ความคิดเห็นที่ 1 ไม่ได้ทำแบบการศึกษาเลยจ้า ทำมาหลายเล่มแล้ว มายากตอนหาเงินโปะนี่แหล่ะ เหนื่อยๆ เราทำประกันแบบออมทรัพย์ปกติจ้า  ชื่อของลูก เล่มนึงได้เงินเมื่อจบม.ต้น  เล่มนึงได้เงินเมื่อจบม.ปลายเอาไว้เป็นทุนของระดับต่อไป เรื่อยๆ  ส่วนประถม ไม่แพงจ้า เรียนรัฐบาลแน่นอนเพราะไม่มีเอกชนเลยค่ะ แถวบ้านน่ะ  ค่าเทอมเดือนละสี่พันเยนค่ะ เก็บเป็นเงินสดใส่ธนาคารเลยค่ะ คำนวณดูว่า กว่าจะจบมหาวิทยาลัยใช้เงินประมาณเท่าไหร่  ตอนนี้ลูกยังเล็ก ไม่มีค่าใช้จ่ายมากมาย รีบเก็บเงินเลยค่ะ จากคุณ : Mnki - [ 17 พ.ย. 51 14:54:40 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ของเจ้าลูกชาย......ทำประกันการศึกษาไว้ตั้งแต่ตอนเค้าเกิดเลยค่ะ วงเงิน 3 ล้านเยน  แต่เบี้ยประกันที่จ่ายรายเดือนเท่าไหร่ไม่รู้เหมือนกัน ต้องถามคุณฝาละมี....อิอิ  บริษัทประกันชื่ออะไร ขี้เกียจไปค้นจ้า  แต่ก็เป็นบริษัทที่ บริษัทคุณสามีเค้าใช้อยู่  คาดว่า...คงไม่มีปัญหาแน่นอน จากเงื่อนไข....ของประกันนั้น....สามารถเบิกได้ดังนี้ค่ะ เข้าโรงเรียนอนุบาล....... 1 แสนเยน เข้าชั้นประถม 1............ 1 แสนเยน เข้าชั้นมัธยม 1............. 3 แสนเยน เข้าชั้นมัธยม 4............. 5 แสนเยน เข้ามหาวิทยาลัย.......... ส่วนที่เหลือทั้งหมด แต่จากที่ผ่านมา.....ยังไม่เคยเบิกมาใช้เลย ตอนนี้...ลูกชายเรียนอยู่มัธยม 2  คิดเอาไว้ว่า....ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะไม่เบิกมาใช้เลย อย่างน้อย ๆ ถึงเค้าจะไม่ได้เรียนถึงขั้นมหาวิทยาลัย....ก็คงเป็นทุนให้เค้าได้ อีกเล่มหนึ่ง.....เราเปิดบัญชีธนาคารออมทรัพย์ในชื่อลูกฝากเอง  (คุณสามีก็ไม่รู้) ตั้งแต่เริ่มมาอยู่ญี่ปุ่น จะเจียดเงินไว้ทุกเดือน....เดือนละ 1 หมื่นเยน  ถ้าเป็นช่วงโบนัส , วันเกิดลูก , เงินที่เค้าได้รับจากญาติในวันปีใหม่ (ตอนเล็ก ๆ เค้าก็ไม่รู้หรอกจ้า ว่าแม่เอาเข้าบัญชีให้ แต่เดี๋ยวนี้....แทบไม่กระเด็นสักกะเยน 555555 พวกเก็บโหม๊ด)  ก็จะเข้าเพิ่มมากกว่านั้น  อย่างน้อย ๆ ก็มีเงินเก็บเป็นทุนรอนไว้ให้เค้า สำหรับชั้นอนุบาล (จะให้เรียน 2 หรือ 3 ปีก็ตาม)......ถ้าเป็นของเอกชน ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงพอควร ไหนจะค่าเสื้อผ้า ค่าเล่าเรียนรายเดือน ค่าอาหาร ฯลฯ สำหรับชั้นประถม.......ถ้าเป็นโรงเรียนของรัฐ ค่าใช้จ่ายแรกเข้าไม่มีค่ะ เพียงแต่เราต้องซื้ออุปกรณ์การเรียน (ซึ่งไม่แพงมาก) สำหรับชั้นมัธยมต้น......ถ้าเป็นโรงเรียนของรัฐ ค่าใช้จ่ายแรกเข้าไม่มี  แต่โดนค่าเสื้อผ้า (ยูนิฟอร์ม) ซึ่งแพงมั๊ก ๆ แสนกว่าเยนจ้า สำหรับชั้นมัธยมปลาย......ตอนนี้ยังไม่รู้ค่าใช้จ่ายที่แท้จริง ได้แต่ฟังจากเพื่อน ๆ ที่ลูกเค้าเข้าไปแล้ว  ถ้าเป็นโรงเรียนของรัฐก็ถูกหน่อย (แต่ก็ยังโหด)  ถ้าเป็นของเอกชน (ยิ่งมหาโหด)  ตอนนี้....ก็ก่ายหน้าผากคิดอยู่เหมือนกันค้า แต่ไม่ว่าจะเรียนระดับไหน......ถ้าลูกมีกิจกรรมเสริม เช่น เรียนพิเศษต่าง ๆ เงินทั้งน้าน  ดังนั้น.....เพื่ออนาคตของลูกรัก....พยายามเก็บเงินไว้แต่เนิ่น ๆ นะค้า จากคุณ : เต่าญี่ปุ่น - [ 17 พ.ย. 51 16:11:53 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณนะคะ ก้อยจัง และคุณเต่าญี่ปุ่น กำลังก่ายหน้าผากอยู่เหมือนกันค่ะ เพราะสามีอยากมีลูกอีกคน ค่าใช้จ่ายก็ต้องคูณสอง เฮ้อ  ลูกชายเพิ่งครบสองขวบเอง จะต้องมาอุ้มท้องอีกแล้วเหรอ ไหนจะค่าใช้จ่ายอีก คิดไม่ตก นอกเรื่องนะคะ ลูกคนเดียวมักอาแต่ใจจริงเหรอคะ ลูกคนเดียวแล้วเลี้ยงให้ดี ๆ ก็ได้ใช่ไหมคะ หรือว่า ต้องมีพี่น้อง  จะได้ไม่เอาแต่ใจ ดีกว่าหรือเปล่าคะ   กำลังลังเลอยู่มาก ใจนึงก็อายกมีลูกอีกคน อีกใจก็ห่วงภาระที่หนักขึ้น น่ะค่ะ จากคุณ : patiaey (patiaey) - [ 17 พ.ย. 51 17:10:59 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เค้าไม่ได้เอาแต่ใจหรอกค่ะ เพียงแต่มีแต่คนเอาใจเค้า เค้าก็เลยติดเป็นนิสัยมากกว่า ส่วนการมีพี่น้อง นั้น จะทำให้เด็กรู้จักการวางหน้าที่ของตัวเองค่ะ แน่นอนเราต้องสอนเค้าด้วย เช่น เมื่อเค้าอยู่กับเรา เค้าก็จะรู้ว่าเค้ามีบทบาทเป็นลูก เมื่อยู่กับน้อง ก็มีบทบาทเป็นพี่ เมื่ออยู่กับพี่ ก็มีบทบาทเป็นน้อง เรียกง่ายๆว่ารู้จักวางตัวเองใน กาละเทศะที่ถูกต้องนั่นเอง ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อยู่ที่พ่อแม่สอนด้วยล่ะค่ะ เอ่อ..ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ตอบตามหัวข้อนะคะ พอดียังไม่มีลูกค่ะ แต่เรื่องการวางตัว อันนี้แม่เราบอกมาค่ะ จากคุณ : Hergest - [ 17 พ.ย. 51 18:44:24 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เอาแต่ใจหรือเปล่า คงอยู่ที่วิธีสอนของเรานะคะ แม้แต่การเป็นลูกคนเล็ก ก็เอาแต่ใจได้เหมือนกันจ้า   แต่เป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้อง ยามโตขึ้น มีปัญหาอะไร ปรึกษาใครมันก็ยังไม่เท่าพี่น้องนะคะ  อย่างน้อยก็ได้อุ่นใจได้ว่า มีคนคอยช่วยเหลือกันได้บ้าง ยามที่ไม่มีเรา   ส่วนพี่น้องบ้านอื่นๆที่ทะเลาะกัน อันนี้เราอย่าไปเอามาเป็นตัวอย่างเลยนะคะ พยายามสอนให้เค้ารักกันมากๆ นะคะ ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเยอะๆ จะได้สนิทๆกัน   เราว่านะ มีลูกสองคนเนี่ย กำลังพอดีค่ะ ถ้าสุขภาพยังแข็งแรงอยู่ รีบๆมีดีกว่า  ห่างกันมากๆ เดี๋ยวขี้เกียจเลี้ยงแล้วน้า...เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย พอลูกเข้าอนุบาล มีเวลาว่างแล้ว ก็พยายามหาจ๊อบทำเหมือนกันค่ะ เอาเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆบ้าง  ขนาดสาวโรงงานแถวบ้านยังได้เดือนละแสนเยนเลยค่ะ อิอิ อยากไปสมัครดูจัง จากคุณ : Mnki - [ 17 พ.ย. 51 19:08:49 ]

ความคิดเห็นที่ 6 มีพี่น้องดีกว่าค่ะ พูดจริงๆ (ทำเป็นพูดดี ตัวเองยังไม่มีลูกเลย 55) เพราะว่าลูกสาวแฟนเป็นลูกคนเดียวแล้วอยากให้เค้ามีเพื่อนเล่น มีคนที่อายุเท่าๆ กันในบ้าน บางทีก็คิดแล้วว่าถ้าเค้ามีน้องอีกซักคนละก็ ชีวิตคงจะมีความสุขกว่านี้เยอะ อยากให้ได้ทะเลาะ ได้แบ่งข้าวของ ได้แสดงความรู้สึกหรือว่าแสดงความคิดเห็นให้มากกว่านี้ อย่าให้ห่างกันมากก็ดีค่ะ อย่างพี่สาวเราห่างจากเราแค่ปีเดียว 555 เลยกลายเป็นคนที่สนิทที่สุด มีอะไรก็คุยกันได้ คุยได้ยิ่งกว่าพ่อแม่เยอะ ส่วนตัวเรายังมีลูกไม่ได้แม้ว่าจะอายุเยอะแล้ว.. ยังติดเรียนอยู่ค่ะ จากคุณ : แพนด้าหน้าใส - [ 17 พ.ย. 51 22:26:38 ]

ความคิดเห็นที่ 7 >>ฝากเงิน ย่อมให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แม้ว่าดอกเบี้บที่ญี่ปุ่นจะน้อยมากก็ตามที<< แต่ก่อนเราคิดว่า ญี่ปุ่น ไม่มีดอกเบี้ยเงินฝากเลย หรือจะมีก้อไม่ถึง 0.1% (นึกถึงว่าฝากสามล้านได้ดอกเบี้ยแค่สามพันเยน) เดี๋ยวนี้ัมีเยอะกว่านี้แล้วเหรอคะ (แอบมาถามเพิ่มเติมอยู่ค่ะ) ปล. อยากได้ลูกนิสัยยังไง กำหนดวันเกิดแล้วผ่าท้องคลอดเอาเลยค่ะ แต่ถ้าชะตาจะไม่ให้เค้าได้เกิดวันนั้น อาจจะคลอดก่อนกำหนดผ่าก้อเป็นได้ คนเกิดแต่ละวันมีลักษณะนิสัยประจำตัวอยู่แล้ว จริงๆนะคะ ถึงเราจะสอนลูกดีแค่ไหน สิ่งแวดล้อมหรือสังคมในเวลาที่เค้าไม่ได้อยู่กับพ่อแม่จะปรุงแต่งนิสัยเค้าเอง อย่างเรากับน้อง พ่อแม่เลี้ยงมาเหมือนกันทุกอย่าง แต่นิสัยไม่เหมือนกันเลย อาจจะมีรสนิยมคล้ายกันบ้าง แต่นิสัยหลักๆแล้วตรงข้ามเลยค่ะ จากคุณ : enjoymiracle - [ 18 พ.ย. 51 04:23:57 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ลูกอายุเท่าๆกันเลยค่ะ เรื่องประกัน น่าสมใจจังเลยค่ะ ยังไงเสียมันก็คือการบังคับเก็บเงินอย่างนึ่งนะคะ แต่คงต้องเลือกบริษัทที่คิดว่ามั่นคงจริงๆ อย่าเลือกที่ว่ามันถูกอย่างเดียว จริงไหมคะ อยากทำบ้างค่ะ เดี๋ยวจะลองศึกษาดู ของดิชึ้นตอนนี้ใช้ฝากประจำ 18 ปีค่ะ ลูกคงได้ใช้ตอนเข้ามหาลัยพอดี แต่ไม่ไดัฝากที่ญี่ปุ่น ตอนที่ตัดสินใจทำ เราแค่มานั่งคิดกันขำๆน่ะค่ะ ว่าลูกเราจะเรียนที่ไหนน๊า แล้วมันก็คิดไปว่า ถ้าลูกเราเรียนที่นี่เราจะจ่ายไหวไหม ถ้าลูกสอบเข้ามหาลัยดีๆได้ แต่เราจ่ายไม่ไหว การที่เราต้องบอกลูกว่า ลูกเรียนที่นี่ไม่ได้นะ มันคงเจ็บปวดมาก ตอนนี้แต่ละเดือนจ่ายเงินส่วนนี้ค่อนข้าวเยอะค่ะ ทำให้ไม่สามารถซื้ออะไรได้ทุกอย่างที่อยากซื้อ...แต่เมื่อนึกถึวอนาคตลูกแล้ว ยิ้มได้ค่ะ (ขอบริษัทอย่ามาล้มแล้วกัน ไม่งั้นอิชั้นตามจองเวรสิบชาติแน่ๆค่ะ ) จากคุณ : bigbuta - [ 18 พ.ย. 51 08:44:44 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เพิ่งทำประกันการศึกษาให้ลูกเมื่อปีที่แล้วนี้เองค่ะ   จำได้คร่าวๆ ว่าจะได้เงินคืนเป็นก้อนตอนจบมัธยมต้นและตอนเข้ามหาวิทยาลัย แต่ถ้าผู้ปกครองเสียชีวิตในระหว่างการศึกษา  ลูกก็จะได้เงินช่วยเหลือจนเรียนจบ จากคุณ : morinaga - [ 18 พ.ย. 51 09:26:12 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ประกันของของพี่เต่าฯ น่าสนใจมากๆเลยค่ะ ขอเอาข้อมูลไปปรึกษาสามี เพราะอยากทำประกันให้ลูกค่ะ แต่ไม่มีความรู้ประกันด้านนี้ของญี่ปุ่นเลยค่ะ จากคุณ : zuling68 - [ 18 พ.ย. 51 09:53:48 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เก็บเองค่ะ เดือนละ 1 หมื่นเยน และจากโบนัสทุกครึ่งปีอีกครั้งละ 5 หมื่นเยน (แต่ต้องดูสภาพคล่องของการเงินด้วย) แล้วก็เงินที่ได้จากญาติผู้ใหญ่ต่างๆก็ เก็บให้ลูกหมดค่ะ ไม่เอาออกมาใช้ เคยคิดจะซื้อประกันเหมือนกันนะคะ แต่มาคิดๆดู ไม่มีบริษัทประกันบริษัท ไหนที่ไม่หวังผลกำไร บริษัทอยู่ได้ เพราะเงินของคนที่ทำประกัน ฉะนั้นก็จะ มีคนที่คุ้ม และไม่คุ้ม เช่น หากพ่อแม่เสียชีวิตไปก่อน ลูกจะได้ค่าประกันส่ง เสียตัวเองเรียนจนจบ แต่ในความเป็นจริง คงไม่มีพ่อแม่คนไหนคิดจะด่วน จากไปก่อนเห็นความสำเร็จของลูก...ฉะนั้นการซื้อประกันเป็นการซื้อความ เสี่ยง เสี่ยงน้อยก็ได้ผลตอบแทนน้อย เสี่ยงมากก็ได้ผลตอบแทนมาก...แต่ ทั้งนี้และทั้งนั้น บริษัทประกันต้องได้กำไรค่ะ (ไม่งั้นอยู่ไม่ได้) พอคิดได้ดังนี้ ก็เลยขอลองเก็บเงินเองดูก่อน แล้วตัวเองเป็นคนที่เก็บเงินอยู่ ค่ะ ในอนาคตค่อยว่ากันอีกที จากคุณ : fudge-a-mania - [ 18 พ.ย. 51 10:46:02 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ยังไม่มีลูกค่ะแต่ก็รออยู่ อยากมีแต่ไม่ยอมมาซักที.. เราก็คิดเรื่องซื้อประกันการศึกษาไว้เหมือนกันค่ะถ้าเผื่อมีลูก อยู่ที่นี่ฝากเงินกับธนาคารดอกเบี้ยน้อยเหลือเกินจนหมดกําลังใจ...คุณแม่บ้านมีใครมีวิธีออมเงินทางอื่นนอกจากฝากธนาคารบ้างมั๊ยคะ ดิฉันซื้อประกันชีวิตแบบมีเงินออมไว้นิดหน่อยเพราะคิดอย่างที่คุณฟัดจ์พูดเลยค่ะ บริษัทประกันก็ย่อมต้องมีกําไร กว่าจะครบกําหนดได้เงินก้อนค่าเงินตอนนั้นก็เหลือจิ๊ดเดียว...ตอนนี้กําลังคิดว่าขณะที่เงินเยนแข็งจะถอนเงินทั้งหมดแลกเป็นเงินบาทแล้วกลับไปฝากที่กรุงเทพจะดีมั๊ย... ขอความเห็นหน่อยค่ะ จากคุณ : อายาเมะ - [ 18 พ.ย. 51 12:00:52 A:118.21.67.25 X: TicketID:193564 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ญี่ปุ่น นี่ไม่ใช่รัฐสวัดิการหรือคะ จากคุณ : Hergest - [ 18 พ.ย. 51 12:51:44 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ตอบในแง่การลงทุนนะคะ เก็บเงินฝากธนาคาร หรือฝากประกัน ก็เป็นการออมเงินน่ะค่ะ ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนต่ำ อยากได้เงินเยอะๆ ก็ต้องเสี่ยงเพิ่ม เหมือนพวกที่เอาไปซื้อหุ้นแทนที่จะฝากแบงค์นั่นแหละค่ะ ตัวบริษัทประกัน หรือธนาคารเอง ก็เอาเงินฝากเราไปปล่อยกู้ (เสี่ยงเพิ่ม) กินดอกเบี้ยที่สูงกว่า ความเห็นส่วนตัวเรื่องการซื้อประกัน มองว่าเป็นการออมเงินชนิดนึงที่ดอกเบี้ยดีกว่าธนาคาร แล้วก็มี option เสริมนิดๆหน่อยๆ ก็ดีค่ะ จากคุณ : dittaya - [ 18 พ.ย. 51 20:45:33 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ทำแล้วค่ะ ทำไว้ 300000 แต่เราเป็นตัวแทน เลยดูตัวที่คุ้มที่สุดให้เค้า ทำแต่กรมธรรม์หลักค่ะ ตอนนี้ ทำของเราเอง แต่ยกให้เค้าด้วย รวมๆก็ 700000 ค่ะ ลูก 23 ก็ได้คืนหมดเลย เบี้ยฉบับละ 20000 นิดๆค่ะ มันมีแบบเก็บให้ลูกเรียนมหาวิทยาลัยด้วยนะคะ อันนี้จ่ายให้ตั้งแต่อายุ 18-21 ปี ขั้นต่ำปีละ แสนแต่เบี้ยจะแพง รับแค่อายุ 10 ปีค่ะ จากคุณ : siammine - [ 19 พ.ย. 51 12:57:40 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เพิ่งไปคุยกับตัวแทนมาค่ะ คงตัดสินใจทำ ดีจังเลยที่ได้มมาฟังความเห็นของหลายๆคนในนี้ จริงๆก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปนะคะ ทำประกันไปด้วยเก็บเองไปด้วย มั่นใจสองต่อนะคะ จากคุณ : bigbuta - [ 20 พ.ย. 51 05:57:49 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณทุกคนนะคะ ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น ตอนนี้ก็ยังคิดไม่ตกอีกค่ะ ถ้าเรามีประกันชีวิต แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้น คนได้รับผลประโยชน์ ก้อคือ ลูก แต่ เงินประกัน คุ้มครองจะส่งเสียพอให้ลูกได้ไหม แล้ว ลูกจะบริหารเงินเองได้ไหม แต่ถ้ามีประกันการศึกษา อนาคตการศึกษาลูก มีคนคุ้มครองแน่ ๆ อ่ะเนอะ ยิ่ง ม ปลาย กับ มหาลัยนี่ ค่าเล่ารียนแพงสุด ๆ เอาไงดีนะ (แอบบ่นกับตัวเองนิดนึงนะคะ) เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันเยอะ ๆนะคะ จากคุณ : patiaey (patiaey) - [ 20 พ.ย. 51 14:38:53 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ข้อคิดอีกอย่างก่อนเลือกชนิดของประกันที่จะทำนอกจากผลตอบแทนและเบี้ยของประกันนั้นๆก็คือ ดูด้วยว่าสิทธิ์ในการหักภาษีของพ่อแม่ได้แค่ไหนด้วยนะครับ เพราะแทนที่จะทำประกันการศึกษาให้ลูก (ไม่รู้ว่าหักภาษีได้หรือไม่) การทำประกันชีวิตของพ่อและแม่อาจจะมีประโยชน์กว่า (หักภาษีได้แน่ๆ และคุ้มครองกรณีเจ็บป่วยด้วย) ผมไม่มีข้อมูลตรงนี้เพียงพอสำหรับการทำประกันในญี่ปุ่น แต่อยากให้ทุกท่านลองเปรียบเทียบกันดีๆนะครับ จากคุณ : s7014249 - [ 21 พ.ย. 51 15:28:57 ]