Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    เพิ่งรู้ว่าตัวเองตัดสินใจผิด (ว่าด้วยเรื่องการศึกษาของลูกเกิดปลายปี)

    วันนี้มีนัดพบผู้ปกครองกับครูของลูกเป็นครั้งแรกของปีการศึกษานี้
    ลูกเราไม่มีปัญหาในด้าน academic เลย เกินเกณฑ์หมดทุกด้าน
    เกินไปเยอะพอประมาณด้วย มันน่าจะเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจของคนเป็นพ่อแม่อ่ะนะ

    จากที่ครูพูดมา ความประพฤติของลูกก็ปกติ ไม่ได้เลวร้ายจนเป็นปัญหา
    แต่ปัญหาอยู่ที่ลูกเราไม่รู้จักการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนเพื่อน
    ไม่รู้จะจัดการกับความสัมพันธ์กับเพื่อนอย่างไร

    ครูยกตัวอย่างเช่น ที่ห้องเรียนของลูกจะมีมุมอ่านหนังสือ
    เวลาที่ลูกเราจะอ่านหนังสือ เค้าจะถือว่าบริเวณนั้นเป็นอาณาเขตส่วนตัวไปเลย
    จะมีเพื่อนเพื่อนคนอื่นอื่น เล่นหรือพูดคุยกันในบริเวณนั้นไม่ได้
    เพราะมันเป็นพื้นที่ส่วนตัวในการอ่านหนังสือของลูก

    ครูยกตัวอย่างว่า เวลาเด็กเด็กเข้าแถวกันอยู่ แล้วมีใครมาแทรกแถวเนี่ย
    ลูกเราจะถือว่าเด็กคนนั้นทำผิดมหันต์ เป็นความผิดร้ายแรง
    แล้วเค้าก็จะ keep complain เรียกร้องหาความยุติธรรม

    ครูยกตัวอย่างว่า สมมติมีเด็กคนนึงออกความเห็นอะไรออกมา
    แล้วลูกเราไม่ชอบ ก็จะโพล่งออกไปเลย ว่า it is not a good idea.
    ด้วยโทนเสียงไม่น่ารักมากมาก
    ครูบอกว่าลูกเราไม่รู้จักวิธีพูด ไม่ได้คิดก่อนที่จะพูด
    ไม่รู้ว่าคำพูดนั้น ทำร้ายน้ำใจเด็กคนอื่นอยู่

    แล้วครูก็ถามขึ้นมาว่าพ่อมากนี่อายุเท่าไหร่
    คือเด็กที่เข้าเกณฑ์การศึกษาโรงเรียนรัฐบาลของที่นี่
    คือเด็กที่เกิดก่อนต้นเดือนธันวาของปีนั้นนั้น

    ลูกเราเกิดปลายเดือนกันยา ถือว่าเป็นเด็กเล็กสุดของชั้น
    เด็กที่เกิดปลายเดือนธันวา หรือต้นปี ก็จะอายุครบเก้าขวบไปแล้ว
    ในขณะที่ลูกเราเพิ่งจะครบแปดขวบ
    ปีนึงที่ห่างกันในเด็กนี่ วุฒิภาวะแตกต่างกันมากเลย
    โดยเฉพาะสำหรับเด็กผู้ชาย

    ผู้ปกครองบางคน อาจยืดเวลาออกไปอีกปีนึง ถึงจะให้ลูกเข้าเรียน
    รอให้ลูกมีความพร้อมมากกว่านั้น

    ตอนที่ลูกเราอายุสี่ขวบ เราก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะยืดเวลาออกไปอีกปีนึงดีหรือเปล่า
    แฟนเราอยากให้รอไปก่อนอีกปีนึง ในขณะที่เราคิดว่าลูกเราพร้อมแล้ว
    เรามองแต่ความพร้อมในการเรียนรู้ของลูก
    โดยมองข้ามความพร้อมในด้านวุฒิภาวะของลูก
    อย่าเรียกว่ามองข้ามเลยดีกว่า ไม่ได้คิดถึงเลยด้วยซ้ำ

    ผลของความสะเพร่าของตัวเอง ตัดสินใจให้ลูกพลาดไปเลย
    แต่ครูก็บอกว่า ตอนนี้ยังไม่ถือเป็นปัญหา แต่ถ้าลูกอยู่ไปถึงปอห้า
    แล้วยังแก้นิสัยเหล่านี้ไม่ได้ ถึงตอนนั้นถึงจะให้มองว่าเป็นปัญหา

    นอกจากนี้ เนื่องด้วยลูกเราเป็นลูกคนเดียว
    เป็นที่หนึ่งของครอบครัวมาโดยตลอด
    ไม่เคยต้องแบ่งปัน ไม่เคยต้องมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับพี่พี่น้องน้อง
    เลยทำให้ลูกเราไม่รู้จักวิธีการแก้ปัญหาเมื่ออยู่กับคนในสังคม

    ลูกของเพื่อนที่เล่นด้วยกันมาตลอด ก็อายุมากกว่า
    ส่วนใหญ่เค้าก็จะยอมยอมให้ลูกเรามาตลอด
    คิดดูดิ เล่นกันมาตั้งแต่ลูกเราสี่ขวบ จนตอนนี้แปดขวบ
    พ่อแม่เค้ายังสอนให้ลูกเค้าต้องยอมลูกเราอยู่เลย

    โจทย์ที่เราต้องแก้ในตอนนี้คือ
    จะทำอย่างไรให้ลูกรู้จักจัดการกับความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
    รู้จักการสังคมกับเพื่อนเพื่อน รู้จักปล่อยวาง

    นอกจากนี้แล้ว การตัดสินใจที่พลาดไป ด้วยความไม่รู้อีกอย่างหนึ่ง
    ก็คือ การสอบเด็กกิ๊ฟ ถือว่าเป็นการตัดสินใจผิดพลาดจริงจริง
    ที่ยอมให้ลูกสอบเมื่อปีก่อน ยอมตามความสมัครใจของลูก

    การสอบเด็กกิ๊ฟ สามารถสอบได้ปีเว้นปี เริ่มจากชั้นปอสอง
    ถ้าครูเห็นว่าลูกเรามีความพร้อม จะส่งฟอร์มให้เราเซ็นยินยอมให้ลูกสอบ
    ถ้าลูกเราสอบไม่ผ่านปีนี้ ก็รอไปอีกสองปี

    เราเห็นแล้วว่าลูกเราไม่พร้อมในปีที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้เห็นผลว่าจะเป็นอย่างไร
    ถ้าสอบไม่ผ่าน คิดว่าไม่ผ่านก็ไม่ผ่าน ไม่ซีเรียส รออีกสองปีค่อยสอบก็ได้

    แต่ข้อสอบนี้จะยากขึ้นไปเรื่อยเรื่อยตามวัยของเด็ก
    เด็กยิ่งโต ก็จะยิ่งยากที่จะสอบผ่าน

    ครูประจำชั้นปีนี้ของลูกบอกว่า ปีนี้จะเสนอให้ลูกสอบ
    เราบอกว่าลูกสอบไปเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่ผ่าน
    ครูแปลกใจมาก เพราะครูคิดว่าผลการประเมิณในสามเดือนที่ผ่านมา
    ลูกเราน่าจะสอบผ่านได้สบายมากในปีนี้

    เศร้าเลย เพราะต้องรอไปถึงปีหน้า ลูกถึงจะมีสิทธิ์สอบได้อีกครั้ง
    เวลาอีกหนึ่งปีนี่ โอกาสที่ผ่านก็ยากมากขึ้นตามวัยของลูก
    ถ้าตอนนั้นเราศึกษาข้อมูลให้ลูกมากขึ้นอีกนิด
    ยืดเวลารอไปอีกปีนึง ลูกเราก็น่าจะสอบผ่าน เมื่อเค้าพร้อมกว่านี้

    ได้แต่หวังว่า สิ่งที่เราจำเป็นต้องติดสินใจแทนลูกจากนี้ไป
    จะไม่เกิดความผิดพลาดใดใดอีก
    แต่มันก็คงยากอ่ะ เพราะพอถึงเวลาจริงจริง
    เราก็ยังคงเอาตัวเราเองเป็นจุดศูนย์กลางในการตัดสินใจอีก

    มันยากนะคะสำหรับการตัดสินใจให้ลูกในแต่ละเรื่อง
    โดยเฉพาะในสังคมแปลกหน้าที่เราไม่ได้เติบโตมา

    ใจนึงก็อยากให้ลูกโตไวไว พอที่จะรับหน้าที่กลับไปทำได้ด้วยตัวเองจังเลย
    อีกใจนึงก็เสียดาย ไม่อยากให้ลูกโต อยากหนีบลูกไว้กับตัวแบบนี้ไปเรื่อยเรื่อยอยู่

    หวังว่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา จะทำให้แม่แม่ต่างแดนได้หยุดคิดนิดนึง
    พิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจแทนลูก
    เพราะผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของลูกนั้น เกิดจากการตัดสินใจของเราหนะคะ

    จากคุณ : blueprint - [ 20 พ.ย. 51 07:49:11 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com