ความคิดเห็นที่ 27

ขออนุญาตครับคุณป้าครับ......ผมไม่ใช่สาวๆแม่บ้าน......แต่ขออนุญาตออกความเห็นครับ(ในฐานะคนกลางก็แล้วกัน)...............
ก่อนอื่นกระทู้นี้ไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะครับ.........ดูจากจำนวนผู้ตอบกระทู้ก็ได้ถ้าไม่มีสาระคงไม่มีคนให้ความสนใจมากมายขนาดนี้ ที่สำคัญก็คือเป็นปัญหาที่หลายๆคนก็เจอแบบเดียวกัน การนำเสนอกระทู้นี้จึงเป็นตัวอย่างการนำเสนอเรื่องสำคัญที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากบอกให้ใครรู้มากกว่า....
ขออนุญาตเสนอความเห็นเป็นประเด็นๆไปนะครับ
ประเด็นที่หนึ่ง เรื่องที่คุณป้าไม่เข้าใจว่าทำไมคุณลุงถึง........อะไรต่ออะไร......ทั้งหลายแหล่ คุณป้าได้ลองถามคุณลุงบ้างหรือยังครับว่าคุณลุงทำอย่างนั้นด้วยเหตุผลกลใด แล้วได้ลองทำความเข้าใจกันในเรื่องเหล่านั้นบ้างหรือยัง......ถ้ายังน่าจะลองหาโอกาสเหมาะๆพูดคุยกันบ้างนะครับ
ประเด็นที่สอง เรื่องเงินค่าอาหาร คุณป้าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหนครับ คุณลุงรู้หรือเปล่าว่าค่าอาหารเริ่มมีปัญหา คุณลุงอาจเพิ่มให้อย่างไม่อั้น(ถ้ารู้ว่าค่าอาหารไม่เพียงพอ)เพื่อให้ได้กินอาหารอย่างที่ตัวเองต้องการ(ก็ได้)
ประเด็นที่สาม เรื่องคุณภาพและปริมาณของอาหารรวมถึงพฤติกรรมการกินอาหารของคนเรา ในประเด็นนี้ผมขอใช้ความเห็นส่วนตัวในการนำเสนอก็แล้วกันนะครับ 1.การกินกับก่อนข้าว กินข้าวก่อนกับ หรือกินพร้อมๆกัน ไม่มีผลต่อการดูดซึมหรือแคลลอรีที่ได้รับในมื้อนั้นๆ 2.อาหารหลักในแต่ละมื้อควรหลากหลายทั้งคาร์โบไฮเดรท,โปรตีนและไขมัน ในคนปกติให้กินในปริมาณเรียงตามลำดับข้างต้น 3.คาร์โบไฮเดรทไม่ได้หมายถึงข้าวเพียงอย่างเดียว มันฝรั่ง,ฟักทอง,ขนมปัง,กล้วย,นม,คอร์นเฟล็ก...ล้วนใช่ทั้งนั้น 4.โปรตีน ไม่ได้หมายถึงเนื้อสัตว์หรือไข่เท่านั้น แต่ถั่วชนิดต่างๆ,นมสด,นมถั่วเหลือง,เต้าหู้ ........ก็มีโปรตีนอยู่มาก 5.ไขมัน ไม่ได้หมายถึงมันหมูหรือน้ำมันพืชที่ใช้ทอดใช้ผัดเท่านั้น แต่เนย,มาการีน,เนื้อหมู,หมูสามชั้น,กระดูกหมู,หนังไก่-หมู หรืออาหารสำเร็จรูปหลายๆอย่างมักมีไขมันแฝงอยู่มาก 6.อาหารมื้อเย็นควรเป็นอาหารที่ให้พลังงานน้อยที่สุด โดยเฉพาะคนที่ต้องควบคุมอาหารหรือลดน้ำหนัก อาจกินเพียงนมถั่วเหลืองหนึ่งแก้ว กล้วย 1-2 ลูก ถ้าไม่อิ่มให้กินผลไม้ที่ไม่หวานเช่นฝรั่ง,ส้ม,มันแกวหรือดื่มน้ำเปล่าตามต้องการ(ไม่แนะนำให้งดอาหารเย็นเพราะอาจเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารได้) 7.ของกินที่ไม่แนะนำให้กินเป็นประจำคือ ขนมหวาน,ขนมขบเคี้ยวทุกชนิด,น้ำหวาน,เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน(ชา,กาแฟ,โค้ก...)และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกชนิด ของกินเหล่านี้มักมีไขมันและน้ำตาลมาก บางอย่างมีเกลือ,ผงชูรส,ผงกรอบ,สารกันบูด...ผสมอยู่มาก(นานๆกินทีไม่เป็นไร แต่กินประจำโดยเฉพาะตอนดูทีวี....อันตราย) 8.ของกินที่แนะนำคือผลไม้ที่ไม่หวานมากและน้ำเปล่า กินได้ตามต้องการ(ยกเว้นคนเป็นโรคไตหรือคนที่มีปัญหาเรื่องปัสสาวะบ่อย) 9.ปลาเป็นเนื้อสัตว์ที่ให้โปรตีนสูงแต่มีไขมันต่ำ น้ำมันปลามีสารต้านอนุมูลอิสระ(โอเมก้า 3)มาก โดยเฉพาะปลาทะเล ปลาที่ให้แคลเซี่ยมสูงไม่จำเป็นต้องมีสีขาว แต่ควรเป็นปลาเล็กปลาน้อยที่กินได้ทั้งตัวเพราะแคลเซี่ยมมักมีมากในกระดูก 10.การกินอาหารที่มีกาก สด ใหม่ ไม่ผ่านกรรมวิธีมาก จะให้ประโยชน์หลายๆอย่างมากกว่าที่คิด เช่น กินข้าวกล้องดีกว่าข้าวขาว กินถั่วเขียวต้มดีกว่ากินน้ำเต้าหู้ กินก๋วยเตี๋ยวดีกว่ามาม่าคัพ กินส้มเขียวหวานสดดีกว่ากินน้ำส้มขวด กินนมสดดีกว่ากินนมผง.........กินอาหารให้เคี้ยวช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด แล้วค่อยกลืน อย่ารีบกินรีบไปหรือมัวแต่คุยเลยไม่ได้เคี้ยวเป็นต้น.........
ขออนุญาตคาดเดาเรื่องคุณลุงครับ(ความเห็นส่วนตัวครับ) 1.คุณลุงไม่รู้ตัวว่าพฤติกรรมของตัวเองเปลี่ยนไปครับ 2.คุณลุงไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่(ของคุณป้า) 3.คุณลุงไม่รู้เลยว่ากับข้าวมันแพงขึ้นมากเลยนะตอนนี้ 4.คุณลุงได้รับข้อมูลบางอย่างจากแพทย์ และพยายาม ทำตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด(โดยไม่บอกคุณป้า) 5.คุณลุงกลัวอะไรบางอย่าง(อยู่ในใจ)ก็เลยรีบกินให้ เต็มที่ เพื่อปิดบังความรู้สึก 6.คุณลุงคิดได้ว่าไม่รู้จะหาเงินไปทำอะไรมากมาย อายุ ก็มากแล้ว กินให้หายอยากและมีความสุขดีกว่า 7.คุณลุงอาจได้รับยาบางอย่างจากแพทย์ในงวดหลังนี้ เช่น ยาบำรุง ฮอร์โมนบางอย่าง ทำให้อยากอาหาร และกินจุขึ้น 8.คุณลุงมีโรคบางอย่างเช่น เบาหวาน,ไทรอยด์เป็นพิษ, ก้อนในสมองซึ่งไปกดศูนย์ควบคุมความอิ่ม-ความ อยาก........เป็นต้น 9.โรคที่คุณลุงเป็นอยู่ทุเลาลง(อาการดีขึ้น)ทำให้เกิด ความอยากอาหารมากขึ้น 10.คุณป้าทำอาหารอร่อย ถูกปาก และปรุงอาหารได้ ทุกอย่างที่ต้องการและตามที่แพทย์แนะนำ(เมื่อ ก่อนไม่ได้ถามหมอละเอียดก็เลยกลัวและไม่กล้า กิน) ตอนนี้จึงกินได้อย่างสบายใจ ไม่กังวลว่าจะ แสลงโรคอีกต่อไป
ขออนุญาตสรุปครับ 1.คุณป้าทำใจให้สบายเหมือนที่ทุกๆความเห็นบอกไว้ 2.การที่คุณป้ากังวลและไม่สบายใจ นอกจากจะทำให้ คุณป้าเครียดแล้ว คุณลุงก็จะเครียดตามไปด้วย 3.คุณป้าลองคิดทบทวนดูซิครับว่าสิ่งที่คุณลุงเปลี่ยนไป นั้น มันส่งผลเสียมากน้อยเพียงใดกับตัวคุณลุงเอง (อย่าเทียบกับผลที่กระทบกับคุณป้านะครับ) ถ้าผลมัน ออกมาว่าก็ไม่มีอะไรเสียนี่ คุณลุงกลับดูมีความสุข มากขึ้นกว่าเดิมอีก อย่างนี้คุณป้าน่าจะดีใจนะครับ 4.ถ้าผลในข้อ 3 มันออกมาว่าไม่ดีต่อสุขภาพของคุณลุง เลย ก็ลองคุยกับคุณลุงดูหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน ถ้าไม่ได้ผลก็ลองคุยกับคุณหมอประจำตัวของคุณลุง อีกครั้งก็แล้วกัน 5.ข้อสำคัญที่สุดอย่าให้เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้ทำลาย ความรู้สึกดีๆของคน 2 คนที่เคยมีต่อกันเลยนะครับ
.........................อยากเห็นภาพสวยๆ กับนางแบบที่ยิ้มแย้มสดใส จากหัวใจของตากล้องที่เต็มใจตามไปทุกแห่งหน โดยไม่พร่ำบ่นหรือบูดบึ้งและยินดีที่จะกดชัตเตอร์ตามสั่งการอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย.....ตลอดไป.........
.....................ด้วยความปรารถนาดีจากใจจริง.........................
จากคุณ :
suratanonin
- [
8 พ.ย. 51 21:50:44
]
|
|
|