PANTIP.COM : H6934360 หลายคำถามและประสบการ์ณกับ TOEFL []

ความคิดเห็นที่ 6

มาแล้วค่ะ หลังจากหายไปซะหลายวัน ขอตอบคำถามของ K. HNO3ก่อนเลยนะคะ คำศัพท์ได้มาจากการที่เราอ่าน reading n listening น่ะค่ะ คำไหนที่เราไม่รู้ และ คำไหนที่เจอบ่อยๆๆในโทเฟล เนี่ยแหละ สำคัญนัก ก่อนอื่นขอเล่าเพิ่มว่า ตอนแรกที่ฝึกทำโทเฟล บางทีเราทำ reading n listening เราจะเห็นว่าคำพวกนี้ผ่านตาบ่อยมาก แต่ทำไมเราไม่รู้ความหมาย แล้วไม่คิดจะหาคำแปลด้วย อย่างเคยเข้าไปอ่านจากคำแนะนำของหลายๆคน รวมทั้งจากที่คุณครูทั้งไทยและฝรั่งสอน พวกท่านมักจะบอกว่า
1.ศัพท์คำไหนที่เราไม่รู้ ให้ข้ามไป แล้วอ่านแค่ใจความของประโยคก็จะสามารถเดาความหมายไก้ลเคียงได้เอง
2. เราไม่จำเป็นต้องแปลศัพท์ทุกคำ เพราะจะทำให้การอ่านไม่ราบรื่นเท่าที่ควร และ เสียเวลาในบางครั้ง
3. เราจะต้องหัดเป็นผู้เดาในบางครั้ง ก็คือเราต้องฝึกการเดาอย่างมีเหตุผล หรือ educated guess โดยดูจากประโยครอบๆๆ
เมื่อได้คำแนะนำที่มีประโยชน์เหล่านี้มา ผู้เขียนเองก็ได้ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้ โดยที่อ่านข้ามๆคำที่ไม่รู้ เอาแค่จับใจความสำคัญว่าเป็นอย่างไร หรือบางทีก็ลองเดาความหมายของคำดู 555 ผลที่ได้ บางครั้งก็ไกล้เคียง บางทีก็ไม่ได้เกี่ยวกันเลย ทำให้แอบคิดว่าวิธีเหล่านี้อาจจะใช้ความสามารถส่วนบุคคลก็เป็นได้แต่เราไม่มีไง ฮิฮิ ซึ่งก็แอบอิจฉาคนที่อ่านครั้งแรกแล้วเข้าใจโดยที่ไม่รู้ศัพท์ เฮ้อ ทำไมเค้าฉลาดจังเนอะ แต่เข้าใจค่ะว่ามันอาจจะขึ้นอยู่กับความชำนาญและการฝึกฝน เราเชื่อนะคะว่าถ้าทุกคนค่อยๆเริ่มฝึก ก็จะทำได้เหมือนกันแหละคะ แต่ต้องใช้เวลาซึ่งอันนี้ก็บอกไม่ได้เพราะขึ้นอยู่กับแต่ละคน ความสามารถของแต่ละคนไม่เท่ากัน อย่างผู้เขียนเองก็มีความสามารถอันน้อยนิดแถมยังขี้เกียจอีกด้วย 5555 เลยจบเห่ มาต่อกันดีกว่านะคะนะคะ แต่บางครั้งก็แอบขัดใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมเราอ่านไม่รู้เรื่องเลยว่าเค้าพูดถึงอะไร อ่านรอบที่สองก็พอรู้เพิ่มอีกนิด แต่ก็ยังไม่เข้าใจและทำข้อสอบก็ผิดเยอะเหลือเกิน แต่ก็ได้มารู้ว่าเพราะคำศัพท์นั้นยากเหลือเกินและบางคำก็เป็นคำสำคัญซะด้วย และด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้เกิดอยากรู้ว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร ( ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนนะคะว่า อันนี้เป็นวิธีส่วนตัว ที่ว่าเวลาอ่านเราต้องอ่านให้เข้าใจทั้งหมด ต้องรู้ศัพท์ให้ได้มากที่สุด ประมาณ 90% ไม่งั้นไม่รู้เรื่อง ซึ่งก็แล้วแต่ละบุคคลว่า ตังเองเหมาะกับวิธีไหน แต่เราเหมาะกับแบบนี้ค่ะ) หลังจากนั้นก็เลยหาศัพท์ของแต่ละเรื่องออกมา ขอบอกว่าตอนเริ่มทำวิธีนี้ อาจจะดูเหมือนเสียเวลาและช้ามาก เพราะวันนึงจะอ่านได้ไม่กี่เรื่องเอง และสิ่งที่น่าตกใจก็คือ ว่าทำไมชั้นไม่รู้ศัพท์มากอย่างนี้ เพราะแต่ละเรื่องที่จดศัพท์ออกมานั้นมากมายเหลือเกิน ก็ได้แต่คิดกับตัวเองถึงว่าล่ะ ทำไมทำข้อสอบผิดก็เพราะเราเข้าใจความหมายผิดนี่เอง แรกๆเบื่อมากค่ะ ที่ต้องมานั่งหาศัพท์ หาความหมาย มานั่งท่องศัพท์อะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นได้ใช้เลย แต่เชื่อไม๊คะ ว่าผู้เขียนทำไปได้สัก 2 อาทิตย์ก็เริ่มลองของ ลองดูว่าจะมีพัฒนาการบ้างไหม แต่ผลออกมาเป็นที่น่ายินดีค่ะ คือ
1. อ่าน reading เรื่องต่อๆมา ก็เริ่มเอะใจว่า เอ๊ะ ทำไมมันหาศัพท์ได้น้อยจัง เพราะจากเรื่องแรกนี่ ได้ศัพท์ใหม่มาประมาณเกิน 15 หรือบางเรื่องก็ได้เกือบถึง 30 คำ แต่ก็แอบปลอบตัวเองนะว่า เรื่องนึงจะมีคำศัพท์ทั้งหมดน่าจะเกิน 1000 คำ (ไม่เคยนั่งนับซะที เลยไม่รู้จริงๆว่ามีเท่าไหร่กันแน่) แต่เราไม่รู้ศัพท์นี่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์แต่ 0.03 เอง นี่ก็เป็นวิธีที่ทำให้เราให้กำลังใจตัวเองอีกวิธีหนึ่งนะคะ THINK POSITIVE
2. คราวนี้ลองอ่านรวดเดียวจบโดยที่ไม่กังวลกับคำศัพท์เลย ปรากฏว่า อ่านรู้เรื่องขึ้นค่ะ คำตอบง่ายๆก็คือ เป็นเพราะคำศัพท์ที่ได้หาไปครั้งก่อนๆแล้วก็ได้ท่องด้วยไงคะ เราได้ทำความรู้จักและคุ้นเคยโดยการใส่คำเหล่านี้เข้าไปในสมองก็เลยง่ายขึ้นสำหรับการอ่านครั้งต่อๆไป

ผู้เขียนเคยคิดค่ะ ว่าศัพท์ในโทเฟลเป็นศัพท์ทางวิชาการ ก็อย่าไปท่องซะดีกว่าเพราะท่องไปก็ไม่ได้ใช้ และยังเป็นศัพท์ที่เราคิดว่าเราจะไม่ได้ไปเจอข้างนอกโทเฟลหรือบทสนทนาในชีวิตประจำวัน และเป็นคำที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลยทั้งชีวิต และยังเป็นคำที่เราไม่คิดจะใช้ด้วย ขอบอกว่าคิดผิดค่ะ ผู้เขียนเจอกับตัวมาแล้วค่ะ ก็ตอนที่ดูซีรี่ กะ CNN ก็แปลกใจว่า เอ๊ะ มันเป็นคำที่เค้าใช้กันทั่วไปนี่ นั่นก็ทำให้เข้าใจข่าวที่ดูได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นจึงดีใจและคิดว่าไม่เสียแรงเลยที่ท่อง เห็นไม๊คะ ว่าศัพท์เหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะทำ reading เท่านั้นนะคะ ยังทำให้เราฟังได้รู้เรื่องขึ้นอีกด้วย เพราะคำส่วนมากที่หามาก็จะเป็น ADJ and ADV ถ้าเป็นการอ่านปรกติเราก็รู้เรื่องอยู่แล้ว แต่นี่เป็นการเพิ่มอรรถรสและส่วนขยายของคำ ทำให้เรารู้ลึกข้น แต่คำในโทเฟลบางคำก็ยอมรับค่ะว่าไม่เคยเจออีกเลย ไม่ว่าจะเป็นในบทความในโทเฟลเรื่องอื่นหรือข้างนอก ดังนั้นท่องไปเหอะค่ะ รู้ดีว่าไม่รู้ จริงไม๊คะ

นี่ก็เป็นอีกประสบการ์ณที่ผู้เขียนได้มาจากการทำข้อสอบเยอะๆๆ ดังนั้นเราก็จะรู้เองแหละว่าเราเหมาะกับวิธีแบบไหน ซึ่งบางครั้งเราก็อาจจะคิดวิธีขึ้นเองก็ได้นะคะแล้วเราก็จะรู้เองค่ะ

จากคุณ : superfine - [ 2 ก.ย. 51 16:31:53 ]

ความคิดเห็นที่ 10

กลับมาแล้วค่า พอดีไปเจริญสติมา 1 อาทิตย์น่ะค่ะ แต่ตอนนี้กลับมาเขียนต่อ อาจจะหายๆๆ ไปบ้าง เพราะต้องทำงานด้วย แต่ยังไงจะโผล่มาบ่อยๆ นะคะ ตอนนี้ก็เกือบลืมไปแล้วเหมือนกันว่าจะเขียนเล่าอะไรต่อดี เพราะแอบแวปไปบ่อยๆๆเลยไม่ค่อยประติดประต่อ เอาเป็นว่านึกอะไรได้ก็จะเขียนเล่าให้ฟังแล้วกันนะคะ ถ้าใครมีตรงไหนอยากถามหรือสงสัยก็เชิญได้เลยค่า ไม่เก็บตังค์

งั้นเอาเรื่อง writing ก่อนก็ได้ เพราะตอนแรกว่าจะเขียนเป็นเรื่องสุดท้าย อันนี้ขอแซงคิวให้ คุณ HNO3 ก่อน ก่อนอื่นต้องขอเท้าความก่อนเพื่อเป็นกำลังใจให้สำหรับคนอื่นๆด้วยว่า ครั้งแรกที่สอบ Toefl เราได้แค่ 18 เอง ครั้งต่อๆมาก็ยังได้เท่าเดิม ทั้งที่ได้ไปเรียนเพิ่มเติม ตามสถาบันต่างๆ ก็แอบเสียใจและงงนิดนึงว่า ทำไมชั้นไม่มีพัฒนาการขึ้นเลย เฮ้อ.. แต่หลังจากที่ลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้งแล้วประสบการณ์ที่สอบมาหลายรอย ทำให้รู้ว่าต้องแขยนแบบไหน อีกครั้งต่อๆมาคะแนนก็ขยับเป็น 20-22 และครั้งสุดท้ายเพิ่มเป็น 26 ก็งงเล็กน้อยเพี่ว่าก็เขียนเหมือนเดิมไม่ค่อยต่างจากครั้งก่อนๆ เท่าไหร่ ทำไมคะแนนได้เพิ่มขึ้น การทำ writing ของ toefl เนี่ยไม่ได้ยากเลยค่ะถ้าเราจับจุดและรู้วิธี อย่างที่เคยบอกไว้หลายๆๆครั้งว่า ถ้าเราลองได้ทำอะไรบ่อยๆเข้าก็คงหาวิธีที่เหมาะกับตัวเองเจอได้ แต่วิธีของ จขกท ก็ไม่ได้แตกต่างจากผู้แนะนำคนอื่นๆเลย
ข้อสอบมี 2 ข้อ ซึ่งแต่ละข้อก็แตกต่างกัน
1. ให้อ่าน + ฟัง แล้วสรุปออกมา สำหรับข้อนี้ง่ายมากค่ะ จขกท ได้เกือบเต็ม ซึ่งความคิดต่างจากครั้งแรกๆที่ทำข้อสอบเลยค่ะ ตอนนั้นรู้สึกว่า part นี้ยากมาก ทำไม่ได้ จับใจความไม่ถูก เขียนไม่จบ แล้วไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะไม่รู้ว่าต้องเขียนยังไง แต่ตอนนี้สบายแล้วค่ะ รู้แล้ว อาจเป็นเพราะทำข้อสอบบ่อย แล้วมีคนแนะนำ อีอย่างเราก็ทำเป็น pattern ไว้เลย เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาในการทำข้อสอบด้วย ข้อนี้อันนี้ยากตรงไหน ก็ยากตรงที่ถ้าเราฟังไม่ทัน หรือจับใจความไม่ถูก หรือว่าอ่านไม่รู้เรื่อง หรือไปลอกประโยคของเค้ามาก็มีส่วนทำให้ได้คะแนนน้อยได้เหมือนกันค่ะ
ลักษณะของข้อสอบ จะมี 2 ประเภท อันที่พวกเราเจอกันบ่อยๆ ก็จะเป็นแบบ ขัดแย้งกันระหว่าง reading and listening ส่วนอีกประเภทก็คือ ที่สอดคล้องกัน
การทำข้อสอบข้อนี้ ก่อนอื่นเค้าจะให้เวลาอ่าน 3 นาที ถ้าจำไม่ผิดนะคะ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำก็คืออ่านเร็วแล้วเขียนโน๊ตเร็วด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ เพราะว่าเนื้อเรื่องจะโผล่มาให้เห็นอีก อันนี้ก็แค่เขียนคร่าวๆในกระดาษที่แบ่งเป็น 2 ช่องนะคะ (เอาไว้เปรียบเทียบกับ listening) ว่า มันเป็นเรื่องอะไร แล้วเค้าจะให้คำอธิบาย/เหตุผลหรือลักษณะมา 2-3 ข้อ lecturer เห็นด้วยหรือไม่ ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะว่าจะไปช่วยให้เราเข้าใจเนื้อเรื่องในส่วนของ listening ได้มากขึ้น ส่วนใน listening เราก็ต้องก็ฟัง อันนี้แน่นอนค่ะ ว่าต้องให้เข้าใจ ฟังแล้วจดทัน หรืออาจจะคิดเป็นภาพไว้ในใจก็ได้นะคะ แต่ที่เน้นก็คือ จดคำหลังๆๆให้ทัน จะจดเป็น ไทยหรืออังกฤษก็แล้วแต่ ตามสะดวกค่ะ แต่ จขกกท ชอบเป็นภาษาอังกฤษค่ะ เพราะไม่ต้องมาแปลอีกรอบ สำหรับข้อนี้ มีอีกนิดนึงนะคะที่อยากจะบอก คือ ถ้าเราทำ reading/listening เยอะๆแล้ว เราก็จะเข้าใจเนื้องเรื่อง part นี้ได้ค่อนข้างง่าย เพราะเรื่องที่ออกๆมาก็วนไปวนมา เรื่องจะคล้ายๆกัน บางครั้งเราจะเดาได้เลย หรือรู้ว่า เรื่องจะเป็นแบบไหน น่าตกใจใช่ไม๊คะ เชื่อเถอะค่ะ ว่าต้องทำข้อสอบๆเยอะๆ ตอนแรก จขกท ขี้เกียจมาก ไม่ค่อยทำ เพราะคิดว่ามันคงไม่ออกมาซ้ำๆกันแน่ แต่คิดผิดเลยค่ะ เรืองทั้งหมอของทุก part จะคล้ายๆกันมาก พอเราฟังเสร็จ ก็ต้องอ่านคำถามให้ดีนะคะ อันนี้ก็เป็นข้องเสียของ จขกท อีกอย่างนึงคือ ตอนนั้นที่ไปเรียนพิเศษ อาจารย์ก็บอกให้จำคำถามเพื่อจะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาอ่านอีกในห้องสอบ แต่ขอบอกว่าถูกครึ่งนึง จขกท ไม่เคยอ่านคำถามเลย พอฟังเสร็จก็เขียนตอบเลย แต่พอหลังจากที่ทำมาหลายรอบ เลยรู้สึกว่า ถึงเราจะรู้คำถามคร่าวๆแต่ก็ต้องอ่านอีกรอบ บางทีเค้าจะถามเพิ่มขึ้นมาหรือถามให้เราตอบแบบไหนหรือสรุปอย่างไร คือคำถามเนี่ยจะคล้ายๆกันแต่ไม่เหมือนกันซะทุกข้อ เหลือบตามองนิดนึงก็ยังดีนะคะ หลังจากนั้น จขกท ก็กลับไปอ่านอีกรอบ แล้วก็เขียนตอบเลยค่ะ เขียนแบบนี้นะคะ
intro -- เป็นเรื่องอะไร แล้ว reading บอกว่าอะไร vs listening บอกว่าอะไร มีความเห็นต่างกันหรือ support กัน กี่ข้อ อะไร ก็เขียนอธิบายไปแต่เอาแค่คำหลักๆนะคะ สำหรับอันนี้)
BOdy 1 - ข้อแต่กต่าง หรือสนับสนุน เหตุผลข้อที่ 1
ก็ต้องเกริ่นก่อนว่า reading บอกว่าอะไร แต่/ listening บอกว่าอีกอย่าง ก็อธิบายไปค่ะ
BODY 2 - reading บอกว่าอะไร ขัดแย้งกับ listening ยังไง ก็อธิบาย
BODY 3- reading ไม่เห็นด้วยกับ listening ยังไง ก็อธิบาย
Conclusion- reading เป็นแบบนี้ แต่listening เป็นอีกอย่าง ซึ่งทั้งสองอันนี้ต่างกัน และ ขัดแย้งกัน ( จะคล้ายๆ introค่ะ)
ลองไปทำดูนะคะ ที่ว่า partนี้ง่ายเพราะ มันมีทุกอย่างมาให้ เราไม่ต้องไปคิดขึ้นเอง อ้อ อีกนิดนึงนะคะ อย่าไปลอกประโยคของเค้ามาเชียว เราต้อง paraphrase เอง

2. อันนี้เป็นแบบ open เลยค่ะ คือให้คำถามมาแล้วให้เราเขียนตอบ โดยที่ไม่มีคำว่าผิด หรือถูก แต่อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเร็วและวิธีคิดด้วย
อันนี้ที่ว่ายาก คือต้องคิดให้เร็วและมีระบบ บอกเหตุผลไป 3 ข้อ อะไรบ้าง อันนี้เขียนให้ยาวหน่อยก็ดีค่ะ

สำหรับคนที่กลัวว่าจะคิดไม่ออกในห้องสอบ ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ให้ไปหาหนังสือ toefl essay มาอ่าน เพื่อนเป็นแนวทางว่าถ้าออกแบบนี้เราจะตอบว่าอย่างไร หรือ จำเหตุผลไปคร่าวๆ อาจจะไปใช้ได้ในคำถามข้ออื่นหรือแบบอื่น แต่หลังๆๆ มานี่ที่เปลี่ยนระบบ จขกท ไม่เคยเจอคำถามที่คล้ายๆ ในหนังสือนั่นเลย แต่เราก็นำเหตุผล/ ลักษณะการเขียนมาใช้ได้เหมือนกันค่ะ
สู้ๆๆ นะคะ อ้อ เกือบลืมอีกอย่าง ลองนึกคำถามขึ้นมาเล่นๆวันละข้อ ก็ลองคิดดู หาเหตุผลมาสัก 3 ข้อ จะทำให้เราเป็นคนคิดเร็ว ถ้าอยากเป็นคนคิดอย่างมีระบบก็ลองทำ แบบ.. คิดอะไรออกก็จดๆลงไปแล้วค่อยมาจัดหมวดหมู่ทีหลัง อันนี้ไปหาอ่านได้ในหนังสือ toefl นะคะ เค้าจะมีอธิบายไว้

ลองทำดูนะคะ แล้วจะเห็นว่าไม่น่ายาก จขกท ทำได้ คุณๆก็ต้องทำได้ แต่ต้องขยันนะคะ

จากคุณ : superfine - [ 11 ก.ย. 51 17:36:40 ]