ความคิดเห็นที่ 1 ีที่ UK ก็สามารถใช้บริการของ NHS ได้เวลาเจ็บป่วย เสียแค่ค่ายา และลูกสามารถเข้าโรงเรียนของรัฐได้ฟรีครับ จากคุณ : giuseppe (Giuseppe) - [ 18 พ.ย. 51 08:43:47 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผมกำลังจะไปเรียนที่อเมริกา เดือนม.ค.ที่จะถึงนี้โดยมีสถานกาารณ์เดียวกันกับ จขกท. ภรรยาหนึ่ง+ลูกสาวหนึ่งอายุสองขวบ ไปแบบทุกข์ๆยากๆแต่ก็จะไป ได้ซื้อตั๋วแล้ว ได้วีซ่าแล้ว F1+F2 เวลา 5 ปี ลูกยังไม่ได้สิทธิเรียนฟรี ต้องฝากศูนย์เด็กก่อน ไปถึงแล้วค่อยหางานทำ หาเงินส่งครอบครัวและค่าเทอมไปเรื่อยๆ เงินทุนการศึกษาพอจ่ายเฉพาะค่าเทอม ค่ากินค่าอยู่ก็จะถูๆไถๆไปเดือนชนเดือน อยากพาครอบครัวไปเพราะลูกจะได้ภาษาตั้งแต่เล็กๆ แฟนได้ภาษาอังกฤษกลับมาก็จะได้มีงานดีๆทำ งานในเมืองไทยมักยอมรับคนที่ผ่านต่างประเทศมา ไหนๆไปแล้วก็ต้องไปกันให้สุดๆ อยู่บ้านเราก็ลำบากจนชิน แค่นี้พอสู้ไหว อยากรู้อะไรส่วนตัวก็หลังไมค์มาคุยกันได้ครับ จากคุณ : GSK - [ 18 พ.ย. 51 10:14:24 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ^ ^ ถ้าภรรยามาด้วยวีซ่า F-2 นี่ไม่สามารถทำงานอะไรได้เลยนะคะ จากคุณ : F-2 (Living Extreme) - [ 18 พ.ย. 51 12:01:16 ]

ความคิดเห็นที่ 4 F2 ถ้าพูดตาม"กฏ" นั้นไม่สามารถทำงานได้ แต่ในทางตันยังพอมีโอกาสครับ คงไม่พูดหรอกว่าได้ด้วยวิธีไหน ใครๆเขาก็รู้กัน จากคุณ : GSK - [ 18 พ.ย. 51 13:23:26 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คุณGSK จะไปรัฐไหน แคลิฟอร์เนียละก็ ถ้ามีรายได้น้อย รัฐจะช่วยเรื่องประกันสุขภาพให้ลูกๆ แถมมีอาหารเสริม นมเนย น้ำส้มให้ พอเด็ก อายุเข้่าโรงเรียน ก็เรียนฟรี ถ้ามี Made in USA เพิ่ม รัฐก็ช่วยเหลือ ตั้งแต่ฝากท้อง จนหลังคลอด จากคุณ : ธนิตา - [ 18 พ.ย. 51 17:22:11 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณครับทุกคน คุณ GSK เดี๋ยวจะติดต่อไป.. โซนยุโรป ไม่ทราบเป็นอย่างไรมั่งครับ ผมเล็งจะไปทางนี้มากกว่าอเมริกานะ เพราะภาษาอังกฤษผมไม่ค่อยดี ผมห่วงอยู่ 2 อย่างเดียวคือ ครอบครัวและ..เงินสำหรับครองชีพ.. เพราะมีภาระผ่อนบ้านทางนี้ไว้ด้วย ท่านใดมีข้อคิดเห็นหรือจะบอกเล่าอะไรยินดีรับฟังนะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : kamas - [ 18 พ.ย. 51 18:35:41 ]

ความคิดเห็นที่ 7 I went to study with a royal Thai scholarship in the US with my wife and a 3-y-o son. Although my wife had her own scholarship, but we had to pay for daycare around 700 USD a month. With our combined stipend, we could barely get by. Three years later, our younger son was born. At the time, our older son was in kindergarten class already. Although it was free, but we had to take care of our younger one for a year before we could send him to a daycare, which cost us 800 USD/month. Life was tough... But we survived, both of our sons grew up in a place where they were given with a good quality of life. Both of them spoke English very fluently. The older one is even far more better than his parents combined. It's not going to be easy krub.... But if you can get through, it can be a pride of your life and a prize for your entire family. Good luck krub. =============================== Note: I wrote many of experiences during our time in the US in my blogs. You may visit those and choose either "Reflection Series" or "Professional Life" or "Family Life" krub... แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 51 19:44:43 จากคุณ : amatuer translator - [ 18 พ.ย. 51 19:41:17 ]

ความคิดเห็นที่ 8 สำหรับอเมริกา ถ้าอายุลูกถึงเกณฑ์ (ประมาณ 3 ขวบ) จะได้เรียนระดับ Pre-K และถ้าเป็นโรงเรียนรัฐบาลก็จะได้เรียนฟรี (รวมทั้งยกเว้นค่าอาหารกลางวันด้วย กรณีมีรายได้ต่อครั่วเรือนต่ำ) ถ้าอยากให้ภรรยามีปสก.ทำงานในองค์กรใหญ่ๆ ซึ่งจะมีผลต่อโปรไฟล์ในอนาคต ควรเลือกวีซ่าประเภท J-1 แต่การทำ Work-Permit ก็เป็นเรื่องยุ่งยากและน่ารำคาญ ลองพิจารณาดูแล้วกันครับ จากคุณ : Just My Opinion - [ 18 พ.ย. 51 19:41:27 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ^ ^ ขอสนับสนุนเรื่องวีซ่า  J-1 ข้อดีคือ สมาชิกในครอบครัวได้ J-2 สามารถขอ EAD ทำงานเต็มเวลาได้ ข้อเสีย คือจะติดกฏ  2-yr residence ซึ่งการขอ waiver มีขั้นตอนที่ใช้เวลามาก ก่อนย้ายมาสหรัฐ ผมเริ่มเรียนที่ UK (Part-time เพราะตอนนั้นไปทำงานที่นั่น) แล้วมาต่อ US ด้วยวีซ่า J-1 ทั้งครอบครัว ภรรยาและลูกสอง (ขวบครึ่งและ ๖ ขวบ) ชีวิตเหนื่อยลำบากแต่อบอุ่นและมีความสุขใจ เรื่องการเงินไม่เดือดร้อนมาก เพราะ ภรรยาได้เวิร์คเพอร์มิตทำงานเต็มเวลา (International Student Office ของโรงเรียนเดินเรื่องให้ ) และผมได้งาน TA ที่โรงเรียนจนเรียนจบ ณ ขณะนี้ ภรรยาได้ทำงานที่เขาไฝ่ฝันมาแต่เด็กและเป็นอาชีพขาดแคลนในสหรัฐ ส่วนลูกคนโตทำงานเป็นวิศวกร   คิดว่าเราตัดสินใจถูก เชิญปรึกษาทางหลังไมค์นะครับ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 51 21:34:53 จากคุณ : นายคลิค - [ 18 พ.ย. 51 21:29:06 ]

ความคิดเห็นที่ 10 สวัสดีค่ะ  คุณ kamas ขอตอบในส่วนของ " ผู้ติดตาม " แล้วกันนะคะ เพราะสามีดิฉันมาเรียนต่อ ป. เอก ที่ฝรั่งเศส และดิฉันก็ติดตามเขามาน่ะค่ะ   ในส่วนของคู่เรา .. ที่นี่ ( มหาลัยที่สามีเรียน) ก็มีสต๊าฟคอยดูแลและอำนวยความสะดวกเรื่องพื้นฐานให้แก่ครอบครัวของนักเรียนเหมือนมหาลัยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจัดหาที่พัก เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ เรื่องประกันสังคม และให้ความช่วยเหลือในกรณีอื่นๆ ของภรรยาและลูก   เอาเรื่องพื้นฐานก่อนเลย อย่างเช่น .. - ตอนทำวีซ่า หรือจัดการทำเรื่อง การ์ด เดอ เซจู ( บัตรต่างด้าว )  มหาลัยของสามีก็เป็นฝ่ายออกจดหมายรับรองให้ดิฉันทุกอย่าง - ทางมหาลัยพิจารณาให้จำนวนทุนเพิ่มมากขึ้นเมื่อทราบว่ามีผู้ติดตามมาด้วย - เราทั้งคู่ไม่มีพื้นฐานภาษาฝรั่งเศส มหาลัยจัดคอร์สให้เรียนฟรี - ประกันสังคมของเราทั้งคู่ก็คลอบคลุมอาการเจ็บปวดทุกอย่าง รวมถึงเรื่องสายตาและทำฟัน - สามารถใช้สิทธิลดหย่อนค่าที่พักอาศัย -  มีคูปองอาหารกลางวันให้รายเดือน   เรื่องค่าครองชีพ ถามว่าอยู่ได้ไหม อยู่ได้ค่ะ  คือ ด้วยจำนวนทุนที่มหาลัยให้บวกกับองค์ประกอบอื่นๆ ครอบครัวเราอยู่กันได้แบบสบายๆ . .   สบายๆ ในที่นี้ของดิฉันคือ ไม่ได้อยู่กันแบบอัตคัตจำกัดจำเขี่ย แต่ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตกันแบบฟุ้งเฟ้อน่ะค่ะ   ดิฉันกับสามียังไม่มีลูกนะคะ ตัวดิฉันก็มาอยู่นี่แบบเป็นแม่บ้านเต็มตัว เลยอาจจะตอบคำถามได้ไม่ตรงและคงไม่ครบถ้วนที่คุณต้องการ   แต่ถ้าคุณมีคำถามอื่นๆ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับสวัสดิการของลูกโดยตรง ทิ้งคำถามไว้ได้เลยนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะโฉบๆ ไปที่มหาลัยเพื่อเอาคำตอบมาให้ จากคุณ : MollyJinx - [ 18 พ.ย. 51 21:45:30 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ^ ^ ช่วงนี้ได้ข่าวมากว่าพี่อิมฯ แกออกกวาดจับอยู่บ่อยๆ เลยไม่รู้ว่าทางออกในทางตันจะเสี่ยงเกินไปหรือเปล่าน่ะ จากคุณ : Living Extreme - [ 19 พ.ย. 51 02:28:00 ]