ความคิดเห็นที่ 1 สำหรับผู้ที่สนใจสารคดีชุดนี้ ๑๐๐ ปี ไกลบ้าน ตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง http://www.thaipbs.or.th/klaibaan/index.htm จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 20 ส.ค. 51 16:28:10 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอขอบคุณ คุณ เพ็ญชมพู  ที่นำเสนอทู้ที่น่าสนใจนี้มาให้คนในห้องไกลบ้านได้รับรู้ คิดว่าคนอยู่ ยุโรปหลายคนอาจได้เคยเห็น หรือเคยไปในที่ๆสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงท่านเคยเสด็จมาแล้ว ถ้ามีรูปมาแจมอีกคงดียิ่งขึ้น จะเข้ามาดูอีกเรื่อยๆค่ะ จากคุณ : PatPDX - [ 21 ส.ค. 51 09:07:05 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบพระคุณที่คุณแพทช่วยโปรโมตอีกแรงหนึ่ง คุณแพทเชื่อไหม! ก่อนหน้าที่พระองค์จะเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่สอง ค.ศ. ๑๙๐๗ ๖ ปีก่อนหน้านั้นคือในค.ศ. ๑๙๐๑ ทรงมีแผนการที่จะเสด็จประพาสอเมริกา หาก ประธานาธิบดีในขณะนั้นไม่เสียชีวิตจากการลอบสังหารไปเสียก่อน หากแผนการเสด็จอเมริกาไม่มีปัญหาเกิดขึ้น เราคงได้เห็นรูปถ่ายของคุณแพทแสดง สถานที่ที่พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จในอเมริกา จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 21 ส.ค. 51 09:50:15 ]

ความคิดเห็นที่ 4 หนังสือพิมพ์ HARRER'S WEEKLY. New York, ฉบับวันที่ ๗ กันยายน ค.ศ. ๑๙๐๑ ลงข่าวดังนี้ พระเจ้ากรุงสยามจะเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกา จุฬาลงกรณ์, พระมหากษัตริย์แห่งสยาม มีรับสั่งมายังท่านแฮมิลตัน คิง กงสุลอเมริกันประจำกรุงเทพฯ ว่า มีพระราชประสงค์จะเสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกาในเร็ว ๆ นี้ และเพื่อให้พระเกียรติยศเป็นที่ปรากกออกไป รัฐบาลสยามขอให้ ฯพณฯ ประธานาธิบดีแม็คคินลีย์ได้กราบบังคมทูลเชิญเข้ามาอย่างเป็นทางการในลักษณะจดหมายเชิญ เพื่อเป็นที่ประจักษ์ว่าทรงเป็นพระราชอาคันตุกะระดับผู้นำประเทศที่ทรงเกียรติ ซึ่งถึงแม้จะมิใช่ธรรมเนียมปกติของสหรัฐอเมริกา แต่ทางรัฐบาลก็พร้อมจะสนองตอบพระราชโองการนี้ด้วยความยินดี โดยที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดรัฐบาลสยามจะรับผิดชอบเอง จุดมุ่งหมายของการมาก็เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีในระดับรัฐบาล เป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจและการเมือง.... ต่อมาอีก ๑ วัน หนังสือพิมพ์ HARRER'S WEEKLY. New York, ฉบับวันที่ ๘ กันยายน ค.ศ. ๑๙๐๑ พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งว่า ประธานาธิบดีแม็คคินลีย์ถูกลอบสังหารเสียแล้ว! การถึงแก่อสัญกรรมของแม็คคินลีย์ ทำให้แผนการเสด็จประพาสหรัฐอเมริกาของพระพุทธเจ้าหลวง เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 21 ส.ค. 51 10:06:46 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อยากโหวตนะเนี่ย แต่ ไอ้เรามันคนไม่มีสิทธิ์ โดยพี่หนุ่ยไมโครสมัยยังหล่อ จากคุณ : จอมยุทธสุดอึ๋มส์ - [ 21 ส.ค. 51 11:45:37 ]

ความคิดเห็นที่ 6 กระทู้ดี มีสาระมากค่ะ..ช่วยโหวตให้ก่อน.. จากคุณ : Panissar - [ 21 ส.ค. 51 12:45:18 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่มีรูปค่ะ แต่เข้ามาเก็บความรู้ดีๆ   ขอบคุณ จขกท. จ้ะ     จากคุณ : ก๋าสะลองเงิน - [ 21 ส.ค. 51 15:16:03 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เข้ามาขอบคุณคุณเพ็ญชมพูด้วยคนค่ะ จากคุณ : Jennifer Lowclass - [ 21 ส.ค. 51 15:51:42 ]

ความคิดเห็นที่ 9 โหวตแล้วค่า โหวตแล้ว ขอบคุณคุณPatPDXนะคะ ที่แนะนำ จอมยุทธ์จ๋า เดี๋ยวจะโหวดให้คุณอีกรอบนะจ๊ะ Bad Homburg ค่ะมีศาลาทรงไทย พร้อมพระรูป จากคุณ : ขอเดชะฯ (frechdachs) - [ 21 ส.ค. 51 16:05:46 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ตามกลิ่นธูปของคุณแพทมาค่ะ แต่ในห้องสมุดก็เข้าไปแล้ว ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ตามไปยังสถานที่ที่ท่านเคยเสด็จไปในเยอรมันนี เช่น บัด ฮอมบวร์ก บัด คิดซิงเง่น แต่ไม่มีรูปและรายงานมาลงค่ะ เป็นคนที่อ่านแล้วไม่ชอบเก็บ มันเยอะเกินกำลัง เมื่อเดือน27กค.ก็เพิ่งไปงานที่บัด ฮอมบวร์กและไปทุกปี มีใครทราบว่าท่านเคยเสด็จไปที่ไหนในเยอรมนีอีก โปรดบอกด้วย คุณจอมยุทธสุดอื๋มมีล๊อคอินปลอม  อิๆ ถ้าจะให้โหวตแทนก็บอกแล้วกัน จากคุณ : แม่ของอ๊บ (obst) - [ 21 ส.ค. 51 17:07:40 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอแจมด้วยคนนะคะ พระองค์ท่านเคยเสด็จมาเยือนสวีเดนเมื่อปี ค.ศ. 1987 อ่านข้อมูลจากสถานฑูตไทยในสวีเดนก็จะได้ความว่า --- รัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จเยือนยุโรปโดยเริ่มต้นจากประเทศอิตาลี รวมทั้งเมืองเวนิสและมิลาน จากนั้นพระองค์ก็เสด็จต่อไปยังเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แล้วเลยไปกรุงโรม แล้วก็เสด็จต่อไปยังกรุงวอร์ซอว์ เมื่อเสร็จสิ้นจากการเยือนกรุงวอร์ซอว์ พระองค์ท่านก็ทรงเสด็จไปเยือนรัสเซีย ก่อนที่จะเสด็จมายังราชอาณาจักรสวีเดน ณ กรุงสต็อกโฮล์ม ราชอาณาจักรสวีเดนนั้น พระพุทธเจ้าหลวงได้รับการต้อนรับอย่างทรงพระเกียรติจากกษัตริย์สวีเดนพระนามว่า ออสการ์ที่ ๒ ในการเยี่ยมเยืนครั้งนี้ รัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จไปยังสถานที่สำคัญต่างๆทั้งด้านประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยว และทางการทหารของสต็อกโฮล์ม จากนั้นพระองค์ท่านก็เสด็จไปเยือนเมืองรากูนดา ซึ่งตั้งที่แคว้นแยมท์ลันด์ทางเหนือของสวีเดน ปล. ข้อมูลและรูปภาพประกอบได้นำมาจากhttp://www.thaiembassy.se/embassy/111anni.php ทั้งหมดนี้ดิฉันแปลเอง และก็แปลแบบสรุปเอาใจความสั้นๆ หากใข้คำศัพท์ผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ จากคุณ : Smilla - [ 21 ส.ค. 51 17:24:18 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ณ เมืองรากูนดาhttp://www.ragunda.se/nyttigt/karta/ragundaisverige.4.1493102fabeb1e02e7fff1870.html ที่เมืองนี้ มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์จารึกการเสด็จเยือนสวีเดนของพระพุทธเจ้าหลวงดังนี้ ๑. ถนนจุฬาลงกรณ์ (ขอยืมรูปมาจาก http://www.si9am.se/bilder/700_292.jpg รูปต้นฉบับใหญ่ไปนิดนึง ดิฉันจึงจำเป็นต้องย่อรูปให้เล็กลงค่ะ จะได้ไม่โหลดนาน) จากคุณ : Smilla - [ 21 ส.ค. 51 17:26:44 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ๒. จุฬาลงกรณ์มหาราชานุสรณ์ (Thailändska Paviljongen i Utanede) http://www2.ragunda.se/thaipav/ ปล. หากใครอ่านภาษาสวีเดนออก อยากให้อ่านข้อมูลตรงนี้ค่ะ :) En verklighet som låter som en saga: http://www2.ragunda.se/thaipav/paviljong/pav_frame2.html จากคุณ : Smilla - [ 21 ส.ค. 51 17:28:16 ]

ความคิดเห็นที่ 14 มีพระรูปของพระพุทธเจ้าหลวงในศาลานั้นด้วย ปล. ขอประทานโทษด้วยนะคะที่นำรูปและเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับอิตาลีมาลง แต่คิดว่าก็เกี่ยวนิดนึงกับการเสด็จเยือนยุโรปของ ร. ๕ เพราะจากอิตาลี ท่านก็เสด็จมาสวีเดนน่ะค่ะ รูปจาก http://www.thaiembassy.se/embassy/111anni.php ค่ะ จากคุณ : Smilla - [ 21 ส.ค. 51 17:31:04 ]

ความคิดเห็นที่ 15 สุดท้ายนี้ ขอโหวตและขอขอบคุณพี่ PatPDX ที่แนะนำกระทู้นี้ค่ะ   จากคุณ : Smilla - [ 21 ส.ค. 51 17:32:43 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอปรารภดังๆนิดนึงว่าสงสัยว่าทำไม ร. ๕ ไม่เสด็จมาเยือนเดนมาร์ก ทั้งๆที่เดนมาร์กก็เป็นเมืองมีท่าเรือใหญ่ เรือพระที่นั่งมหาจักรีเข้าเทียบท่าได้ อีกประการหนึ่งพระองค์ก็เสด็จเยือนนอรเวย์ ทำไมจึงผ่านเดนมาร์กไปเฉยๆ ขี้เกียจไปเช็คและค้นหาข้อมูล แต่ขอเดามั่วว่าคงเพราะสวีเดนกับเดนมาร์กตอนนั้นไม่ค่อยจะญาติดีกันเท่าไหร่ละมั้ง ไปๆมาๆจะออกเรื่องการเมืองซะแล้ว ไม่อยากยุ่งเรื่องการเมือง เดี๋ยวยาว ดังนั้นก็เลยขอตัดบท และขอจบความเห็นแค่นี้ค่ะ จากคุณ : Smilla - [ 21 ส.ค. 51 17:42:35 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอขอบพระคุณ พี่แพทที่แนะนำให้เข้ามาอ่านสาระดีๆจากหลังไมล์ค่ะ และต้องขอขอบพระคุณ คุณเพ็ญชมพูที่ได้ลงสาระดีๆให้ชาวไกลบ้านได้อ่านกัน ได้กดโหวดกระทู้และเก็บเข้าคลังกระทู้แล้วค่ะ คงจะมีคนไทยที่อาศัยใกล้ที่นั้นไปเที่ยวชมกันเยอะซินะค่ะ แล้วเราจะมีโอกาสกับเขามั๊ยนี่ จากคุณ : ไอริน (กวนฐานฮวา ณ อเบอร์ดีน) - [ 21 ส.ค. 51 20:51:36 ]

ความคิดเห็นที่ 18 กล่าวทักทายคุณเพ็ญชมพูก่อนนะครับ....ไม่ได้สนทนาปราศัยก็นานเหลือเกิน    หวังว่าคงสบายดีนะครับ     ส่วนผมก็ยังคงระลึกถึงคุณเพ็ญชมพูเสมอมาเหมือนบทกลอนที่มอบให้ไว้นั่นแหละ เพ็ญพระจันทร์นั้นสว่างแต่ข้างขึ้น ให้กระต่ายมึนเมาเพ็ญจนเป็นบ้า เพ็ญชมพูดูใสสุกทุกเวลา น้ำใจข้าเมามึนทั้งขึ้นแรมฯ จากคุณ : คนอุดรฯ (วัชรานนท์) - [ 22 ส.ค. 51 05:58:16 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ตอบน้องสมิลล่า >>>ขอปรารภดังๆนิดนึงว่าสงสัยว่าทำไม ร. ๕ ไม่เสด็จมาเยือนเดนมาร์ก เมื่อครั้งอดีต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสเดนมาร์กถึง ๒ ครั้ง โดยเฉพาะการเสด็จประพาสยุโรปครั้งหลังคือเมื่อ รศ ๑๒๖ พระองค์ท่านได้เสด็จพระราชดำเนินอย่างไม่เป็นทางการโดยรถไฟไปยังเมืองสเกน และทรงรถม้าต่อไปยังชายทะเล ที่ซึ่งเป็นจุดบรรจบกันของน้ำทะเลจากทะเลเหนือและทะเลแคตติแกต โดยได้ทรงปัก "ธงช้าง" ไว้ที่ชายหาด ณ แหลม Grenen พร้อมทั้งทรงฉายพระรูปไว้ที่เป็นระลึก http://www.talkingmachine.org/siamflag/denmark.html จากคุณ : วัชรานนท์ - [ 22 ส.ค. 51 06:03:54 ]

ความคิดเห็นที่ 20 จะด้วยบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ สุดยากจะเดา สามวันที่ผ่านมาไปร่วมประชุมกับคนไทยและเหล่าแม่บ้านคนไทยที่ร้านอาหารของเพื่อน เหลือบไปเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ห้าที่แขวนไว้ใกล้ๆ หิ้งพระในร้านอาหาร ก็เลยคุยกันเรื่องพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ห้ากัน แล้วมาตบท้ายสงสัยกันว่า ยังมีใครอยู่ในรัชสมัยของพระองค์และมีชีวิตยืนยาวมาถึงรัชกาลปัจจุบัน เท่าที่ผมนึกออกได้ก็นึกถึงงานเขียนเรื่อง "สี่แผ่นดิน" ของม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช และอีกท่านหนึ่งที่เด่นๆ ก็คือ พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (หรือชื่อเดิมพระนางเจ้าสว่างวัฒนา เป็นย่าของในหลวงองค์ปัจจุบัน สิ้นพระชนม์ 2498 )........ หลังประชุมเสร็จก็ขับรถกลับบ้าน ใจก็พยายามคิดอยู่ต้องมีหลายท่านแน่ๆ ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในรัชกาลที่ห้าและมีชีวิตในรัชกาลปัจจุบัน และก็นึกออกได้จริงๆ คืออีกท่านหนึ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก คือ เจ้าจอมสดับ หรือ ม.ร.ว สดับ ลดาวัลย์ ในการเสด็จประพาสยุโรป พระองค์ประสงค์ที่นำเจ้าจอมสดับตามไปด้วยเจ้าจอมสดับท่านนี้ เป็นเจ้าจอมองค์สุดท้ายของรัชกาลที่ห้า และพระองค์ทรงโปรดมาก....... แต่ถูกทัดทานไว้(นัยว่าด้วยความริษยาเจ้าจอมสดับ) แม้กระนั้น รัชกาลที่ห้าทรงมีพระราชหัตถเลขามาถึงเจ้าจอมสดับอยู่บ่อยๆ ทุกสัปดาห์ เรื่องราวชีวิตของเจ้าจอมสดับนี้เหมือนนิยาย เนื่องด้วยว่าพระองค์ยังสาวและสวย(ดูรูปข้างล่าง)จึงเป็นที่โปรดปราน อีกทางหนึ่งก็มีคนคอยกลั่นแกล้งพระองค์อยู่ไม่ว่างเว้น จนพระองค์ถึงกับกลัดกลุ้มคิดประชดชีวิตด้วยกินน้ำยาล้างฟิล์มหวังจะให้ตาย แต่หมอหลวงก็ช่วยชีวิตล้างท้องไว้ทัน กระนั้นก็ยังมีคนคอยประชดประชันในทำนองว่า "ดูเถอะ ขนาดชีวิตตัวเองยังไม่รัก แล้วจะไปรักพระองค์(รัชกาลที่ห้า)ได้อย่างไร?" หลังจากรัชกาลที่ห้าเสด็จสวรรคตแล้ว ชีวิตของเจ้าจอมสดับก็เหมือนแพน้อยที่เคว้งคว้าง พระองค์ออกจากพระราชวังกลับไปใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน ใช้ชีวิตมาจนถึงรัชกาลองค์ปัจจุบัน พึ่งถึงแก่อสัญญกรรมเมื่อปีพุทธศักราช 2426 เท่าที่เคยอ่านเรื่องราวชีวิตของท่าน ท่านได้ใช้ชีวิตบั้นปลายของท่านอย่างร่มเย็นสงบที่จังหวัดชลบุรี(ถ้าจำไม่ผิดนะ)เปิดเป็นสำนักวิปัสสนาที่นั่นจนลมหายใจสุดท้าย ในหลวงองค์ปัจจุบันเสด็จไปเยี่ยมท่านที่นั่นก่อนสิ้นชีพ และสังเกตุเห็นว่าท่าน(หม่อมราชวงศ์สดับ)ยังสวมใส่กำไลทองที่รัชกาลที่ห้ามอบไว้ให้เป็นอนุสรณ์ความรักระหว่างพระองค์กับท่านไว้อยู่จนลมหายใจสุดท้าย บทกลอนที่รัชกาลที่ห้าสลักไว้บนกำไลให้หม่อมราชวงศ์สดับมีดังนี้ กำไลมาศชาตินพคุณแท้ ไม่ปรวนแปรเป็นอื่นย่อมยืนสี เหมือนใจตรงคงคำร่ำพาที จะร้ายดีขอให้เห็นเป็นเสี่ยงทาย ตาปูทองสองดอกตอกสลัก ตรึงความรักรัดไว้อย่าให้หาย แม้รักร่วมสวมใส่ไว้ติดกาย เมื่อใดวายสวาสดิ์วอดจึงถอดเอย รูปถ่ายของเจ้าจอมสดับ  ถ่ายเมื่ออายุ19 และทรงเครื่องเพชรจากยุโรปที่รัชกาลที่ห้าซื้อมาฝากหลังจากการเสด็จประพาสยุโรป จากคุณ : วัชรานนท์ - [ 22 ส.ค. 51 06:56:06 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณ วัชรานนท์.. กลอนเพ็ญพระจันทร์ให้คุณเพ็ญชมพู น่ารักเหลือเกิน ส่วนดิฉันนึกถึงดอกพวงชมพู ดอกนิดๆสีชมพูน่าเอ็นดู ขอยกดอกไม้นี้ให้คุณเพ็ญชมพูอีกครั้งหนึ่ง คุณเป็นคนที่ดิฉันชื่นชมมาก ว่ามีความสามารถดีหลายทาง และช่วยเหลือตอบคำถามให้คนโดยไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ไม่บ่น ไม่ว่า ถามอะไรมาเหอะ ถ้าคุณรู้ พริบตาเดียว เดี๋ยวมาแล้ว เห็นคุณทีไร รู้สึกดีทุกครั้ง ขอขอบคุณ คุณน้อง smilla มา ณ ที่นี้ด้วย ที่ช่วยแชร์เรื่องและรูป การได้แชร์อะไรดีๆให้คนเขาอ่านแล้วมีความสุข มันดีอย่างนี้เอง จากคุณ : PatPDX - [ 22 ส.ค. 51 07:18:34 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ครั้งหนึ่งเมื่อวันวาน (ยังหวานอยู่)   กระต่าย     : เพ็ญพระจันทร์นั้นสว่างแต่ข้างขึ้น                  ให้กระต่ายมึนเมาเพ็ญจนเป็นบ้า                  เพ็ญชมพู ดูใสสุกทุกเวลา                  น้ำใจข้าเมามึนทั้งขึ้นแรม เพ็ญชมพู   : จะตราตรึงเอาไว้ในดวงจิต                  ว่ามิ่งมิตรชมไว้ว่าใสแจ่ม                  แต่ขอเตือนเอาไว้ใช่เหน็บแนม                  ทั้งขึ้นแรมเบาเบาจะเมามึน พบคุณวัชรานน์หรือคุณคนอุดรฯคนเดิมคราใด ก็ชุ่มชื่นในดวงจิตครา นั้น ด้วยความปรารถนาดีที่มอบให้ อีกทั้งต้องขอบพระคุณ คุณแพท คนเก่งอีกครั้งหนึ่งที่ช่วยเป็นธุระส่งข่าวไปถึงมิตรรักในต่างแดนทุกท่าน ให้มาร่วมปรุงกระทู้นี้ให้มีรสชาติกลมกล่อมและน่าสนใจยิ่งขึ้น ขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจและช่วยกันโหวตกระทู้นี้ และถือ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำในห้องไกลบ้าน จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 22 ส.ค. 51 09:33:28 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ร่วมด้วยช่วยโหวต จากคุณ : piggymom - [ 22 ส.ค. 51 09:35:57 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ในลิ้งก์ที่ให้ไว้ในตัวกระทู้ข้างบน มีภาพหนึ่งซึ่งดูแล้วโรแมนติกมากเหมาะกับกลอนของคุณวัชรานนท์ เป็นภาพน้ำตกไรน์ (Rhine Falls-Rheinfall) ในสวิส ท่ามกลางแสงจันทร์วันเพ็ญ อีกทั้งภาพนี้คงเป็นอาจมีบรรยากาศเดียวกับเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสน้ำตกไรน์ เมื่อ ๑๐๐ ปีมาแล้ว ทรงบรรยายไว้ในพระราชหัตถเลขา ฉบับที่ ๑๙ พระราชนิพนธ์ไกลบ้าน ว่า การดูน้ำตกที่นี่มีสามประเภท ประเภทหนึ่งดูกลางวัน อิกประเภทหนึ่งดูเมื่อเดือนหงาย ประเภทที่สุดนั้นดูฉายไปให้เป็นสีแดงสีเขียว มาวันนี้ชอบด้วยการกำหนดที่จะได้เห็นที่ ๑ แลที่ ๒ เพราะเปนวันเดือน ๗ แรมค่ำหนึ่ง แต่พระจันทร์ตอนหัวค่ำขึ้นมาจากเมฆเหมือนอย่างกับพระจันทร์แหว่ง ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นจนหมดดวง แต่ยังเปนเมฆหมอกมัวไม่แจ่มแจ้งดี บางทีตอนดึกจะได้เห็นเวลาพระจันทร์แจ่ม บางทีภาพประเภทที่ ๒ ซึ่งพระองค์ทรงได้ทอดพระเนตร คงเป็นเช่นนี้ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 22 ส.ค. 51 10:03:44 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขยายความคำอธิบายของคุณวัชรานนท์ ที่ตอบคุณสมิลล่า ใน # ๑๙ เรื่องการเสด็จประพาสเมืองสเกน (Skagen) ในเดนมาร์ก ทรงเสด็จประพาสเมืองสเกนเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ธงช้างเผือกที่เห็นโบกสะบัดอยู่ในภาพนั้น ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์บื๋อ-เอาะ ไอน์ส พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่สเกน (Skagen) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๗ได้มีการพบธงช้าง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นธงช้างผืนเดียวกับที่พระองค์ท่านทรงปักที่ชายหาด พับเก็บอยู่ก้นหีบเก็บของสำคัญของเทศบาลเมืองสเกน ด้วยความปีติยินดีต่อการพบธงช้างอีกครั้งไมเคิล อักซ์ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์บื๋อ-เอาะ ไอน์ส มิวเซียม (Skagen By- og Egnsmuseum, P.K. Nielsensvej 8-10, 9990 Skagen) พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่สเกน (Skagen) จึงเอ่ยปากยกอาคารหลังที่ ๙ ให้เป็นที่จัดแสดงธงช้าง ทั้งนี้ สโมรสรไลออนส์ แกนลูซ เดนมาร์ก โดยมี ไลออนส์ ซอเรน รัสมุสเซน ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลและยืนยันว่าธงช้างผืนดังกล่าว คือธงไทย (ธงสยาม) ภายในอาคารซึ่งเป็นผนังด้านในสุด มีการนำ "ธงช้าง" สีแดงสด ขนาดประมาณ ๑.๕ คูณ ๓ เมตร คลี่จัดแสดงอยู่ภายในกรอบกระจก บทความโดย พนิดา สงวนเสรีวานิช ในมติชน วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๙ ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๑๐๔๗๘ หน้า ๓๓ แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 51 10:31:31 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 22 ส.ค. 51 10:21:17 ]

ความคิดเห็นที่ 26 พิธีถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้าที่พิพิธภัณฑ์บื๋อ-เอาะ ไอน์ส มิวเซียม พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่สเกน (Skagen) วันจันทร์ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ พระบรมรูปทรงม้าจำลองนี้ ประดิษฐานอยู่ที่หน้าอาคารหมายเลข ๙ ภายในบริเวณพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เมืองสเกน เดนมาร์ก ซึ่งจัดทำเป็นอาคารเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในระหว่างการจัดแสดงนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน จนถึงสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองวาระครบ ๑๐๐ ปี การเสด็จประพาสเมืองสเกน ประเทศเดนมาร์ก http://www.osknetwork.com/modules.php?name=News&file=article&sid=1710 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 22 ส.ค. 51 10:25:02 ]

ความคิดเห็นที่ 27 อ่านกลอนคห. ที่ 18 ของคุณคนอุดรฯ เสร็จ นึกในใจ อยากให้คุณเพ็ญชมพู แต่งกลอนตอบ มาถึงคห. ที่ 22 ไม่ต้องมาเรียกร้องอีกต่อไป...: ) ขอบคุณท่านทั้งสองด้วยครับ ขอเป็นผู้ติดตาม ใช้สิทธิ์ที่มีโหวตให้แล้ว เพื่อให้วงขยายกว้างขึ้น จากคุณ : ThaiJoe - [ 22 ส.ค. 51 10:44:01 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เราได้เห็นถึงพระอัจฉริยะภาพในการเขียนของพระองค์ ท่านช่างบรรยายให้ได้เห็นภาพชัดเจน อ่านแล้วนึกถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ท่านเก่งในเรื่องเขียนเหมือนๆกัน รักพระองค์ท่านมากค่ะ จากคุณ : PatPDX - [ 22 ส.ค. 51 11:48:44 ]

ความคิดเห็นที่ 29 พูดถึงเรื่องโคลงกลอน พระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระปรีชาในด้านนี้เป็นยิ่งนัก ระหว่างเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๔๐ ทรงพระราชนิพนธ์โคลงนิราศพระราชทานสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ทั้งหมด ๔๔ บท ต่อมาอีก ๑๐ ปีเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๐ ก็ทรงพระราชนิพนธ์กลอนนิราศพระราชทาน "สตรีผู้ที่เป็นที่รักยิ่ง" เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ ทั้งหมด ๑๐ บท เริ่มตั้งแต่ ประทับในเรือซักซัน ซึ่งเป็นเรือเดินสมุทรของเยอรมัน ขณะกำลังแล่นในมหาสมุทรอินเดีย จนบทสุดท้ายทรงพระราชนิพนธ์ในเรือพระที่นั่งจักรี เมื่อวันเสด็จพระราชดำเนินกลับจากประพาสยุโรป ถึงปากน้ำเจ้าพระยา เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๐ ขณะทรงประทับที่วิลล่าโนเบล (Villa Nobel)  เมืองซานเรโม (San Remo) ประเทศอิตาลี เมืองตากอากาศชายทะเลเมดิเตอเรเนียน ซึ่งมีชื่อเสียงอีกด้านหนึ่งในการปลูกกุหลาบ ดอกไม้ทรงโปรดยิ่งของพระพุทธเจ้าหลวง  ทรงพระราชนิพนธ์กลอนนิราศพร้อมกลีบกุหลาบวาดบนกระดาษพระราชทานเจ้าจอมสดับ  ดังนี้ เพลงทยอยนอก ๓ ชั้น กลิ่นกุหลาบซาบนาสาพาระลึก เมื่อยามดึกเคยชมดมกลิ่นหอม น้ำอบปรุงจรุงรสต้องอดออม ถือถนอมบุปผากระสาจน กลีบกุหลาบทาบกระดาษวาดรูปไว้ จะส่งให้โฉมตรูรู้เหตุผล ชมดอกไม้แสนเบื่อเหลือจะทน คิดสุคนธ์เคยรื่นชื่นใจเอยฯ อ่านพระราชนิพนธ์บทนี้แล้วนึกถึงเนื้อเพลงตอนหนึ่งในเพลงปี่ของพระอภัยมณีซึ่งบรรเลงขับกล่อมสามพราหมณ์ ในเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ ที่ว่า ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 22 ส.ค. 51 11:49:32 ]

ความคิดเห็นที่ 30 มีมาถ่ายที่เมืองผมด้วย :))) จากคุณ : บุ้ง (B Oprysk) - [ 22 ส.ค. 51 20:20:31 ]

ความคิดเห็นที่ 31 Wow..! ท่านโรแมนติคเหลือเกิน ดอกแก้วเจ้าจอมก็มี ดอกกุหลาบนั่นเป็นกุหลาบเจ้าจอมหรือเปล่า คิดว่าถ้าท่านทรงเอามาให้ได้ ท่านคงทำแล้ว จากคุณ : PatPDX - [ 22 ส.ค. 51 20:39:02 ]

ความคิดเห็นที่ 32 กลีบกุหลาบทาบกระดาษวาดรูปไว้  จะส่งให้โฉมตรูรู้เหตุผล กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ บริษัทไปรษณีย์ไทย ได้ออกแสตมป์ชุดดอกกุหลาบ เป็นรูปดอกกุหลาบนาม "จุฬาลงกรณ์" ที่มาของชื่อกุหลาบจุฬาลงกรณ์มาจากเจ้าดารารัศมี พระราชชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดกุหลาบพันธุ์นี้มาก และทรงปลูกไว้ในบริเวณพระตำหนักดาราภิรมย์ ที่อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ พร้อมกับทรงตั้งชื่อว่าจุฬาลงกรณ์เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระสวามี มีบางคนกล่าวว่ากุหลาบจุฬาลงกรณ์นี้เป็นพันธุ์เดียวกับกุหลาบ King of Siam ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล่าไว้ในพระราชหัตถเลขาจากซานเรโม อิตาลี ฉบับที่ ๑๔ พระราชนิพนธ์ไกลบ้าน วันจันทร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯไปทอดพระเนตรถึงสวนของมิสเตอร์บรอยเออ ที่ผสมต้นกุหลาบสำหรับขายพันธุ์ ทรงเล่าว่า วันนี้จับร้านดอกไม้ได้ ตัวผู้วิเศษ ที่ผสมดอกกุหลาบจะให้เปลี่ยนสี สลับกันอย่างไร จะให้ซ้อน ให้ลา อย่างไรอยู่ในอำนาจ ... มีกุหลาบที่ตานี่ผสมใหม่อย่างหนึ่ง ดอกโตเท่าดอกบัวสัตตบงกช กลีบซ้อนจนไม่แลเห็นเกสร สีเกือบเป็นบานเย็น เป็นพันธุ์ซึ่งยังไม่มีชื่อ เขาขอตั้งชื่อว่า พระเจ้าแผ่นดินสยาม (King of Siam) พ่อได้อนุญาตให้แกตั้ง ยังไม่สู้พอขอให้เขียนลงให้ในสมุดด้วย แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 51 06:36:18 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 23 ส.ค. 51 05:46:51 ]

ความคิดเห็นที่ 33 พระราชชายาเจ้าดารารัศมี  และ กุหลาบจุฬาลงกรณ์ ที่พระตำหนักดาราภิรมย์ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 23 ส.ค. 51 06:00:13 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คุณบุ้ง # ๓๐ มีมาถ่ายที่เมืองผมด้วย :))) ที่เมืองไหนเมื่อไรหนอขอทราบบ้าง ? จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 23 ส.ค. 51 06:11:18 ]

ความคิดเห็นที่ 35 อันนี้ไม่เกียวกับเรื่องร้อยปีตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง แต่เป็นรูปถ่ายพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ที่ถ่ายจากร้านเฮือนข้าเจ้าเมื่อไปเชียงใหม่เมื่อหลายปีก่อน ก่อนถ่ายก็เห็นว่ารูปท่านชัดเจนดี แต่ถ่ายออกมาแล้วเป็นแบบนี้ คิดว่าแปลกดี แต่พอมองเห็นพระพักตร์ท่านได้บ้าง จากคุณ : PatPDX - [ 23 ส.ค. 51 11:16:54 ]

ความคิดเห็นที่ 36 มาแล้วค้ะ ขอโทษด้วยบางทีก็ดูเสร็จ ลืมคอมเม้นท์ก็มีบ่อย เผลอไปกดเปลี่ยนหน้า เป็นภาพประวัติศาตร์ที่น่าสนใจศึกษา ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูมากค้ะ จากคุณ : พนอจัน - [ 23 ส.ค. 51 13:09:38 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ลองดูรายการย้อนหลังค่ะเลือกวันที่  16  และ  23สิงหาคม ช่องThai PBSเวลาประมาณ 10.นาฬิกา http://www.me.in.th/live/ ตามรอยเสด็จไกลบ้าน ตอนเสด็จริเวียร่าสวิสเซอร์แลนด์ ประทับใจมาก อย่ากให้ท่นที่อยู่ไกลบ้านได้มีโอกาสดูค่ะ แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 51 21:37:16 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 51 21:33:55 จากคุณ : มณีสยาม - [ 23 ส.ค. 51 21:30:06 ]

ความคิดเห็นที่ 38 อ่านจบได้ความรู้มากมายเลยค่ะ..ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูมากนะคะ..หากมีโอกาสกรุณานำความรู้ดีดีเช่นนี้มาเผยแผ่คนห้องไกลบ้านอีกนะคะ.. อ่านแล้วทำให้จินตนภาพบุคลิกภาพของคุณเพ็ญชมพูได้ว่า..หวานหวาน ใสใส ไม่ถือตัวตนเป็นที่ตั้ง เป็นใหญ่ แต่เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพคับแก้ว..ดีใจจังค่ะที่ได้รู้จัก.. ขอบคุณพี่แป๊ดด้วยนะคะ.. แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 51 21:40:20 จากคุณ : Panissar - [ 23 ส.ค. 51 21:39:40 ]

ความคิดเห็นที่ 39 คุณ มณีสยาม ที่รัก: พยายามจะดูทีวี แต่นานมากเหลือเกินกว่าสัญญานจะขึ้น แต่ก็ไม่เห็นอะไร จากคุณ : PatPDX - [ 23 ส.ค. 51 23:18:05 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เรียนคุณแพทและมิตรรักต่างแดนทุกท่าน ต้องการชมรายการย้อนหลังทั้งหมดนั้นไม่ยาก เพียงแต่เข้าไปที่นี่ ชมวิดีโอย้อนหลัง http://www.thaipbs.or.th/klaibaan/clip.asp นอกจากนั้น ลิ้งก์ที่ให้ไว้ใน # ๑ จะแนะนำให้เรารู้จักสารคดีชุดนี้ได้ดีขึ้น เปิดตำนานไกลบ้าน http://www.thaipbs.or.th/klaibaan/open.htm โครงเรื่อง http://www.thaipbs.or.th/klaibaan/story.htm คลังภาพ http://www.thaipbs.or.th/klaibaan/gallery.htm กิจกรรม http://www.thaipbs.or.th/klaibaan/activities.htm ร่วมส่งความคิดเห็น http://www.thaipbs.or.th/klaibaan/advise.htm เบื้องหลังการถ่ายทำ http://www.thaipbs.or.th/klaibaan/behindscene.htm ขอให้ทุกท่านสนุกสนานในการติดตามสาระจากสารคดีชุดนี้ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 24 ส.ค. 51 06:08:35 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เรียนคุณพนอจัน # ๓๖ ได้ติดตามรายการทัวร์ของคุณพนอจันเช่นกัน ภาพสวยมากดูแล้วนึกถึงความหลัง ครั้งที่เคยไปเที่ยวนิกโก้ (ภาษาญี่ปุ่นแปลว่าแสงอาทิตย์) เมื่อหลายสิบปีก่อน จำ ได้ว่าทางขึ้นเขาคดเคี้ยวน่าดู ป้าพนอจัน...ชวนไปเที่ยว Nikko เมืองมรดกโลก http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H6900438/H6900438.html เรียนคุณ Panissar  # ๓๘ ขอบพระคุณสำหรับคำชม ยินดีที่รู้จักเช่นกัน จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 24 ส.ค. 51 06:30:01 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คุณ เพ็ญชมพู เมืองTurin, Italy ครับ ปีที่แล้ว กองถ่ายมาถ่ายถึงห้องที่พระองค์เคยพำนักเลยครับ จากคุณ : บุ้ง (B Oprysk) - [ 24 ส.ค. 51 17:53:12 ]

ความคิดเห็นที่ 43 จริงๆแล้วมีป้าคนไทยในเมืองที่รู้จักกัน แกได้เข้าไปช่วยเหลือกองถ่ายและได้เข้าไปดูสถานที่ในเมืองด้วย ป้าแกเล่นพันทิพย์เหมือนกัน รอแกมาโพสท์แล้วกันนะครับ จากคุณ : บุ้ง (B Oprysk) - [ 24 ส.ค. 51 23:53:17 ]

ความคิดเห็นที่ 44 รอฟังเรื่องเล่าจากคุณป้า จากคุณ : PatPDX - [ 25 ส.ค. 51 01:35:45 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ป้ามาแล้วค่ะ...ขอสวัสดีทุกๆท่าน จาก ตูริน อิตาลี ก่อนอื่นใด ดิฉันขอขอบคุณ คุณ พวงชมพู ที่กรุณามาตั้งกระทู้นี้ในห้องไกลบ้าน  ทำให้ดิฉันได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวดีๆที่ประทับใจมาก เมื่อปีที่แล้ว ระหว่างวันที่ 19 เมษายน - 23 มิถุนายน หอสมุดแห่งชาติของตูรินได้จัดนิทรรศการชื่อว่า " Cento anni fa il Siam in Piemonte " เพื่อร่วมฉลองการครบรอบ 100 ปี ที่รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาส ตูริน เมืองสำคัญของแคว้น Piedmont ( Piemonte ในภาษาอิตาเลี่ยน) บุคคลสำคัญที่สุด ในการจัดนิทรรศการครั้งนี้คือ คุณ Maria Luisa M. Tibone เธอเป็นนักประวัติศาสตร์ศิลป์ เป็นอาจารย์ เป็นนักเขียน ที่มีความรู้มากมายเกี่ยวกับประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับประเทศไทย ( มีรูปของเธอในกระทู้ใหญ่ของ คุณ ออกหลวงมงคล # 44 ช่วงที่มาตูริน ) ในห้องนิทรรศการ นอกจากรายละเอียดและรูปเกี่ยวกับการเสด็จประพาสตูรินแล้ว ยังมีเรื่องราวเล่าถึงเหตุการณ์และบุคคลของแคว้น Piedmont ที่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย ต้องขอชมเชยการเก็บรักษาเอกสารสำคัญของที่นี่มาก ยอดเยี่ยมจริงๆ ดิฉันได้เห็นโปสการ์ดของกรมพระยานริศฯเขียนด้วยลายมือของพระองค์ ลงชื่อว่า " Naris " ส่งถึง Cesare Ferro จิตรกรสำคัญคนหนึ่งชาว Piedmont มีผลงานหลายชิ้นที่เมืองไทย คุณ Maria Luisa ได้มอบหนังสือที่เธอเขียนเกี่ยวกับจิตรกรท่านนี้ให้เป็นของขวัญแก่ดิฉัน 1 เล่ม ขบวนรถไฟพระที่นั่งมาถึงสถานี Porta Nuova ของตูรินเมื่อวันที่ 14 พฤกษภาคม 1907 ทุกท่านคงรู้จักสถานีรถไฟหัวลำโพง หน้าตาของสถานี Porta Nuova นั้น เหมือนสถานีหัวลำโพงราวกับฝาแฝด คุณ Maria Luisa ยืนยันว่า หัวลำโพงสร้างเลียนแบบ Porta Nuova เพราะสร้างภายหลัง วันที่ 14 พฤกษภาคม 2007 กลุ่มของคุณออกหลวงมงคล ได้มาถึงตูริน เราจะตามรอยเสด็จประพาสตูรินกันต่อไปนะคะ...โปรดติดตาม จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 25 ส.ค. 51 07:54:37 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ดีใจที่ได้อ่านข้อมูลเบื้องหลังการถ่ายทำสารคดี ๑๐๐ ปีไกลบ้านของคุณ Sig.ra Colombo  จะคอยติดตามด้วยใจระทึก ป.ล. อีกเรื่องหนึ่งที่ดีใจคือได้ชื่อจากคุณ Sig.ra Colombo  พวงชมพู ดอกไม้สีอ่อนหวานลีลาชดช้อยยิ่งนัก  ที่บ้านพักปลูกไว้เลื้อยริมรั้วหน้าบ้านสวยงามมาก                                                     รูปคุณ Maria Luisa M. Tibone แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 51 09:43:21 แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 51 08:51:02 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 25 ส.ค. 51 08:48:07 ]

ความคิดเห็นที่ 47 สถานี Porta Nuova ของตูริน จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 25 ส.ค. 51 08:59:32 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ข้อมูลจากการรถไฟแห่งประเทศไทย http://www.railway.co.th/civil/test/ho1.htm "สถานีกรุงเทพ" (หัวลำโพง)  มีแบบก่อสร้างเป็นรูปโดมสไตล์อิตาเลียนผสมผสานกับศิลปะยุคเรอเนสซองมีลักษณะคล้ายกับ สถานีรถไฟ เมืองแฟรงค์เฟิร์ตในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน  อีกทั้งวัสดุในการก่อสร้างก็เป็นวัสดุสำเร็จรูปจากเยอรมันนีเช่นกัน  ลวดลายต่าง ๆ ที่ประดับไว้เป็นศิลปะที่มีความวิจิตรสวยงามมาก บันไดและเสาอาคารบริเวณทางขึ้นที่ทำการกองโดยสาร หรือโรงแรมราชธานีเดิมเป็นหินอ่อน โดยเฉพาะเพดานเป็นไม้สักสลักลายนูน ซึ่งหาดูได้ยาก จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 25 ส.ค. 51 09:15:26 ]

ความคิดเห็นที่ 49 สถานีรถไฟ เมืองแฟรงค์เฟิร์ตในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 25 ส.ค. 51 09:20:11 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ว่ากันว่าสถานีรถไฟหัวลำโพงนั้นสร้างโดยเอาแบบมาจากสถานีที่แฟรงค์เฟริต และตูริน แต่จากประสบการณ์ที่ไปมาแล้วทั้วสองที่ คิดว่าหัวลำโพงนั้นใกล้เคียงที่ตูรินมากกว่านะครับ ครั้งแรกที่ผมลงรถไฟที่ตูรินก็รู้สึกเลยว่าทำไมมันเป็นบรรยากาศที่คุ้นเคยอย่างนี้ ภายหลังถึงได้รู้ว่าเป็นเพราะหัวลำโพงนั้นสร้างโดยเอาแบบมาจากที่ตูริน จากคุณ : บุ้ง (B Oprysk) - [ 25 ส.ค. 51 14:27:12 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ในพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน ทรงเล่าไว้ดังนี้ รถได้มาถึงตุรินเวลาย่ำค่ำ ๑๕ นาที ยังมีแดดบริบูรณ์อยู่ คนแน่นเต็มไปทั้งชานสเตชั่น ดุ๊กออฟเยนัว บริพัตรขึ้นกับปรินซออฟอุดิน พระยาบุรุษกับหม่อมนเรนทร์ และเอดดิกง ของดุ๊กขึ้นรถไปน่า ตามทางคนเต็มแน่นตลอด ต้องเปิดหมวกตลอดทางจนเมื่อยแขน ตามเคย เข้าไปพระราชวัง ดัชเชสออฟเยนัวมารดาแลดัชเชสออฟเยนัวเมีย กับลูกทั้ง ชายทั้งหญิง ๕ คน เถ้าแก่ ๒ กรมวังชาวที่เก่าแก่หลายคนพร้อมกันคอยรับ รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชโทรเลขถึงมกุฏราชกุมารในเวลานั้น (รัชกาลที่ ๖)  ดังนี้ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 26 ส.ค. 51 14:06:44 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ดิฉันต้องขอโทษ คุณ เพ็ญชมพู ด้วยนะคะที่พิมพ์ชื่อผิดเป็น พวงชมพู คิดว่าคืนนั้นก่อนโพสท์คงดื่มด่ำกับความสวยน่ารักของดอกพวงชมพูจาก # 21 มากไปหน่อย รูปนั้นสวยจริงๆ  ต้องขอบคุณ คุณ PatPDX ที่โพสท์รูปสวยๆมาให้ดู พวงชมพูเป็นดอกไม้แสนรักของดิฉันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เป็นดอกไม้ที่อยู่ในใจเสมอ ขอเล่าต่อนะคะ... รายการที่น่าสนใจที่สุดของนิทรรศการครั้งนี้ คือ สัปดาห์แห่งวัฒนธรรม (Settimana della Cultura) รายการเป็นดังนี้ วันจันทร์ 14 พฤษภาคม เวลา 11.00  " Da Torino a Bangkok " เป็นหัวข้อของการสัมนา พูดถึงหนังสือเล่มหนึ่ง เป็นเรื่องจริงที่เหมือนนิยาย ถ้ามีโอกาส ดิฉันจะเล่าให้ฟังภายหลัง วันพุธ 16 พฤษภาคม เวลา 20.15  " A cena con il Re del Siam " มีดินเน่อร์ จัดที่ Ristorante Neuv Caval ' d Bronz ที่จัตุรัส San Carlo เป็นจัตุรัสที่สวยที่สุดของตูริน ราคาดินเน่อร์ 35 ยูโร วันศุกร์ 18 พฤษภาคม เวลา 11.00  " Un libro per la storia e l' arte - Cesare Ferro un pittore  tra Torino e Bangkok " มีสัมนา พูดถึงหนังสือประวัติชีวิตและผลงานของ Cesare Ferro จิตรกรชาว Piedmont ที่ดิฉันได้กล่าวถึงแล้ว หนังสือเล่มนี้เป็นคนละเล่มที่ คุณ Maria Luisa เขียน วันพุธ 20 มิถุนายน เวลา 10.00  " Visita al Castello di Aglie' con la Collezione siamese " มีรายการเที่ยวพิพิธภัณฑ์ที่ปราสาท Aglie' เพื่อดูของสะสมจากเมืองไทย นอกจากรายการที่กล่าวไปทั้งหมดแล้ว ก่อนหน้านี้ ได้มีการสัมนาใหญ่พูดถึงนิทรรศการครั้งนี้ทั้งหมดที่งานมหกรรมหนังสือของตูริน เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2007 งานมหกรรมหนังสือของตูริน เป็นงานใหญ่ระดับชาติ จัดทุกปีตอนกลางเดือนพฤษภาฯ ดิฉันอาจจะพูดถึงรายละเอียดตรงนี้มากไปหน่อย ไม่เกี่ยวกับกองถ่ายทำสารคดีเลย เพียงแต่อยากจะเล่าถึงความรู้สึกที่ได้เห็นว่า ชาวตูรินนั้นให้ความสำคัญมากเพียงใดกับการครบรอบ 100 ปีที่รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสตูริน หนังสือพิมพ์และเอกสารท่องเที่ยวได้ลงข่าวมากมายเกี่ยวกับนิทรรศการครั้งนี้ ดิฉันไปฟังสัมนาทุกครั้งด้วยความรู้สึกที่ภูมิใจและดีใจที่เป็นคนไทย เพราะได้เห็น ได้รู้จักและได้สัมผัสกับความรู้สึกของคนต่างชาติที่รักเมืองไทย ชื่นชมคนไทยและยกย่องวัฒนธรรมไทย สุภาพสตรีท่านหนึ่งที่ดิฉันได้กล่าวถึงแล้วคือ คุณ Maria Luisa เธอน่ารักเหลือเกิน จะเป็นผู้เปิดการสัมนาและเป็นพิธีกรทุกครั้ง มีเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับเมืองไทยมาเล่าให้ฟังมากมาย มีเรื่องหนึ่งที่ดิฉันประทับใจมาก เธอเล่าให้ฟังว่า ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพฯเป็นการส่วนตัว เธอชื่นชมสมเด็จพระเทพฯมาก คุณ Maria Luisa อายุ 80 ปีแล้ว ดิฉันชื่นชมความสามารถและพลังของเธอมากๆ ยังไปบรรยายเกี่ยวกับศิลปะในที่ต่างๆ มีบทความของเธอตามหน้าหนังสือพิมพ์เสมอ ดิฉันชอบไปเดินเที่ยวพิพิธภัณฑ์กับเธอ ชอบฟังเธอเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย สนุกมาก จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 27 ส.ค. 51 02:06:40 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เช้าวันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม 2007 ดิฉันได้เจอกับกลุ่มกองถ่ายทำสารคดีที่บริเวณใกล้ๆหอสมุดที่จัดนิทรรศการ เราหยุดคุยกัน น้องๆ 3 คนบอกว่าได้เข้าไปดูนิทรรศการแล้วและเล่าถึงงานสำคัญของการเดินทางมาอิตาลีครั้งนี้ ดิฉันทึ่งมาก ต้องขอชมเชยทุกคนอย่างจริงใจ มันไม่ใช่งานง่ายๆเลย ดิฉันชวนน้องๆให้กลับไปที่หอสมุดอีก เพราะจะมีสัมนาและอยากให้ทุกคนได้รู้จักคุณ Maria Luisa เธอเป็นแหล่งข้อมูลชั้นเยี่ยม แต่น้องๆมีเวลาจำกัดเพราะจะต้องไปดู Palazzo Chiablese ที่ประทับของรัชกาลที่ 5 ในตูริน และอาจจะต้องไป เมือง Aglie' ห่างจากตูริน ประมาณ 40 กิโลเมตร หลังจากการสัมนา คุณ Maria Luisa มาบอกดิฉันว่า มีคนมาเขียนคอมเมนต์เป็นภาษาไทยในสมุดเยี่ยมที่ห้องนิทรรศการ อยากให้ดิฉันแปลให้ฟัง ผู้เขียนคือน้องๆกลุ่มกองถ่ายสารคดีนั่นเอง พอเธอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เธอถามดิฉันว่า สามารถจะติดต่อได้มั้ย เธออยากจะให้ความช่วยเหลือเท่าที่เธอจะทำได้ น่านับถือน้ำใจของเธอจริงๆ นี่แหละคือความเมตตาของผู้ใหญ่ โชคดีที่น้องๆและดิฉันได้แลกนามบัตรกันไว้ ดิฉันโทรฯหาทันที น้องๆกำลังอยู่แถวๆ Palazzo Chiablese แต่ไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะตามปกติวังนี้ไม่ได้เปิดให้เข้าชม นอกจากวาระสำคัญเท่านั้นและจะต้องมีการจองล่วงหน้า คุณ Maria Luisa ใหญ่จริงๆ เธอสามารถพาพวกเราทั้งหมดเข้าไปใน Palazzo Chiablese ได้ และถึงขนาดที่ว่า ผู้ดูแลวังมาบอกน้องๆให้ถ่ายรูปตามสบาย ยินดีต้อนรับ โชคดีจริงๆ พวกเราใช้เวลาที่วังนั้นเกือบ 2 ชั่วโมง ดิฉันยังจำความรู้สึกของตัวเองในขณะที่เดินอยู่ที่นั่นตอนนั้นได้ดี ณ ที่แห่งนี้เมื่อ 100 ปีที่แล้ว พระพุทธเจ้าหลวงได้เสด็จมาประทับ เป็นบุญของดิฉันที่มีโอกาสเข้ามาที่นี่ ตื้นตันมากจนขนลุก รู้สึกว่าพระบารมีของพระองค์ท่านมากมายเหลือเกิน จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 27 ส.ค. 51 06:03:45 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ดูท่าทางคุณ Maria Luisa เป็นคนมีเมตตาอย่างที่คุณ Sig.ra Colombo ว่าไว้จริง ๆ เข้าไปใน Palazzo Chiablese ๒ ชั่วโมง มีรูปภาพมาฝากกันบ้างไหมหนอ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 27 ส.ค. 51 14:03:21 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ผมมีแต่รูปตึก ที่ตัวเองเคยถ่ายไว้ เดี๋ยวว่างๆจะเอามาให้ลงพร้อมกับ จตุรัส san carlo จตุรัสที่ได้ชื่อว่าสวยเป็นอันดับต้นๆในยุโรปนะครับ จากคุณ : บุ้ง (B Oprysk) - [ 28 ส.ค. 51 00:04:30 ]

ความคิดเห็นที่ 56 คุณ เพ็ญชมพู คะ รูปของ Palazzo Chiablese และที่ประทับข้างใน มีอยู่ที่กระทู้ใหญ่ ของคุณ ออกหลวงมงคล #42 และ #43  ขอรบกวนคุณ ช่วยนำมาใส่ในกระทู้นี้หน่อยนะคะ  เรื่องการโพสท์รูปนั้น ดิฉันยังทำไม่เป็นค่ะ โลว์เทคมาก ต้องขอเวลาในการเรียนรู้ด้วย อายุมากแล้ว ต้องงมไปเรื่อยๆ กว่าจะพิมพ์ภาษาไทยได้ก็เกือบตายเหมือนกัน มิหนำซ้ำยังพิมพ์ช้ามาก ยังไม่ได้ขอบคุณ คุณ เพ็ญชมพู ที่ได้ช่วยโพสท์รูป สถานีรถไฟ Porta Nuova ของตูริน สถานีรถไฟหัวลำโพง และสถานีรถไฟแฟรงค์เฟริ์ต มาเปรียบเทียบกัน ขอบคุณมากค่ะ ดิฉันคงต้องขอรบกวนคุณต่อไปอีก สำหรับสถานที่บางแห่งที่ดิฉันจะเล่าถึงต่อไป ถ้าคุณมีรูป ช่วยโพสท์ด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 28 ส.ค. 51 14:41:26 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ตระเวนเข้าไปในเว็บต่าง ๆ ได้ภาพข้างนอกข้างใน Palazzo Chiablese มาพอสมควร ข้างนอก จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 28 ส.ค. 51 16:03:13 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ข้างใน ภาพข้างบนคือห้องที่ทรงเคยประทับ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 28 ส.ค. 51 16:18:42 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เมื่อวานนี้ 27 สิงหาคม 2008  หนังสือพิพม์ La Stampa ของตูรินได้ลงข่าวและรูปเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองที่เมืองไทยในขณะนี้  La Stampa เป็นหนังสือพิมพ์ที่เก่าแก่มาก ได้เคยลงข่าวการเสด็จประพาสตูรินของรัชกาลที่ 5 อย่างละเอียดในครั้งนั้น ข่าวและรูปจากเมืองไทยใน La Stampa เมื่อวานนี้ ทำให้ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากสุภาพสตรีวัย 75 ท่านหนึ่ง เธอชื่อ คุณ Carmen Bonino คุณ Carmen เป็นเพื่อนรักคนหนึ่งของดิฉัน เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านเซรามิค เคยทำงานร่วมกับ อาจารย์ ศิลป พีระศรี ที่เมืองไทย เมื่อ ปี 1959-1961 ผลงานของเธอยังอยู่ถึงปัจจุบัน ที่สถานทูตสวิสในกรุงเทพฯ และ ที่โบสถ์ของโรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา คุณ Carmen เล่าว่า เธอได้คุยกับ คุณ Maria Luisa แล้ว ทั้งสองท่านรู้ข่าวว่ามีผู้คนไปชุมนุมกันมากมายที่ทำเนียบรัฐบาล เธอให้ดิฉันเล่ารายละเอียด ทั้งสองท่านเรียก ทำเนียบรัฐบาลไทยว่า Villa Norasingh " บ้านนรสิงห์ " เป็นชื่อเดิมก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น " ตึกไทยคู่ฟ้า " สถานที่แห่งนี้ คุณ Maria Luisa บอกกับดิฉันว่า นี่แหละ คือ Ca' d' Oro ของกรุงเทพฯ ถ้าใครมีโอกาสไปเที่ยวเมืองเวนิส คงได้เห็นตึกโบราณหลังหนึ่งที่สวยมากชื่อ Ca' d' Oro เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค-เวนิส อยู่ติด Grand Canal สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ปัจจุบันนี้เป็นหอศิลป์ ชื่อว่า Galleria Franchetti จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 28 ส.ค. 51 16:38:27 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ขอเล่าต่อนะคะ... หลังจากการเข้าชม Palazzo Chiablese เรียบร้อยแล้ว น้องๆกองถ่ายได้บอกว่า ยังมีสถานที่อีก 2 แห่งในตูรินที่พระองค์ได้เสด็จในครั้งนั้น คือโรงละครเพื่อทอดพระเนตรโอเปร่าและสนามม้าเพื่อทอดพระเนตรการแข่งม้า โรงละครได้เปลี่ยนชื่อไปแล้วตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากชื่อโรงละคร Vittorio Emanuele เป็นชื่อโรงละคร Stabile เป็นโรงละครที่เก่าแก่มาก กำลังปิดเพื่อทำการซ่อมแซม แต่ คุณ Maria Luisa สามารถพาพวกเราเข้าไปดูได้เช่นเคย น้ำใจของสุภาพสตรีท่านนี้ช่างมากมายเหลือเกิน ไม่ไกลจากโรงละคร เป็นที่ตั้งของ Museo di Arti Decorative ( Museum of Decorative Arts ) มีของสะสมเป็นเครื่องตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์โบราณ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงมากของตูริน คุณ Maria Luisa บอกว่า อยากให้น้องๆได้เห็นของสะสมเหล่านี้ ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว พิพิธภัณฑ์ได้ปิดไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็เป็นเหมือนเดิม เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ได้ให้การต้อนรับอย่างดี พวกเราเดินดูห้องต่างๆอย่างสบายราวกับเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัว รูปของคุณ Maria Luisa ถูกถ่ายที่นี่ขณะที่เธอได้ให้สัมภาษณ์กับกองถ่าย หลังจากนั้น คุณ Maria Luisa ได้มาดูแผนที่เพื่อบอกเส้นทางที่จะไปสนามม้าเมื่อ 100 ปีที่แล้วแก่น้องๆ ปัจจุบันไม่มีสนามม้า ณ ที่แห่งนั้นแล้ว ยังมีต่อนะคะ...โปรดติดตาม จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 29 ส.ค. 51 06:25:32 ]

ความคิดเห็นที่ 61 บ้านนรสิงห์ -  Ca' d' Oro จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 29 ส.ค. 51 09:08:25 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ยังตามมาอ่านเรื่องเล่าของคุณ Sig.ra Colombo และดูภาพจากคุณเพ็ญชมพูอยู่เรื่อยๆ ขอบคุณมากค่ะ รูปทรงของตึกไทยคู่ฟ้ากับหัวลำโพง อย่างกับไปยกมาจากอิตาลี่เลยนิ จากคุณ : PatPDX - [ 30 ส.ค. 51 05:56:10 ]

ความคิดเห็นที่ 63 นอกจากตึกไทยคู่ฟ้า, สถานีรถไฟหัวลำโพง แล้วก็ยังมีสถานทีสำคัญอีกหลายแห่งที่มีกลิ่นอายขอสถาปัตยกรรมอิตาเลียน ซึ่งเป็นผลงานของสถาปนิกชาวเมืองตูรินนามว่า มาริโอ ตามานโญ (Mario Tamagno)   ตามานโญ เกิดเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๐  ภายหลังจบการศึกษาทางสถาปัตยกรรม จากสถาบันประณีตศิลป์อัลแบร์ติน่าแห่งตูริน เข้ารับราชการในกระทรวงโยธาธิการแห่งประเทศสยามเมื่อปี  พ.ศ. ๒๔๔๓ โดยมีสัญญาว่าจ้างเป็นเวลา ๒๕ ปี ในขณะนั้น เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชนิยมในศิลปะอิตาเลียน ผู้บังคับบัญชาและผู้ร่วมงานของตามานโญในกระทรวงโยธาธิการจึงเป็นชาวอิตาเลียนเกือบทั้งหมด ตามานโญยังได้รับความไว้วางพระทัยและพระเมตตาจากสมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ องค์เสนาบดี กระทรวงโยธาธิการ ตลอดระยะเวลายี่สิบห้าปีในการรับราชการในราชสำนักสยาม ผลงานการออกแบบของเขา มีมากมาย เริ่มจากชิ้นแรกคือ สะพานมัฆวานรังสรรค์ ต่อจากนั้น ก็ได้แก่ พระที่นั่งอัมพรสถานและพระที่นั่งอภิเษกดุสิต ในพระราชวังดุสิต, วังบางขุนพรหม, ตำหนักปารุสกวัน, ตำหนักจิตรลดา, สะพานผ่านฟ้าลีลาศ, พระที่นั่งราชฤทธิ์รุ่งโรจน์ และก่อนจะสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามานโญได้เริ่มงานโครงการขนาดใหญ่สองชิ้น คือ พระที่นั่งอนันตสมาคมและพระราชวังพญาไท มาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผลงานสถาปัตยกรรมของตามานโญยิ่งหลากหลายมากขึ้น  เขาออกแบบโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, สถานีรถไฟหัวลำโพง, สถานีรถไฟสวนจิตรลดา, สะพานขนาดเล็กในชุด "เจริญ" ที่สร้างขึ้นในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ของรัชกาลที่ ๖ หลายแห่ง, ที่ทำการกระทรวงพาณิชย์, บ้านนรสิงห์ของเจ้าพระยารามราฆพ (ปัจจุบันคือ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล), บ้านบรรทมสินธุ์ของเจ้าพระยาอนิรุทธเทวา (ปัจจุบันคือ บ้านพิษณุโลก) และ ห้องสมุด เนลสัน เฮย์ส คุณ Sig.ra Colombo พอจะทราบบ้างหรือไม่ว่าสถานที่ที่กล่าวมาข้างต้น เหมือนกับสถานที่ใดบ้างในอิตาลี ข้อมูลจากวารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๒๔ ฉบับที่ ๒ เมษายน - มิถุนายน ๒๕๔๑ (ศิลปิน ศิลปะอิตาเลียนในสยาม) มาริโอ ตามานโญ ยี่สิบห้าปี แห่งการเป็น สถาปนิก ในราชสำนักสยาม (๒๔๔๓-๒๔๖๘) โดย เอเลนา ตามานโญ http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=149 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 51 10:47:19 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 51 10:37:07 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 51 07:25:04 แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 51 10:34:41 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 30 ส.ค. 51 07:12:49 ]

ความคิดเห็นที่ 64 สถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย เป็นผลงานการออกแบบของ Mario Tamagno ที่ดิฉันขอกล่าวถึง คือ พระที่นั่งอนันตสมาคม คุณ Maria Luisa บอกว่า โดมใหญ่ของพระที่นั่งอนันตฯ เหมือนกับโดมของวิหารSuperga ( Basilica di Superga ) ของตูริน วิหาร Superga เป็นสถาปัตยกรรมแบบบารอค ออกแบบโดย Filippo Juvarra ( Messina 1678 - Madrid 1736 ) สถาปนิกผู้มีชื่อเสียงมากของอิตาลี ผลงานเด่นๆมีอยู่มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตูริน วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 บนเนินเขาที่มีทัศนียภาพสวยงามมาก สามารถมองลงมาเห็นเมืองตูรินได้ทั้งเมือง ในวันที่อากาศดีท้องฟ้าแจ่มใส สามารถมองเห็นภูเขาซึ่งอยู่รายรอบแคว้น Piedmont ได้ชัดเจน วิหาร Superga เป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งของตูริน จากประวัติการสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม เล่าว่า หินอ่อนที่ใช้ในการสร้าง เป็นหินอ่อนจากเมือง Carrara ในแคว้น Tuscany ของอิตาลี เช่นเดียวกับหินอ่อนที่ใช้ในการสร้างโบสถ์ วัดเบญจมบพิตร จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 31 ส.ค. 51 13:50:27 ]

ความคิดเห็นที่ 65 พระที่นั่งอนันตสมาคม - Basilica di Superga จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 31 ส.ค. 51 15:46:46 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ขออภัยครับ....ที่เข้ามาเก็บเกี่ยวอย่างเดียว แต่ก็ยังติดตามอ่าน การสนทนาข้อมูลของคุณเพ็ญชมพูกับคุณ Sig.ra Colombo เด็กสอบตกวิชาประวัติศาสตร์ ผ่านแค่วิชาพละศึกษาน่ะครับ...lol ขออภัยอีกครั้ง... ที่มาคั่นการสนทนา ขออนุญาตไสหัวตนเอง ไปนั่งที่มุมเดิม จากคุณ : ThaiJoe - [ 31 ส.ค. 51 22:22:03 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ^ ^ ^ คุณ  ThaiJoe นี่ท่าทางจะไม่นั่งเปล่าๆ เดาเอาว่าอ่านทู้นี้ไปเธออาจจะโซ้ย spaghetti หรือ lasagna ไปด้วยก็ได้ เนื่องจากขานี้ ไปไหนมักไม่ค่อยไกลจากของกินเท่าไหร่ เอิ้กๆๆ วัดเบญจฯ นี่ดิฉันเคยเข้าบ่อย เนื่องจากอยู่ใกล้ รร ที่เคยฝึกสอน ชอบเข้าวัดด้วยว่ามันเย็นดี เมื่อก่อนวัดนี้มีนกพิราบเยอะ เต่าก็เยอะ เดี๋ยวนี้จะอย่างไรไม่ทราบ แต่พระที่นั่งอนันต์นี่จนป่านนี้ก็ยังไม่เคยเห็นข้างใน ได้แต่เห็นในรูป ยังว่าวันเด็กปีหน้านี่เราน่าจะไปดูสักทีท่าจะดี :) :) จากคุณ : เด็กดอง (PatPDX) - [ 1 ก.ย. 51 02:29:44 ]

ความคิดเห็นที่ 68 รูปข้างในพระที่นั่งอนันตสมาคม ภาพเขียนบนเพดานโดมโดย กาลิเลโอ คินี (Galileo Chini) จิตรกรชาวเมืองฟลอเรนซ์ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 1 ก.ย. 51 09:08:37 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ตามหลังไมค์มานะครับ เรื่องของ hotel bettolini ที่เมืองเนเปิลส์ครับ ทีมงานสารคดี ๑๐๐ ปีไกลบ้าน ตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง ได้เดินทางไปพบคุณอรทัย และได้รับความเอื้อเฟื้อให้พักอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้เลยครับ เข้าเรื่องเสด็จฯ ไกลบ้านนะครับ ความสำคัญของโรงแรมแห่งนี้คือ เป็นสถานที่ประทับของรัชกาลที่ ๕ เมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน ในช่วงเสด็จนิวัตพระนครครับ เรียกว่าเมืองเนเปิลส์คือเมืองท่าที่ต้องผ่านหากจะเดินทางไปยังประเทศยุโรปในอดีต ดังนั้นช่วงขากลับ พระองค์จึงเสด็จมายังเนเปิลส์อีกครั้ง และได้เสด็จเข้าประทับที่โรงแรมบนเขาในชื่อว่า Hotel bertolini ครับ แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 51 15:55:08 จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 1 ก.ย. 51 10:31:22 ]

ความคิดเห็นที่ 70 มีพระราชหัตถเลขาที่พระองค์ทรงบรรยายถึงโรงแรมแห่งนี้ “ เจ้าของโฮเตลออกมารับถึงรถ ลงเดินเข้าไปหมายว่าจะเข้าโฮเตล ที่ไหนกลายเปนปล่องเหมือนทางรถไฟใต้ภูเขา แลออกลิ่วสุดตา ยังนึกว่าอ้ายปล่องนี่เห็นจะเจาะออกไปหาโฮเตล ซึ่งอยู่น่าเขาข้างหนึ่ง เดินๆ ไปจนสุดปล่อง เจอลิฟต์ เขาบอกให้ขึ้นลิฟต์ จึงได้เข้าใจว่าความจริงนั้นเราก็ขึ้นไปอยู่บนไหล่เขาที่แลเห็นไฟลิบๆ นั้นเองลิฟต์นี้ทำเปน ๒ ห้อง ใหญ่มากสรวยมาก ราวกับรถไฟอย่างดี” นี่คือภาพปล่องทางเข้าโรงแรม ทางเสด็จฯ ของรัชกาลที่ ๕ ครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 1 ก.ย. 51 10:41:08 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ก่อนอื่นต้องขอลงรูปบุคคลทั้งสี่ในภาพนี้ ที่ช่วยเหลือทีมงานสารคดีอย่างมาก คุณอเล็ก และพี่อรทัย พร้อมลูกๆ ทั้งสองครับ นี่คือครอบครัวเจ้าของโรงแรมที่ในปัจจุบัน ตอนนี้ไม่ได้เป็นโรงแรมแล้วนะครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 1 ก.ย. 51 10:44:29 ]

ความคิดเห็นที่ 72 การเปลี่ยนมือของโรงแรมมาเป็นของครอบครัวพี่อรทัยมีอยู่ว่า... เจ้าของโฮเตลในอดีตที่ปรากฏในพระราชหัตถเลขาได้จบชีวิตด้วยการยิงตัวตายในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๑ ครับ สืบเนื่องจากความล้มเหลวในการประกอบธุรกิจ เป็นที่ร่ำลือกันว่า ภาวะสงครามทำให้ไม่มีผู้ใช้บริการเลย และการที่มีคนงานเยอะมาก ทำให้ไม่สามารถที่จะประคับประคองให้อยู่ต่อได้ จึงตัดสินใจจบชีวิตลงครับ คุณย่าของคุณอเล็กก็ได้ซื้อกิจการต่อมาครับ และวันนี้ก็แบ่งพื้นที่บางส่วนเปิดเป็นอพาร์ทเม้นต์ให้เช่าครับ พี่อรทัยถือเป็นอีกบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นที่รักของคนไทยในอิตาลีนะครับ เพราะเธอเป็นคนง่ายๆ (มากๆ) และเป็นกันเองสุดๆ ขอบคุณมากๆ นะครับ ช่วงของโรงแรมแห่งนี้จะอยู่ในช่วงท้ายของสารคดีช่วงเสด็จนิวัตพระนครครับ แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 51 12:48:12 จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 1 ก.ย. 51 10:49:41 ]

ความคิดเห็นที่ 73 รูปด้านหน้าโรงแรมเบอร์โตลินีครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 1 ก.ย. 51 10:51:02 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ^ ^ ^ ......เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเช่นกันครับ เห็นแล้วต้องครางวาวววว....ออกมาเบาๆ ตอนวันเด็ก มัวแต่ไปปีนรถถังเล่น คุณบุ้ง (B Oprysk), หายไปนะเนี่ย จากคุณ : ThaiJoe - [ 1 ก.ย. 51 10:58:44 ]

ความคิดเห็นที่ 75 LOL.....อ้าว, ผมชี้ไปที่รูป 68 นานหน่อย สวัสดีครับคุณออกหลวงมงคล จากคุณ : ThaiJoe - [ 1 ก.ย. 51 11:01:20 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ต้องขอบพระคุณ คุณออกหลวงมงคลเป็นอย่างมากที่กรุณาเข้ามาเล่าให้ฟังเรื่อง Hotel Bertolini ในพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน พระพุทธเจ้าหลวงไม่ได้ทรงเอ่ยนามโรงแรมแห่งนี้ เพียงแต่ทรงเล่าว่าเป็นโฮเตลอยู่บนเขา แต่ในจดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนิรประพาศทวีปยุโรป ครั้งที่ ๒ รัตนโกสินทร ศก ๑๒๕-๑๒๖ โดยนายพันเอก หม่อมนเรนทรราชา ได้เล่าไว้ว่า เมื่อเสด็จถึงสเตชันรถไฟเมืองเนเปลส์ ขุนวิรัชพิศดาร ซึ่งล่วงน่ามาจัดการรับเสด็จ แลมิสเตอร์คาเซลไมเยอร์ เอเย็นบริษัทนอร์ทเยอรมันลอยด์มาเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท เชิยเสด็จพระราชดำเนิรโดยรถม้า มาประทับที่โฮเตลเบอรโตลีนีแปเลศ ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาปาร์โกราฟิโอ สูงจากระดับทเลประมาณ ๕๐๐ ฟิต ทางผ่านมาตามถนนใหญ่กลางเมืองแลเห็นไฟบนโฮเตลลิบ ๆ แต่ไกล ผู้ที่ไม่เคยมาพักที่โฮเตลนี้ย่อมไม่นึกฝันว่าจะขึ้นถึงโฮเตลได้ในเวลาต่ำกว่า ๒ ชั่วโมง แต่ที่จริงมาครึ่งชั่วโมงเท่านั้นก็ถึง เพราะขึ้นเขามาสักหน่อยหนึ่งก็ถึงประตูโฮเตลซึ่งอยู่บนข้างเขาต่ำกว่าตัวโฮเตลมาก เข้าประตูไปแล้วเดินในปล่องยาวเหมือนถ้ำรถไฟเจาะไปใต้ภูเขา เต่ปล่องนั้นสอาดฝาปิดกระเบื้องเคลือบสีขาวพื้นมีพรมลาด สองข้างทางตั้งกระถางต้นไม้เปนแถว จุดไฟฟ้าสว่างดูซึ้งดี ถึงที่สุดของปล่องนี้มีลิฟต์ขึ้นไปประมาณ ๒๕๐ ฟีต จึงถึงโฮเตล เฉลียงในโฮเตลนั้นก็ทำเป็นปล่องยาวเหมือนทางที่เข้ามาอีกห้องต่าง ๆ อยู่ข้างซ้ายมือ เป็นห้องรับประทานอาหาร ห้องนั่ง ห้องประชุม ห้องรับแขกสูบบุหรี่ ฯลฯ ตอนหนึ่ง ตอนปลายอีกตอนหนึ่งจัดเป็นที่อยู่ นอกแถวห้องออกไปมีชาลากว้าง สำหรับดูวิวแลเห็นบ้านเมืองอ่าวท่าเรือได้ตลอด น่าทัศนา การตกแต่งก็สวยสอาด รับคนได้ประมาณ ๒๐๐ โฮเตลนี้หลายชั้นปลูกอิงอยู่กับไหล่เขาไม่ใช่บนยอดเขา จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 1 ก.ย. 51 11:32:22 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ในช่วงสองวันนี้สารคดีที่จะออกอากาศทางโทรทัศน์ จะนำเสนอตอนเสด็จประพาสเมืองไฮเดลแบ็ต เมืองมันน์ไฮม์ และเมืองคาร์ลสรูห์ครับ ติดจามชมได้นะครับ ผมโพสไว้ในเว็บนี้ครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6922623/K6922623.html#61 ขอบพระคุณครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 1 ก.ย. 51 12:46:25 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ขออภัยที่ลืมทักทายนะครับ สวัสดีทุกท่านครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 51 12:47:31 จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 1 ก.ย. 51 12:47:21 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ช่วยประชาสัมพันธ์ให้คุณออกหลวงมงคลอีกคน รายละเอียดของ สารคดี ๑๐๐ ปี ไกลบ้าน ตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง แต่ละตอน http://203.151.233.41/index.php?option=com_content&task=view&id=207&Itemid=1 ชมวิดีโอย้อนหลัง http://www.thaipbs.or.th/klaibaan/clip.asp จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 1 ก.ย. 51 14:27:49 ]

ความคิดเห็นที่ 80 กลับมาที่เบื้องหลังกองถ่ายสารคดีที่ตูริน... ดิฉันลืมเล่าถึงความน่ารักอย่างหนึ่งของ คุณ Maria Luisa นอกจากน้ำใจและความเมตตาที่ได้เล่าไปแล้ว เธอยังเลี้ยงไอศกรีมด้วย เธอพาพวกเราไปกินไอศกรีม Fiorino เป็นไอศกรีมโฮมเมดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองตูรินมากว่า200 ปีแล้ว ถ้าใครมาเที่ยวอิตาลี โปรดลองกินไอศกรีม ภาษาอิตาเลี่ยนเรียกว่า Gelato ( เจ-ลา-โต้ ) โดยเฉพาะไอศกรีมโฮมเมด รับรองว่าไม่ผิดหวังเพราะอร่อยทุกแห่ง ในตูรินมีไอศกรีมโฮมเมดดังๆอยู่หลายยี่ห้อ ขอกล่าวถึงยี่ห้อ Grom ชาวตูรินขอรับประกันในคุณภาพและรสชาติ ร้านไอศกรีม Grom มีอยู่ตามเมืองใหญ่ๆและเมืองท่องเที่ยวทั่วไปในอิตาลี เช่น เจนัว มิลาน เวนิส และ ฟลอเรนซ์  ตอนนี้เปิดสาขาที่ นิวยอร์ค และ ปารีส ไอศกรีมส่งตรงจากตูริน ใครอยู่ใกล้ที่ไหน ลองไปชิมดูนะคะ ตอนเย็น วันที่ 14 พฤษภาคม 2007 ...ถึงเวลาที่ต้องลาจากกัน  น้องๆกองถ่ายยังมีภาระกิจต่อ จะต้องไปดูสนามม้าที่พระองค์ท่านได้เสด็จทอดพระเนตรการแข่งม้า ปัจจุบันไม่มีสนามม้าแล้ว สถานที่แห่งนี้อยู่ทางใต้ของตูริน ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงแค่วันเดียวที่เราได้เจอกัน แต่ความประทับใจมีมากมาย ดิฉันโชคดีที่ได้เจอน้องๆ โชคดีที่รู้จัก คุณ Maria Luisa ความโชคดีได้มารวมกันทำให้มีโอกาสได้ตามรอยเสด็จในตูริน ไม่เคยนึกเลยว่าจะมีโอกาสเช่นนี้ ขอจดจำไว้ตลอดไป... แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 51 17:04:05 จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 1 ก.ย. 51 16:57:15 ]

ความคิดเห็นที่ 81 " Un Viaggio in automobile " แปลว่า การเดินทางโดยรถยนต์ เป็นหัวข้อ เขียนตัวโตชัดเจนจากแผ่นพับที่แจกระหว่างงานนิทรรศการ เขียนโดย คุณ Maria Luisa ได้เล่าถึงรายละเอียดของขบวนเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์จากตูรินไปปราสาท Aglie' ( Castello di Aglie' ) ที่เมือง Aglie' ห่างจากตูรินไปทางเหนือประมาณ 40 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 1907 ขบวนเสด็จพระราชดำเนินประกอบด้วย รถยนต์ 3 คัน คันแรกเป็นรถพระที่นั่ง มี Duke of Genoa ร่วมเสด็จด้วย คันที่ 2 เป็นของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามกุฏราชกุมาร พระองค์ได้ตามเสด็จสมเด็จพระราชบิดาในครั้งนี้ด้วย รถคันนี้มีเจ้าชายแห่ง Udine พระโอรสของ Duke of Genoa ประทับไปด้วย รถคันที่ 3 เป็นของหม่อมเจ้าจรูญศักดิ์กฤษฎากร ผู้ตามเสด็จตลอดการเสด็จประพาสยุโรปครั้งนี้ การเดินทางโดยรถยนต์เมื่อ 100 ปีที่แล้วไม่ใช่สิ่งที่ธรรมดานัก หนังสือพิมพ์ La Stampa ของตูรินได้ลงข่าวถึงการเสด็จประพาสปราสาท Aglie' โดยรถยนต์ ว่าเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจของชาวตูริน รถยนต์ทั้ง 3 คันนั้นเป็นรถ FIAT ผลิตขึ้นที่โรงงานในตูริน ชาวตูรินภูมิใจในรถ FIAT มากเพราะตัวอักษร T ในชื่อของ FIAT คือ Torino ( ภาษาอิตาเลี่ยนของ Turin ) ชื่อ FIAT มาจากตัวอักษรตัวแรกของคำดังต่อไปนี้ Fabbrica Italiana Automobile Torino เมื่อปี 1899 ก่อนการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 เพียงแค่ 8 ปี  Giovanni Agnelli นักอุตสาหกรรมผู้มีวิสัยทัศน์ชาวแคว้น Piedmont ได้ตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ครั้งแรกที่ตูริน นั่นคือการเริ่มต้นของอุตสาหกรรมรถ FIAT ในอิตาลี ในปัจจุบัน FIATเป็นบริษัทมหาชน แต่การบริหารบางส่วนยังคงอยู่ในมือของตระกูล Agnelli รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 4 ปราสาท Aglie' ในครั้งนั้นเป็นที่ประทับฤดูร้อนของ Duke of Genoa  ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ มีของสะสมหลายชิ้นจากเมืองไทย บางชิ้นถ้าคนไทยได้เห็นจะต้องน้ำตาซึม... จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 1 ก.ย. 51 22:29:41 ]

ความคิดเห็นที่ 82 อ่านโรมันสัญจร ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พิมพ์ครั้งที่หนึ่ง 2531 หน้า 121 ท่านทรงเอ่ยถึงไอศกรีมอิตาลี่ที่แถวๆจัตุรัสเซนต์มาร์ค ว่าแพง.. แต่ไม่ทราบว่าเป็นของ Grom หรือเปล่า เพราะท่านไม่ได้บอกไว้ จากคุณ : PatPDX - [ 2 ก.ย. 51 00:09:27 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ขอตอบ คุณ PatPDX นะคะ... ร้านไอศกรีม Grom ที่เวนิส อยู่ที่ Campo San Barnaba ห่างจากจัตุรัสเซนต์มาร์ค ประมาณ 1 กิโลเมตร อยู่อีกฝั่งหนึ่งของ Grand Canal ที่ตูริน ราคาของ Grom ต่ำสุด 2 ยูโร เวลากินต้องละเลียดกิน ถ้ากินแบบปกติ จะได้ 3 คำเล็กๆ ราคานี้เป็นราคาของไอศกรีมใส่ Cone หรือใส่ถ้วยกระดาษ ซื้อแล้วต้องยืนหรือเดินกิน ไม่มีโต๊ะและเก้าอี้นั่ง ปล. วันเด็กปีหน้า อยากจะเข้าไปดูข้างในของพระที่นั่งอนันตสมาคมกับคุณ แต่ว่า เขาจะให้เราเข้าหรือเปล่า ? จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 2 ก.ย. 51 04:56:23 ]

ความคิดเห็นที่ 84 Castello di Aglie' จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 2 ก.ย. 51 08:44:50 ]

ความคิดเห็นที่ 85 " Un Viaggio in automobile " เขียนโดย คุณ Maria Luisa เล่าถึงรายละเอียดของขบวนเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์จากตูรินไปปราสาท Aglie' ( Castello di Aglie' ) ที่เมือง Aglie' เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๑๙๐๗ ขบวนเสด็จพระราชดำเนินประกอบด้วย รถยนต์ ๓ คัน คันแรกเป็นรถพระที่นั่ง มี Duke of Genoa ร่วมเสด็จด้วย คันที่ ๒ เป็นของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามกุฏราชกุมาร พระองค์ได้ตามเสด็จสมเด็จพระราชบิดาในครั้งนี้ด้วย รถคันนี้มีเจ้าชายแห่ง Udine พระโอรสของ Duke of Genoa ประทับไปด้วย รถคันที่ ๓ เป็นของหม่อมเจ้าจรูญศักดิ์กฤษฎากร ผู้ตามเสด็จตลอดการเสด็จประพาสยุโรปครั้งนี้ ในพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน มีรายละเอียดต่างจากข้อมูลของคุณ  Maria Luisa มาก วันพุฒที่ ๑๕ พฤษภาคม วันนี้เห็นจะเหนื่อยง่วงนอน น่าจะเขียนไม่สำเร็จ แต่ลองพยายามดู ตื่นพอ ๒ โมงถ้วนรับหมอแลกินเข้า ให้หม่อมนเรนทร์เขียนหนังสือ พอ ๔ โมงเผงดุ๊กออฟเยนัวมารับ ไปรถโมเตอคาร์ของเราเองกับดุ๊กออฟเยนัว บริพัตรกับผู้อื่นไปรถดุ๊กออฟเยนัว ปรินซออฟอุดินขับรถเราอิกรถหนึ่งรวมเป็นสามรถด้วยกัน ไปเลี้ยวที่ตลาดนัดกลางเมือง ตรงไปทางเมืองมิลาน แล้วเลี้ยวซ้ายมือ เปนทางตรงลิ่ว... รัชกาลที่ ๖ ครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามกุฏราชกุมาร ขณะที่รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่สองนี้ ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการต่างพระองค์ ไม่ได้เสด็จมาด้วย คุณ Sig.ra Colombo ลองดูใน # ๕๑ จะเห็นพระราชโทรเลขจากตูรินถึงมกุฏราชกุมาร (รัชกาลที่ ๖) บริพัตรที่ทรงกล่าวพระนามถึงคือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต คุณ Sig.ra Colombo ลองบอกให้คุณ Maria Luisa นำข้อมูลจากพระราชนิพนธ์ไกลบ้านไปพิจารณาอีกที จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 2 ก.ย. 51 09:18:02 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ได้ไอศกรีม Grom มา ๓ ถ้วย แบ่งคุณ Sig.ra Colombo และคุณแพทคนละถ้วย ที่เหลืออีก ๑ ถ้วย ขอเอาไว้กินเองก็แล้วกัน จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 2 ก.ย. 51 14:48:55 ]

ความคิดเห็นที่ 87 คุณ Thaijoe ไม่ได้หายไปไหน แต่ยุ่งอยู่ครับ แต่ขอยืนยัน ให้ไปชิมไอติมยี่ห้อGromอร่อยมากๆๆๆๆๆๆ ๆจริงๆครับ ใครอยู่นิวยอค อย่าลืมไปชิมนะครับ จากคุณ : บุ้ง (B Oprysk) - [ 2 ก.ย. 51 16:15:12 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ไอศกรีมน่ากินนนนนจังครับ Gelato ที่เห็นตาม supermarket ที่อเมริกา ทําไมไม่เหมือนในภาพเลยครับ เป็นพวกรสผลไม้แบบ sherbet เนื้อไอศกรีม เหมือนน้ำแข็งไสละเอียด ค่อนไปทาง smoothie Haagen Dazs ของคุณ Mike นี่ ก็มือวางอันดับหนึ่งแล้วนะครับ ขอบคุณครับคุณ บุ้ง (B Oprysk) ที่กลับมาคุยต่อ จากคุณ : ThaiJoe - [ 2 ก.ย. 51 23:43:18 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูที่อุตส่าห์ส่ง Grom มาให้กิน เชื่อหรือไม่ว่าเมื่อวานอยากกินอิแทเลี่ยนไอสกรีมจนต้องขับรถออกไปที่ Mall ใกล้ๆบ้าน ได้มาสองรสที่อยากกิน กล่องละ scoop ราคา scoop ละ $3.83 (ei yai yai..) ราคาแพงมาก นานๆกินทีให้รู้รสรู้เรื่องก็ OK แล้ว เห็นด้วยกะคุณ Thai Joe ยี่ห้อแห่กันdak อร่อยสุด พูดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเพราะคุณ Mike เธอจะไปทำงานให้ที่นี่หรอกนะ กินมานาน ชอบมานานแล้ว อิอิ ได้คุยเรื่องความอยากไอสกรีมนี้ให้คุณ Sig.ra Colombo ฟังด้วย คุณซินยอร่าท่านก็บอกว่าเห็นจะต้องออกไปหา Grom กินเสียหน่อยเหมือนกัน วกเข้าไปเรื่องกินจนได้นะคะ (คุณThaiJoe คงได้หัวเราะอีก ว่าบ้านดิฉันนี่ทั้งในโรงรถ และโต๊ะกินข้าวนี่มันช่างรกได้เสียทุกที่ เป็นอย่างนั้นทุกที่ๆเราอยู่ สบายๆกันอย่างนี้ แต่ถ้ามีแขกมาจะเรียบร้อยค่ะ) แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 51 05:57:15 จากคุณ : PatPDX - [ 3 ก.ย. 51 05:49:33 ]

ความคิดเห็นที่ 90 จาก #86 ขอขอบคุณ คุณเพ็ญชมพู สำหรับไอศกรีม ดิฉันขออันที่ใส่ Cone มี 2 รส เพราะเห็นรสที่ตัวเองชอบมาก คือ Nocciola ( Hazelnut ) ฮาเซลนัท ที่ใช้ทำไอศกรีม Grom รส Nocciola จะต้องเป็นพันธุ์ Tonda Gentile ที่ปลูกในเขตที่ชื่อว่า Langhe ของแคว้น Piedmont เท่านั้น Grom จะเคร่งครัดมากต่อวัตถุดิบที่ใช้ในการทำไอศกรีม จะกำหนดแหล่งที่มาชัดเจน จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 3 ก.ย. 51 11:52:53 ]

ความคิดเห็นที่ 91 เรากลับมาดูต่อ...การเสด็จประพาส ปราสาท Aglie' จาก #81 และ #85 ขอขอบคุณ คุณ เพ็ญชมพู ที่ได้กรุณาชี้แจง ทำให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมาก ข้อมูลที่ถูกจะต้องเป็นไปตามการบันทึกในหนังสือพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน ในแผ่นพับของคุณ Maria Luisa มีข้อความหลายตอนที่คัดลอกมาจากหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวถึงการเสด็จประพาสตูรินในครั้งนั้น ได้เห็นคำ " เจ้าชายรัชทายาท แห่ง สยาม " il Principe ereditario del Siam หลายครั้ง ข่าวลงชัดเจนว่าพระองค์ทรงอยู่ในขบวนเสด็จด้วย ดิฉันคิดว่าสื่อฯเมื่อ 100 ปีที่แล้วคงไม่มีข้อมูลในการทำการบ้านเท่าไหร่นัก ดิฉันจะคุยกับคุณ Maria Luisa ในเรื่องนี้แน่นอน นิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยจะถูกจัดขึ้นอีกครั้งในปี 2011 เพื่อร่วมฉลองการครบรอบ 150 ปี ของการตั้งประเทศอิตาลี ( ประเทศอิตาลีเกิดจากการรวมแคว้นต่างๆเข้าด้วยกัน เมื่อ ปี 1861 ) คุณ Maria Luisa เคยคุยกับดิฉันถึงนิทรรศการที่จะจัดขึ้น  ที่แน่ๆคือเธอจะเป็น:-)านเหมือนเดิม แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 51 14:15:09 แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 51 14:12:14 จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 3 ก.ย. 51 14:10:35 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ปัจจุบันนี้ ปราสาท Aglie' ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ มีของสะสมมากมาย โดยเฉพาะของสะสมจากประเทศแถบเอเซีย ในแผ่นพับของคุณ Maria Luisa ได้เล่าถึงของสะสมจากประเทศไทยค่อนข้างละเอียดทีเดียว ของชิ้นสำคัญที่ดิฉันได้เห็นและอยากจะเล่าถึงนั้น อยู่ในตู้กระจกซึ่งถูกปิดไว้อย่างดี มีรูปถ่ายเล็กๆ 4 รูปใส่กรอบตั้งไว้ คุณ Maria Luisa บอกว่าเป็นกรอบรูปดั้งเดิมในยุคนั้น เธอใช้คำว่า " ปลายศตวรรษที่ 18 " สองรูปแรก ในแผ่นพับเขียนไว้ว่า เป็นรูปของ Re Chulalongkorn และ  Regina Saovabha Phongsri ( คำว่า Re และ  Regina ในภาษาอิตาเลี่ยน แปลว่า King และ  Queen )  รูปของพระพุทธเจ้าหลวงทรงอยู่ในวัยที่หนุ่มมาก ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่ ส่วนรูปของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีนั้นไม่ใช่แน่นอน ดิฉันได้บอกคุณ Maria Luisa แล้ว ตอนนั้นดิฉันคิดว่าอาจเป็นรูปของ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ " พระนางเรือล่ม " เพราะ มีของอีก 3 ชิ้นที่ทำให้คิดเช่นนั้น ชิ้นแรก คือ รูปที่3 เป็นรูปเด็กเล็กมาก ดูจากเครื่องแต่งตัว ต้องเป็นพระโอรสหรือพระธิดาแน่ๆ ดิฉันคิดว่าอาจเป็นรูปของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ซึ่งสิ้นพระชนม์พร้อมกัน ของอีก 2 ชิ้นเป็นของที่ระลึกในงานพระศพของทั้งสองพระองค์ เขียนไว้ที่ฐานชัดเจน ดิฉันเห็นแล้วน้ำตาซึม ชิ้นแรกเป็นกวาง 2 ตัวแม่ลูกคู่กัน ชิ้นที่สอง เป็นควาย 2 ตัวแม่ลูกเช่นกัน อย่างไรก็ดี มีครั้งหนึ่งที่ดิฉันได้โทรศัพท์คุยกับน้องๆกองถ่ายสารคดี ตอนนั้นน้องๆยังอยู่ที่มิลาน น้องคนหนึ่งบอกว่าเป็นรูปของ สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าเมื่อครั้งยังสาว รูปที่ 4 เป็นรูปผู้หญิงวัยชรา รูปนี้แปลกกว่ารูปอื่น ที่กรอบรูปมีตราพระเกี้ยว คุณ Maria Luisa  สันนิษฐานว่า เป็นรูปของสมเด็จพระราชชนนีของพระพุทธเจ้าหลวง จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 3 ก.ย. 51 18:10:18 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ^ ^ ^ Wish we could all see what in the museum. For pics, some people may be able to identify. จากคุณ : PatPDX - [ 3 ก.ย. 51 23:00:40 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ยังเป็นผู้ติดตามต่อไป....... คห. ที่ 90 ของคุณ Sig.ra Colombo, ถ้าพูดในแง่การตลาด ไอศกรีม Grom ขายผมได้แน่ๆ อ่านแล้วรู้สึกมั่นใจในคุณภาพ แม้ยังไม่เคยได้แตะลิ้นมาก่อน อยากทานมากเลย ไม่อยากให้ประเด็นเบี่ยง แต่อยากบอกจากใจ เลยอดไม่ได้ จากคุณ : ThaiJoe - [ 3 ก.ย. 51 23:01:50 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ในพ.ศ. ๒๔๒๓  ดุ๊กออฟเยนัวแห่งตูรินได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยือนสยาม และเป็นปีเดียวกับที่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีสิ้นพระชนม์ด้วยอุบัติเหตุเรือพระประเทียบล่ม ณ ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ โสภางคทัศนิยลักษณ์ อัครวรราชกุมารี พระราชธิดา และพระราชบุตรในพระครรภ์ซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นพระราชโอรสหรือพระราชธิดาอีกด้วย  ดังนั้นของสะสมเกี่ยวกับเมืองสยามที่แสดงใน Castello di Aglie' ที่ได้มาเมื่อครั้งนั้นส่วนหนึ่งจึงเกี่ยวกับ "พระนางเรือล่ม" ดังที่คุณ   Sig.ra Colombo เล่ามา คุณ  Sig.ra Colombo  ดูสารคดีตอนเสด็จประพาสตูรินได้ที่นี่ http://www.thaipbs.or.th/klaibaan/clip.asp?clipid=0808130021 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 51 11:00:33 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 51 08:57:25 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 4 ก.ย. 51 08:52:58 ]

ความคิดเห็นที่ 96 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตาหรือ เจ้าจอมมารดาเปี่ยม มีพระราชธิดา ๓ พระองค์คือ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ (สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี) พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทั้ง ๓ พระองค์จึงมีพระพักตร์คล้ายกัน จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 4 ก.ย. 51 10:49:55 ]

ความคิดเห็นที่ 97 โห.. ถ้าไม่ได้มาอ่านกระทู้นี้ ก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองมีขี้เลื่อยอยู่ีในสมองตั้งเยอะ ขอบคุณทุกๆ ท่าน ที่สละเวลาให้ความรู้และความบันเทิงไปในตัว ได้ความรู้เยอะแยะเลยค่ะ ขอบคุณ คุณSig.ra Colombo นะคะ ที่ส่งลิงค์ดีๆ ไปให้ อ่านไปเซฟไป เดี๋ยวต้องหาฮาร์ดดิสก์เพิ่มซะแล้วค่ะ เอาไว้ทำคลังความรู้ส่วนตัว ขอบคุณอีกทีค่ะ จากคุณ : ~ ShiriN ~ - [ 5 ก.ย. 51 08:06:35 ]

ความคิดเห็นที่ 98 เข้าไปถาม คุณใบนท หนึ่งทีมงานสารคดี ๑๐๐ ปีไกลบ้าน ตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวงที่กระทู้ใหญ่ (ถึงตอนเสด็จประพาสเยอรมันแล้ว) ๑๐๐ ปีไกลบ้าน ตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง... ณ ประเทศเยอรมัน{แตกประเด็นจาก K6860154} http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6922623/K6922623.html ได้รูปและเรื่องเกี่ยวกับของสะสมจากสยามที่ Castello di Aglie' น่าสนใจมาก ขออนุญาตถ่ายทอดทั้งภาพและคำบรรยายมาดังนี้ ภาพที่ปราสาทอัลเญ เมืองตูริน cap มานะคะ อาจไม่ชัดเท่าไหร่ เป็นของขวัญพระราชทานเมื่อครั้งดุ๊กออฟเจนัว เสด็จฯ สยามค่ะ พระองค์ทรงเป็นเจ้านายจากต่างประเทศพระองค์แรกที่เสด็จฯ ถึงสยาม และคาดว่า ของขวัญพระราชทานที่ปราสาทแห่งนี้ น่าจะเป็นของขวัญพระราชทานของรัชกาลที่ ๕ ที่เก่าแก่ที่สุดในต่างแดน (ไม่แน่ใจว่ามีที่ไหนเก่ากว่านี้หรือเปล่านะคะ) เพราะพระองค์ท่านพระราชทานในปี ๒๔๒๓ ภาพแรก เป็นภาพ รัชกาลที่ ๕ กับสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าค่ะ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 5 ก.ย. 51 08:16:36 ]

ความคิดเห็นที่ 99 พระบรมรูปรัชกาลที่ ๕ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 5 ก.ย. 51 08:23:10 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ถึง # ๑๐๐ ในกระทู้ ๑๐๐ ปี  ขออนุญาตเฉลิมฉลองเล็กน้อย               พระรูปนี้ คุณ Sig.ra Colombo ให้ความเห็นว่าอาจเป็นรูปของ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ " พระนางเรือล่ม " ส่วนคุณใบนทให้ความเห็นว่า คิดว่า เป็นสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้านะคะ ลองเปรียบเทียบพระรูปนี้กับพระรูปใน # ๙๖ จะเห็นว่าทั้งสองพระองค์ทรงมีพระพักตร์คล้ายกันมาก แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 51 10:34:46 แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 51 10:33:33 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 5 ก.ย. 51 08:32:48 ]

ความคิดเห็นที่ 101 พระรูปนี้คุณ Sig.ra Colombo  บรรยายว่า รูปผู้หญิงวัยชรา รูปนี้แปลกกว่ารูปอื่น ที่กรอบรูปมีตราพระเกี้ยว คุณ Maria Luisa  สันนิษฐานว่า เป็นรูปของสมเด็จพระราชชนนีของพระพุทธเจ้าหลวง ส่วนคุณใบนท บอกว่า ไม่ทราบจริง ๆ พระราชชนนีของรัชกาลที่ ๕ คือ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี หรือพระนามเดิม หม่อมเจ้ารำเพย ศิริวงศ์ (๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๗๗ - ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๐๔) เมื่อพระราชชนนีเสด็จสวรรคต รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระชนมายุเพียง ๙ พรรษา ทรงได้รับการถวายอภิบาลจากพระองค์เจ้าหญิงลม่อม (พระราชธิดาในรัชกาลที่ ๓) จึงทรงเคารพรักเสมอด้วยพระราชชนนี เมื่อเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระองค์เจ้าละม่อมเป็นพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ กรมพระสุดารัตนราชประยูร และทรงเลื่อนเป็น พระเจ้าบรมมหัยยิกาเธอ กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร  ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ ทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร พระรูปนี้จึงน่าจะเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 51 12:07:18 แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 51 09:03:00 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 5 ก.ย. 51 08:56:06 ]

ความคิดเห็นที่ 102 พระรูป สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าละม่อม กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร (๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๖๑ - ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๓๙) จากวิกิพีเดีย http://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ_พระองค์เจ้าละม่อม_กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 5 ก.ย. 51 09:12:37 ]

ความคิดเห็นที่ 103 พระรูปนี้คุณ  Sig.ra Colombo  บรรยายว่า เป็นรูปเด็กเล็กมาก ดูจากเครื่องแต่งตัว ต้องเป็นพระโอรสหรือพระธิดาแน่ๆ ดิฉันคิดว่าอาจเป็นรูปของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ซึ่งสิ้นพระชนม์พร้อมกัน ส่วนคุณใบนท บอกว่าไม่ทราบเช่นกัน ดูแล้วไม่แน่ใจเช่นเดียวกับคุณใบนท รูปเด็กดูยากกว่าผู้ใหญ่ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 5 ก.ย. 51 09:20:42 ]

ความคิดเห็นที่ 104 สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ทรงอุ้มสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 5 ก.ย. 51 09:25:56 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ของที่ระลึก งานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ (พระยศในขณะนั้น) จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 5 ก.ย. 51 09:31:53 ]

ความคิดเห็นที่ 106 คำบรรยายภาพขึ้นบน จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 5 ก.ย. 51 09:33:54 ]

ความคิดเห็นที่ 107 ของที่ระลึกอื่นจากสยาม จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 5 ก.ย. 51 09:35:27 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายที่คุณใบนทกรุณาโพสต์มาให้ เป็นภาพกว้าง ๆ ของห้องสีเขียว ในปราสาทอัลเญ และคุณใบนท สรุปว่า ในห้องนี้ มีของพระราชทานหลายชิ้นมากค่ะ เรียกว่าเป็น collection ที่ใหญ่พอควร ถ้าเทียบกับที่อื่น ที่สำคัญคือ ดุ๊กออฟเจนัว ผู้ที่ได้รับ พระองค์ก็ทรงให้ความสำคัญ และเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 5 ก.ย. 51 09:39:33 ]

ความคิดเห็นที่ 109 พระรูป สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าละม่อม ใน คห 102 นิ้วมือท่านสวยมาก คงเหมือนกับที่เขาเปรียบว่าเหมือนลำเทียน จากคุณ : PatPDX - [ 5 ก.ย. 51 13:34:15 ]

ความคิดเห็นที่ 110 มีเกร็ดประวัติศาสตร์ในด้านพระอารมณ์ขันของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร เล่าโดยคุณกัมม์แห่งห้องสมุด กรมพระยาสุดารัตนราชประยูรทรงเรียกพระองค์เองว่า "ยาย"  และทรงเรียกรัชกาลที่ ๕ ว่า  "อ่อน" เมื่อคราวเสด็จประพาสน้ำตกไทรโยค  พระองค์ทรงพอพระทัยน้ำตกไทรโยคยิ่งนัก  ทรงสัพยอกรัชกาลที่ ๕ ว่า "อ่อนรักยายหรือไม่"........"ยายขออะไรสักอย่างจะได้ไหม"  รัชกาลที่ ๕ ทรงตอบรับทั้ง ๒ คำถาม คำขอของ "ยาย" คือ พระองค์ทรงขอให้ "อ่อน" ชะลอน้ำพุที่ไทรโยคไปไว้ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อจะได้สรงน้ำพุได้ทุกเวลา จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 6 ก.ย. 51 06:38:33 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ดิฉันต้องขอขอบคุณ คุณใบนทด้วยเรื่องรูป สามารถไขปริศนาไปได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระรูปของ สมเด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าละม่อม การที่พระพุทธเจ้าหลวงได้พระราชทานพระรูปนี้แก่ Duke of Genoa แสดงถึงความเคารพรักอย่างมาก จากประวัติศาสตร์ที่คุณเพ็ญชมพูเล่ามา บอกว่าพระองค์ทรงเคารพรักเสมอด้วยพระราชชนนี ดิฉันคิดว่า การสันนิจฐานของคุณ Maria Luisa มีเหตุผลถึงแม้จะผิดตัวบุคคล เธอบอกว่า การให้รูปกับเพื่อนสนิทนั้น โดยทั่วไปแล้วจะเป็นรูปของตัวเองหรือของบุคคลอันเป็นที่รักในครอบครัว ดิฉันยังมีเรื่องของปราสาท Aglie' มาเล่าต่อ ปี 1939 ทายาทของ Duke of Genoa ได้ขายปราสาทให้รัฐบาลอิตาลีในราคา 7 ล้านลีร์ ( ลีร์เป็นหน่วยเงินตราของอิตาลีก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้เงินยูโร ) ประมาณ 5 ล้าน และ 6 แสนยูโร ในปัจจุบัน รอบๆตัวปราสาทถูกจัดเป็นสวน สวยงามมาก เวลาหน้าร้อนจะมีคอนเสิร์ตกลางแจ้ง ดิฉันเคยไปดู 2 ครั้ง  จะมีการจัดนิทรรศการบ่อยๆ ขณะนี้มีนิทรรศการปฏิมากรรมระหว่างชาติ ตะวันออก-ตะวันตก จนถึงวันที่ 12 ตุลาคม  ดิฉันเห็นรายชื่อปฏิมากร ชาวจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี รวมกันเกือบ 10 คน เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ชื่อเสียงของปราสาท Aglie' โด่งดังมาก เพราะเป็นฉากสำคัญของละครพีเรียดเรทติ้งสูง กวาดรางวัลไปหลายรางวัล ชื่อของละครคือ " Elisa di Rivombrosa " ในเรื่อง ปราสาทถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ปราสาท Rivombrosa เป็นปราสาทของตระกูลพระเอก มีตำแหน่งเป็นท่านเคาน์ นางเอกชื่อ Elisa เป็นสาวชาวบ้าน แต่มีความสามารถพิเศษเกินผู้หญิงชาวบ้านธรรมดาๆของสมัยศตวรรษที่ 17 คือ สามารถอ่านหนังสือออกและเขียนหนังสือได้ นางเอกจึงได้เลื่อนตำแหน่งจากงานในครัวไปเป็นต้นห้องของแม่พระเอก เรื่องราวของซินเดอเรลล่าสามารถสร้างเป็นละครได้เรื่อยๆ คนชอบดู ละครเรื่องนี้ พระเอกหล่อ นางเอกสวยมาก ผู้ร้ายหลายคน นางอิจฉาร้ายสุด เป็นละครที่ยาวมาก มีถึง 3 ภาค ช่วงนั้นมีนักท่องเที่ยวมาเมือง Aglie' เพื่อมาดูปราสาทมากมาย และจะเรียกชื่อปราสาทว่า ปราสาท Rivombrosa ของ Elisa แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 51 12:35:43 จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 6 ก.ย. 51 12:29:10 ]

ความคิดเห็นที่ 112 Elisa di Rivombrosa จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 6 ก.ย. 51 13:05:36 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ก่อนที่พระพุทธเจ้าหลวงจะเสด็จออกจากตูรินไปเวนิส ทรงเล่าว่า ...มาแวะดูมอนิเมนต์รูปดุ๊กออฟเจนัวบิดาดุ๊กคนนี้ ซึ่งอยู่ในสนามสวนดอกไม้ กลางสี่กั๊กถนน เปนรูปขี่ม้าในสนามรบ กำลังม้าถูกปืนจะล้มซวนลง ดุ๊กกำลังชี้ดาบเร่งทหารงามแปลกเต็มที ในการที่จะทำรูปนี้ว่าต้องฆ่าม้าถึงสามตัว เพื่อจะให้ช่างเห็นว่าม้าจะตายนั้นเปนอย่างไร อยากให้คุณ Sig.ra Colombo เล่าเกี่ยวกับอนุสาวรีย์แห่งนี้หน่อย แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 51 11:45:34 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 7 ก.ย. 51 11:39:57 ]

ความคิดเห็นที่ 114 คุณบุ้งเคยบอกไว้ใน # ๕๕ เรื่องจะลงรูปจตุรัส san carlo (จตุรัสที่ได้ชื่อว่า สวยเป็นอันดับต้น ๆ ในยุโรป) ที่ถ่ายเอาไว้ ยังรอชมอยู่อยู่เสมอ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 7 ก.ย. 51 11:44:54 ]

ความคิดเห็นที่ 115 #113 อนุสาวรีย์ของ Duke of Genoa องค์นี้ ดิฉันขอเวลาไปทำการบ้านก่อน...วันนี้ขอเล่าเรื่อง ที่ยังต่อเนื่องกับเรื่องที่เล่ามาทั้งหมด                         -------------------------- " Il Po come il Menam "  ชื่อ โป นั้นไซร้คือแม่น้ำนั่นเอง เป็นชื่อหัวข้อต่อไปในแผ่นพับของคุณ Maria Luisa โป เป็นชื่อของแม่น้ำสายสำคัญของอิตาลีที่ไหลผ่านตูริน เมื่อดิฉันยังเป็นเด็กชั้นมัธยมฯ จำได้ว่าอาจารย์ผู้สอนวิชาภูมิศาสตร์ เล่าให้ฟังถึงแหล่งปลูกข้าวแถบลุ่มแม่น้ำโป เป็นที่เดียวในทวีปยุโรปที่ปลูกข้าวในครั้งนั้น ดิฉันเรียนมัธยมฯในยุคที่ ม.ต้น และ ม.ปลาย ถูกเรียกว่า มศ.1 - มศ.5 เวลาผ่านไปนานมากแล้ว ปัจจุบันนี้ มีแหล่งปลูกข้าวเพิ่มขี้นพร้อมกับวิธีการเพาะปลูกที่ทันสมัย รายงานเศรษฐกิจบอกว่า อิตาลีสามารถส่งข้าวเป็นสินค้าออก Risotto เป็นอาหารอิตาเลี่ยนจานหนึ่งที่ทำจากข้าว อิตาลีใช้นโยบายการตลาดให้อาหารเป็นตัวนำ การทำ Risotto ควรทำจากข้าวอิตาเลี่ยนเท่านั้น ชาวอิตาเลี่ยนโดยทั่วๆไปค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยมในการกินการอยู่ ทำให้โยงไปถึงการอนุรักษ์ของกินของใช้ ขอยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน มีเนยชนิดหนึ่ง ชื่อ Fontina เป็นเนยที่มีชื่อเสียงของแคว้น Aosta Valley เป็นแคว้นเล็กๆอยู่ติดแคว้น Piedmont ทางทิศเหนือ เนย Fontina ถูกกำหนดไว้ว่า จะต้องทำในเขตแดนแคว้นนี้จากนมของวัวสายพันธุ์ของแคว้น Aosta Valley ที่เกิดและกินหญ้าในบริเวณของแคว้นนี้เท่านั้น มิฉะนั้น จะใช้ชื่อ Fontina ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม มีข่าวเนย Fontina ปลอม( เช่น ทำจากนมที่นำมาจากที่อื่น หรือ ทำภายนอกบริเวณอื่น ) บ่อยๆ งานหลักอย่างหนึ่งของตำรวจอิตาเลี่ยน คือ วิ่งไล่จับของปลอม...ดิฉันออกนอกเรื่องไปหน่อย คิดว่าเล่าสู่กันฟังก็แล้วกัน คุณ Maria Luisa ตั้งหัวข้อชื่อแม่น้ำโป เพราะต้องการเล่าถึงงานสำคัญงานหนึ่ง ที่จัดขึ้นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ L' Esposizione Internazionale งานมหกรรมสินค้านานาชาติ จัดขึ้นที่ตูรินระหว่าง เดือน เมษายน - เดือน พฤศจิกายน 1911 หลังจากที่พระพุทธเจ้าหลวงได้เสด็จประพาสตูริน 4 ปี เป็นงานที่ยิ่งใหญ่มากในยุคนั้น มีประเทศต่างๆเข้าร่วมมากมาย รวมทั้งประเทศสยาม จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 7 ก.ย. 51 23:45:18 ]

ความคิดเห็นที่ 116 คุณ เพ็ญชมพู ผมเพิ่งกลับมาตูรินวันนี้ คิดว่ารูปจตุรัสsan carlo ที่เคยถ่ายไว้ สงสัยจะทำหายไปจากเครื่องคอมเสียแล้ว ไว้ว่างๆ ผมจะเดินไปถ่ายมาให้ใหม่นะครับ จะถ่ายออกมาสวยเหมือนของจิงได้แค่ไหนยังไม่ทราบ แต่จะลองดูนะครับ จากคุณ : บุ้ง (B Oprysk) - [ 8 ก.ย. 51 03:09:25 ]

ความคิดเห็นที่ 117 สำหรับคุณบุ้ง และสำหรับคุณ Sig.ra Colombo L' Esposizione Internazionale  1911 ภาพจาก http://www.comune.torino.it/archiviostorico/mostre/expo_2003/teca5.html จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 8 ก.ย. 51 08:55:05 ]

ความคิดเห็นที่ 118 ศาลาสยามเคียงคู่กับศาลา Serbia  ในงาน Torino Esposizione Internazionale 1911 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 8 ก.ย. 51 09:05:23 ]

ความคิดเห็นที่ 119 " Il Padiglione del Siam "    ศาลาสยาม กำหนดการของงานแสดงสินค้านานาชาติที่ตูรินได้ออกมาอย่างเป็นทางการตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ 1907 เป็นระยะเวลา 3 เดือนก่อนที่พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสตูริน เป็นพระราชประสงค์ของพระองค์ ต้องการให้ประเทศสยามได้มีส่วนร่วมในงานสำคัญระดับนานาชาตินี้ ผู้รับสนองพระราชโองการ คือ พันเอกพระสารสาสน์พลขันธ์ ( Gerolamo Emilio Gerini ) ซึ่งขณะนั้นกำลังอยู่ในอิตาลี พระองค์ได้เสด็จเยี่ยม Gerini ที่เมือง Albenga ช่วงที่กำลังเสด็จประพาสริเวียร่า สถาปนิกผู้ออกแบบศาลาสยาม คือ Mario Tamagno และ Annibale Rigotti ทั้งสองท่านเป็นชาวตูริน ส่วน Gerini นอกจากได้เป็นหัวหน้าคณะกรรมการการจัดงานแสดงสินค้าและการก่อสร้างศาลาสยามแล้ว ยังได้เป็นตัวแทนของประเทศสยามด้วย วันที่ 27 พฤษภาคม 1911 พระเจ้า Vittorio Emanuele III กษัตริย์แห่งอิตาลีและพระราชินี Elena ได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดงานมหกรรมสินค้านานาชาติ ที่ตูริน อย่างเป็นทางการ วันนั้นได้มีพิธีเปิดศาลาสยามอย่างเป็นทางการเช่นกัน สถาปัตยกรรมที่สวยงามและแปลกตาของศาลาสยามเป็นที่ดึงดูดความสนใจอย่างมาก รวมทั้งสินค้าที่จัดแสดง Gerini ได้ให้สัมภาษณ์แก่นักหนังสือพิมพ์หลายครั้ง มีเอกสารแนะนำประเทศสยามที่ Gerini เขียนด้วยตัวเองแจกด้วย งานมหกรรมสินค้านานาชาติที่ตูรินครั้งนี้ ทำให้ชื่อของประเทศสยามเป็นที่รู้จักมากขึ้นในเวทีโลก สายพระเนตรของพระพุทธเจ้าหลวงช่างกว้างไกลเหลือเกิน ถึงแม้ว่าพระองค์ได้เสด็จสวรรคตไปก่อนหน้านี้ แต่งานต่างๆได้ดำเนินไปตามพระราชประสงค์ทุกประการ แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 51 07:25:28 จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 11 ก.ย. 51 07:20:31 ]

ความคิดเห็นที่ 120 จากรูป # 113 อนุสาวรีย์นี้อยู่ที่จัตุรัส Solferino ใกล้น้ำพุ Angelica เป็นมุมที่สวยมากมุมหนึ่งของตูริน " Il Monumento a Ferdinando di Savoia "  อนุสาวรีย์อนุสรณ์ของเจ้าชายเฟอร์ดินานโด้ แห่ง ซาวอย Duke of Genoa พระองค์นี้ คือ เจ้าชาย Ferdinando ( 1822-1855 ) ทรง เป็นพระโอรสของพระเจ้า Carlo Alberto ( 1798-1849 ) กษัตริย์ราชวงศ์ซาวอยแห่งแคว้น Piedmont เมืองหลวงคือตูริน และทรงเป็นพระอนุชาของพระเจ้า Vittorio Emanuele II ( 1820-1878 ) กษัตริย์องค์แรกของประเทศอิตาลี ประเทศนี้เกิดจากรวมแคว้นต่างๆเข้าด้วยกันเมื่อ ปี 1861 เหตุการณ์ที่ทำให้มีการสร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้ เกิดขึ้นเมื่อ ปี 1848 ที่สนามรบนอกกำแพงเมือง Novara ( อยู่ห่างจากตูรินไปทางทิศตะวันออกประมาณ 90 กิโลเมตร) พระเจ้า Carlo Alberto ทรงเป็นบุคคลที่สำคัญมากที่สุดพระองค์หนึ่งในการก่อตั้งประเทศอิตาลี ถึงแม้จะไม่สำเร็จในรัชสมัยของพระองค์ก็ตาม การรบที่เมือง Novara นี้พระองค์พร้อมด้วยพระโอรสทั้งสองได้นำกองทัพของแคว้นPiedmont มาต่อสู้กับกองทัพของออสเตรียซึ่งขณะนั้นได้ครอบครองดินแดน Lombardy มีเมืองสำคัญ คือ มิลาน ศึกครั้งนี้ได้มีการต่อสู้กันอย่างทรหดถึงชนิดตัวต่อตัว ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่าพระโอรสทั้งสองพระองค์ได้ทำการรบอย่างสมศักดิ์ศรีชายชาติทหาร ทรงแสดงความกล้าหาญอย่างยิ่ง ทรงยืนบัญชาการรบอยู่ในที่เปิดเผย มีทหารถูกยิงล้มตายอยู่ใกล้ๆ ถึงขนาดว่า ม้าของเจ้าชายเฟอร์ดินานโด้ก็ตายและพระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม กองทัพของแคว้น Piedmont ไม่สามารถสู้กองทัพของออสเตรียได้ ต้องหนีเข้าเมือง Novara และส่งคนไปขอเจรจาสงบศึก พระเจ้า Carlo Alberto ทรงเสียพระทัยและทรงอดสูมาก ได้ทรงสละราชสมบัติในคืนนั้นให้แก่พระโอรส พระเจ้า Vittorio Emanuele II ได้ทรงรำลึกถึงความกล้าหาญของพระอนุชา ที่ได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา จึงโปรดให้สร้างอนุสาวรีย์เพื่อเป็นอนุสรณ์ ในหนังสือเรื่อง " คาวัวร์ " พระนิพนธ์ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ได้กล่าวถึงการรบครั้งนี้อย่างละเอียด จากคุณ : Sig.ra Colombo - [ 11 ก.ย. 51 09:44:53 ]

ความคิดเห็นที่ 121 เจอกระทู้นี้ เกี่ยวกับเรื่องที่คุณ Sig.ra Colombo เล่าพอดี ใครเป็นคนรวมประเทศอิตาลีครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5302225/K5302225.html พระเจ้า  Carlo Alberto  ทรงสละบัลลังก์แก่พระโอรสคือ วิคเตอร์ เอมมานูเอลที่ 2 (Victor Emmanuel II) ใน ค.ศ. ๑๘๔๙ กษัตริย์องค์ใหม่ทรงมีเสนาบดีผู้ชาญฉลาดคือ เคานต์ คามิลโล คาวัวร์ (Count Camillo di Cavour) ผู้นิยมฝรั่งเศส และลัทธิเสรีนิยมการเมืองกับเศรษฐกิจแบบอังกฤษ เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชื่อ "การฟื้นฟูรวบรวมประเทศ" (Risorgimento) สนับสนุนการมีรัฐธรรมนูญแบบเสรีนิยม และปรับปรุงภายในแคว้นซาร์ดีเนีย-ปิเอดมอนต์ เพื่อเป็นผู้นำในการรวมอิตาลี ซึ่งคาวัวร์เห็นว่าควรเริ่มด้วยการขับออสเตรีย และเป็นมิตรกับประเทศอื่น ด้วยเหตุนี้คาวัวร์จึงเข้ารวมสงครามไครเมีย ค.ศ. ๑๘๕๕ ในฐานะพันธมิตรของอังกฤษ และฝรั่งเศส ทั้งต่อมายังได้แอบทำสัญญาลับกับพระจักรพรรดินโปเลียนที่สามของฝรั่งเศส โดยตกลงยกซาวอย (Savoy) กับนีซ (Nice) ให้ฝรั่งเศสถ้าฝรั่งเศสช่วยเหลืออิตาลีทำสงครามกับออสเตรีย ฝรั่งเศสสนับสนุนคาวัวร์เป็นอย่างดี แต่บังเอิญการรวมอิตาลีจะมีผลถึงการเสียอำนาจของพระสันตะปาปา พระจักรพรรดินโปเลียนที่สามจึงเปลี่ยนใจยอมทำสัญญาสงบศึกกับพระจักรพรรดิฟรานซิส โจเซฟแห่งออสเตรีย คาวัวร์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะท้อที่ฝรั่งเศสเปลี่ยนใจ แต่ก็มีการเจรจากันใหม่ลงนามที่เมืองตูริน เดือนมีนาคม ค.ศ. ๑๘๖๐ ฝรั่งเศสได้นีซกับซาวอยโดยฝรั่งเศสไม่ขัดขวางการรวมทัสคานี ปาร์มา โมเดนา โรมันยา กับซาร์ดิเนีย-ปีเอดมอนต์ แต่ยังไม่สามารถรวมรัฐสันตะปาปาเข้ามาจนถึง ค.ศ. ๑๘๗๐ การเคลื่อนไหวเพื่อการรวมจึงเป็นผลเมื่อกองทหารอิตาลีเข้ายึดกรุงโรม และสถาปนาเป็นเมืองหลวงของอิตาลีใน ค.ศ. ๑๘๗๑ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 11 ก.ย. 51 11:54:08 ]

ความคิดเห็นที่ 122 นี่คงเป็นความคิดเห็นสุดท้ายสำหรับกระทู้ (ที่เป็น) ประวัติศาสตร์ (ซึ่งเกี่ยวกับประวติศาสตร์) ซึ่งได้รับการโหวตเป็นกระทู้แนะนำในห้องไกลบ้านนี้ ต้องขอขอบพระคุณผู้มีอุปการคุณทุกท่านที่ทำให้กระทู้นี้มีสีสัน เต็มไปด้วยความรู้และความบันเทิง เริ่มตั้งแต่คุณแพทผู้ทำหน้าที่แข็งขันให้การชักชวนเพื่อนฝูงมากหน้าหลายตา อันได้แก่หลายท่านในรายนามดังต่อไปนี้ คุณจอมยุทธสุดอึ๋มส์, คุณ Panissar, คุณก๋าสะลองเงิน, คุณ Jennifer Lowclass, คุณขอเดชะฯ, คุณแม่ของอ๊บ, คุณไอริน, คุณ  piggymom, คุณพนอจัน, คุณมณีสยาม, คุณ ~ ShiriN ~,  คุณบุ้ง และคุณ ThaiJoe (สองผู้นิยมไอศกรีม Grom) ต้องขอบพระคุณเป็นพิเศษสำหรับคุณ Smilla สำหรับเรื่องพระพุทธเจ้าหลวงในสวีเดน, คุณคนอุดรฯ สำหรับกลอน (ชอบวรรคที่ว่า เพ็ญชมพูดูใสสุกทุกเวลา) และเรื่องพระพุทธเจ้าหลวงในเดนมาร์ก ที่ต้องขอบพระคุณมากที่สุด คือ คุณ Sig.ra Colombo สำหรับความรู้ที่ถ่ายทอดมาจากคุณ Maria Luisa เกี่ยวกับสถานที่ที่พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสในตูริน สุดท้ายที่ต้องขอบพระคุณ คือ ทีมงานสารคดี ๑๐๐ ปีไกลบ้านทั้ง ๒ ท่านคือ คุณออกหลวงมงคล (ปัจจุบันคือคุณ secret letter) สำหรับความรู้เรื่อง Hotel Bertolini ใน Naples และคุณใบนทสำหรับภาพของสะสมจากสยามใน Castello di Aglie' จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 11 ก.ย. 51 14:32:23 ]