดี้ว่า ตัวแบรนดี้เองโชคดีมากที่เจอกับราชการไทยดีๆหลายท่านนะคะ ยังจำเหตุการณ์ไปทำบัตรประชาชนที่เขตบางกะปิได้เลย ไม่ใช่แถวบ้านหรอกค่ะ บังเอิญผ่านไปแถวนั้น แล้วบัตรปชช.หมดอายุพอดี เจ้าหน้าที่ใจดีทุกท่านเลยค่ะ กุลีกุจอมาต้อนรับ แนะนำทุกอย่าง ช่วยเซ็ทผมให้ก่อนถ่ายรูป ปรับแสง ให้เราเลือกภาพที่เราพอใจได้อีกตะหาก.....เป็นบัตรปชช.ใบที่สองทีสวยที่สุดในชีวิตเลยค่ะ เพราะถ่ายครั้งแรกตอนม.4 ตอนนั้นยังเป็นตุ๊ดหัวโปกกะโหลกไขว้อยู่เลย มีสิวอีกแน่ะ รวมทั้งตอนไปทำพาสปอร์ตที่สาขาย่อย เซ็นทรัล ปิ่นเกล้าอีกด้วย....ดีเหมือนกันเลย เพราะของพวกนี้มันต้องอยู่กับเราอีกหลายปี ยังรู้สึกประทับใจไม่หาย สำหรับกรณีที่คุณเจอมา แบรนดี้เข้าใจดีค่ะ ว่าตามระบบราชการ ถ้าคุณไม่ทำอะไรขั้นคอขาดบาดตายจริงๆ เค้าก็ไม่ไล่คุณออกหรอกค่ะ นั่นก็คือ งานราชการเป็นงานที่มีความมั่นคงสูงมาก รองจากอาชีพเกาะพ่อแม่กิน แม้ค่าตอบแทนจะน้อยกว่าเอกชน ต่างกับงานเอกชน ที่พอทำงานไม่พัฒนา ยอดไม่เข้าเป้า ไม่พอใจอะไรเราหน่อย ก็มีสิทธิ์ไล่เราออกได้ทุกเมื่อเลย เพื่อความเจริญของบริษัท....พนักงานจึงต้องพัฒนาอยู่เสมอและเครียดมากพอสมควร เพื่อแลกกับค่าตอบแทนที่สูงกว่าราชการ ดังนั้น งานราชการจึงอาจจะมีบุคคลบางกลุ่มที่ไม่มีประสิทธิภาพปะปนอยู่บ้าง....ตามหลักถ้อยทีถ้อยอาศัย บางคนตอนเข้ามาก็ปกติดี พออยู่นานๆไป อาจเกิดเหตุอะไรสักอย่าง ทำให้เค้า"ไม่ปกติ" หรือประสิทธิภาพการทำงานลดลง แต่ราชการก็ไม่ไล่ออก ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ.....มีผู้หญิงในที่ทำงานของแม่เราคนหนึ่ง เธอป่วยเกี่ยวกับเส้นเลือดในสมองมาก่อนในขณะรับราชการ ทำให้ปัจจุบันเธอไม่ค่อยจะปกติ กล่าวคือ อารมณ์ร้อนมาก ....เคยตบกับคนแปลกหน้าบนรถเมล์ข้อหาบังอาจเผลอไปมองหน้าเธอ วิ่งไปกลางถนนเพื่อด่าจราจรตอน9โมงเช้าว่ารถติด ทะเลาะกับคนขับรถของหน่วยงานเพราะควันท่อไอเสียรถมาโดนขาเธอ ฯลฯ แต่ปัจจุบันเธอก็ยังทำงานอยู่ที่นั่น และไม่มีหน่วยงานยอมรับคำขอย้ายที่ทำงานของเธอ บางทีอาจจะเป็นคนที่คุณเคยเจอก็ได้ แบรนดี้เห็นใจค่ะ จากคุณ : แบรนดี้ - [ 9 ส.ค. 51 23:15:46 A:125.25.73.96 X: TicketID:183890 ]

ความคิดเห็นที่ 167 ค.ห. 165 "In my views, if I'm correct, those problems in Thailand, including we are arguing now will disappera if our country is more civilized, propersous good economy, etc, like in America." อันนี้แบรนดี้เข้าใจว่า "ปัญหาที่พวกเราพูดถึงจะหมดไป ถ้าประเทศเราพัฒนา และเจริญเหมือนกับอเมริกา".....ใช่มั๊ยคะ แบรนดี้ก็เคยเจอ แบงค์500ในกระสอบปุ๋ย ถ้าเอาออกมานับก็เป็นล้านมั้งนั่น...อันนี้ขี้เกียจพูดยาว เดี๋ยวแตกประเด็น ความเห็นส่วนตัวแบรนดี้(อีกแล้ว) ที่อเมริกาหรือประเทศยักษ์ใหญ่ทั้งหลายเจริญเหมือนทุกวันนี้ก็เพราะ เค้ามีคนส่วนน้อยกลุ่มหนึ่งที่ตั้งใจทำบางสิ่งเพื่อพัฒนาประเทศของเค้าจริงๆ เพราะถ้าประชากรทุกคนในอเมริกาเป็นแบบปารีส ฮิลตัน ประเทศมันจะพัฒนาออกมาในรูปแบบไหน......แบรนดี้อยากให้สะท้อนมาถึงเมืองไทยน่ะค่ะว่า คนเก่งในไทยก็มีอยู่หยิบมือเหมือนกัน หากทุกคนคิดแต่จะไปขายตัวเพื่อแลกกับเงินมากๆ ประเทศเราก็จะไม่เจริญแน่นอน เพราะแบรนดี้เชื่อว่าหากคนไทยเก่งๆส่วนน้อยเสียสละเพื่อสร้างคนไทยอื่นๆส่วนมากให้เก่งขึ้น ประเทศเราก็จะพัฒนาแน่นอนค่ะ นั่นก็หมายถึงมี GDP, GNP สูงๆ ค่าตอบแทนต่อหัวก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ย้อนดูประวัติศาสตร์ คนเก่งอย่างปู่ไอน์ชไตน์ กาลิเลโอ มาดามคูรี่ หรือย่าไนติงเกล เค้าก็อยู่อย่างสมถะ ไม่ได้รับค่าตอบแทนมากมาย แต่ก็ยังสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับมนุษยชาติได้ใช้ประโยชน์มาจนถึงทุกวันนี้....อาจเป็นเพราะรัฐบาลเค้าสนับสนุนเงินให้กับงานวิจัยเค้าด้วย บางทีมีสมองแต่ไม่มีเงินนี่ก็ลำบากเนอะ ......ยังไม่นับรวมประโยชน์อื่นๆที่ประเทศเจริญหลายชาติไปยึดหรือบังคับเอามาจากประเทศอื่นในยามสงครามอีกนะคะ ถ้าอ่านจากประวัติศาสตร์ และกระทู้อื่นๆในเว็บนี้ (แบรนดี้ชอบอ่านเกี่ยวกับเรื่อง ตำนานโคตรเพชร โคตรมงกุฎน่ะค่ะ) I don't know whether you typing in English can read my opinions in Thai so that I will make a sub-title for you. จ้ะ เป็นกำลังใจให้คนไทยที่คิดดีทำดีค่ะ จากคุณ : แบรนดี้ - [ 9 ส.ค. 51 23:48:36 A:125.25.73.96 X: TicketID:183890 ]

ความคิดเห็นที่ 168 งั้นก็จะมาต่อ น่ะค่ะ เอาเรื่องขำๆ ก่อน ถ้าเรียน ป เอก ที่ฮาวาด จะได้ stripend ด้วยไง ค่ะ เงินกพ อีก คนคนนั้น คงส่งเงินกลับมา ส่ง พ่อเเม่ หรือ พี่น้องได้ อีก เดือนล่ะหลายหมื่นน่ะค่ะ ไม่น่ามาถามน่ะค่ะ หลายคนที่รู้จักที่ไม่ต้องส่งเงินกลับบ้าน บอกว่าช่วงเรียน ป เอก ที่เมกา คือช่วงกอบโกยเงินเอากลับไป ใช้ตอนที่ต้องมาทนในระบบห่วยๆ น่ะค่ะ "ดังนั้นคราวนี้ คุณต้องตอบคำถามผมบ้างว่า คุณคิดยังไงกับคนที่มองทุนเป็นโอกาสที่จะกอบโกยผลประโยชน์เพียงเพื่อตัวเอง และพร้อมที่จะละทิ้งความรับผิดชอบในทันทีเมื่อสามารถทำได้ ??? แล้วเห็นด้วยไหมว่าเราต้องช่วยกันแก้ปัญหานี้ในทุกๆทางทั้งตัวบุคคลและระบบไปพร้อมๆกัน ไม่สามารถละทิ้งทางใดทางหนึ่งได้ ???" รู้สึกว่าคุณ ไทม์อ่านไม่ค่อยละเอียด หรือป่าวค่ะ เพราะมีคนบอกไปเเล้ว ว่าคนมันผสมปนเป ไป คนดีสุดๆ ยอมเสียสละอดตายเพื่อประเทศก็คงมี เเล้วพวกเห็นอะไรดีกว่าก็ไปหมดก็คงมีน่ะค่ะ เเต่วิธีการเเก้ไม่ใช่ เราจะเลือกเเต่คนเเบบเเรก หรือจะเปลี่ยนทุกคนเป็นคนเเบบเเรก เพราะเป็นไปไม่ได้ เพราะคนเเบบนี้อาจจะไม่มีเพียงพอ หรืออาจจะไปบวชไปเเล้ว หรือ เรียนๆไปเเล้ว ลาไปบวช น่ะค่ะ รู้สึกว่า ส่วนที่ถามเพิ่มว่าต้องเเก้คนไปพร้อมกับระบบ รู้สึกว่ามีคนถามคุณให้ลองบอกวิธีเเก้คนมา คุณยังไม่ตอบเลยนี่ค่ะ ตัวเองคิดว่ามันค่อนข้างจะนามธรรมน่ะค่ะ การเเก้ที่คนเนี่ย ส่วนเรื่อง ของคุณ AT and khun times ที่มาเขียนประวัติตัวเอง ชมกันไปชมกันมา ถ้าเป็นสมัยก่อนเเล้วดิฉันคงจะคิดว่าเท่ห๋จังเลย น่ะค่ะ เเต่ในความเป็นจริง คุณคงเล่าไม่หมดมั้งค่ะเรื่องชีวิต คุณทั้งสอง คงเล่าเเต่ด้านดีๆ ส่วนตอนที่ทำงาน ปเอก ที่เมกาได้เก็บเงินมามากเเล้ว หรือเวลาได้ทุนวิจัยก็ตั้งเงินเดือนบวกไปอีกหมื่นสองหมื่น ไหนจะค่าวิทยะฐานะ ส่วนของคุณไทม์ ไรเนี่ยก็คงได้เงินเดือนที่ไทยหลายอยู่ ตอนที่ลาไปเรียน ไม่เห็นเล่าเลยนี่ค่ะ ลองสองคนตอบ เคส ฮาวาด ของดิฉันดู ว่าคุณจะเลือกเเบบไหน อย่าดิ้นไปนู้นมานี่น่ะค่ะ จากคุณ : คนที่รู้เรื่องจริง - [ 10 ส.ค. 51 00:00:21 A:125.24.143.160 X: TicketID:181605 ]

ความคิดเห็นที่ 169 บอกตรงๆนะครับ เคส harvard ของคุณมันไร้สาระน่ะครับ มันไม่มีเหตุผลที่อยู่บนความจริงอ่ะครับ ประหลาดแล้วหละครับถ้าจะมาเถียงกันแบบนี้ ดังนั้นสรุปว่าการตั้งโจทย์ของคุณไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกเสียจากว่าคุณสามารถชี้แจงในคำแย้งผมใน 162 ให้ได้ก่อน ทำโจทย์ของตัวเองให้มัน valid ก่อนเถอะครับ เราไม่ได้เถียงกันแบบเล่นขายของนะครับ แต่ถ้าคุณไม่สามารถพอ จะลามือไปก็ได้นะครับ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว อืม..............ผมว่าคุณเริ่มออกอาการมั่วแล้วด้วยหละครับตอนนี้ สับสนไปหมดแล้ว ถามคุณก่อนดีกว่า ว่า คุณเห็นด้วยใช่ไหมที่จะให้คนมองว่าทุนคือโอกาสชุบตัว ดังนั้นไปรับทุนกันเพื่อหาโอกาสชิ่งต่อ ใช่ไหม   เนี่ยผมพูดแค่นี่แหละ ตอบมาเลยครับชัดๆเลย แล้วย่อหน้าสุดท้ายที่คุณกล่าว เราถือว่าเป็นข้อดีของนักเรียนทุนที่กลับไปทำงานเป็นอาจารย์ได้ใช่ไหมครับ นี่ไงข้อดี กลับมาได้เงินเดือนเยอะๆ (ถ้าคุณคิดว่ามันเยอะนัก)อย่าลืมนะครับว่าถ้าคุณคิดว่าผมได้เงินเดือนเยอะ หรือกลับมาแล้วได้ค่าวิทยาฐนะ หรือได้เงินงบวิจัย คุณต้องตระหนักเลยนะครับว่านี่แหละคือประโยชน์และโอกาสที่ได้มาทำงาน ณ ตำแหน่งนี้ซึ่งเป็นการทำงานในระบบ ซึ่งนักเรียนทุนกลับมาก็จะได้ประมาณนี้กันทุกคน นี่มันข้อดีเลยนี่คุณใช่ไหม 5555555 เห็นยังครับ แล้วจะยุให้คนหนีออกไปทำไม......  แต่จริงผมว่าคุณสับสนกับเหตุผลตัวเองเข้าแล้วหละ เฮ้ออออ  แรกๆเถียงว่าระบบห่วย ระบบไม่ดึงดูดคน  แต่ไหงตอนนี้มาหาว่าผมกับคุณ AT ได้ประโยชน์จากราชการซะมากมาย ถ้ามันจริงเราต้องยิ่งสงสัยว่าพวกหนีทุน ราชการให้ขนาดนี้ไม่พอใจอีกหรือถึงได้ต้อนหนี เนี่ยชัดเลยว่าคุณนี่สับสนเอามากๆ ยังมีอีก อ่านที่ตัวเองเขียนดีๆนะครับ แล้วในวงเล็บ คือความเห็นผม ''รู้สึกว่าคุณ ไทม์อ่านไม่ค่อยละเอียด หรือป่าวค่ะ เพราะมีคนบอกไปเเล้ว ว่าคนมันผสมปนเป ไป คนดีสุดๆ ยอมเสียสละอดตายเพื่อประเทศก็คงมี เเล้วพวกเห็นอะไรดีกว่าก็ไปหมดก็คงมีน่ะค่ะ เเต่วิธีการเเก้ไม่ใช่ เราจะเลือกเเต่คนเเบบเเรก หรือจะเปลี่ยนทุกคนเป็นคนเเบบเเรก เพราะเป็นไปไม่ได้ เพราะคนเเบบนี้อาจจะไม่มีเพียงพอ (อ้าว ก็ถ้าทุกคนเปลี่ยนมาเป็นคนแบบแรกหมด เราก็มีคนแบบแรกเยอะขึ้นนะซิครับ โธ่ ชงเอง กินเอง ยังกินไม่เข้าปากเลยคู้ณณณ)  หรืออาจจะไปบวชไปเเล้ว หรือ เรียนๆไปเเล้ว ลาไปบวช น่ะค่ะ รู้สึกว่า ส่วนที่ถามเพิ่มว่าต้องเเก้คนไปพร้อมกับระบบ รู้สึกว่ามีคนถามคุณให้ลองบอกวิธีเเก้คนมา คุณยังไม่ตอบเลยนี่ค่ะ ตัวเองคิดว่ามันค่อนข้างจะนามธรรมน่ะค่ะ การเเก้ที่คนเนี่ย (เรายังไม่ได้เถียงกันถึงการเสนอวิธีแก้ปัญหาเรื่องคนเลยนะครับ ผมพยายามคุยที่ละจุดๆ เช่นตอนนี้ผมยังไม่เข้าใจคุณเลยว่าคุณต้องการอะไรในการมาเถียงกับผม หรือว่าคุณสนับสนุนให้คนรับทุนแล้วหนีออกไปจากระบบเยอะๆ งั้นหรือ ตอบจุดยืนของการเถียงของคุณตรงนี้ให้ชัดก่อนครับ)'' เห็นได้ชัดเลยตอนนี้ว่า คุณภาพการให้เหตุผลของคนอ่อนลงไปมากเลย แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 51 01:15:40 จากคุณ : TimeS-To-Enjoy - [ 10 ส.ค. 51 01:00:24 ]

ความคิดเห็นที่ 170 "คำถามคุณมันก็ต้องมี logic หน่อยซิครับ ถ้าไม่มีเหตุผลเจืออยู่ในคำถาม แบบนี้ก็เท่ากับว่าถามหาเรื่องหรือเปล่าครับ hahaha" ลอจิกก็ไม่มีอะไรมากน่ะค่ะเเค่อยากชี้ให้เห็นว่าระบบมันมีปัญหา มันไม่เอื้อให้คนที่จนเเละมีภาระต้องรับผิดชอบกลับมาทำงานให้รัฐ ทั้งๆที่เขาอาจจะรักชาติมากกว่าคนที่มีโอกาสกลับมา ชี้ให้เห็นชัดๆว่าปัญหาเป็นที่ระบบซะมาก ไม่ใช่คน น่ะค่ะ ไม่เห็นด้วยให้คนชุบตัวเเต่เห็นว่ามันเป็นปกติที่จะต้องมีคนเเบบนี้ คนที่เมื่อมีโอกาสดีกว่าก็ไปเพราะเป็นธรรมชาติของคน เราไม่สามารถบังคับคนเเบบนี้ได้หรอกค่ะ อันนี้รู้สึกว่าจะเว้นผิดไป "เราจะเลือกเเต่คนเเบบเเรก หรือจะเปลี่ยนทุกคนเป็นคนเเบบเเรก เพราะเป็นไปไม่ได้ เพราะคนเเบบนี้อาจจะไม่มีเพียงพอ" จริงๆคือ เราจะเลือกเเต่คนเเบบเเรกไม่ได้เพราะคนเเบบนี้อาจจะไม่มีเพียงพอ หรือจะเปลี่ยนทุกคนเป็นคนเเบบเเรกเพราะมันเป็นไปไม่ได้ ที่เถียงคุณเพราะดิฉันคิดว่า คนเเก้ไม่ได้ ต้องเเก้ที่ระบบ เเละรัฐต้องเข้ามาเเก้อย่างจริงจัง ไม่ใช่ปล่อยให้นักเรียนทุนออกจากทุนหรือหนีทุน เปลืองเงินภาษีที่ดิฉันจ่าย จากคุณ : คนที่รู้เรื่องจริง - [ 10 ส.ค. 51 01:30:56 A:125.24.143.160 X: TicketID:181605 ]

ความคิดเห็นที่ 171 "แล้วย่อหน้าสุดท้ายที่คุณกล่าว เราถือว่าเป็นข้อดีของนักเรียนทุนที่กลับไปทำงานเป็นอาจารย์ได้ใช่ไหมครับ นี่ไงข้อดี กลับมาได้เงินเดือนเยอะๆ (ถ้าคุณคิดว่ามันเยอะนัก)อย่าลืมนะครับว่าถ้าคุณคิดว่าผมได้เงินเดือนเยอะ หรือกลับมาแล้วได้ค่าวิทยาฐนะ หรือได้เงินงบวิจัย คุณต้องตระหนักเลยนะครับว่านี่แหละคือประโยชน์และโอกาสที่ได้มาทำงาน ณ ตำแหน่งนี้ซึ่งเป็นการทำงานในระบบ ซึ่งนักเรียนทุนกลับมาก็จะได้ประมาณนี้กันทุกคน นี่มันข้อดีเลยนี่คุณใช่ไหม 5555555 เห็นยังครับ แล้วจะยุให้คนหนีออกไปทำไม...... แต่จริงผมว่าคุณสับสนกับเหตุผลตัวเองเข้าแล้วหละ เฮ้ออออ แรกๆเถียงว่าระบบห่วย ระบบไม่ดึงดูดคน แต่ไหงตอนนี้มาหาว่าผมกับคุณ AT ได้ประโยชน์จากราชการซะมากมาย ถ้ามันจริงเราต้องยิ่งสงสัยว่าพวกหนีทุน ราชการให้ขนาดนี้ไม่พอใจอีกหรือถึงได้ต้อนหนี" ที่พูดนี่คือจะสื่อว่าคุณสองคนอาจมีโอกาสเข้าถึงเงินมากกว่าคนอื่น มีความพร้อมมากกว่าคนอื่น ไม่ใช่คุณดีกว่าคนอื่นที่เข้าไม่พร้อมเเบบคุณ (ซึงคุณเองก็ยอมรับว่าคุณได้ประโยดจากระบบ) เเละจริงๆ มันไม่ใช่ทุกคนกลับมาได้เป็นอาจานน่ะค่ะ ระบบอาจานมันเป็นเเค่เสี้ยวนึงของระบบราชการ หรือป่าวค่ะ ไม่อยากว่า น่ะค่ะเเต่ขอให้อ่านเเละคิดให้ถี่ถ้วน ที่ถามว่าคุณจะเเก้คนยังไงเพราะเห็นว่า คุนเน้นหนักหนาว่าปันหามันมาจากคน งั้นคุณก็ต้องบอกว่าถ้าปัญหาจากคนสำคัญมันก็ต้องเเก้ที่คนโดย......... ว่ามาน่ะค่ะ จากคุณ : คนที่รู้เรื่องจริง - [ 10 ส.ค. 51 01:41:20 A:125.24.143.160 X: TicketID:181605 ]