ความคิดเห็นที่ 1
Codeshare Agreement http://en.wikipedia.org/wiki/Code_sharing
Most major airlines today have code sharing partnerships with other airlines, and code sharing is a key feature of the major airline alliances.
The term "code" refers to the identifier used in flight schedule, generally the 2-character IATA airline designator code and flight number.
Thus, XX123, flight 123 operated by the airline XX, might also be sold by airline YY as YY456 and by ZZ as ZZ9876.
Under a code sharing agreement participating airlines can present a common flight number for several reasons, including:
Connecting flights - This provides clearer routing for the customer, allowing a customer to book travel from point A to C through point B under one carrier's code, instead of a customer booking from point A to B under one code, and from point B to C under another code.
This is not only a superficial addition as cooperating airlines also strive to synchronize their schedules and coordinate luggage handling, which makes transfers between connecting flights less time-consuming.
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
1 เมื่อเปลี่ยนเครื่องจะต้องมีการตรวจเซ็คกระเป๋าใหม่ทุกครั้งหรือเปล่าค่ะ ถ้าต้องหยุดที่ญี่ปุ๋นหรือเกาหลีใต้
^^ ^^ ใน Case ที่ถามมานี้
ไม่ว่าจะเปลี่ยนเครื่องที่ไหน
หรือ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางใดในโลกนี้ก็แล้วแต่
ไม่ต้องค่ะ ถ้า "เช็คทรู - Check Through" จากต้นทางถึงปลายทางท้ายสุด
กรณีตามที่ให้ข้อมูลมานี้ ขามาก็เช็คอินสัมภาระ จากต้นทางที่ New Orleans
แล้วรับกระเป๋าได้ที่กรุงเทพฯ เลย
ส่วนขากลับ ก็เช็คอินสัมภาระที่กรุงเทพฯ แล้วรับของที่ปลายทาง ตอนเครื่องลง ที่ นิว ออร์ลีนส์
______________________
2. ถ้าบินกับสายการบินเดิมตลอดนี้จะเช็คกระเป๋าแค่ครั้งเดี๋ยวหรืเปล่าค่ะ
^^ ^^ ค่ะ ก็ "เช็คทรู - Check Through" จากต้นทางถึง จุดหมายปลายท้ายสุดเลย
______________________
3. ท่านใดเคยบินแบบนี้บ้างช่วยแชร์ประสบการณ์ด้วยค่ะ หรือไม่ก็ท่านที่ทราบข้อมูลค่ะ
^^ ^^ เช็คอินตามปกติ บินตามปกติค่ะ ไปขึ้นเครื่องที่เกทไหน เวลาไหน ของสายการบินไหน ก็ดูได้จากใน Boarding Pass/Boarding Card และ ดูจากหน้าจอที่แสดงรายละเอียดของเที่ยวบินต่างๆ ค่ะ
การบินแบบ Codeshare ของหลายๆ สายการบิน
(ตั้งแต่ 2 สายขึ้นไป บางเที่ยวบินอาจจะมี 3-4 สายเอามารวมกันก็ได้แล้วแต่สถานะการณ์ แล้วแต่อีกหลายๆ ปัจจัยค่ะ
ยกตัวอย่าง....มีอยู่หนหนึ่งบินจาก "กรุงเทพฯ" ไป "แฟรงค์เฟิร์ท"
ในช่วงที่โรคซาร์สเพิ่งกำลังระบาดได้ 1 สัปดาห์ และ มีคนมาตายที่โรงแรมที่เมืองไทย
เล่นเอาผู้คนหวาดผวากันทั่วโลก ไม่เดินทาง ยกเลิกการเดินทางกัน
ตอนนั้นบินเครื่องของการบินไทย ที่เอาผู้โดยสารของอีก 4 สายการบินมารวมด้วย
ก็บินไฟลท์เดียวกัน 5 สายการบินเลยค่ะ....แต่กระนั้นก็ตาม เครื่องก็ยังไม่เต็มค่ะ )
แค่เป็นการลดต้นทุน เป็นการประหยัด ของสายการบินเท่านั้นเอง ในกรณีที่มีมากกว่า 1 สายการบิน บินทับเส้นทางเดียวกันอยู่ แล้วในเส้นทางนั้น แต่ละสายการบิน เครื่องไม่เต็ม
ก็เอาผู้โดยสารมารวมกัน แล้วทำการบินร่วมกัน โดยที่แบ่งกันรับผิดชอบค่าใช้จ่าย หรือ ตกลงกันว่าสายไหนจะเป็นคนบินไป หรือ วันไหน จะใช้เครื่องของสายไหน ไฟลท์ไหน สลับกันไป
การบินแบบนี้หลายๆ ครั้ง ก็อาจจะได้เห็นพนักงาน (แอร์ฯ) ของสายการบินสอง หรือ สามสายขึ้นไป แต่งเครื่องแบบต่างกัน มาทำงานบนเครื่องเดียวกันด้วยค่ะ
หรือ การบินแบบนี้เป็นการส่งไม้ผล้ด ส่งต่อผู้โดยสารกันระหว่างสายการบินที่มีข้อตกลงกันอยู่ โดยที่อีกสายหนึ่งไม่มีบินไปในเส้นทางนั้น แต่อีกสายหนึ่งมีเป็นต้นค่ะ
มีหลายกรณี
เช่นยกตัวอย่าง การบินไทย ปัจจุบันนี้งดทำการบินไป กรุงบันดาเสรี เบกาวัน ปท. บรูไน แล้ว
แต่ผู้โดยสารยังบินกับการบินไทยได้อยู่ โดยที่การบินไทยใช้ Codeshare ร่วมกับสายการบินรอยัลบรูไน บินโดยเครื่องของรอยัลบรูไนค่ะ
การบินแบบ Codeshare ก็ให้ดูที่ Flight Number บนตั๋วจะมีตัวเลข 4 ตัว 4 หลัก ตามหลัง รหัสสายการบิน เช่น TG1234 (เป็นเบอร์สมมตินะคะ)
แต่เวลาบินจริง จะใช้เครื่องบิน และ ใช้ Flight Number หลัก เป็นของสายการบิน ที่มีแค่เลขสองตัว หรือ 3 ตัว ตามหลังรหัสสายการบินค่ะ เช่น BI012 (เป็นเบอร์สมมติเช่นกันค่ะ)
อธิบายแค่นี้พอนะคะ.....ขี้เกียจพิมพ์แล้นนนน
FYI
จากคุณ :
Siamese Girl
- [
15 ก.ค. 51 00:57:50
]
|
|
|