ความคิดเห็นที่ 1 มีคะ แต่ไม่ใช่การคลอดลูกคะ เพราะยังไม่มีลูก แต่เป็นเรื่องการรักษาและผ่าตัดคะ จะว่าเป็นเรื่องดีก็ใช่นะคะ เพราะพึ่งได้รับความร่วมมือในการรักษาหลังจากถูกปฏิเสธมาจากสองแห่งคะ เสียเวลาไปเกือบปีหล่ะ ยังไม่ได้รักษาเลย เสียทั้งจิตและสุขภาพแย่ลง ฮ่า ฮ่า ฮ่า... ไม่ได้แชร์เรื่องไม่ดีนะคะ แต่แชร์ความจริงไปด้วยคะ ชอบคำพูดคุณ wheel of forture คะ... ไทยและญี่ปุ่นเหมือนกันว่าต้องมีคนรู้จัก ไม่ก็เงิน แต่เมืองไทยมีเงินยังไปได้ แต่ที่ญี่ปุ่นต้องมีคนรู้จักด้วยคะ... มีแต่เงินไม่ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า... ขำไปงั้นแหละคะ จริงๆ พึ่งเสียความรู้สึกมาเช่นกันคะ เพราะถูกปฏิเสธและเสียเวลาไปนานคะ ตอนแรกไม่อยากไปโรงพยาบาลที่คุณสามีทำงาน เพราะรู้สึกว่ารบกวน แต่เริ่มท้อแหละ เลยต้องไป สุดท้ายได้รับความร่วมมืออย่างดีจากโรงพยาบาลที่คุณสามีทำงาน และจดหมายจากคุณหมอใหญ่ที่คุณสามีทำวิจัยด้วย ไปถึงเพื่อนของท่าน สุดท้ายเลยได้คิวแล้ว ขอปุ๊ปได้ปั๊ป ทั้งเรื่องห้อง และคิวเครื่อง MRI คะ ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ผ่าและรักษา ฮ่า ฮ่า ฮ่า... จากคุณ : thangthai_ladypink - [ 27 ต.ค. 51 14:08:15 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ประสบการณ์คลอดลูกที่ญี่ปุ่น เขียนไว้ในบล๊อคยาวมาก ๆ ถ้าตัดบางช่วงบางตอนมาแชร์ คงเป็นประสบการณ์ที่ไม่สมบูรณ์ ยังไงตามอ่านที่ลิงค์นะคะ (ไม่ได้ต้องการโปรโมทบล๊อคน๊ะ) เขียนไว้ทั้งตอนตั้งครรภ์จนถึงคลอดเลย  เป็นประสบการณ์ที่ดี ๆ ของเราเอง http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=in-love-in-mylife&month=04-2008&date=21&group=6&gblog=11 ส่วนเรื่องความรู้สึกคลอดที่ไทยหรือญี่ปุ่นดี  ถ้าสุดท้ายต้องเลือกคลอดที่ญี่ปุ่น ก็ขอให้ทำใจให้สบาย ปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริง หาข้อมูลโรงพยาบาลหรือคลีนิคที่จะคลอดลูกให้ดี อย่างคลีนิคที่เราเลือก ถือว่าดีพอสมควร ก่อนวางมัดจำคลอดควรสอบถามว่าหากเกิดกรณีฉุกเฉินระหว่างตั้งครรภ์จนถึงคลอด ที่ที่เราคลอดมีขั้นตอนการดูแลอย่างไร อย่างคลีนิคนี้บอกไว้เลยว่า มีพันธมิตรทางการแพทย์กับโรงพยาบาลอะไรบ้าง หากต้องมีการผ่าตัดเหมือนที่เป็นข่าว ทางคลีนิคสามารถส่งตัวคนไข้ไปได้เลย ถ้าได้ที่ที่คลอดที่เราคิดว่าพอใจ ต้องรีบวางมัดจำ เพราะช้าแค่สัปดาห์สองสัปดาห์ ที่ที่อยากได้อยากคลอดก็เต็มได้ ต้องเสียเวลาหา รพ ที่ใหม่ ถ้าหากเปรียบเทียบที่ไทยดีกว่า แต่ต้องคลอดที่ญี่ปุ่น มัวคิดและเปรียบเทียบก็จะไม่มีความสุข หาความสุข สิ่งดี ๆ จากสิ่งที่เราเลือกแล้วหรือจากความเป็นจริงที่ต้องเจอต้องทำดีกว่าค่ะ จากคุณ : Omiya - [ 27 ต.ค. 51 14:44:42 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แวะมาหาความรู้คะมีคุณแม่ท่านไหนเคยคลอดที่อะโอโมริบ้างคะหรือที่อำเภออื่นๆในอะโอโมริก็ได้คะขอช่วยมาเล่าประสบการณ์คลอดบ้างนะคะ การคลอดในต่างจังหวัดกะคลอดที่โตเกียวเนี้ยมันต่างกันเยอะไหมคะ เผื่อถ้าเกิดท้องลูกอีกคนที่นี่(หาข้อมูลไว้ก่อนนะคะ) จากคุณ : s.phaung - [ 27 ต.ค. 51 15:06:13 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอแชร์ให้ฟังจากประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ "เรื่องคลอด" คลอดที่ญี่ปุ่นค่ะ ประสบการณ์เป็นแบบผ่าคลอด ถามว่าประทับใจไหม ก็ประทับใจนะคะในบริการที่ได้รับค่ะ อาจจะไม่สะดวกสบาย เท่าที่ไทยกรณีรพ.เอกชน แต่นางพยาบาลที่รพ.ไปคลอดก็ใจดี ทุกคนเลยค่ะ เจอกันทุกวันก็เริ่มคุยโน้นคุยนี้กันสนุกสนาน แบบภาษาอังกฤษผสมญี่ปุ่น อยู่เก้าวันเลยเจอกันบ่อย ช่วงคลอดก็ดีนะคะ พยาบาลในห้องผ่าตัดเดินมาทักทาย หมอก็เดินมาคุยด้วยตอนนอนบนเขียง หมอจะทำอะไรบ้าง ก็จะมีพยาบาลมากระซิบข้างหูว่าต่อไปจะเป็นอะไร ก็เลยไม่รู้สึกอ้างว้างในห้องผ่าตัดค่ะ พอลูกออกจากท้องปุ๊ป เพลงในห้องคลอดก็เป็นเพลง Happy Birthday รู้สึกดีจังค่ะ (ละเอียดไปไหมเนี่ย!!) แต่แผลผ่าคลอดเย็บไม่ได้เรื่องเลยค่ะ สวยสู้หมอไทยม่ายด้ายยยเลยย ระหว่างพักฟื้นก็ดีนะคะ ถึงแม้จะเป็นห้องรวม แต่ก็ไม่รู้สึกจอแจ เพียงแต่ว่าเราต้องลุกไปทำอะไรเองซะส่วนใหญ่ ข้าวของเครื่องใช้ ก็ต้องเตรียมไปเองบ้าง โทรทัศน์ก็ต้องซื้อบัตรมาดู แต่เรื่องพวกนี้ ก็ไม่ถึงกับเป็นข้อเสียอะไรมากมาย คือความสะดวกไม่เท่าเมืองไทย แต่การดูแลรักษาพยาบาลก็โอเคนะคะ ไม่ได้รู้สึกผิดหวังอะไรค่ะ หมอเด็กและก็พยาบาลในห้องเด็กอ่อนก็ดูแลน้องดีค่ะ ประทับใจเหมือนกัน จริงๆ บริการดีไม่ดีคงขึ้นกับรพ.และบุคลากรของรพ.นั้นๆ ด้วยมั๊งค่ะ โดยรวมแล้ว รพ.ที่ตัวเองคลอดก็โอเคเลยค่ะ รพ.คันโตเบียวอินค่ะ แต่..แต่... ถ้าเลือกได้ก็ขอคลอดเมืองไทยในรพ.เอกชนอ่ะค่ะ เพราะมันสบายจริงๆ ค่ะ พอดีเคยเข้ารักษาที่รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ แล้วรู้สึกประทับใจค่ะ พยาบาลเสียงหวานเจี๊ยบเลยค่ะ ^_^ แบบว่าจะทำอะไรก็มีคนมาบริการถึงเตียงไปหมด คือรู้สึกอบอุ่นดีค่ะ "เรื่องเลี้ยงลูก" ลูกเพิ่งเกิดไม่นาน เลี้ยงที่ญี่ปุ่นเหนื่อยกว่าเลี้ยงเมืองไทยเยอะค่ะ เพราะไม่มีตัวช่วย แต่ที่ญี่ปุ่นเวลาพาน้องไปเดินเล่น ไปซื้อของ ไปไหนต่อไหน รู้สึกว่าปลอดภัยกว่าค่ะ ทั้งอากาศที่ดีกว่า บรรยากาศ ที่ดี ฝุ่นควันน้อย  ไปไหนไม่ต้องพะวงว่าจะมีใครมาขโมยเด็กไปหรือเปล่า คือสถานที่ที่จะให้เด็กเที่ยวเล่นน่าจะมีมากกว่าเมืองไทยมั๊งค่ะ ประสบการณ์ด้านนี้มียังไม่เยอะค่ะ น้องเพิ่งสี่เดือนเองค่ะ มีบริการตรวจรักษาเด็กฟรีในช่วงขวบปีแรก มีบริการฉีดวัคซีนให้ มีคนจากเขตคอยให้ความช่วยเหลือกรณีต้องการปรึกษาปัญหาต่างๆ เรื่องเหล่านี้เมืองไทยไม่มีบริการเท่าไหร่ค่ะ แต่ข้อเสียของที่นี่ เท่าที่ได้ยินมาก็คือ หมอเด็กน้อยเวลาลูกป่วยแล้วไม่สะดวกเลย กว่าจะได้เจอหมอ ถ้าเป็นเมืองไทยแล้ว เมืองไทยดีกว่าเยอะมั๊งค่ะ เรื่องการรักษาพยาบาลค่ะ จากคุณ : zuling68 - [ 27 ต.ค. 51 19:56:41 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอมาก็จัดให้ค๊า.. คนแรกคลอดที่ไทยค่ะ ที่นนทเวช ประสบการณ์ดีๆมากมาย แต่เสียดายที่เลี้ยงดูด้วยนมแม่ไม่สำเร็จ เพราะไม่มีคนคอยแนะนำค่ะ คนที่สองคลอดที่ญี่ปุ่น ทั้งสองท้องผ่าหมดค่ะ  โชคดีที่เจอหมอที่พูดไทยและอังกฤษได้ และหมอคนนี้ก็เคยไปเรียนที่มหิดลด้วยค่ะ ที่เดียวกะที่พ่อกะแม่เราจบมาค่ะ ก็เลยเหมือนยิ่งสนิทกัน  แกจะพกคู่มือภาษาไทย เวลาเรามาตรวจท้อง แกจะอวดค่ะ แล้วชวนคุยภาษาไทยแบบแปร่งๆอ่ะค่ะ  แกชอบไทยมาก  และไปปีละสองหน   ตรวจท้องไปสักพัก มีหมอใหม่มาฝึกงาน คนนี้ภาษาอังกฤษเลิศมาก คุยสนุกค่ะ  เราเลยสบาย ไม่ต้องผ่านแม่สามีแปลญี่ปุ่นเป็นญี่ปุ่น อุอุ ที่นี่รักษามาตรฐานเดียวกันนะคะ จากที่เราเจอน่ะค่ะ  ทุกคนมีบัตรประกันสุขภาพ  พอใช้บัตรนี้แล้ว ราคาลดลงมากค่ะ   รพ.ที่ญี่ปุ่น เวลาจะผ่าตัด ต้องรอบคอบมากๆ ตรวจเยอะแยะมาก เพื่อป้องกันความผิดพลาดระหว่างผ่าตัด  ทุกอย่างต้องเป๊ะๆ  ดูจุกจิกไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าไม่เตรียมอะไรเลยค่ะ   รพ.รัฐบาล เน้นนมแม่มากค่ะ  แล้วพยาบาลแต่ละคนที่ดูแลก็มีความรู้เรื่องนมแม่จริงๆ ไม่ใช่รู้แบบนิยามงูๆปลาๆ  เด็กหลังคลอดไม่ต้องกินอะไรเลยได้สามสี่วันค่ะ  หิวจัดๆก็แค่น้ำต้มสุก ระหว่างนี้ต้องเอามาดูดกระตุ้นตลอด พอวันที่สอง สาม น้ำนมจะเริ่มมา  คราวนี้ก็เอามาดูดเลยค่ะ  พยาบาลมาดูแลตลอดค่ะ ช่วยโน่นนี่ กลางคืนก็มาปั๊มนมให้ หมอมาหาทุกวันเลยค่ะ ตั้งแต่เราคลอด จนกระทั่งออกรพ. เป็นเวลาอาทิตย์นึงค่ะ มีหมอสองคน ผลัดกันมาดูแลค่ะ จริงๆต้องออกจากรพ.วันที่สิบค่ะ แต่เราไม่ไหวค่ะ ปวดหัวและเครียดมาก คิดถึงลูกชายคนโตด้วย  ปรึกษาหมอค่ะ แกก็เข้าใจว่าเราต่างชาติ คงเหงา อนุญาตให้ออกจากรพ.ก่อนกำหนดได้ค่ะ  เราได้นอนห้องเดี่ยวด้วยค่ะ ญาติๆมาเยี่ยมสะดวกค่ะ  ได้ค่าใช้จ่ายในราคาที่ถูกมากๆ ไม่ถึงสามแสนเยนค่ะ   หลังจากกลับมาบ้าน รพ.มีนัดดูการเลี้ยงนมแม่ นวดและตรวจเช็คนน.ทารก ดูการเจริญเติบโต  และมีเจ้าหน้าที่อนามัยแวะมาหาที่บ้าน นวดนมให้ค่ะ สอนการเลี้ยงนมแม่ จัดท่า การกระตุ้นน้ำนม และให้ยาทามาไว้ด้วยค่ะ   ทุกวันนี้ยังเลี้ยงนมแม่อยู่เลยค่ะ ลูกสาวหกเดือนแล้ว คนที่บ้านสนับสนุนนมแม่มากๆ และเจ้าหน้าที่ทุกคนก็เอาใจใส่ และให้คำแนะนำมากมาย  แม้กระทั่งเริ่มอาหารเสริม ก็มีการสอน อบรมด้วยค่ะ  ถึงมีลูกคนแรกก็สบายค่ะ มีครูค่ะ จากคุณ : Mnki - [ 27 ต.ค. 51 20:04:55 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เจ๊ คคห.ที่ 4 น่ะ บอกชื่อรพ.ตกไปเปล่าคะ อิอิ NTT Kanto Hospitalค่ะ (มาแซว) จากคุณ : fudge-a-mania - [ 27 ต.ค. 51 20:10:48 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ยังไม่เคยคลอดเลยค่ะไม่ว่าไทยหรือญป ที่ไทยหากมีเงิน ทุกอย่างก็สะดวก สบาย ที่ญป ถึงจะมีเงินก็ต้องว่ากันตามกฏ กติกา มารยาทค่ะ 1. ที่ญปรัฐมีสวัสดิการช่วยมาก เริ่มจาก 1.1 ตั้งแต่ได้วันคลอดที่แน่นอน เราสามารถไปขอรับ "คู่มือสุขภาพแม่และ ลูก" ได้ที่เขตค่ะ สมุดคู่มือนี้ควรพกติดตัวทุกครั้งเพราะมันจะบันทึกข้อมูล ของเราโดยละเอียด แม้จะคลอดแล้ว ก็ยังบันทึกข้อมูลของลูกโดย ละเอียดอีกด้วย เวลาไปตรวจครรภ์ก็ต้องเอาไปทุกครั้งค่ะ เพราะคุณหมอ ต้องบันทึกทุกอย่างลงในสมุดเล่มนี้ เปรียบเสมือน "ไดอารี่ตั้งครรภ์ส่วนตัว" แล้วใบแทรกที่อยู่ในสมุดคู่มือเล่มนี้ ยังมีส่วนลดค่าใช้จ่ายในการตรวจครรภ์ อีก 5 ก๊อปปี้ (แต่ก่อนมี 3 แต่เมื่อเมษาที่ผ่านมาเพิ่มเป็น 5 ) แต่ละก๊อปปี้ สามารถใช้เป็นส่วนลดค่าใช้จ่ายในการตรวจครรภ์ได้ 4,700 เยนค่ะ หลังคลอด เด็กจะได้รับการรักษา+ฉีดวัคซีนฟรี จนอายุครบ 1 ปี 1.2 หลังคลอด ประกันสุขภาพของรัฐจะคืนเงินค่าคลอดกลับมา 350,000 เยน (เพิ่มขึ้นจากแต่ก่อน 5 หมื่นเยน) ทุกครอบครัวจะได้เงินช่วยค่าคลอดตรงนี้ค่ะ 2. หมอให้ความระวังเรื่องสุขภาพคนไข้มาก ตั้งแต่ท้อง จะเริ่มสิงสถิตย์ในห้องชานเรือน โดยอ่านกระทู้เกี่ยวกับคนท้อง แทบทุกกระทู้ค่ะ บ่อยครั้งที่เจอเคสครรภ์เป็นพิษ หรือมีน้ำตาลในเลือดสูงใน ห้องชานเรือน แล้วผลสุดท้ายก็คือ หมอต้องผ่าคลอดให้ก่อนครบกำหนด ซึ่ง จะบอกว่าเคสแบบนี้เจอน้อยมากที่ญป เพราะคุณหมอคุมเข้มเรื่องน้ำหนักตัว แม่+โภชนาการคนท้อง หากมองในแง่ร้าย ก็จะรู้สึกว่าหมอญี่ปุ่นโหด เคี่ยว ใจร้าย เอาแต่ใจตัวเอง แต่หากมองในแง่ดี คือหมอระแวดระวังไม่ให้สิ่งร้ายเกิดขึ้นกับแม่และลูกใน ครรภ์มากๆ 3. ปสก.รพ.ตัวเองนะคะ หมอมีตารางบอกการตรวจตั้งแต่เริ่มฝากครรภ์ โดย จะบ่งชี้ชัดตั้งแต่แรกว่า อายุครรภ์เท่าไหร่ จะต้องตรวจอะไร ยกตัวอย่างของ ตัวเองนะคะ (ซึ่งการตรวจของญป จะต่างจากไทยบางจุด เพราะบางโรคคน ญปเป็นเยอะ คนไทยไม่เป็น บางโรคคนไทยเป็นเยอะคนญปไม่เป็น) - ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จะต้องตรวจ เชื้อHIV / ไวรัสตับอักเสบB +C / ภูมิคุ้มกัน โรคหัดเยอรมัน / และตรวจมะเร็งปากมดลูก / ตรวจเลือดดูAdult T cell leukemia + ตรวจToxoplasma gondii (ครั้งแรกจ่ายแพงสุดค่ะ ราว 3 หมื่น กว่าเยน เพราะตรวจเยอะ) - อายุครรภ์ 20-24 สัปดาห์ ตรวจดูว่าเลือดแม่กับลูกเข้ากันได้หรือไม่ / ตรวจโลหิตจาง / ตรวจภายในดูโรคติดต่อทางเพสัมพันธ์ 2 โรค คือ   Chlamydia กับ ตรวจเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส Group B / ตรวจดูตกขาว / ตรวจดูความกว้างปากมดลูกว่าจะสามารถคลอดเองได้มั้ย / ตรวจดูOGTT ปริมาณน้ำตาลในเลือด - อายุครรภ์ 30-32 สัปดาห์ ตรวจโลหิตจาง - อายุครรภ์ 32-34 สัปดาห์ ตรวจเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส Group B / ตรวจดู ตกขาว (อีกครั้ง) - อายุครรภ์ 34-36 สัปดาห์ ทำNon Stress Test - อายุครรภ์ 36 สัปดาห์ขึ้นไป หากมีปัญหาโลหิตจาง ก็ต้องตรวจอีกรอบ / หากถึงกำหนดคลอดแล้วยังไม่คลอด จะตรวจสภาพ+การทำงานของรก และทำ Non Stress Testอีกรอบ แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 51 20:45:49 แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 51 20:44:30 จากคุณ : fudge-a-mania - [ 27 ต.ค. 51 20:43:39 ]

ความคิดเห็นที่ 8 4. เวลาไปตรวจครรภ์ หมอญปเน้นการทำultrasound หากอายุครรภ์น้อยๆ ก็จะซาวนด์ทางช่องคลอด (ของตัวเองซาวนด์ช่องคลอดจนอายุครรภ์ราว 9 สัปดาห์ค่ะ) จากนั้นก็จะซาวนด์ทางหน้าท้อง ไม่มีครั้งไหนที่ไปตรวจครรภ์ แล้วจะไม่ซาวนด์ แต่หมอญปไม่เน้นการฟังหัวใจลูก หมอจะนัดซาวนด์เดือนละครั้ง จนอายุครรภ์เข้า 25 สัปดาห์ หมอจะนัด ซาวนด์เดือนละ 2 ครั้ง และพออายุครรภ์เข้า 36 สัปดาห์ หมอจะนัดซาวนด์ อาทิตย์ละครั้ง (แผ่นอัลตร้าซาวนด์ 2 มิติที่บ้าน สามารถทำเป็นอัลบั้มรูปได้ เลยค่ะ) 5. ทั้งที่เขต และที่รพ.จะมีการอบรมการเตรียมพร้อมเป็นคุณแม่ ตัวเองไม่ ได้ไปอบรมที่เขตนะคะ (แอบขี้เกียจ) ก็ไปอบรมที่รพ. 2 ครั้ง (ฟรี) และสามี ก็ไปอบรมเป็นคุณพ่อ 1 ครั้ง (จ่าย 1 พันเยน) 6. ญี่ปุ่นเน้นให้คนท้องช่วยตัวเองทุกเรื่อง เริ่มตั้งแต่คนท้องญปมักจะขึ้น รถไฟไปตรวจครรภ์ที่รพ.เองคนเดียว (เพราะสามีต้องไปทำงาน) พอไปถึง รพ. ก็เป็นที่รู้กัน โดยที่พยาบาลไม่ต้องบอก คือ ต้องเก็บปัสสาวะ วัดความ ดัน+การเต้นของหัวใจ และชั่งน้ำหนักทุกครั้ง (พอชื่อถูกเรียกให้เข้าห้อง ตรวจ ก็ยื่นกระดาษวัดความดัน+การเต้นหัวใจ และน้ำหนักให้คุณหมอโดย ไม่ต้องให้ทวง) ระยะเวลาที่อยู่ในรพ.ค่อนข้างจะเป็นมาตรฐาน คือ คลอดธรรมชาติ 5 วัน ผ่า คลอด 10 วัน ซึ่งนานกว่าคลอดที่เมืองไทย...เพื่อนคลอดที่รพ.สมิติเวช สุขุมวิททั้ง 2 ท้อง...เพื่อนว่าหากซื้อแพกเกจคลอด และคลอดเองตาม ธรรมชาติ จะนอนรพ. 2 คืน 3 วัน (ถือว่าน้อยมากๆเลย) ที่ญป เนื่องจากแม่ ต้องเลี้ยงลูกเองไม่มีตัวช่วย ฉะนั้นระยะเวลาที่อยู่รพ. 5 หรือ 10 วัน นอก จากจะพักฟื้นร่างกายแล้ว ยังมีโอกาสเรียนรู้การดูแลลูกด้วย ซึ่งพยาบาลจะ สอน (แม่ๆคนไทยที่คลอดที่ญปหลายคนจึงบอกว่าหากคลอดที่ญป จะเรียนรู้วิธี การเลี้ยงลูกด้วยตัวเองมากกว่าคลอดที่ไทยค่ะ เพราะสภาพแวดล้อมบังคับ) เรื่องฝีมือหมอ อันนี้ไม่เม้นต์ค่ะ เพราะคิดว่าเก่งด้วยกันทั้งหมอไทย+หมอ ญป เพียงแต่เก่งคนละแขนงออกไป ก็ต้องขอยกคำพูดพี่zuling68 ที่ว่าหมอ ไทยเก่งเรื่องสมอง เรื่องผ่า เพราะมีcase studyให้ลองฝีมือบ่อย เพราะคน ไทยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์กันเยอะ แต่หมอญปเก่งเรื่องรักษาโรค หัวใจ เพราะคนญปเป็นโรคหัวใจกันเยอะ...ฉะนั้นจึงฟันธงไม่ได้ว่าหมอบ้าน เราเก่งกว่าหมอญป เพราะปสก.น้อยเกินกว่าจะวิจารณ์ แล้วก็ต้องขออ้างคำพูดของคุณหมอnaughtydoc ด้วยว่า ทำไมหมอญปเย็บ แผลผ่าตัดคลอดไม่สวย เพราะสถิติการผ่าตัดคลอดในญปมีน้อยมาก ราว 10%+ - ในขณะที่สถิติการผ่าคลอดที่ไทยเท่ากับอเมริกา คือ 20% + - โดยเฉพาะสถิติผ่าคลอดที่กรุงเทพมีสูงถึง 60% + - (case study ก็ต่างกัน แล้ว คิดว่าขึ้นอยู่กับสไตล์ของหมอมากกว่า ไม่งั้นก็ต้องเถียงกันต่อไปว่า ผ่า ตลอดดีกว่า หรือคลอดธรรมชาติดีกว่า...) พอดีคุณhikarinokoให้เน้นออกความเห็นเรื่องการท้อง+คลอด ซึ่งจริงๆ อยากจะออกความเห็นอีกเรื่องหนึ่ง คือ ควรหรือไม่ที่เราจะเอารพ.ชั้นหนึ่ง (ระดับ 5 ดาว) บ้านเรามาเทียบกับรพ.ทั่วๆไปของญป เนื่องจากตัวเองเป็น คนไทยจึงบอกได้ว่า หากพูดถึงบำรุงราษฎร์ สมิติเวช BNH กรุงเทพฯ --> เริ่ดสุดๆ แต่หากถามจริงๆ ตัวเองก็บอกไม่ได้ว่ารพ.เริ่ดสุดๆ ระดับ 5 ดาวของ ญป คือรพ.อะไร (เพราะส่วนใหญ่ก็ไปรพ.ใกล้บ้านแทบทุกที) แต่คิดว่า ญปมีค่ะ ระดับ 5 ดาว เคยคุยกับอดีตชิพเพอร์เซอร์ของ Jalways คนหนึ่ง เค้าบอกว่าSG-san (หมายถึงแอร์คนญปที่เคยมีปสก.เป็นแอร์มาก่อน แล้วลาออกไปเพราะแต่ง งาน ภายหลังมาสมัครเข้าJalwaysใหม่) บางคนเป็นfrontให้กับคลีนิคกึ่งรพ. หรูๆ ในโตเกียว เป็นคลีนิคที่ระดับชาโจ้วของบริษัทใหญ่ๆมักไปตรวจ สุขภาพ หรือตรวจโรค...แน่นอนว่าค่ารักษาแพงหูฉี่ ที่ระดับคนปกติแบบ เราๆ ไปรักษาไม่ได้ แต่ชาโจ้วของบริษัทใหญ่ๆไป เพราะว่าต้องการเก็บเรื่อง โรคร้ายเป็นความลับ บางครั้งหากข่าวชาโจ้วบริษัทยักษ์ใหญ่ป่วยเป็นโรค แพร่กระจายออกไป อาจจะกระทบถึงหุ้นของบริษัทนั้นในตลาดหลักทรัพย์ ได้ ถือว่าแชร์ประสบการณ์กันนะคะ ^^" จากคุณ : fudge-a-mania - [ 27 ต.ค. 51 21:18:40 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มาอ่านค่ะ ยังไม่มีลูกเลย จากคุณ : meaw_1985 - [ 27 ต.ค. 51 21:42:03 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ถามหาประสบการณ์ดีๆจากการคลอดลูกที่ญี่ปุ่น ตัวเองไม่มี แต่เคยฟังคนไทยที่มาทำงานเขาคุยให้ฟัง เขาเป็นคนไม่มีวีซ่า อยู่กินกับสามีไทยที่ไม่มีวีซ่าเหมือนกัน ท้องออกลูกกี่คนก็ไปคลอดที่รพญี่ปุ่นนี่แหละ เขาก็ให้การบริการดี ขนาดติดใจมีไปสามคน ก็อยู่ญี่ปุ่นจนลูกเข้าเรียนอนุบาล แต่มาโดนจับทั้งครอบครัว ส่งกลับไทยไปแล้ว ทั้งๆที่อยู่มาเป็นสิบปี แต่เขาอาศัยอยู่ด้านนอกแถวอิบาริกิ ชีวิตทางโน้นจะต่างก้บชีวิตในเมือง บางคนก็อยู่เหมือนใช้ชีวิตที่เมืองไทยทำสวนปลูกผัก สามีก็ไปทำโรงงาน เป็นชีวิตของคนไทยอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่มีประกันสุขภาพ แต่เขาก็สามารถอยู่ในประเทศญี่ปุ่นได้นับสิบปี จากคุณ : พนอจัน - [ 28 ต.ค. 51 05:30:39 ]

ความคิดเห็นที่ 11 มาแชร์ประสบการณ์บ้างคะ ยังไม่เคยคลอดนะคะ ตอนนี้ท้องได้ห้าเดือนกว่าแล้ว เป็นประสบการณ์เกี่ยวกับรพ.ที่ญี่ปุ่นคะ พอดีอยู่ออกจะบ้านนอกหน่อยนะคะ แถวๆTsuruoka Yamagata-kenโน้นแน่ะคะ รพ.ที่ไปเลยเป็นรพ.ประจำเขตที่อยู่ เหมือนที่คุณfudge-a-maniaบอกเลยว่าทุกครั้งที่ไปคุณหมอจะอัตราซาวน์ทุกครั้ง คงไม่เหมือนหมอไทยที่จะอัตราซาวน์เฉพาะจำเป็นเท่านั้น ที่สำคัญ คุณหมอจะเข้มงวดเรื่องน้ำหนักตัวคุณแม่มากๆคะ เดือนที่แล้วขึ้นมาโลกว่าๆ ยังโดนCommentในสมุดคู่มือคุณแม่ว่า "Tabesugiru!"ก็เข้าใจว่าจะคลอดลำบาก แต่มันห้ามลำบากเหมือนกันนะคะ ส่วนเรื่องการบริการของพยาบาลที่นี่แม้จะเป็นแต่รพ.ประจำเขตเล็กๆ แต่ก็เอาใจใส่อธิบายการดูแลสุขภาพคุณแม่อย่างละเอียดดีคะ ติดอยู่แค่รพ.ที่นี่เปิดแค่วันธรรมดาเท่านั้น (เสาร์ อาทิตย์หยุด) ส่วนค่าคลอดจะออกแพงไปหน่อย ที่ถามมารพ.นี้คลอดธรรมชาติราวๆ450,000~470,000yen ถ้าผ่าคลอดราวๆ530,000~550,000yen แหมรพ.บ้านนอกๆ แต่ราคาไม่บ้านนอกเลยใช่ไหมคะ เราเลยตกลงใจกลับไปคลอดเมืองไทยคะ ไม่ใช่แค่ค่าคลอดอย่างเดียวแต่ด้วยปสกเรื่องการเลี้ยงเด็กด้วย ไว้ลูกแข็งแรงแล้วค่อยกลับมาใหม่ก็ได้ จากคุณ : คุณแม่มือใหม่ (tokiotorr) - [ 6 พ.ย. 51 09:35:38 ]