ความคิดเห็นที่ 1 ปกติ ทุนกพ. เค้าจะให้ทำงานใช้ทุน สองเท่าของที่ได้รับ แต่ไม่เกิน 10 ปี ของคุณ ไม่น่าจะถึง 14 ปี...อย่างมากสุดน่าจะ 10 ปี ... ไ่ม่ค่อยเข้าใจ ว่าทำไมต้องให้เซ็นสัญญาว่าต้องใช้ทุนในช่วงที่คุณรับทุน ป.เอก ต่อด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ได้รับทุนจากกพ. ...หรืออาจเป็นไปได้ว่า เค้าต้องการใหุ้คุณกลับมาทำงานทันที ที่คุณจบปริญญาโท (น้องคนนึงที่เรารู้จัก..ก็ประมาณนี้..คือต้องกลับมาทำงานก่อน 3 หรือ 4 ปี แล้วถึงจะไปต่อเอกอีกได้ ด้วยทุนอื่นๆ) ว่าแต่ว่า ไม่อยากกลับมาทำงานเมืองไทยเหรอคะ ความรู้สึกเรา คือ รู้สึกเสียดายนะคะ ความรู้ที่คุณเรียนมา น่าจะมีประโยชน์ต่อเมืองไทยมากเลย พี่คนนึง เคยบอกเราว่า..เวลารับทุนจากรัฐบาลเรา ...เวลาเราจบกลับไป เราจะทำประโยชน์ให้บ้านเมืองเราได้เยอะ เพราะมีไม่กี่คนที่จะมีความรู้ และได้รับโอกาสที่ดีแบบที่เราได้รับ  แต่เราจะเป็น somebody ในประเทศที่เราไปเรียน เค้าไม่ได้ต้องการเรา เท่ากับที่ ประเทศเราต้องการเราหรอกค่ะ ... ส่วนเรื่องใช้ทุน...เราทราบมาว่า ต้องใช้ทุนเท่ากับที่เราใช้ไป + เสียค่าปรับ 2 เท่าของที่เราใช้ สมมติ...ใช้ไป 1 ล้าน....คุณต้องชดใช้ให้กพ.ทั้งหมด = 1 ล้าน + 2 ล้าน = 3 ล้านบาทค่ะ จากคุณ : Halimeda Lover - [ 5 ต.ค. 51 09:43:32 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ชีวิตของท่าน ทำอย่างไรก็ได้ 1. ไม่อยากได้ชื่อว่าหนีทุน คำตอบมีอยู่แล้วว่าควรทำอย่างไร 2. ทำสัญญาเพราะกลัวเสียโอกาส คิดก่อนทำสัญญาใช่ไหม เขาไม่ได้มัดมือ 3. พอเสียความรู้สึกแล้วไม่อยากกลับ เป็นข้ออ้างธรรมดาที่สุด จากคุณ : อิสวาสุ - [ 5 ต.ค. 51 10:08:35 A:71.114.54.31 X: TicketID:146114 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เวลาที่กพและประเทศเสียไปกับการที่ส่งนักเรียนคนหนึ่งมาเรียนและกลับไปทำงานให้ประเทศมันไม่สามารถประเมินได้หรอกค่ะ คิดง่ายๆว่าถ้าทุกคนคิดอย่างคุณแล้วเมื่อไหร่ประเทศเราจะมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถกลับไปทำงาน คุณมีโอกาสที่ได้เรียนเอกหรือหางานดีๆทำที่นี่ก็เพราะกพส่งคุณมา ตรงนี้เป็นเรา เราจะกลับไปตอบแทนคุณประเทศชาติ ที่พูดอย่างนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจความรู้สึกค่ะ เคยใช้ทุนให้รัฐอยู่ตามที่เซ็นต์สัญญาก่อนเรียนเหมือนกัน ญาติเราคนหนึ่งมาเรียนตั้งแต่ตรีถึงเอกด้วยทุนกพ จบมหาวิทยาลัยท็อปเท็น ทั้งที่สามารถหางานได้ที่นี่หรือที่บ้านสามารถจ่ายให้ได้  ก็เพิ่งกลับไปใช้ทุนเมื่อต้นปี เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเงินหรือความยุติธรรม เพราะนักเรียนทุนก่อนเซ็นต์สัญญารับทุนก็ต้องรับทราบเงื่อนไขอยู่แล้ว สำหรับเราเรื่องนี้เป็นเรื่องของจิตสำนึกและหน้าที่ และบุญคุณที่ต้องตอบแทนประเทศชาติ (พูดแล้วก็นึกถึงนักเรียนทุนคิง ที่ได้ยินมาว่าทุกคนจะกลับหลังจากจบการศึกษาแม้ว่าไม่ได้มีสัญญาผูกมัด ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ -- ไม่ทราบจริงหรือไม่คะ) ชอบคำพูดนี้จริงๆค่ะ คห 1 "พี่คนนึง เคยบอกเราว่า..เวลารับทุนจากรัฐบาลเรา ...เวลาเราจบกลับไป เราจะทำประโยชน์ให้บ้านเมืองเราได้เยอะ เพราะมีไม่กี่คนที่จะมีความรู้ และได้รับโอกาสที่ดีแบบที่เราได้รับ  แต่เราจะเป็น somebody ในประเทศที่เราไปเรียน เค้าไม่ได้ต้องการเรา เท่ากับที่ ประเทศเราต้องการเราหรอกค่ะ" ขอโทษที่อาจไม่ได้แสดงความเห็นไม่ถูกใจ จขกท แต่เวลาได้ยินเรื่องนักเรียนทุนของรัฐแบบนี้ รู้สึกเสียใจและหดหู่ทุกครั้ง just my two cents จากคุณ : Maroon Bells - [ 5 ต.ค. 51 10:21:30 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ข้อแรกเลยนะครับ การที่คุณรับทุนไป แล้วไม่กลับไปใช้ ต่อให้คุณใช้เงินกลับไปให้ รัฐบาลและประเทศไทยก็เสียโอกาสไป เพราะแทนที่จะได้ให้ทุนกับคนอื่น แต่กลับที่จะต้องเสียเวลาของทุนไปโดยเปล่าประโยชน์ เงินให้กลับมาได้ แต่ไม่สามารถ "ย้อนเวลา" กลับไปให้ทุนคนอื่นได้ครับ โดยปกติของการลาศึกษาต่อของข้าราชการ ถึงแม้จะลาโดยที่ไม่ได้รับทุน ก็ต้องทำสัญญาและกลับไปใช้ "เวลา" อยู่ดี ในกรณีของคุณ ถ้าคุณไม่ประสงค์ที่จะใช้ทุนตอนที่ศึกษาต่อปริญญาเอก ก็ควรที่จะต้องใช้ทุนไม่ว่าจะเป็นการใช้ด้วยเงิน หรือว่ากลับไปใช้ทุนโดยการทำงานหลังจากจบปริญญาโทโดยทันทีครับ นี่คือประเด็นหนึ่งที่ผมค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับการคัดเลือกการให้ทุนรัฐบาลในปัจจุบัน คือตอนนี้เลือกแต่คนเก่ง แต่ไม่ได้เลือกคนที่ตั้งใจจะกลับไปทำงานให้กับรัฐบาลหรือตั้งใจที่จะกลับไปพัฒนาประเทศชาติ และก็ไม่ได้เลือกว่าเป็นคนดีหรือไม่ ผมอาจจะพูดตรง ๆ แต่ก็ต้องบอกว่าตอนนี้คุณกำลังมองประเด็นแต่เฉพาะในส่วนที่เป็นประโยชน์ส่วนตัว เพราะอย่างที่กล่าวข้างต้น มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ทางรัฐบาลจะ "ลงทุน" เพื่อ "เปิดโอกาส" ให้คุณได้ไปเรียน และเรียนต่อจนจบปริญญาเอก เพื่อที่คุณจะได้ทำงานต่อในอเมริกา สรุปว่า คุณอาจจะมองว่าไม่แฟร์ แต่ผมหรือทางรัฐบาลมองว่า เสียเงินและเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ครับ ต่อให้ได้เงิน 2 เท่าที่คุณใช้มา มันก็ไม่ได้คุ้มอะไรเลยครับ สู้ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปได้แล้วให้ทุนคนอื่นไปที่จะกลับมาทำประโยชน์ให้กับประเทศ มันจะคุ้มกว่าเยอะเลยครับ (แล้วถ้าเกิดเป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าคุณจะมีวันนี้รึเปล่า) จากคุณ : Wahoowa - [ 5 ต.ค. 51 10:25:57 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตอนเซ็นสัญญามีใครเอาปืนจ่อหัวเจ้าของกระทู้ก่อนเซ็นไหมครับ คุณได้อ่านสัญญาก่อนเซ็นใช่ไหมครับ ถ้าคิดว่าไม่เป็นธรรมแล้วเซ็นไปทำไมครับตอนนั้น??? สัญญานั้นคุณเซ็นเองน่ะครับ อย่าลืมและไม่ได้บังคับขู่เข็ญให้เซ็นด้วย เหมือนคุณกู้เงินแบงค์ไปซื้อบ้าน จะไม่ใช้คืนเค้าเหรอครับ ถ้าคิดว่าอยู่ที่อเมริกาหาเงินได้มาก ก็ทำงานหาเงินมาคืนเค้าเท่านั้นแหละครับ เพื่อนผมยังมีที่เอาเงินก้อนไปใช้คืนเลย สิบสี่ล้านมั้ง ไปเรียนโทเอกนี่แหละ แต่ได้แฟนเลยแต่งงานอยู่ที่เมกา จากคุณ : kanoomtan - [ 5 ต.ค. 51 10:27:33 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เสริมอีกอย่างครับ นักเรียนทุน ปกติจะต้องถือวีซ่า J-1 ซึ่งตามที่ผมทราบมา โดยปกติทางรัฐบาลจะสามารถให้ผ่อนใช้ทุนเป็นงวด ๆ ได้ แต่... ทางรัฐบาลจะไม่เซ็น 2-year rule waiver ให้จนกว่าจะใช้เงินครบครับ นั่นหมายความว่าคุณก็ไม่สามารถที่จะทำงานในอเมริกาได้ เพราะจะติด 2-year rule ครับ เพราะฉะนั้นนอกจากว่าคุณจะสามารถหาเงินสองเท่าที่คุณใช้ไปมาให้ทางรัฐบาลได้ ผมคิดว่าโอกาสยากครับที่จะได้ทำงานต่อที่อเมริกาโดยทันที อย่างน้อยที่สุดคุณก็ต้องกลับไปทำงานที่เมืองไทยก่อนสองปี ก่อนที่จะกลับไปทำงานที่อเมริกาและใช้ทุนตอนนั้นครับ จากคุณ : Wahoowa - [ 5 ต.ค. 51 10:31:36 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เป็นการตัดสินใจของคุณเองครับ เพราะตอนที่จบ ป.โท ถ้าหากคุณเลือกที่จะกลับไปทำงานใช้ทุน เสร็จแล้ว ก็ค่อยมาเรียน ป.เอก อย่างไม่มีพันธะ ก็ถือว่าเป็นไปได้ แต่ในเมื่อตัดสินใจที่จะไปเรียน ป.เอก ต่อ รวมทั้งรับเงินค่าใช้จ่ายในระหว่างนั้น ก็ต้อง play by the rule ล่ะครับ ถามว่า fair ไหม สัญญานี้ก็ไม่ค่อย fair หรอกนะ แต่ที่เขาทำแบบนี้ ก็เพื่อไม่ต้องการให้คนหนีไปไง ไม่อย่างนั้นคนก็หนีกันหมด เพราะส่วนใหญ่พอเข้า ป.เอก ได้ มหาลัยก็มีทุนให้เกือบทุกคนอยู่แล้ว (สำหรับเด็กเก่ง ๆ ระดับที่ได้ทุน ก.พ.มาเรียน ป.ตรี หรือโท) ผมก็เป็นแบบคุณนะจริง ๆ คือได้มาเรียน ป.โท-เอก แต่พอถึง ป.เอก มหาลัยเขาก็จ่ายให้หมด ค่าเทอมอะไรก็ไม่ต้องเสีย แต่ก็ยังติดสัญญากับ ก.พ. เขาก็คิดทบไปด้วย ก็ไม่ค่อยแฟร์นัก แต่ตัดสินใจแล้ว ก็ต้อง play by the rule เชื่อว่าถ้ามีความสามารถ อยู่ที่ไหนก็สามารถทำประโยชน์ให้ตนเองและสังคมได้ทั้งนั้น เรื่องการผ่อนเงิน ก็อาจจะทำได้ เดี๋ยวรอท่านผู้รู้มาตอบอีกทีละกันครับ จากคุณ : เรื่องง่ายๆของรถถุง - [ 5 ต.ค. 51 10:34:06 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คือมันเป็นสัญญาครับ คุณรู้ terms and conditions ก่อนที่คุณจะเซ็นต์ ที่นี้เมื่อคุณเซ็นต์ไปแล้ว ก็ต้องทำตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ล่ะครับ แต่ถ้าจะไม่ปฏิบัติตาม ก็ต้องชดใช้เงินตามสัญญาครับ ไม่อย่างงั้นคนคำประกันก็ต้องรับผิดชอบไป simple as that ครับ จากคุณ : Tony Almeida - [ 5 ต.ค. 51 10:37:59 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คุณรู้อยู่แก่ใจ  แต่อยากได้ทุนของเขา เพื่อมีโอกาสได้มา ด้วยทุนของคนอื่น คุณมีการศึกษาสูงทีเดียวนะคะ.. ไม่ใช่ไม่เข้าใจสัญญาก่อนเซ็น เกิดไม่อยากจะรักษาสัญญา ต่างหากค่ะ ถ้าคุณจะเลือกใช้เป็นเงินคืนทุนไป... ขอให้ "รักษาสัญญา ใช้คืนให้หมด" จากคุณ : JidNince - [ 5 ต.ค. 51 11:05:09 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณทุกความเห็นนะครับ ผมก็ไม่ได้ผิดสัญญาอะไรนี่ครับ ในสัญญาทุนระบุว่าให้ทำงานใช้เป็นระยะเวลาเท่านั้นเท่านี้ปี หรือใช้เงินรวมเบี้ยปรับสองเท่า การที่ผมเลือกจะใช้เงินแทนการทำงานก็เป็นการทำตามสัญญาที่ระบุไว้นี่ครับ ส่วนเรื่องของความเป็นธรรม ผมคิดว่า ความเป็นธรรมของสัญญาน่าจะอยู่ที่เนื้อหาของสัญญานะครับ ไม่ใช่ความสมบูรณ์ของตัวสัญญาที่ว่าหากมีลายเซ็นของคู่สัญญาครบสัญญานั้นก็จะเป็นธรรมขึ้นมา สมมติมีคนคนหนึ่งป่วยกำลังจะตาย ไม่มีเงินไปหาหมอ ต้องไปกู้คนข้างบ้านที่คิดดอกเบี้ยร้อยละพัน หรือให้จ่ายคืนสิบเท่า ถ้าคนๆ นั้นยอมเซ็นกู้ไป รู้และเข้าใจสัญญาดีทุกอย่าง ก็ทำให้สัญญาเป็นธรรมขึ้นมาหรือครับ ผมทราบดีว่ารูปการณ์ของผมกับคนๆ นี้ต่างกัน แต่ที่ยกตัวอย่างขึ้นมาก็เพื่อจะแย้งว่าความเป็นธรรมของสัญญาขึ้นอยู่กับเนื้อหาของสัญญาเป็นหลักครับ จากคุณ : นายไข่เจียว - [ 5 ต.ค. 51 12:29:50 A:76.182.41.244 X: TicketID:066295 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าจะไม่กลับเมืองไทย แล้วอ้างว่าสัญญาไม่เป็นธรรม ก็จะถูกถล่มแบบนี้แหละ ก่อนที่จะตัดสินใจ ไม่กลับเมืองไทย ก็คิดเสียก่อนว่า จะอยู่ในเมกาต่อไปได้อย่างไร การชดใช้ทุนนั้น พอแจ้งให้ กพ รู้ ทางการก็จะคำนวณเงินออกมา ว่า คุณจะชดใช้เท่าไร แจ้งไปให้ผู้ค้ำประกัน ให้ชดใช้ ของคุณก็โชคดี ที่ใช้ทุนจาก กพ แค่ช่วง โท ที่คุณใช้เงิน กพ ไป จึงไม่มากเหมือนคนที่ใช้เงิน กพ จนจบเอก ส่วนจำนวนเงินจริงๆ ที่จะชดใช้มากน้อยแค่ไหน อย่างไร ก็ตามสัญญาที่ทำกันไว้ แล้วถ้าคุณเห็นว่า ไม่ถูกต้อง ก็คัดค้านไป ทางการก็จะพิจารณาตรวจสอบ ชี้แจงมา ถ้ายังไม่ตกลงกัน ทางการก็จะไปฟ้องศาล สำหรับผู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่ปี ๒๕๕๐ ถ้าผ่อนใช้ จะเสียดอกเบี้ยปีละ ๗.๕ ปซ จากคุณ : ธนิตา - [ 5 ต.ค. 51 12:31:29 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เข้าใจความรู้สึกของ จขกท ค่ะ ว่าไม่ได้รับค่าใช้จ่ายเลยจาก ก.พ ในช่วงเรียนเอก แล้วต้องมาใช้ทุนคืน ก็รู้สึกไม่เป็นธรรม แต่อยากให้หยุดคิดสักนิดว่า ถ้าคุณไม่ได้ทุนจาก ก.พ ไปเรียน โท ก่อน คุณคงไม่ ''ได้รับตอบรับให้เรียนปริญญาเอกโดยทางมหาวิทยาลัยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ทั้งค่าเรียน แล้วก็ค่ากินค่าอยู่ด้วย'' และคุณก็คงไม่ได้โอกาสที่ ''ทำงานที่ทำผลออกมาดี น่าจะได้งานสอนดีๆ ที่อเมริกา'' ตัดสินใจทำสิ่งที่คุณก็รู้อยู่แล้วว่าถูกต้องเถิดค่ะ ถึงแม้จะฝืนความรู้สึกอยู่บ้างก็ตาม แต่คิดเสียว่าเป็นการแทนคุณแผ่นดิน จากคุณ : แบม-เอช-วัน - [ 5 ต.ค. 51 12:35:20 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผมเพิ่งได้อ่านความเห็นของคุณ แบม-เอช-วัน ในความเห็นที่สิบสอง แต่อยากให้หยุดคิดสักนิดว่า ถ้าคุณไม่ได้ทุนจาก ก.พ ไปเรียน โท ก่อน คุณคงไม่ ''ได้รับตอบรับให้เรียนปริญญาเอกโดยทางมหาวิทยาลัยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ทั้งค่าเรียน แล้วก็ค่ากินค่าอยู่ด้วย'' และคุณก็คงไม่ได้โอกาสที่ ''ทำงานที่ทำผลออกมาดี น่าจะได้งานสอนดีๆ ที่อเมริกา'' เห็นด้วยครับ ขอบคุณที่เตือนให้ได้สติครับ จากคุณ : นายไข่เจียว - [ 5 ต.ค. 51 12:38:33 A:76.182.41.244 X: TicketID:066295 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เราไม่คิดว่าการที่จขกท.เลือกที่จะใช้ทุนเป็นเงิน เป็นเรื่องผิดหรอกนะคะ  ก็เล่นตามกฎ ตามเกมส์ทุกอย่าง ไม่ได้หนีทุน แนะนำให้ติดต่อทางกพ.โดยตรงเลยค่ะ ให้เค้าคำนวณเป็นเงินออกมา พอคุณได้งานที่เมกา ก็ผ่อนชำระเอา  ทำได้ค่ะ  อย่ามาถามคห.ในบอร์ดสาธารณะเลย จะโดนถล่มเรื่องศีลธรรมจรรยาเปล่าๆ อ้อ สำหรับเรา กพ. เราไม่เรียกว่าทุนค่ะ มันคือ loan หรือการกู้ยืมเงินมากกว่า จากคุณ : Queen of hearts - [ 5 ต.ค. 51 16:06:13 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมคงไม่มีความเห็นอะไรมากหรอกครับ แต่ผมคิดว่าเรื่องเงินน่ะเรื่องเล็ก ไม่ตายก็หามาใช้คืนได้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ ที่เมืองไทยก็มีคนรอคุณกลับมาทำงานอยู่ครับ เค้ารอมา 7 ปี เพื่อหวังว่าจะได้มีบุคคลที่มีคุณภาพอย่างคุณกลับมาเป็นหัวเรียวหัวแรงช่วยพัฒนาประเทศชาติ จขกท.ก็ต้องคิดล่ะครับว่าชีวิตนี้ต้องการอะไร ถ้าต้องการทำงานที่ตนรักในสิ่งที่ตนเองร่ำเรียนมา ถ้ากลับมาอยู่บ้านเรา ก็สามารถได้ทำเต็มที่ มีเงินเดือนหล่อเลี้ยงไปถึงแม้จะน้อยกว่าอเมริกามาก ได้อยู่ใกล้คุณพ่อคุณแม่ และสิ่งที่จขกท.จะให้คืนสู่เมืองไทยมันมากกว่าเงินค่าเรียน มันรวมถึงการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินที่ช่วยให้เราเติบโตมาและมีชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุขได้ ถ้าได้ไปเป็นอาจารย์ การผลิตบุคคลใหม่ออกมาทำงานให้ชาติก็จะเป็นผลบุญมหาศาล แต่กลับกัน ถ้าจขกท.มีความจำเป็นหรือมีเหตุสุดวิสัยที่ต้องอยู่อเมริกา เช่น มีพันธะ มีครอบครัว แล้วไม่สามารถกลับมาอยู่เมืองไทยได้ อันนี้คิดว่าหลายฝ่ายก็คงเข้าใจ และคงต้องทำไปตามกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ครับ จากคุณ : Modifier - [ 5 ต.ค. 51 16:15:36 ]

ความคิดเห็นที่ 16 กลับมาเยี่ยม จขกททำให้ผมนับถือคุณ Amatuer Translator กับภรรยามากขึ้น ซึ่งทั้งคู่จบเอกทางยา ภาษาก็ดีเยี่ยมขนาดนั้นไปรับราชการต่างจังหวัด ขออวยพรให้ครอบครัวของเขายิ่งเจริญๆขึ้นไป จากคุณ : อิสวาสุ - [ 5 ต.ค. 51 16:38:07 A:71.114.54.31 X: TicketID:146114 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อืม...เรื่องแบบนี้มีมาถามทุกปีเลย ผมอดไม่ได้ที่จะนึกภาพตอนสอบสัมภาษณ์หลังจากผ่านข้อเขียนทุน กพ.  ตอนนั้นก็พรรณาว่าจะนำความรู้ที่มีกลับมาทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ บลา บลา บลา แต่เมื่อไปเรียนแล้ว ได้เห็นสิ่งใหม่ๆ ได้เจออะไรหลายๆอย่างที่ต่างประเทศ มันก็ทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้เหมือนกัน เคยมีกรณีเดียวกันนี่แหละ เป็นเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล ศาลปกครองตัดสินว่าให้จ่ายคืนเป็นงวดๆ ได้ เพราะ กพ. ก็ให้เงินมาเป็นงวดๆเหมือนกัน จขกท ก็คงต้องไปฟ้องศาลเอาเองครับ จากคุณ : Shoe_Shine - [ 5 ต.ค. 51 17:17:14 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เราเคยดูหนังเรื่อง tuesday with morrie เค้าให้แง่คิดในเรื่องการใช้ชีวิตดีมากเลยนะคะ อยากให้เจ้าของกระทู้และเพื่อนๆลองไปหาดูหรืออ่าน ก็ได้ค่ะ เพราะว่ามีทำออกมาเป็นหนังสือด้วย (แต่เรายังไม่เคยอ่าน) จากหนังเรื่องนี้ มีประโยคเด็ดหลายประโยคเลยค่ะที่ให้แง่คิด อย่างในเรื่องของการทำงาน เช่น Morrie: What do you work? Mitich: A sports commentator. Morrie: Do you give to community? ลองเอาไปพิจารณาดูแล้วกันค่ะ จากคุณ : pinkygal - [ 5 ต.ค. 51 17:30:52 A:203.131.208.115 X: TicketID:133479 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอแสดงความคิดเห็นนะคะ คิดว่า เรื่องนี้คุณคงต้องติดต่อ กพ เกี่ยวกับการผ่อนชำระหนี้ ว่าจะเป็นไปในรูปแบบไหน ส่วนเรื่องสัญญา ดิฉันคิดว่าค่อนข้างจะยุติธรรมนะคะ เพราะเมื่อคุณรับทุนมาเรียนปริญญาโท ในสัญญาก็บอกแล้วว่าจะต้องกลับมาใช้ทุนสองเท่า หรือ ถ้าไม่ คุณก็ต้องใช้เงินไป แต่ คุณก็ได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษคือ ยังไม่ต้องกลับมาทำงาน คุณก็เรียนต่อได้ สิ่งที่ได้ตรงนี้ก็แลกกับ ข้อผูกพันสัญญา การใช้ทุนเป็นเวลา แต่คุณไม่ได้ใช้เงินของ กพ เรียน ดังนั้น หากคุณจะใช้ทุนคืน ก็เท่ากับใช้แค่เงินที่คุณเอามาเรียน ป โท คูณ กี่เท่า ก็ไม่รู้ตามสัญญา เท่านั้น (ถ้าดิฉันเข้าใจไม่ผิด) คิดไป คิดมา ใครได้ ใครเสีย กันแน่หนอ จากคุณ : ดวงเด่นเดือน (ดวงเด่นเดือน) - [ 5 ต.ค. 51 18:17:00 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ผมว่าเลือกสิ่งที่คุณต้องการเถอะครับ ถ้าใจมันไม่มาถึงตัวมาก็คงทำประโยชน์อะไรมากไม่ได้ แล้วก็อย่างที่คุณพูดนั่นแหละครับ ว่าสัญญาก็ระบุไว้ให้เลือกว่าจะกลับมาทำงาน หรือใช้เป็นเงิน ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบก็คงคำนวณแล้วละครับ ว่าถ้าคุณไม่กลับมาทำงาน เขาก็คงไม่เสียหายมาก ไม่งั้นก็คงระบุไปเลยว่า ถ้ารับทุน กพ ไปแล้วต้องกลับมาทำงานเท่านั้น แต่เรื่องที่คุณรู้สึกว่า สัญญาดูไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะตัวอย่างในความเห็นที่สิบ ผมว่ามันไ ม่ค่อยถูกต้อง  ยังไงลองฟังเรื่องสมมุติผมดูบ้างนะครับ ถ้าผมสมมุติบ้างว่า คุณประกาศให้กู้เงินในอัตราดอกเบี้ย ร้อยละพัน โดยคุณจะให้กู้แค่สิบคน ในขณะที่ผู้ให้กู้คนอื่นๆ ให้กู้ในอัตราร้อยละสิบ บางคนให้กู้โดยไม่คิดดอกเบี้ย แต่ก็ยังมีคนยังอยา่กมาขอกู้คุณตั้งร้อยคน คุณก็เลยพิจารณาเลือกตามความเหมาะสมแล้วก็ให้เงินกู้แก่คนจำนวนสิบคน คนอีกเก้าสิบคนก็ไม่ได้เงินกู้จำนวนนี้ ทีนี้หลังจากคนกู้ใช้เงินที่ได้ไปจนบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว กลับไม่ค่อยอยากใช้คืนแล้วก็มาบอกคุณว่าสัญญานี้มันไม่ค่อยเป็นธรรม คุณจะว่าอย่างไร ถามว่าสัญญาคุณไม่เป็นธรรมหรือไม่ ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าคนที่มากู้คุณ มีทางเลือกอีกมากมายที่จะไปกู้ที่อื่น แต่เค้าเลือกที่จะมากู้กับคุณทั้งๆ ที่รู้เงื่อนไขดี แล้วเค้าก็ทำให้คนอีกเก้าสิบคนที่อยากได้เงินกู้จำนวนนี้ต้องเสียโอกาสไป ก็ลองไปคิดดูแล้วกันครับ ผมเองรู้ตัวแต่เนิ่นๆ ว่าไม่อยากรับราชการ ก็เลยไม่เคยมองหาทุนของรัฐบาลเลย ฝากถึงท่านอื่นๆ ด้วยว่า ถ้าไม่อยากกลับมารับราชการใช้ทุน ในโลกนี้มีทุนให้เปล่ามากมาย ลองศึกษาดูครับ อย่าไปตัดโอกาสคนที่เค้าต้องการรับใช้ประเทศชาติเลยครับ แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 51 18:48:05 จากคุณ : Roby - [ 5 ต.ค. 51 18:46:09 ]

ความคิดเห็นที่ 21 สำหรับเรา เีีราไม่คิดว่าทุน กพ. คือ Loan ค่ะ เราว่า มันคือโอกาสทางการศึกษาที่เค้าเปิดให้เรา และเราก็กลับมาพัฒนาประเทศ การที่เค้าเปิดทุนแต่ละสาขามา นั่นหมายความว่า...หน่วยงาน หรือประเทศของเรา ต้องการคนที่จบสาขานั้นจริงๆ เพื่อมาทำงาน ...การที่เค้าลงทุนให้เราไปเรียนหลายปี แล้วสุดท้าย เราไม่กลับไปทำงานตามที่เ้ค้าตั้งไว้...มันเท่ากับ สิ่งที่เค้าลงทุนไป เสียเปล่า ...ถึงแม้ว่าจะจ่ายเงินคืน ชดใช้ทุน ไปแล้วก็เถอะ... แต่เวลาที่เค้าเสียไป...เค้าไปลงทุนให้คนอื่น ไม่ดีกว่าเหรอ... ... สำหรับคนที่ได้รับทุนรัฐบาล ตั้งแต่ ม.ต้น (ไปเรียนต่อ ม.ปลาย) โอกาสที่จะเปลี่ยนใจ ทีหลัง มีสุงกว่า เพราะตอนนั้น เค้าก็ยังเด็ก อาจยังไม่รู้ตัวเอง... แต่สำหรับคนที่จบตรี หรือจบโท แล้วมารับทุนนี้...ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า เป้าหมายของทุนนี้ เค้าต้องการอะไร ถ้าไม่มีเป้าหมายนี้ตั้งแต่แรก ก็ไม่น่าจะรับ ... แต่คิดเหมือน คุณคห. 20 ลือกสิ่งที่คุณต้องการเถอะค่ะ แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 51 20:03:22 จากคุณ : Halimeda Lover - [ 5 ต.ค. 51 19:57:42 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เข้าใจความรู้สึกของ จขกท. คนเราย่อมมีเหตุผลส่วนตัวทั่งนั้น เราเองตั้งใจกลับมาใช้ทุนตอบแทนบุญคุณยังเจอปัญหา ถึงวันนี้ต้องนั่งถามตัวเองว่าจะเอาอย่างไรดีเพราะมันรับไม่ไหวจริงๆ สภาพแวดล้อมตลอดจนวัฒนธรรมองค์กรแย่มาก ขนาดเตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้างแล้วยังแย่กว่าที่คิด เวลาผ่านไปแต่ละวันบั่นทอนสุขภาพจิตเหลือเกิน ใครๆ ก็พากันบอกให้ทำใจกับการคอรัปชั่นและระบบเส้นสายในหน่วยงานราชการ ความรู้ที่เรียนมาไม่ได้ใช้เพราะถูกเรียกไปประดับบารมีให้บรรดาผู้ใหญ่ คนนั้นคนนี้เกี่ยงงานโยนเรื่องให้อุตลุตจนไม่รู้ว่าหน้าที่จริงๆ คืออะไร ในที่สุดเราตัดสินใจลาออกและชดใช้ทุนท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นาๆ เงินเดือนน้อยก็พอทำใจแต่ความไม่เป็นธรรมและความทุจริตเราไม่สามารถรับมือได้จริงๆ คุณลองเข้าเวบของก.พ.แล้วหาหน่วยงานที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงดีกว่านะ รู้สึกเขาจะมีเบอร์โทรและเวบบอร์ดสำหรับตอบคำถามด้วย จากคุณ : ไม่เจอกับตัวเองไม่รู้ซึ้ง - [ 5 ต.ค. 51 20:53:27 A:58.8.239.153 X: TicketID:159141 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ส่วนตัวผมแล้วมองว่าทุนรัฐบาลเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และทรงเกียรติมากเลยนะครับ เพราะแค่การมาเรียนต่างประเทศก็เหมือนมีชื่อประเทศปะหน้าเราอยู่แล้ว ยิ่งได้ทุนรัฐบาลมาด้วย ยิ่งสมควรกลับไปทำอะไรให้กับประเทศให้สมกับที่ประเทศไทยส่งคุณมาเรียนครับ ประเทศเราต้องการมันสมองอีกมากมายเพื่อมาช่วยกันพัฒนาประเทศ ไม่งั้นจะมีคำว่าทุนรัฐบาลไทยไว้ทำไม ผมไม่เห็นด้วยกับคำว่าทุน กพ. คือ Loan เพราะผลเสียที่ประเทศชาติได้รับมันไม่ใช่แค่เรื่องเงินอย่างเดียวนะครับ ถ้านักเรียนทุนรัฐบาลไทยพากันสมองไหลไปอยู่ต่างประเทศกันซะหมด มันจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศเราครับ ไม่อยากให้มองว่าทุนรัฐบาลคือบันไดที่จะทำให้คุณก้าวไปถึงฝั่งฝัน แต่ทุนรัฐบาลคือทุนที่มีมาเพื่อคนที่รักเรียนและต้องการนำความรู้นั้นกลับมาพัฒนาประเทศ อาจเป็นเรื่องเกินจะคาดเดาว่าถ้าคุณไม่ได้รับทุนรัฐบาลแล้วคุณจะมีวันนี้ไหม คุณอาจจะมีความสามารถในการหาทุนจากแหล่งอื่นก็ได้ แล้วทำไมตอนนั้นถึงไม่หาหละครับ  เพราะตอนนี้คุณรับทุนรัฐบาลมาแล้วและก่อนจะเซ็นต์สัญญาคุณก็รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่อยากกลับประเทศก็ไม่สมควรรับทุนรัฐบาลตั้งแต่แรกครับ มันเป็นสิทธิ์ของคุณอยู่แล้วที่จะชดใช้ทุนด้วย 'เงิน' และเป็นสิทธิ์ของคุณที่จะมองว่าถ้าหาเงินมาชดใช้ได้แล้วก็ถือว่ายุติธรรม อยู่เมืองนอกมีความสามารถ ลู่ทางในการปั๊มเงินก็มีสูงอยู่แล้วครับ และผมก็เชื่อแน่ว่านักเรียนทุนรัฐบาลส่วนใหญ่ก็คงคล้ายๆคุณนั้นแหละ ที่จะสามารถก้าวหน้าอย่างมากมายถ้ายังอยู่ต่างประเทศ (ผมวัดความก้าวหน้าจากเงินเดือนที่ได้รับนะครับ) แล้วทำไมพวกเขาเหล่านั้นถึงกลับมาพัฒนาประเทศหละ นั่นก็เพราะพวกเขามีจิตสำนึกไงครับ ผมเข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วยความรู้สึกเสียดายถ้าประเทศจะต้องสูญเสียบุคลากรที่มีคุณภาพเช่นคุณไปอีกหนึ่งคนครับ จากคุณ : Finnegan 'Finn' Bell - [ 5 ต.ค. 51 21:14:08 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แนะนำว่า จขกท ควรสอบถามทางกพ.เองเลยจะดีกว่าค่ะ มาตั้งกระทู้ในเว็บบอร์ด จะโดนโจมตีเปล่าๆ เกิดมีบางท่านตอบไม่ถูกใจ เดี๊ยวก็จะเป็นเรื่องเป็นราวอีก เท่าที่เราอ่านดู คุณก็ไม่ได้ทำผิดสัญญานะคะ ลองทบทวนตัดสินใจดูเอาเองดีกว่าค่ะ เพราะคนที่รู้ดีที่สุด ก็คือตัวคุณเอง คนอื่นเค้าไม่ได้มีส่วนร่วมในชิวิตคุณ แต่ขอทิ้งท้ายว่า เรื่องอย่างนี้ ใครๆก็พูดได้ เพราะไม่ได้เจอกับตัวเอง จากคุณ : หมีขาวน้อย - [ 5 ต.ค. 51 21:50:04 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อ่านดูเหมือนมีพวกหนึ่งที่เคยใช้ทุนเหมือนกัน เราก็เป็นคนหนึ่งที่เคยใช้ทุน แต่ถ้าจะมาบอกว่าไม่ลองกับตัวเองไม่รู้ มันก็ไม่ถูก เพราะเรื่องทื่ว่าราชการทุจริตคอร์รัปชั่นมันก็มีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จะไม่รู้เลยว่ากลับมาจะต้องทำงานที่ไหนตั้งแต่ก่อนรับทุนมันก็คงไม่ใช่ ไม่เหมือนพวกสายการแพทย์ที่โดนส่งไปทำงานต่างจังหวัดไกลๆด้วยซ้ำ ส่วนตัวไม่ได้อยากโจมตีนะคะ แต่อยากให้ลองคิดทบทวนให้ดีว่าควรทำอย่างไร ในสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่เราสามารถภาคภูมิใจ มหาวิทยาลัยที่นี่โดยเฉพาะพวกท็อปเท็นนี่ถ้าไม่ได้ขึ้นชื่อว่ามาด้วยทุนรัฐบาลหรือทุนเล่าเรียนหลวงนี่เข้ายากมากๆ การที่กลับมาทำงานที่ประเทศไทยไม่ว่าจะส่วนราชการหรือเอกชนก็คงต้องปรับตัวทั้งนั้น เพราะสภาพและลักษณะการทำงานต่างกันค่อนข้างมาก ต่อให้เป็นบริษัทเอกชนข้ามชาติติดอันดับฟอร์บก็ยังมีการเล่นพรรคเล่นพวก แล้วนักเรียนทุนส่วนมากไปอยู่หลายปีตั้งแต่อายุยังไม่มาก กลับมาจะปรับตัวยากกว่า อาจมีความคาดหวังกับองค์กรและบุคลากรอื่นสูงเกินไป ส่วนมากก็ต้องใช้เวลาเกินปีในการปรับตัว จากคุณ : Maroon Bells - [ 5 ต.ค. 51 22:26:23 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ^ ^ ^ ผมคิดว่าที่โดนโจมตีก็เพราะว่า จขกท. พูดในเชิงว่าทางรัฐบาลซึ่งเป็นผู้ให้ทุนบังคับให้ทำสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม แต่ จขกท. กลับไม่ได้มองถึงในทางกลับกัน ว่ามันไม่เป็นธรรมอย่างไรบ้างกับรัฐบาล ถึงได้โดนโจมตีหรือต่อว่าครับ ถ้าหาก จขกท. เขียนในลักษณะว่าเข้าใจถึงระบบของทุน แต่อยากทำงานอยู่อเมริกามากกว่าด้วยเหตุผลส่วนตัว ก็คงจะไม่โดนต่อว่ามากนัก ผมกับแฟนผมทั้งคู่ก็เรียกว่ามีโปรไฟล์ที่ดีพอสมควรเลยล่ะครับ แต่ก็เชื่อว่าถ้าหากตอนที่ไปเรียน ไม่ได้ทุนรัฐบาล ก็คงยากที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในระดับดีขนาดที่เราทั้งคู่ได้ไป อย่างที่มีคนกล่าวข้างต้นครับ ขึ้นชื่อว่านักเรียนทุนรัฐบาลนั้น ทำให้โปรไฟล์แข็งขึ้นพอสมควรเลยครับ จากคุณ : Wahoowa - [ 5 ต.ค. 51 23:22:29 ]

ความคิดเห็นที่ 27 โอกาสเเละเงินที่ได้มา เกิดจากเงินของประเทศไทย ภาษีของคนไทย หาได้เกิดจากการปล่อยกู้ของธนาคารที่ชื่อประเทศไทยไม่ เเค่นี้บุญคุณยังไม่ท่วมหัวอีกหรือครับ จากคุณ : ส้มฉุน (DLC) - [ 5 ต.ค. 51 23:41:45 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เข้ามาอ่านความเห็นอีกครั้งนะครับ ทุนที่ผมได้เป็นทุนประเภทที่มีมหาวิทยาลัยตอบรับแล้ว หากจะบอกว่าถ้าไม่ได้ทุนรัฐบาลคงเข้ามหาวิทยาลัยนี้ไม่ได้คงไม่ถูก ผมเองไม่เคยปิดบังทัศนะคติในการรับราชการของผมว่าก้ำกึ่ง ตอนสัมภาษณ์มีกรรมการท่านหนึ่งถามผมว่าจะแก้ไขปัญหานักเรียนทุนไม่กลับมารับราชการอย่างไร ผมก็ให้ความเห็นไปว่าอย่างแรกนั้นผมไม่แน่ใจว่าสิ่งนั้นเป็นปัญหา อย่างในหลายๆ กรณีนักเรียนทุนที่ไปอยู่ในภาคเอกชนหรือองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ กลับทำประโยชน์ได้มากกว่านักเรียนทุนที่ต้องกลับไปจมอยู่กับระบบราชการ อย่างที่สองนั้นก็คือ ผมคิดว่าปัญหาเกิดจากระบบราชการเองมากกว่าที่จะเกิดจากตัวนักเรียน วิสัยมนุษย์นั้นก็มุ่งมองประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง การแก้ปัญหาที่ได้ผลไม่น่าจะเป็นการปรับทัศนะคติในเรื่องนี้ แต่เป็นการหันกลับมามองตัวระบบราชการว่าขาดแรงจูงใจอะไรให้คนอยากรับราชการ แล้วก็สร้างให้เกิดขึ้น (เป็นการเปลี่ยน mechanism design มากกว่า) ส่วนเรื่องความเป็นธรรมนั่นก็แล้วแต่คนคิดครับ ผมก็ได้ย้ำไปแล้วว่าตัวอย่างที่ผมยกขึ้นมาไม่ใช่จะเทียบเคียงกับผมได้อย่างสนิท แค่เพียงประกอบข้อโต้แย้งของผมว่าความเป็นธรรมน่าจะขึ้นอยู่กับเนื้อหาของสัญญาเป็นสำคัญ การที่หลายๆ คนพูดเสมือนว่าการได้เซ็นสัญญาไปโดยไม่ได้ถูกบังคับแล้วเป็นธรรมนั้นผมคิดว่าเป็น ตรรกะที่ไม่ถูกซะทีเดียว อยากจะขอย้ำอีกครั้งนะครับว่าที่เขียนมาทั้งหมดนี้ผมไม่ได้มีเจตนาจะผิดสัญญา สัญญาระบุให้ทำข้อหนึ่ง (คือทำงานใช้เวลา) หรือทำข้อสอง (คือใช้เงิน) ผมเข้าใจว่าทางราชการคงอยากให้ผมทำข้อหนึ่ง ผมเองก็คงเลือกข้อหนึ่งหากว่าสัญญาระบุให้ผมทำงานชดใช้สองเท่าของที่เรียนปริญญาโท แต่ด้วยรูปการณ์ที่เป็นอย่างนี้ผมก็พิจารณาทางเลือกที่สองอยู่เหมือนกันครับ จากคุณ : นายไข่เจียว - [ 6 ต.ค. 51 00:21:21 A:76.182.41.244 X: TicketID:066295 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ในความคิดของเราการเป็น นักเรียนทุนรัฐบาลไทยที่ศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ เป็นเกียรติมากๆค่ะ และเท่าที่ทราบการชดใช้ทุนเป็นเงินต้องจ่ายเป็นสามเท่าของเงินที่เรารับมาจากรัฐบาล (เงินเท่ากับจำนวนที่รัฐบาลจ่ายให้เรา และเงินเบี้ยปรับอีกสองเท่าของจำนวนเงินดังกล่าว) เคยคุยกับผู้ใหญ่ว่าเหตุใดค่าปรับถึงมหาโหด ท่านบอกว่าเป็นเพราะประเทศชาติต้องการให้นักเรียนทุน ชดใช้ทุนโดยการทำงานมากกว่าค่ะ และที่สำคัญเราไม่แน่ใจว่าการชดใช้เป็นเงินนั้น เราต้องชดใช้เป็นเงินบาทหรือเปล่าซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีผล(ก็เรารับเงินเขามาเป็นสกุลต่างประเทศนี่นา) ที่สำคัญ เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้และนักเรียนทุนทุกท่านค่ะ จากคุณ : Yinxies - [ 6 ต.ค. 51 03:47:47 ]

ความคิดเห็นที่ 30 สัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่ให้ทุนศึกษาต่อต่างประเทศ ไม่เป็นธรรมอยู่แล้ว สาเหตุก็เนื่องมาจากอยากได้คนมีความรู้กลับมาทำงานให้ประเทศ ไม่ใช่อยากได้เงินใช้หนี้ -- สัญญาระบุให้ทำข้อหนึ่ง (คือทำงานใช้เวลา) หรือทำข้อสอง (คือใช้เงิน) ผมเข้าใจว่าทางราชการคงไม่ระบุเป็น ๒ ข้อ หรอก คงระบุแค่ว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วต้องกลับมาทำงานใช้หนี้เป็นเวลาเท่านั้นปี ในกรณีที่ไม่กลับมาทำงานใช้หนี้จะต้องชดใช้เงินเป็นจำนวนเท่านี้บาท เงินไม่ได้ทำให้เรามีความสุขหรอก กับการที่ต้องอยู่กับความรู้สึกที่ไม่ดีตลอดเวลา ถ้างานที่คุณได้ทำที่นี่คือการสอน คุณก็กลับไปทำงานใช้หนี้ที่เมืองไทย แล้วสมัครเป็นอาจารย์พิเศษตามมหาวิทยาลัย มันก็ตรงสายของคุณอยู่แล้ว ยังไงก็ขอให้เลือกในทางที่ถูกต้องสำหรับตัวคุณเอง เอาใจช่วย จากคุณ : moneys - [ 6 ต.ค. 51 04:11:31 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ก็แล้วแต่จะคิดครับ  ต่างคนก็ต่างมุม ก็ไม่ใช่มีแค่คุณคนเดียวที่ ไม่ใช้ทุนซะที่ไหน หละครับ มีอีกตั้งหลายคนทำแบบนี้  ตัวคุณเงินคุณ  ผมว่าคุณรู้อยู่แก่ใจแต่แค่ต้อง การความเห็นอื่นๆ ด้วย จากคุณ : BoBa Mania - [ 6 ต.ค. 51 08:57:24 ]

ความคิดเห็นที่ 32 "ทุนที่ผมได้เป็นทุนประเภทที่มีมหาวิทยาลัยตอบรับแล้ว หากจะบอกว่าถ้าไม่ได้ทุนรัฐบาลคงเข้ามหาวิทยาลัยนี้ไม่ได้คงไม่ถูก" ผมว่าไม่ใช่นะครับ เอาง่ายๆเลย ตอนส่งใบสมัครน่ะกรอกข้อมุลว่าค่าใช้จ่ายใครเป็นคนออกกันแน่ เพราะเค้าต้องใช้เอกสารนี้ แน่นอนเลยครับ และมันคงเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ถ้าระบุว่าใช้ทุนส่วนตัว เพราะได้ทุนรัฐบาลมานี่ครับ หรือว่าเป็นอีกกรณีนึงที่รับทุนตอนเรียนอยู่ที่อเมริกาแล้ว แต่ผมว่าก็ไม่น่าเป็นไปได้อีก เพราะเคยมีโปรแกรมนี้เหมือนกัน แต่นานแล้ว จนน่าจะเลิกไปแล้วด้วย หริอจะเป็นอีกกรณีที่สมัครเอง แล้วมหาวิทยาลัยตอบรับ แล้วจึงไปขอทุนจาก กพ. แต่ก็เป็นไปไม่ได้แน่นอน ซึ่งก็ได้ข้อสรุปอย่างเดียวว่า เพราะได้ทุนจึงได้เรียน ยังไงๆ มันก็เกี่ยวกับทุนรัฐบาลไทยอยู่แล้วครับ ทางมหาวิทยาลัยจึงได้ตอบรับเข้าเรียน ที่รู้ก็เพราะคุยๆกับน้องๆนักเรียนทุนที่มาเรียนโทที่เดียวกัน เรื่องทุนๆ นี่แหละครับ ว่ามันเป็นยังไงกันบ้างแล้ว -เคมี คนนี้ตั้งเป้าว่าเป็นอาจาร์ย ได้ทุน โท-เอก -วัสดุฯ นักวิจัย ต้นสังกัด นาโนเทคมั๊ง ไม่แน่ใจครับ ทุนโท-เอก เหมือนกัน -ธรณี (น้ำ) นักวิจัย ทุนโท อย่างเดียว แถมต้องกลับไปทำงานก่อน ถึงมาเรียนเอกได้อีก  ผมกำลังเชียร์ให้คุยกับ กพ. และต้นสังกัดอยู่ว่าจะขอต่อเอกเลยทีเดียวได้ไหม จะได้ไม่เสียเวลาเปล่าวๆ ทั้งหมดนี่กลับเมืองไทยหมดครับ เพราะมีเป้าหมายแล้วว่าจะมาทำงานอะไรในไทยและก็จะอยู่เมืองไทย ที่มานี่ก็มาเรียนโกยความรู้กลับ ไปให้เมืองไทย แต่ขอให้ตัดสินใจดีที่สุด ตามสัญญา ถ้ามีเงินก็จ่ายไป จบ! ถึงแม้ทางประเทศบ้านเกิดจะเสียเวลาไป แต่ก็ถือว่าทำตามสัญญาแล้วนี่ แต่จริงๆแล้วทางรัฐบาลไม่อยากให้ออกมาในรูปแบบนี้ เพราะต้องการคนกลับไปทำงานจริงๆ จึงกำหนดทุนและต้นสังกัดไว้ให้แล้ว มันก็เหมือนๆกับกระทู้เก่าๆครับ เรื่องทุนเนี่ย ไม่มีวันจบสิ้น เพราะวันเวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน แต่ก็ขอให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด และทำตามสัญญา ไม่ว่าจะข้อใด และก็อย่าลืมด้วยครับว่า ถ้าไม่มีทุนเรียนปริญญาโทตั้งแต่แรก คุณก็จะไม่ทีโอกาสใดๆเลยสำหรับวันนี้ ปล. ที่เบิรก์เลย์ เนี่ยเห็นนักเรียนทุนล่ะก็รับเลยครับ แล้วจะหาทางถีบออกมา เพราะอยากได้ตังค์ แต่ปรากฏว่าไม่สำเร็จ เพราะว่าเรียนดี ได้แต่ถีบพวกอเมริกัน กันเองร่วงระนาว จากคุณ : DarkMan - [ 6 ต.ค. 51 11:29:44 ]

ความคิดเห็นที่ 33 "หริอจะเป็นอีกกรณีที่สมัครเอง แล้วมหาวิทยาลัยตอบรับ แล้วจึงไปขอทุนจาก กพ. แต่ก็เป็นไปไม่ได้แน่นอน" ผมสงสัยนิดนึงว่าอะไรทำให้คุณ DarkMan คิดว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอนครับ ตอนผมสมัครไปเรียนโทผมก็ระบุไปว่าจะใช้ทุนส่วนตัว พอได้มหาวิทยาลัยแล้วเผอิญทาง ก.พ. เปิดรับสมัคร (แบบสัมภาษณ์อย่างเดียว) ผมก็ลองไปสัมภาษณ์ดูแล้วก็ได้ทุนมาครับ ตอนสมัครเรียนเอกต่อผมก็จำได้ค่อนข้างแม่นยำครับว่าในใบสมัครเค้าก็ให้กรอกว่าประสงค์จะขอความช่วยเหลือทางการเงิน (fellowship) จากมหาวิทยาลัยหรือไม่ ผมก็กรอกไปว่าต้องการ ไม่ได้บอกว่ารับทุน ก.พ. มาเรียนอะไร สรุปก็คือทางมหาวิทยาลัยไม่ว่าที่ผมเรียนโทหรือเอกขณะพิจารณาใบสมัครผมไม่ได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับการได้ทุนของผมเลย ผมเลยคิดว่าที่สรุปไปว่าการได้ทุนเป็นปัจจัยให้โอกาสได้เข้าเรียนสูงขึ้นเพราะมหาวิทยาลัยพิจารณาเป็นพิเศษนั้นไม่น่าจะถูก (อย่างน้อยก็ในกรณีของผม) อีกนิดนึงนะครับ บางคนบอกว่า เพราะได้รับทุนจาก ก.พ. ในระดับปริญญาโท (A) ผมจึงมีวันนี้ได้ (B) ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ผมฉุกคิดครับ ดังนั้นถ้าผมจะต้องชดเชยเวลาที่เรียนไปในช่วงปริญญาเอกด้วยการรับราชการ เพราะสิ่งที่ได้จากการเรียนปริญญาโทที่ทาง ก.พ. ได้สนับสนุนทางการเงิน ก็เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาครับ แต่อย่างที่คุณ DarkMan กล่าวไว้ว่า "อย่าลืมด้วยครับว่า ถ้าไม่มีทุนเรียนปริญญาโทตั้งแต่แรก (Not A) คุณก็จะไม่ทีโอกาสใดๆเลยสำหรับวันนี้ (Not B)" ผมว่ามันเป็น logical fallacy นะครับ เพราะทางบ้านผมก็มีเงินส่ง จากคุณ : นายไข่เจียว - [ 6 ต.ค. 51 12:15:32 A:76.182.41.244 X: TicketID:066295 ]

ความคิดเห็นที่ 34 While I was studying in the US, I was asked for many many times about my "future" salary.... Everyone jawdropped when they knew that I was going to earn around 400 USD/month with lots of responsibility and commitment to my jobs. Well, all of them are renowned scientists in my field... Because of their natural curiosity, they asked why I should go back.... I've never changed my answers.... There are two "contracts"--- signed and not signed. For the signed one, I have never paid too much attention about it... Because another one that I never signed is far more important. This is about pride, dignity, promise, personal belief and my personal backgrounds. These signifiy myself and destine my life. I felt tempted (a bit) and honored (greatly) when a pharmaceutical company asked me to apply for a job in its firm right before I finished my PhD. At least, I did know that there was someone recognizing my 6-year efforts as a graduate student into monetary terms. Well, I had never completed that job application though (more than 120K/year). That's a lot of money, admittedly.... :) However, I am addicted to "ข้าวกระเพราไข่ดาว" and still willing to do this job as a university instructor in a remote area of Thailand as I always wanted to. I would not be against you if you want to repay for all of the expenses. You may not have any uncontractual obligations like I do.... Good luck with your life krub. Best wishes, A.T. จากคุณ : amatuer translator - [ 6 ต.ค. 51 15:10:23 ]

ความคิดเห็นที่ 35 Repeat above... This is about pride, dignity, promise, personal belief and my personal backgrounds. These signifiy myself and destine my life. ......... I would not be against you if you want to repay for all of the expenses. You may not have any uncontractual obligations like I do.... Good luck with your life krub. Best wishes, A.T. จากคุณ : amatuer translator - [ 6 ต.ค. 51 15:10:23 ] จากคุณ : อิสวาสุ - [ 6 ต.ค. 51 15:28:01 A:71.114.54.31 X: TicketID:146114 ]

ความคิดเห็นที่ 36 One more thing. When I was a TA in a class. In that class, there was a Korean scientist who works in a very senior position for a big pharmaceutical company. She asked my lab mate what he's going to do afer he's done. After receiving an answer from my friend, she turned to me and gave me the same question. My Chinese friend intruded and said, "he's not interested in, he will be bla-bla-bla in Thailand".... The female Korean scientist said, "Oh, I see. You are the "chosen one" ". From this conversation, I learned and caught something in her voice.... It's a sense of admiration and hope for others within myself.... :) I felt darn good about that, you know. Have you ever felt about yourself like this? :) I might be that stupid Narcissus though.... จากคุณ : amatuer translator - [ 6 ต.ค. 51 15:28:08 ]

ความคิดเห็นที่ 37 กลับบ้านเราเถอะครับ กลับมาสร้างบ้านเรา บ้านคนอื่นเค้าใหญ่โตพอเเล้ว บ้านเรายังต้องการพวกคุณมาช่วยกันสร้างอยู่ ปล อีกไม่นานผมก็จะจบเเล้ว อยากกลับบ้านไปหาครอบครัว อยากกลับไปช่วยต้นสังกัดที่ให้โอกาสได้มาเรียนต่างประเทศ  อยากไปช่วยประเทศที่ให้เงินมาเรียนหนังสือ  เท่าที่นึกได้ตอนนี้บุญคุณล้นหัวชดใช้ไม่หมดครับ จากคุณ : ส้มฉุน (DLC) - [ 6 ต.ค. 51 20:12:16 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ยิ่งอ่านแล้วยิ่งรู้สึกแย่ครับ ผมเข้าใจว่ามีเหตุผลส่วนตัว และถ้าบอกแค่ว่าต้องการอยู่ด้วยเหตุผลส่วนตัวนั้น ๆ ผมคงเคารพความคิดนั้น ๆ มากกว่าครับ แต่กลับบอกว่าทุนไม่เป็นธรรม ถ้าบอกว่าที่บ้านมีเงินส่ง แล้วทำไมถึงเลือกรับทุนรัฐบาลล่ะครับ เพราะเท่าที่อ่านดูคงไม่ใช่เพราะเหตุผลว่า "อยากกลับไปทำงานรับใช้ชาติ" แน่ ๆ ซึ่งผมก็นึกเหตุผลอื่น ๆ ไม่ออก นอกเหนือจากว่า "ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเรียนทุนรัฐบาล" และ/หรือ "จะได้ประหยัดเงินทางบ้าน" คิดแล้วก็รู้สึกเสียดายแทนประเทศชาติที่แทนที่จะได้ให้โอกาสกับคนอื่น ๆ ซึ่งคน ๆ นั้นอาจจะไม่ได้ "เก่ง" เท่า จขกท. แต่ถ้าหากได้ทุนก็อาจจะทำผลประโยชน์ให้กับประเทศได้มากกว่า เสียดายจริง ๆ ย้อนกลับไปที่ผมเขียนไว้ใน คห. ที่ 4 "นี่คือประเด็นหนึ่งที่ผมค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับการ คัดเลือกการให้ทุนรัฐบาลในปัจจุบัน คือตอนนี้เลือกแต่คนเก่ง แต่ไม่ได้เลือกคนที่ตั้งใจจะกลับไปทำงานให้กับรัฐบาลหรือตั้งใจที่จะกลับไปพัฒนาประเทศชาติ และก็ไม่ได้เลือกว่าเป็นคนดีหรือไม่" จากคุณ : Wahoowa - [ 6 ต.ค. 51 21:01:04 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ค่ะ ตอนแรกก็เห็นใจ จขกท.นะคะ แต่พอมาอ่านความเห็นที่ 33 "อย่าลืมด้วยครับว่า ถ้าไม่มีทุนเรียนปริญญาโทตั้งแต่แรก (Not A) คุณก็จะไม่ทีโอกาสใดๆเลยสำหรับวันนี้ (Not B)" ผมว่ามันเป็น logical fallacy นะครับ เพราะทางบ้านผมก็มีเงินส่ง แล้ว ก้อ แอบงงอ่ะค่ะ อึ้งไป ตกลงมันยังไงกันแน่คะคุณขา แล้วคุณจะเอาทุนเค้าไปทำไมล่ะคะ งงมากค่ะ จากคุณ : หมีขาวน้อย - [ 6 ต.ค. 51 22:04:35 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ชีวิตใครชีีวิตมัน เสนอทัศนะของตัวเองได้ แต่อย่าเถียงกันเลย ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา ขอชื่นชมบุคคลที่มีศักยภาพทุกท่านที่เลือกที่จะกลับเมืองไทยครับ ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง เป็นนักเรียนทุนตั้งแต่ป.ตรี จบ จบป.เอก กลับไปทำงานเมืองไทยด้วยความภาคภูมิใจ ขนาดมีบริษัทใหญ่ต่างชาติมาเสนอเงินให้ พร้อมตำแหน่งใหญ่ในต่างประเทศ พร้อมจะจ่ายหนี้ให้ด้วย เธอก็ยังไม่เอา เพราะต้องการที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติ อย่าคิดว่าคนแบบนี้ไม่มีนะครับ อุดมการณ์และศักดิ์ศรีสำหรับบางคนมีค่ามากกว่าผลประโยชน์ทางวัตถุหรือเงินทอง จากคุณ : เรื่องง่ายๆของรถถุง - [ วันเกิด PANTIP.COM 02:09:21 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขอขอบคุณทุกความเห็นอีกครั้งนะครับ แล้วจะนำไปพิจารณาครับ จากคุณ : นายไข่เจียว - [ วันเกิด PANTIP.COM 02:29:52 A:76.182.41.244 X: TicketID:066295 ]

ความคิดเห็นที่ 42 อ่านมาหลายวันแล้วค่ะ คุณนายไข่เจียว คุณจะตัดสินใจอย่างไรก็ได้ มีแค่สองข้อ คือกลับไปทำงานชดใช้ทุน หรือ ใช้เงินชดใช้ทุน ไม่น่าจะเอาประเด็นอื่นมาเป็นสำคัญ อย่าบอกว่าสัญญาไม่เป็นธรรม เพราะไม่มีใครเอาบีบบังคับให้คุณเซ็นสัญญานะคะ เมื่อได้ตัดสินใจไปแล้วควรยอมรับในการกระทำ อย่าคิดว่าสัญญาไม่เป็นธรรมซิคะ อีกอย่างในสัญญาอะไรก็ตามมักก็จะเขียนไว้ชัดเจนเสมอก่อนบรรทัดลงลายมือชื่อว่า ได้อ่านและเข้าใจแล้วจึงลงลายมือไว้เป็นสำคัญ ที่สำคัญดิฉันคิดว่า คุณจับปลาสองมือ คิดว่า ถ้าจบแล้วได้งานดีกว่า ก็จะไปที่อื่น หากหาได้แต่ไม่ดีก็จะกลับไปทำงานที่เมืองไทย เหตุการณ์มันก็เลยเป็นอย่างนี้ หากตัดสินใจเลือกเรียนเอกด้วยทุนส่วนตัวไปเลย แล้วชดใช้ทุนด้วยเงิน ของเรียนโท คุณคงไม่ต้องมาคิดว่า สัญญาไม่เป็นธรรมหรอกค่ะ หากความคิดเห็นไม่ถูกใจต้องขออภัยด้วยค่ะ จากคุณ : หนุ่ย - [ วันเกิด PANTIP.COM 10:25:58 A:130.18.37.155 X: TicketID:103860 ]

ความคิดเห็นที่ 43 อ่านเรื่องของนักเรียนทุนก.พ. แล้วพาลให้นึกถึงนักเรียนทุนคิง จังค่ะ ว่ากันว่านักเรียนทุนคิงหลายคนมีสัญญาเหมือนกัน แต่เป็น 'สัญญาใจ' จากคุณ : ~LoVe Is LiKe ThE wInD~ - [ วันเกิด PANTIP.COM 11:29:25 ]

ความคิดเห็นที่ 44 "หริอจะเป็นอีกกรณีที่สมัครเอง แล้วมหาวิทยาลัยตอบรับ แล้วจึงไปขอทุนจาก กพ. แต่ก็เป็นไปไม่ได้แน่นอน" เพราะว่าถ้าพิจารณาจากใบสมัครปริญญาโทแล้วและได้รับการตอบรับแล้ว ช่วงเวลามันจะไม่ตรงกับการสมัครสอบทุนจากกพ. น่ะสิครับ เพราะยังไงๆ การประกาศผลของทุนนั้นใช้เวลาพอสมควร เพราะน้องๆที่มากันเนี่ยเค้าบอกรอเป็นปีกว่าจะได้มา แต่ บางคนก็เร็วกว่านั้นเพราะมีผล toefl, gre กันไว้แล้วจึงได้ไปเรียนเร็วขึ้น แต่ในส่วนของ จขกท. นั้นอาจจะได้เร็วขึ้นกว่านักเรียนทุน คนอื่นๆ เพราะได้รับตอบรับไปแล้ว แต่รอผลประกาศ ซึ่งจะทำให้มีผลในการเข้าเรียนซึ่งต้องเลื่อนเป็นเทอมถัดไปหรือปีถัดไป ต้องติดต่อและเปลี่ยนใบสมัครเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลไทยแทน ส่วนของผม นั้นมาเอง แต่ทางมหาวิทยาลัยให้เลือกว่าจะมา summer หรือ fall ก็ไม่รู้ว่ายังไง แต่ดันส่งมาก่อน เปิด summer แค่ 2 อาทิตย์ มันก็ไม่ทันอยู่แล้ว คล้ายๆบังคับทางอ้อมว่ายังไงๆ ก็ไม่ทันแน่ๆ เพราะในใบสมัครเลือก summer ครับ แต่ยังดีที่ได้เลือกเลยเลือก fall ดีกว่า เพราะมีเวลาเตรียมตัวมากกว่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสามารถเลื่อนการเข้าศึกษาได้ ถ้ามีเหตุอันสมควร ไม่ว่าจะเนื่องมาจากได้ทุนหรือทางมหาวิทยาลัยให้เลือก ซึ่งมันก็จะย้อนกลับมาที่เรื่องของทุนอีกว่า มันก็เกี่ยวเนื่องกับทุนอีกถึงได้เข้ามาศึกษาต่อ เพราะว่ามันเปลี่ยนเป็นทุนรัฐบาล แต่สำหรับกรณีอย่างนี้มันเกิดน้อยมากหรือไม่เกิดเลย เพราะ จขกท. บอกว่า เรียนโทสองปี เรียนเอกห้าปี อย่างนั้นก็หมายความว่า เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว (2546) ทาง กพ. เปิดรับสมัครทุน (แบบสัมภาษณ์อย่างเดียว) แล้วทาง กพ. เห็นว่าคุณสมบัติผ่านหมด แถมยังได้รับการตอบรับมาแล้ว น่าจะไปเรียนได้เร็ว ก็เลยอนุมัติให้รับทุนได้ ก็ต้องขอโทษด้วยที่เข้าใจผิด แต่ผมเรื่องทุนปริญญาโทกับการรับเข้าเรียนอันนี้ มันน่าจะจบประเด็นไปแล้ว เพราะจากเหตุผลข้างต้น ส่วนในเรื่องของสัญญา มันก็แค่ทำตามสัญญาแหละครับ ติดต่อไปว่าจะจ่ายเงิน ก็น่าจะได้เห็นว่าทางบ้านมีเงินส่งได้ มันก็จ่ายได้ครับ ผลลัพธ์จะได้สวยงาม ไม่มีปัญหา ถ้าไม่อยากจ่ายก็กลับมาทำงานแค่นั้น มันไม่เกี่ยวกับสัญญาไม่เป็นธรรม สัญญาก็คือสัญญาที่มีผล ผูกมัดทางกฏหมาย (น่าจะพิมพ์ถูก เพราะไม่ได้ใช้มานาน) เราสมควรปฎิบัติตามสัญญาที่ลงลายมือชื่อไว้ ก็แค่นั้น จากคุณ : DarkMan - [ วันเกิด PANTIP.COM 11:35:16 ]

ความคิดเห็นที่ 45 อืม จะบอกว่า เราเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว อยากจะถามคนที่เข้ามาต่อว่า ประชดประชัน แดกดัน ฯลฯ จขกท. หรือพูดถึงอุดมการณ์ต่างๆนานา ลองอ่านสิ่งต่อไปนี้ให้ละเอียดแล้วตอบคำถามเราหน่อยง่ายๆสั้นๆว่าเป็นคุณ คุณจะลังเลไหม ณ เวลานั้น คุณเพิ่งเรียนจบ อยากไปเรียนเมืองนอก อายุแค่ 21-22 ปี รู้หรือไม่รู้ก็ตามว่าแหล่ง "ทุน" ให้เปล่า ตามมหาลัยเมืองนอก มีอยู่มากมาย คุณได้ยินเกี่ยวกับทุนก.พ. เป็นทุนรัฐบาลไทยอันทรงเกียรติ คุณสมัคร และสอบได้ หลังจากนั้น คุณได้อ่านสัญญา คุณยินดีและยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข  คุณอยากกลับมาทำงานรับใช้ประเทศชาติ ก็บ้านเราอยู่นี่ด้วย ทำไมจะกลับไม่ได้ หรือคุณจะยังไม่สนใจมันก็แล้วแต่  เพราะยังคิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว อีกตั้ง 5-6 ปีข้างหน้า ณ เวลานี้ โอกาสทางการศึกษาที่มันมาล่ออยู่ข้างหน้าอีกไม่กี่เดือนตะหาก ที่ดึงความสนใจคุณหมด ------- เวลาผ่านไป....หลายปี คุณเรียนจนจบ มีทุนมากมาย ทั้งอาจารย์และมหาลัย offer ให้คุณเรียนต่อเอก เป็นทุนให้เปล่า หรือมี บ.ดังๆมา offer ตำแหน่งงานให้คุณ ตอนนี้ คุณเริ่มคิดถึงอนาคตทางการทำงาน คุณยังทราบว่าคุณติดสัญญาอยู่ ต้องกลับไทยเพื่อเป็นข้าราชการ   แต่... คุณเริ่มคิดว่า ในการทำงานให้มีความสุข คนเราทำเพื่อสองอย่าง หนึ่ง เงิน สอง ทำเพราะใจรัก เพราะงานมันน่าทำ พูดถึงเรื่องเงินก่อน  ถ้าทำที่เมกา รายได้หลังหักภาษี คุณอาจจะได้ซัก 5 k USD เงินจำนวนนี้ มากพอจะผ่อนใช้ทุน มีชีวิตสบายๆที่อเมริกา ซื้อบ้าน ซื้อรถได้ในเวลาไม่กี่เดือน  แถมยังพอจะส่งไปให้พ่อแม่ได้เดือนละเป็นหมื่น (บาทไทย) ในขณะที่ ถ้ากลับไปทำงานเมืองไทย  คุณอาจจะได้บรรจุที่ซี 4 เงินเดือนไม่ถึงหมื่นบาท อยากทำบัตรเครดิต ยังทำไม่ได้เลย (กลายเป็นคนไม่มีเครดิตซะงั้น) อืม  เงินหลักแสนบาท กับเงินหมื่นบาท กอรปกับ อยู่เมกามา 2-3 ปี หรือ 5-6 ปี  คุณเริ่ม settle down ที่นี่ มี SSN, มีใบขับขี่ มี Phone bill มีที่อยู่  คุณเริ่มคุ้นเคยกับสังคมและวิถีชีวิตที่นี่จนเสียดายที่จะทิ้งมันไป พูดถึงงานมั่ง อยู่เมกา คุณได้ทำงานบ. research ที่มีแต่คนเก่งๆ มี facility ดีๆ  ได้พัฒนาตัวเอง  ได้อยู่ร่วมกับคนที่ทำงานแบบมีวินัยและคิดแบบมี logic   แต่กลับเมืองไทย คุณเริ่มหาข้อมูล เริ่มทราบจากรุ่นพี่ คุณต้องไปสังกัดกรม กองฯ นี้ มีหัวหน้าจบอะไรมาไม่รู้  ประเภทซีสูงเพราะอยู่นาน ชอบสั่งงานอะไรโง่ๆ มีเพื่อนร่วมงานทั้งเป็นคนและเป็นควาย  (ราชการมีคนโง่ๆที่ได้ดีเพราะประจบเก่งเยอะมาก ขอบอก)  มีผอ. บ้าอำนาจแบบข้าราชการในตำนาน   คุณเรียนและโฟกัสด้านรีเสริชมา  แต่งานหลักของคุณคืองานเอกสาร  ต้องพิมพ์เอกสารและแก้เป็นสิบๆหน้า ไม่ได้ทำงานทำการอย่างอื่น  เพียงเพราะทางธุรการเอาไม้บรรทัดมาวัดว่าที่อยู่มันพิมพ์ไม่ตรงกับตีนครุฑ  (แม่ม ไม่สนใจเนื้อหาเล้ย เอาแต่รูปแบบเข้าว่า) บางหน่วยงาน จ้างเด็กกพ.ไปเป็นล่ามแปลภาษา หรืออยู่หน้าห้องประดับบารมีซะงั้น  คุณแทบไม่ได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาเลย พูดถึงโอกาสก้าวหน้าทางการงาน ถ้าคุณอยู่เมกา คุณอายุซัก 35 คุณจะกลับไทยเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะ บ. ในไทย พร้อมที่จะอ้าแขนรับคนมีประสบการณ์จากประเทศพัฒนาแล้วเสมอ คุณอาจจะได้กลับไปทำตำแหน่ง manager ซักอย่าง เงินเดือนหลายหมื่นอยู่ ขณะที่คุณมองตัวเองในอนาคตที่อายุ 35 ในฐานะข้าราชการ คุณยังอยู่ที่ซี 5 ซี 6 ยังเป็นลูกน้องเจ้านายงี่เง่าคนนั้น และไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาซักคน  สุดท้าย คุณถูกกลืนไปในระบบเช้าชามเย็นชาม ไฟมอด กลายเป็นคนขี้เกียจ เพราะด้วยระบบการทำงาน  จะหันไปทำเอกชนก็ไม่มีใครรับ เพราะประสบการณ์คุณ เป็นข้าราชการมาก่อน (อันนี้เรื่องจริง) อ้อ โชคดีหน่อย ตอนนี้คุณได้เงินเดือนมากกว่าหมื่นแล้ว อาจจะซัก หมื่นสาม  ว้า แต่ยังทำบัตรเครดิตไม่ได้อยู่ดี ทั้งหลายทั้งปวงนี้  จะไม่ถามว่าคุณอยากจะเลือกอยู่เมกามากกว่าไทยไม่  แต่จะถามง่ายๆสั้นๆว่า   คุณจะลังเลไหม เอาแค่ลังเลพอ อย่าตอบว่าไม่  เพียงเพราะอยากเอาชนะ  หรือเพียงเพราะคิดว่าอุดมการณ์คุณมันแรงกล้ามากในตอนนี้  ของแบบนี้ ไม่เจอกับตัว ไม่รู้หรอก คุณคิดว่าเวลาผ่านไปขนาดนั้น คุณเห็นอะไรต่ออะไรในประเทศเจริญแล้ว ประสบการณ์คุณเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดขนาดนั้น  ใจคุณจะไม่เปลี่ยนเลยเหรอ มั่นใจจริงๆหรือ จะเอาอะไรกับเด็กกพ.คนนึง  จะคาดหวังอะไรมากมายว่าเค้าเอาภาษีคุณไปใช้แล้ว เค้าต้องเป็นอย่างที่คุณคาดหวังทุกอย่าง  สุดท้าย มันก็แค่เด็กคนนึง ที่ยังมีรักโลภโกรธหลง ไม่ใช่เทวดาที่ไหน ทุกคนก็คิดถึงอนาคต คิดถึงเรื่องเงิน อยากได้สิ่งที่ดีที่สุด เหมือนที่เราทุกๆคนก็เป็นกัน เราไม่โทษว่าเป็นความผิดของใคร ไม่ใช่ความผิดของกพ. หรือรัฐบาลไทย  เพราะทุกอย่าง ทำไปด้วยเจตนาดี และต้องการให้มีบุคลากรกลับมาทำงานให้ประเทศชาติ ขณะเดียวกัน ก็ไม่อยากให้โทษเด็ก  เพราะเราเชื่อว่า เมื่อถึงจุดที่มีทางเลือกที่แตกต่างกันขนาดนั้น  ทุกคนย่อมเกิดความลังเลทั้งสิ้น เราโทษว่ามันเป็นเพราะอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิด gap ตรงนี้ขึ้น เป็น solution ที่กพ. คงต้องหาวิธีเอาในภายหน้า เพื่อ ที่จะทำให้ได้คนที่ต้องการกลับมาทำงานให้ประเทศชาติด้วยความเต็มใจจริงๆ แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 51 14:41:52 จากคุณ : Queen of hearts - [ วันเกิด PANTIP.COM 14:23:09 ]

ความคิดเห็นที่ 46 "ขณะที่คุณมองตัวเองในอนาคตที่อายุ 35 ในฐานะข้าราชการ คุณยังอยู่ที่ซี 5 ซี 6 ยังเป็นลูกน้องเจ้านายงี่เง่าคนนั้น และไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาซักคน  สุดท้าย คุณถูกกลืนไปในระบบเช้าชามเย็นชาม ไฟมอด กลายเป็นคนขี้เกียจ เพราะด้วยระบบการทำงาน  จะหันไปทำเอกชนก็ไม่มีใครรับ เพราะประสบการณ์คุณ เป็นข้าราชการมาก่อน (อันนี้เรื่องจริง) อ้อ โชคดีหน่อย ตอนนี้คุณได้เงินเดือนมากกว่าหมื่นแล้ว อาจจะซัก หมื่นสาม  ว้า แต่ยังทำบัตรเครดิตไม่ได้อยู่ดี" "จะเอาอะไรกับเด็กกพ.คนนึง  จะคาดหวังอะไรมากมายว่าเค้าเอาภาษีคุณไปใช้แล้ว เค้าต้องเป็นอย่างที่คุณคาดหวังทุกอย่าง  สุดท้าย มันก็แค่เด็กคนนึง ที่ยังมีรักโลภโกรธหลง ไม่ใช่เทวดาที่ไหน ทุกคนก็คิดถึงอนาคต คิดถึงเรื่องเงิน อยากได้สิ่งที่ดีที่สุด เหมือนที่เราทุกๆคนก็เป็นกัน" ^ ^ ^ ก็เพราะมีคิดแบบนี้แหล่ะครับ ประเทศมันถึงไม่ไปไหนสักที ซ้ำร้ายประเทศกำลังจะแย่กว่าประเทศรอบ ๆ ข้างเสียอีก สิ่งที่คุณพูดมา เหมือนบอกว่า ที่ประเทศ ๆ หนึ่งที่อยู่ในข่ายด้อยพัฒนา ใช้เงินภาษีและงบประมาณของประเทศส่งให้คนที่มีความรู้ความสามารถในระดับต้น ๆ ของประเทศไปเรียนต่อเพื่อหวังที่จะนำความรู้กลับมาพัฒนาประเทศ หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่าเป็นความหวังของคนทั้งประเทศก็ว่าได้ แต่แล้วมันไม่ผิดที่คน ๆ นั้นจะถูกยั่วเย้าจากสิ่งที่ดีกว่าในประเทศอื่น ๆ แล้วทิ้งคนที่เหลือในประเทศอยู่กันต่อไปตามมีตามเกิด ถ้าทุกคนคิดกันแบบนี้ ประเทศก็คงแย่ครับ ...หรือจริง ๆ อาจจะเป็นเพราะแบบนี้ก็ได้ ที่ประเทศตอนนี้เป็นแบบนี้ เพราะคนเก่ง ๆ แต่ก่อน เห็นแก่ตัวแล้วหนีออกนอกประเทศกันหมด โดยความเห็นผม ผมกล่าวไปแล้วข้างต้นว่า ถ้าบอกว่าเป็นเพราะเหตุผลส่วนตัวอื่นใด และชั่งใจแล้วว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง โดยยอมรับว่ามันไม่ถูกต้อง ผมจะเคารพในความคิดนั้น ๆ มากกว่าครับ ...มากกว่าที่จะบอกว่ารัฐบาลให้ทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรม! ส่วนตัวผม ผมรู้ตัวว่าตัวผมเองเพียงคนเดียว ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงระบบที่ถูกฝังรากมานานในประเทศไทยได้ แต่ถ้าเริ่มต้นด้วยความคิดว่า "ยังไงก็ไม่มีทางทำได้" มันก็ไม่มีทางทำได้หรอกครับ หลังจากผมจบกลับมาเมืองไทย สิ่งที่ผมเห็นสิ่งแรกคือสังคมกำลังแย่ลงไปเรื่อย ๆ พอผมตระหนักถึงจุดนี้และผมรู้ว่า ยังไงผมก็ต้องอยู่ในสังคมนี้ สิ่งที่ผมทำคือพยายามทำสังคมนี้ให้มันดีขึ้นด้วยกำลังที่ผมมี เพราะอย่างน้อย ผม รุ่นลูก รุ่นหลาน ก็ต้องอยู่ในสังคมนี้ไปอีกนาน ดังนั้นผมให้ความสำคัญในการปลุกสำนึกคน ไม่น้อยไปกว่างานทางด้านวิชาการที่ผมทำ ผมมองว่าสิ่งที่ผมทำถึงไม่เห็นผลให้ 5 ปี 10 ปี แต่ถ้าด้วยกำลังของผม ถึงแม้จะน้อยนิด ถ้าหากมันเปลี่ยน "course of the future" หรืออนาคตที่มันควรจะเป็นไป แม้เพียงแต่นิดเดียว หรือแม้มันจะเป็น 100 หรือ 1000 ปี ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ยิ่งถ้าจิตใต้สำนึกที่ผมปลุกขึ้นมา และคนอื่น ๆ ที่ทำเหมือนกัน บวกกับกำลังและจิตใต้สำนึกของคนอื่น ๆ ร่วมกัน ผลที่เกิดขึ้นอาจจะเห็นทันตาก็เป็นได้ มีเพื่อนผมคนหนึ่งให้ข้อคิดไว้ดีมากเลยครับ ทั้งผมและเพื่อนผมคนนี้สอนอยู่ที่เดียวกัน เพื่อนผมคนนี้สอนนิสิตอยู่เสมอว่า... "อย่าคิดว่าคน ๆ เดียวไม่มีทางทำอะไรได้ ให้คิดว่าแม้แต่เฟืองตัวเล็ก ๆ ตัวเดียว แม้ขาดไป นาฬิกาเรือนใหญ่ ๆ ก็ยังพัง" ลองนำไปคิดดูครับ แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 51 21:27:55 จากคุณ : Wahoowa - [ วันเกิด PANTIP.COM 21:26:13 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ขอชี้แจงคุณ Wahoowa หน่อยนะครับ ผมอ่านหลายความเห็นของคุณแล้วก็ไม่ได้ตอบ ผมโชคดีเกิดมาทางบ้านมีฐานะ แล้วทางบ้านก็ตั้งใจส่งเสริมทางด้านการศึกษา ผมจบตรีจากที่อังกฤษ หมดเงินทางบ้านไปไม่ใช่น้อย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าจะยืนด้วยตัวเองได้ก็อยากจะทำ หลังจากเรียนจบปริญญาตรีแล้วผมก็สมัครไปเรียนปริญญาโท พอได้ตอบรับมาเผอิญได้ข่าวเรื่องทุน ก.พ. เปิดรับสมัครก็เลยไปสัมภาษณ์ดูแล้วได้มา ทางบ้านไม่มีใครอยากให้รับเลยครับ แต่ผมเลือกที่จะรับเพราะ ข้อที่หนึ่งก็คือเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายทางบ้านอย่างที่คุณปรามาสเอาไว้นั่นแหละครับ และอีกเหตุผลหนึ่งนอกเหนือไปจากนั้น ซึ่งคุณอาจจะไม่เชื่อในเรื่องนี้ ก็เพราะผมอยากจะลองทำราชการดูครับ ผมกะไว้ว่าไปเรียนโทสองปี กลับมาทำสี่ปี ถ้าชอบหรือไม่ชอบยังไงก็ยังจะเปลี่ยนใจเรื่องการประกอบอาชีพได้ ผมพูดเรื่องราวของสัญญาก่อนไปเรียนปริญญาเอกอย่างคร่าวๆ มากๆ เพราะไม่อยากจะรื้อฟี้นขึ้นมาอีก พอผมได้ตอบรับเข้าเรียนปริญญาเอกพร้อมทุนจากมหาวิทยาลัยผมก็แจ้งไป คำตอบที่ได้รับก็คือ ไม่ให้เรียน ซึ่งเป็นคำตอบที่ผมฟังแล้วอึ้ง ทั้งที่มหาวิทยาลัยที่ผมได้เข้าเรียนก็เป็นมหาวิทยาลัยระดับท็อปเท็นของอเมริกา ผมคิดไปเองว่าระหว่างที่ทางราชการรอไปห้าปีแล้วได้คนจบปริญญาเอกไปทำงานให้สี่ปี กับ ได้คนจบปริญญาโทไปทำงานให้สี่ปีในทันทีนั้น ทางราชการคงจะเลือกเอาอย่างแรก ผมคิดไปเองว่า ทางราชการคงจะส่งเสริมให้คนไทยไปเรียนในมหาวิทยาลัยดีๆ และที่ยิ่งไปกว่านั้น ผมคิดว่ากรณีของผมคงไม่ต่างอะไรไปจากเพื่อนของผมคนหนึ่งที่เป็นลูกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่รับทุนมาเรียนโท พอได้เรียนปริญญาเอกโดยได้รับทุนจากมหาวิทยาลัย ก็มีข้อผูกมัดให้ต้องกลับไปรับราชการสองเท่าของระยะเวลาที่เรียนโทเท่านั้น แต่เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด เรื่องมันเกือบจะต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เรื่องมันต้องมีทนายที่พ่อผมหมดเงินไปเป็นแสนๆ จ้างมาเพื่อเจรจา แล้วเรื่องมันก็มาถึงจุดที่ผมต้องเลือกเอาระหว่างที่จะต้องยอมทิ้งโอกาสไปเรียนปริญญาเอกในตอนนั้น หรือยอมเซ็นสัญญาที่จะต้องกลับมาชดใช้ทุนสิบสี่ปี และผมก็ไม่เคยมอง ก.พ. เหมือนเดิมอีกต่อไปเลย ผมได้รู้ซึ้งถึงระบบราชการตั้งแต่ยังไม่ได้บรรจุเป็นข้าราชการ ตั้งแต่วินาทีแรกของเวลาสิบสี่ปียังไม่ได้เริ่ม ชีวิตคนคนหนึ่งจะมีสิบสี่ปีซักกี่ครั้งกันครับ ทางเลือกอีกทางเลือกหนึ่งในตอนนั้นก็คือผมให้ทางบ้านจ่ายเงินชดใช้ ก.พ. ให้หมดก่อนที่ผมจะไปเรียนปริญญาเอก แต่ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องรับผิดชอบเรื่องบางอย่างด้วยตัวเอง ไม่อยากให้ครอบครัวต้องเข้ามารับภาระอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งที่ทางบ้านค้านแล้วก็เตือนผมตั้งแต่ต้น ผมพูดเรื่องเงินเดือนที่อเมริกาไปอาจจะทำให้เข้าใจผิดว่าผมอยากอยู่ที่นี่เพราะ "เหตุผลส่วนตัว" ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นคุณอาจจะยอมรับได้ในระดับหนึ่งใช่มั้ยครับ ผมคิดจะอยู่ที่นี่เพียงเพื่อหาเงินผ่อนใช้หนี้ของผม ผ่อนใช้ความเขลาของผมที่เอาตัวมาอยู่ในจุดนี้ ผมไม่ได้อยากอยู่ที่นี่เท่ากับไม่ได้อยากกลับไปหรอกครับ จากคุณ : นายไข่เจียว - [ วันเกิด PANTIP.COM 23:37:55 A:76.182.41.244 X: TicketID:066295 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ผมเข้าใจที่คุณพูดครับ แล้วผมก็ไม่ได้คิดเหมือนหลายๆ ท่านว่าคุณควรจะกลับมา เพราะเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ คุณไม่อยากกลับ คุณไม่มีใจจะทำงานให้รัฐบาลที่ไม่ส่งเสริมให้คนไทยไปเรียนในมหาวิทยาลัยดีๆ แค่นี้ก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วที่จะไม่กลับมาครับ แต่คุณก็เข้าใจนี่ครับว่าเรื่องทั้งหมดเกิดจาก "ความเขลาของผมที่เอาตัวมาอยู่ในจุดนี้" เพราะฉะนั้นแทนที่จะมานั่งพยายามอธิบายเหตุผลของคุณกับคนในนี้ ซึ่งส่วนใหญ่มีความเห็นไม่ตรงกับคุณ ให้เค้ายอมรับว่าการตัดสินใจของคุณไม่ได้มีอะไรผิด เพื่อให้คุณสบายใจขึ้น (หรือเปล่า?) ผมว่าคุณก็แค่ทำตามที่คุณคิดไว้ก็พอครับ ถ้าผิดผมขออภัยเพราะผมแค่เดาเอาว่า การที่คุณมาตั้งกระทู้นี้เ พราะอยากให้มีคนยอมรับว่าการที่คุณต้องตัดสินใจใช้เงินแทนนั้น เพราะว่าคุณถูก กพ เอาเปรียบ คุณไม่ได้มีเจตนาจะไม่กลับมารับราชการตั้งแต่ต้น ขอซ้ำประโยคเดิมจากความเห็นด้านบนว่า ใจไม่มาตัวมา ไม่มีประโยชน์หรอกครับ จากคุณ : Roby - [ 8 ต.ค. 51 00:07:34 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ^ ^ ^ เห็นด้วยครับ จากคุณ : Wahoowa - [ 8 ต.ค. 51 00:37:33 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ตอบคุณ นายไข่เจียว #47 จริง ๆ แล้ว ต่อให้คุณบอกว่าเหตุผลดังกล่าวนั้นคือเงิน มันก็ไม่ผิดอะไรหรอกครับ เพราะอย่างที่หลาย ๆ คนพูด เหตุผลของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ซึ่งเหตุผลต่าง ๆ นั้นไม่มีใครมาตัดสินแทนใครได้ แต่ที่ผมคิดว่าหลาย ๆ คนที่มาตอบในกระทู้นี้ รวมถึงผมด้วยนั้น คือประเด็นเรื่องที่ว่าคุณพูดในเชิงว่าทุนไม่เป็นธรรม ผมเคยรู้และเข้าใจในความคิดของคุณครับ ยิ่งเมื่อได้เปิดโลกกว้างไปเห็นอะไรข้างนอกมา ก็ทำให้ได้รู้อะไรมากขึ้น แต่... ตามที่คุณตอบมาใน #47 นั้น มันคือประเด็นในมุมมองของคุณ ที่ยึดเอาตัวคุณเองเป็นที่ตั้ง ในระดับหนึ่ง มันเป็นดั่งที่หลาย ๆ คนบอก ว่าทุนรัฐบาลนั้นเหมือนเป็น "loan" มากกว่าที่จะเป็น "scholarship" (ถ้าใครมาอเมริกาแล้ว จะทราบว่ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ) ซึ่งในที่นี้ สิ่งที่รัฐบาลต้องการก็คือลงทุนให้คนไปเรียน แล้วกลับมาทำงานให้กับรัฐบาลโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ (ให้ลองคิดในแง่การบริหารดูครับ) ไม่มี loan ที่ไหนที่เค้าจะให้ไป โดยให้ยืดระยะเวลาผ่อนผันออกไปหรอกครับ ต่อให้ผมเป็นผู้บริหาร ถ้าผมจะให้ทุนคน ๆ หนึ่งไปเรียนโท แล้วจะกลับมาใช้ทุนในระยะเวลา 7 ปีหรอกครับ ถือว่าเป็นการลงทุนอย่างไม่คุ้มค่าทีเดียว คุณอาจจะคิดในกรณีของคุณคนเดียว แต่ถ้านักเรียนทุนกว่าร้อยกว่าพันคน ทำแบบคุณหมด (คือผ่อนผันระยะเวลาออกไป) ก็ถือว่าเป็นการบริหารที่ล้มเหลวครับ สิ่งที่รัฐบาลหรือ ก.พ. ทำในขณะนั้นคือรัฐบาลลงทุน "เวลา" โดยแทนที่จะได้คุณกลับมาโดยทันที กลับยอมให้คุณไปเรียนต่อ หลังจากที่คุณจบโท โดยให้คุณเซ็นสัญญาในขณะที่เรียนต่อตอนปริญญาเอก ซึ่งเป็นเครื่องการันตีว่าคุณจะกลับไปทำงานชดใช้ ถ้าคุณเห็นว่าไม่เป็นธรรม สิ่งที่คุณควรจะต้องทำตอนนั้น คือชดใช้ทุนทั้งหมด แล้วเรียนต่อปริญญาเอกโดยใช้ทุนจากมหาวิทยาลัยที่คุณได้ครับ จากประสบการณ์ผมที่ผ่านมาอยู่ตรงจุดนี้ ผมไม่ได้มองว่าทุนรัฐบาลไม่เป็นธรรมตรงไหนเลยครับ ตาม คห. ที่ 48 ครับ คือถ้าคุณใจไม่มา ผมคิดว่าก็ควรใช้ทุนไปครับ ลองไปเช็คดู ผมคิดว่าที่ใช้เงิน ก็คือจากยอดเงินที่คุณใช้ไป เฉพาะตอนปริญญาโท สองเท่า บวกดอกเบี้ยตามจำนวนปีครับ แต่อย่างที่ผมตอบไปก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าคุณยังใช้ทุนไม่หมด รัฐบาลไม่เซ็น 2-year waiver ให้แน่นอนครับ แก้ไขเมื่อ 08 ต.ค. 51 00:59:21 แก้ไขเมื่อ 08 ต.ค. 51 00:54:36 จากคุณ : Wahoowa - [ 8 ต.ค. 51 00:54:10 ]

ความคิดเห็นที่ 51 วีซ่าผมเป็น F1 ครับ ไม่ใช่ J1 ถ้ารัฐบาลรอไปห้าปี แล้วได้คนที่จบปริญญาเอกโดยไม่ได้ต้องลงทุนอะไรตรงนี้เลย แค่จ่ายค่าเสียโอกาสจากการรอ ผมว่าเป็นประโยชน์มากกว่านะครับ ผมว่าปัญหาที่ประเทศไทยไม่พัฒนาไม่ใช่อย่างที่คุณว่าหรอกครับ ไม่ใช่เพราะมีคนเห็นแก่ตัว เอาตัวเองเป็นที่ตั้งอย่างผมหรอกครับ ปัญหาอยู่ที่ว่าทางราชการไม่รู้จักออกแบบโครงสร้างให้ประโยชน์ของราชการเป็นไปในทางเดียวกับประโยชน์ของข้าราชการมากกว่า ประโยชน์ของราชการเลยต้องขึ้นอยู่กับกลุ่มผู้ยอมเสียสละประโยชน์ของตัวเองที่หาได้น้อย ขอถามเรื่องส่วนตัวนิดนึงนะครับ ไม่ทราบคุณสอนคณะอะไรครับ ผมเดาเอาว่าไม่ใช่คณะเศรษฐศาสตร์ จากคุณ : นายไข่เจียว - [ 8 ต.ค. 51 01:22:58 A:76.182.41.244 X: TicketID:066295 ]

ความคิดเห็นที่ 52 อีกนิดนึงนะครับ ถึงเงินเดือนเริ่มต้นจะประมาณแปดหมื่นดอล มันก็เทียบไม่ได้กับชีวิตในเมืองไทยหรอกครับ อย่างน้อยอยู่ที่โน่นผมก็ไม่ต้องทำอะไรเองเหมือนอยู่ที่นี่ ที่พูดมานี้ก็เพื่อจะบอกว่าไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน และต่อให้ผมต้องเสิร์ฟอาหารทำงานอยู่ที่นี่ผมก็ยังรู้สึกว่าดีกว่าจะต้องไปทำงานชดใช้ให้คู่กรณีของผม จากคุณ : นายไข่เจียว - [ 8 ต.ค. 51 01:39:24 A:76.182.41.244 X: TicketID:066295 ]

ความคิดเห็นที่ 53 แรกๆ ยังฟังโอเคอยู่ ทำไปทำมาเริ่มเหมือนชวนทะเลาะ ถ้าเริ่มคุยกันแบบนี้ผมขอจรลีดีกว่า ไปแล้วครับยังไงก็ขอให้ จขกท โชคดีกับเส้นทางที่เลือกนะครับ จากคุณ : Roby - [ 8 ต.ค. 51 02:02:55 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ขอโทษคุณ Roby ด้วยครับ ผมรู้สึกโกรธๆ ที่เหมือนหาว่าเอาเรื่องสัญญาไม่เป็นธรรมมาอ้างเพราะเห็นแก่เงิน ถ้าเป็นสมาชิกแก้ไขข้อความได้ก็จะลบความเห็นตัวเองออกไปครับ ขอโทษท่านอื่นๆ ด้วยนะครับถ้าเขียนอะไรออกไปทำให้ไม่พอใจ ผมยังอายุน้อย ทำอะไรบางอย่างก็ไม่ได้กลั่นกรองให้รอบคอบ ก็หวังว่าจะอโหสิกรรมให้ด้วยนะครับ จากคุณ : นายไข่เจียว - [ 8 ต.ค. 51 02:36:12 A:76.182.41.244 X: TicketID:066295 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ขอเชียร์ให้คุณ จขกท ลองรับราชการดูตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก สิบสี่ปีไม่นานมากหรอก ตัวเองเป็นข้าราชการในกรุงเทพมาสิบกว่าปีแล้ว ต้องยอมรับว่า รายได้ไม่พอทำบัตรเครดิตจริงๆ และไม่สามารถทำให้อยู่อย่างสุขสบายได้ ต้องมีความพอเพียง และมีอุดมการณ์เล็กๆ ตัวเองเคยไปตามสถานที่ราชการแล้วเห็นว่ารกมาก เมื่อมาเป็นข้าราชการเองก็ดูแลโต๊ะทำงานของตัวเองให้สะอาดเรียบร้อย เก็บเอกสารเป็นที่ทางทุกครั้งเมื่อเสร็จงานแต่มักได้รับเสียงทักจากเพื่อนร่วมงานเสมอๆว่า แหม โต๊ะสะอาดจัง ไม่มีงานอะไรทำเหรอ....อันนี้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่จริง แต่เราก็ยังจัดโต๊ะเนี้ยบ สะอาด ต่อไป รู้สึกจะนอกเรื่องไปไกล สรุปว่าลองรับราชการดูนะ จากคุณ : StandStone - [ 8 ต.ค. 51 10:37:37 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เรียนคุณ คห 46 จะบอกว่าสิ่งที่คุณพูดทั้งหมดทุกอย่างในคห นั้น เราเห็นเหมือนคุณหมดทุกอย่าง และเป็นสาเหตุให้เราเลือกกลับมารับราชการอย่างไม่ได้ลังเลกับทางเลือกอื่น ตอนจบมาใหม่ๆ ไฟแรง เราต้องช่วยกลับมาพัฒนาสังคมไทย  เราอยากเอาความรู้กลับมาใช้ เราสงสารประเทศ  เราจะเป็นเฟืองตัวเล็กๆที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ถึงแม้มันจะช่วยได้น้อยมาก และเราจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใน generation เราก้อตาม   แต่เราจะพยายามอย่างดีที่สุด เราคิดอย่างนี้   เราเชื่อว่าเด็กกพ.หลายๆคนที่กลับมา ก็คิดแบบนี้ สุดท้ายหลายปีผ่านไป  ไฟมันก็มอดไปเรื่อยๆ และพบว่า เราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงระบบนี้ได้จริงๆ  และเรากำลังถูกกลืนไปในระบบเรื่อยๆ แต่ที่ยกตัวอย่างมา  อยากให้คนที่ไม่ได้เจอ ไม่ได้ประสบกับตัวเอง แต่คิดเอาเองจากมุมมองของตัวเอง  อย่างน้อยได้เห็นภาพ ว่าอะไรๆมันเป็นยังไง ที่ด่าๆว่าเห็นแก่ตัว  เราก็ยังยืนยันอยู่ดี  ว่าของแบบนี้ ไม่เจอกับตัว บางทีก็ไม่รู้หรอก สุดท้ายในความเป็นจริง บางคนก็ไม่ได้ผ่านจุดนั้นด้วยตัวเองจริงๆอยู่ดี ใครจะไปรู้บางคนที่ด่าๆเขา เอาเข้าจริง ก็อาจจะทำเอง หรือทำยิ่งกว่าก็ได้ เราไม่ได้บอกว่าเราเห็นใจเด็กกพ.ที่คิดจะผ่อนใช้ทุน แค่บอกว่า เราเข้าใจ จากคุณ : Queen of hearts - [ 8 ต.ค. 51 15:08:31 ]

ความคิดเห็นที่ 57 อ่านความเห็นสุดท้ายของจขกท.แล้วรู้สึกชื่นชมคุณค่ะ ถึงแม้จะมีหลายๆความเห็นที่ไม่เห็นด้วย และอาจเข้าใจวัตถุประสงค์ของคุณผิดบ้าง และคุณก็ยอมรับว่าคุณโกรธในตอนแรก พร้อมกับกล่าวคำขอโทษ ส่วนเรื่องการตัดสินใจของคุณนั้น ก็แล้วแต่คุณจะพิจารณาเถิดค่ะ เพราะว่าชีวิตนี้เป็นของคุณ ขอโทษจขกท.ด้วยนะคะ กับความเห็นของดิฉันในความเห็นที่ 39 หากมันอาจจะทำให้คุณไม่สบายใจ โชคดีนะคะ คุณ Queen of hearts ดิฉันก็เข้าใจคุณเช่นกันค่ะ จากคุณ : หมีขาวน้อย - [ 8 ต.ค. 51 15:25:39 ]

ความคิดเห็นที่ 58 หนูก้อได้ทุนจากรัฐบาลมาเหมือนกันนะคะ  น่าจะเครือเดียวก่าของพี่ไข่เจียวด้วย  ปกติแล้วที่หนูเคยได้ยินมา เราก้อใช้ทุนตามระยะเวลาของการศึกษาคูณสองไม่ใช่เหรอค่ะ  ทำไมของพี่เค้าถึงนับอย่างนั้นอ่าคะ มันน่าจะนับของป. โท เฉยๆ แล้วตอนป. เอกเราก้อระงับทุนไว้ได้ไม่ใช่เหรอค่ะ  เอ งง หนูก้อไม่รู้เหมือนกันนะคะ ว่าถ้าถึงเวลานั้นจริง ถ้าหนูเป็นพี่หนูจะเลือกอะไร  เพราะบางทีคำตอบมันก้อเหมือนจะวนไปมา  ว่าควรทำอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ในเมื่อใจมันไม่ให้  จะให้ทำอย่างไร  ชีวิตของเราต้องผูกไว้ด้วยสัญญาบางอย่าง  ซึ่งบางทีเราก็เหมือนจะคิดว่าเราตัดสินใจผิดหรือเปล่า ที่เข้ามารับทุนเนี่ย หนูแย่กว่าพี่อีกคะ  หนูรับทุนมาแล้ว แต่หนูยังไม่มั่นใจเลยว่าชอบวิชานี้หรือเปล่า ก้าวเล็กๆ ของเราวันนี้ มันสามารถเปลี่ยนแปลงวันข้างหน้าได้เสมอ ยังไง ก้อตัดสินใจดีๆ นะคะ  หนูก็พอจะเข้าใจนะคะว่าพี่รู้สึกยังไง หลังไมล์มาคุยกันได้นะคะ จากคุณ : Icing-CooL (Icing-CooL) - [ 8 ต.ค. 51 22:07:23 ]

ความคิดเห็นที่ 59 บอกว่าจะไปแต่สุดท้ายก็กลับมาอ่าน แต่ก็คิดว่าโชคดีที่กลับมา ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับที่มาลดความรุนแรงของการแลกเปลี่ยนความเห็น ผมเข้าใจว่าบางทีความเห็นที่ไม่ตรงกับของเรา แล้วก็บางความเ ห็นที่อาจจะเหมือนกับโจมตี มันก็ทำให้เราเสียอารมณ์ได้ แต่ว่านี่คือสิ่งที่เกิดจากการมาขอความเห็นใน webboard สาธารณะ ผมว่าการมาขอความเห็นคนอื่น  ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน หรือรูปแบบใด ก็ต้องเจอกับความเห็นที่แตกต่างอยู่แล้วครับ โดยเฉพาะ เวปบอร์ด เพราะแต่ละคนไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้ากัน ส่วนตัวผมว่าเป็นเรื่องดีเพราะว่าเราจะได้ความเห็นจริงๆ ของคนเหล่านั้น ที่ไม่ได้ถูก บล็อกไว้ด้วยความเกรงใจ คุณก็ลองอ่านๆ ดู ถ้าความเห็นไหนคุณคิดว่า คนพูด พูดเพราะไม่เข้าใจคุณอย่างแท้จริง ก็แค่ให้เหตุผลเพิ่มเติม ถ้าสุดท้ายแล้วก็ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ก็แค่คิดซะว่าคนเราความคิดย่อมไม่เหมือนกัน ก็จบครับ จากคุณ : Roby - [ 8 ต.ค. 51 23:14:56 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ชีวิตเราต้องเลือกเองค่ะ แม้ผลจะออกมาเป็นยังไงก็เถอะ ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง แม้บางครั้งมันอาจจะไม่ถูกใจใครทั้งหมด ชั่งน้ำหนักเอาค่ะ ว่าอยู่ตำแหน่งไหนจะดีที่สุด ถ้าเลือกคืนเงิน ทำงานที่นั้น บางทีคุณอาจจะเจอเจ้านายโมโหร้าย เพื่อนร่วมงานแย่ๆ จนมาย้อนนึกถึงว่าคุณน่าจะกลับมาเมืองไทย แต่ถ้าเลือกกลับมาเมืองไทย คุณก็จะทุกข์ที่ว่าปล่อยโอกาสดีๆ ที่เมืองนอกไป อยู่ตรงไหนก็อาจจะไม่สบายใจ แต่เลือกให้ไม่สบายใจน้อยสุดค่ะ จากคุณ : MissMiss&TakeCare - [ 8 ต.ค. 51 23:43:34 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เราก็เป็นนักเรียนทุนรัฐบาลโท-เอกคนหนึ่งที่กำลังทำงานชดใช้ทุนอยู่ แต่ปัญหาของเราแตกต่างจากคนอื่น เราทำงานใช้ทุนมาระยะหนึ่งแล้วแต่มีปัญหาด้านครอบครัว จำเป็นต้องขอโอนไปใช้ทุนในหน่วยงานอื่น แต่ทางต้นสังกัดไม่ให้ไป สุดท้ายเราก็ต้องลาออกเพื่อไปทำงานให้กับหน่วยงานอื่นซึ่งเป็นของรัฐบาลเหมือนเดิม ก็ยังโดนฟ้องให้ชดใช้เงินเหมือนไปทำงานอยู่ต่างประเทศเลย เพราะเขาบอกว่าเราผิดสัญญาการชดใช้ทุน ก็เลยจะบอกคุณเจ้าของกระทู้ว่า ไตร่ตรองให้ดี แล้วทำอย่างที่ใจต้องการเถิดค่ะ แต่ละคนก็มีปัญหาไม่เหมือนกัน ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวเราเองหรอก ขอเอาใจช่วยให้ตัดสินใจถูกนะคะ จากคุณ : new guest - [ 11 ต.ค. 51 00:44:41 A:125.24.129.13 X: TicketID:190153 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ในฐานะคนเสียภาษีคนหนึ่งที่มีส่วนในเงินนักเรียนทุนนำไปใช้ ผมยอมรับได้กับการที่คุณยอมจ่ายค่าปรับตามสัญญา เงินที่ได้ค่าปรับมาก็สามารถนำมาส่งเสริมการศึกษาเด็กไทยรุ่นต่อๆไปได้เหมือนกัน รับราชการ 14 ปี เป็นผม ผมก็คิดหนักเหมือนจขกท. ทำงานต่างประเทศ ก็ใช่ว่าไม่ได้ให้อะไรกับประเทศชาติเลยนะครับ กลับมารับราชการ ก็ใช่ว่าจะมีบทบาทพัฒนาประเทศมากมายซักเท่าไหร่ ผมลองคิดเล่นๆแบบหนังนะครับ ทางเลือกที่1 จขกท. กลับมาเมืองไทย--- รับราชการ---14ปีผ่านไป จขกท.ยังไม่ค่อยก้าวหน้า เนื่องจากโดนปัดแข้งปัดขา พร้อมกับเห็นการคอร์รัปชั่นภายในองค์กร จนจขกท.หมดไฟต้องลาออกไปทำธุรกิจส่วนตัว พร้อมรับจ๊อบสอนเล็กๆน้อยๆ ทางเลือกที่2 ทำงานอเมริกา---ใช้ทุนครบจำนวน---เงินที่ชดใช้มาพัฒนาชาติ---จขกท.สอนหนังสือ มีลูกศิษย์ทั่วโลก---14ปีผ่านไป จขกท.มีฐานะพอสมควร และเริ่มเบื่อสังคมอเมริกัน---กลับมาสอนหนังสือเมืองไทย---การศึกษาไทยเป็นที่ยอมรับมากขึ้นเนื่องจากมีอาจารย์ระดับโลกมาสอน ยกตัวอย่างการ์ตูนๆไปหน่อยนะ แหะๆ จากคุณ : ็Hi4 - [ 11 ต.ค. 51 17:07:46 A:58.9.101.49 X: TicketID:092232 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ประเด็นหนึ่ง คือหวาดกลัว ต้องกลับมาทำงานเมืองไทย มาเจอระบบเส้นสาย และระบบห่วยๆ อะไรอีกมากมาย ประเด็นผมคือ คุณผู้รับทุน มีความสามารถ มีประสบการณ์ มีหูตากว้างไกล (แน่นอนละคุณมีดี) ไม่คิดจะมาทำให้ประเทศ มันดีขึ้นกันบ้างหรือ ไอ้พวกห่วยๆ อะ รับทุนแล้วหนีทุน เหมือนพ่อแม่ส่งเสียเรียน พอได้ดิบได้ดี ก็ถีบหัวส่ง ประเทศเป็นเช่นไรก็ปล่อยไป อยู่ที่ตัวคุณ เลือกเป็นลูกเลวแต่รวย หรือลูกดี คำตอบมันอยู่ในใจคุณนั่นแหละ จากคุณ : Martin - [ 20 ต.ค. 51 10:15:21 A:172.16.63.103 X:203.185.69.119 TicketID:191178 ]

ความคิดเห็นที่ 64 อีกประเด็น แน่นอนกลับมารับราชการ ระบบการทำงาน อุปกรณ์ทุกอย่างไม่พร้อมแน่ ถ้าคุณไม่ขยับมือ ขยับไม้ พึ่งพาตัวเองหละ คุณก็จะจมหายไปกับระบบ ราชการแบบเก่าๆ แต่อย่าลืม นักเรียนทุนหลายคนที่กลับมาัรับราชการแล้ว ประสพผลสำเร็จ ก็มีไม่น้อย อย่างน้อย ก็ไม่ต้องตราหน้าตัวเองว่าเป็นเด็กหนีทุน จากคุณ : Martin - [ 20 ต.ค. 51 10:26:59 A:172.16.63.103 X:203.185.69.119 TicketID:191178 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ผมแค่ อยากให้คนรุ่นใหม่ๆ มีความคิดใหม่ๆ ได้อดทน แล้วช่วยกันปรับปรุงระบบ ถ้าไม่มีคนความคิดใหม่ๆ เหลืออยู่ในระบบ เราก็จะได้แต่ ความคิดแบบเดิมๆ ในระบบราชการ อย่างที่เคยเป็นมา ปล.ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ รับราชการนะครับ     และหวังว่า คนรุ่นใหม่ๆ จะกล้าแข็งพอ ที่จะปรับเปลี่ยน     การรับราชการแบบเดิมๆ เพื่อพัฒนาให้ดีขึ้นต่อไป จากคุณ : SiGNaLLy - [ 20 ต.ค. 51 15:45:49 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ตอนนี้ เราคงรู้แล้วว่า การเป็นนักเรียนทุน นั้น ต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง คงต้อง ไตร่ตรองให้หนักนะครับ ว่าอยากแลกหรือไหม่ บางทีคนเรา มีทางเลือกไม่มาก จากคุณ : น้าพร - [ 20 ต.ค. 51 21:02:02 ]

ความคิดเห็นที่ 67 กลับมาร่วมกันสร้างชาติ  ถ้ามีแนวคิดดีๆ กลับมาเถอะครับ ขอร้องนะครับ มาช่วยกันสร้างชาติเถอะครับ จากคุณ : cheychai - [ 21 ต.ค. 51 19:53:59 ]