PANTIP.COM : H7284342 ถึงเวลาเลือกสัญชาติเเล้วควรเลือกถือสัญชาติอะไรดีค่ะ ญี่ปุ่น หรือ ไทย ดี รบกวนเพื่อนๆ พี่ด้วยค่ะ ^^" []

ความคิดเห็นที่ 17

ขออนุญาตเข้ามาชี้แจงแถลงไขเรื่อง " สัญชาติ " ให้ความกระจ่างแก่ท่านเจ้าของกระทู้เพิ่มเติมอีกนิดหนึ่ง

ก่อนอื่น ต้องขอขอบคุณคุณ " ธนิตา " ความเห็นที่ 6 ที่กรุณาเข้ามาแสดง link เชื่อมโยงเวบไซต์สำคัญเกี่ยวกับเรื่องสัญชาติของคนญี่ปุ่น 3 แห่ง

และขอขอบคุณที่เวบไซต์ทั้ง 3 แห่งดังกล่าวนี้ ยืนยันความถูกต้องสนับสนุนความเห็นของข้าพเจ้าในความเห็นที่ 5 ว่า ตามกฎหมายสัญชาติของญี่ปุ่น ไม่มีบทกฎหมายตัวใดที่บังคับ หรือห้ามคนสัญชาติญี่ปุ่นถือสัญชาติอื่น และไม่มีแม้กระทั่งบทลงโทษคนญี่ปุ่นที่ไปถือสัญชาติอื่นเป็นสัญชาติที่สอง

ขอขอบคุณคุณ ธนิตา มา ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่ง

ทั้งนี้ เวบไฃต์ทั้ง 3 แห่งที่คุณธนิตากรุณา link มาให้ นั้น ทั้งหมดเป็น information หรือใบบอกเพื่อแนะนำ หรือชักจูงให้คนอเมริกัน หรือคนญี่ปุ่นที่มี 2 สัญชาติ ให้ไป " เลือกสัญชาติ " นั่นเอง โดย web. ที่ 1และที่ 3 เป็นของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น เนื่องจากสหรัฐ ฯ มีเด็กอเมริกันเป็นจำนวนมากที่เกิดจากมารดาคนญี่ปุ่น เด็กจึงเป็นบุคคลสองสัญชาติ ซึ่งต้องปฎิบัติตามกฎหมายญี่ปุ่นคือต้องเลือกสัญชาติ ก่อนมีอายุครบ 22 ปี ส่วน web. ที่ 2 เป็นเรื่องสิทธิของเด็กญี่ปุ่นในการเลือกสัญชาติ

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดยังไม่มีเวบใดของคุณธนิตา หรือมีผู้ใดที่เข้ามานำแสดงตัวบทกฎหมายญี่ปุ่นที่มีข้อความแสดงชัดเจนให้เห็นว่า " ห้ามคนสัญชาติญี่ปุ่นถือสัญชาติอื่น" หรือมีบทบัญญัติอื่นใดที่บังคับให้คนญี่ปุ่นถือสัญชาติเดียว แต่ประการใด

ตัวอย่าง : รูปแบบของข้อความตามบทบัญญัติกฎหมายสากลทั่วโลก หาก " ห้าม " บุคคลกระทำสิ่งใด " กฎหมายประเทศนั้นจะเขียนออกมาชัดเจนว่า การกระทำฝ่าฝืนข้อห้าม นั้น เป็นความผิด และต้องมีบทลงโทษ ตัวอย่างเช่น กฎหมายไทย " ห้าม " บุคคลลักทรัพย์ของผู้อื่น ดังนั้น ประมวลกฎหมายอาญาของไทยจึงมีบทบัญญัติในเรื่องนี้ ( ลักทรัพย์ :แต่ขออภัย จำเลขมาตราไม่ได้ เพราะตอนนี้ข้าพเจ้าอยู่นอกสำนักงาน) โดยเขียนกฎหมายมีความหมายว่า " ผู้ใดเอาทรัพย์ผู้อื่นไปเป็นของตนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย มีความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี " เป็นต้น

จึงขอยืนยันว่ากฎหมายสัญชาติของไทย และของญี่ปุ่น ไม่มีบทบัญญัติห้ามคนญี่ปุ่นถือสองสัญชาติแน่นอน 1000 เปอร์เซนต์ (แปลว่าคนญี่ปุ่นถือสองสัญชาติได้) ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ขอท้าไว้ในความเห็นที่ 5 ว่า หากใครโต้แย้งว่ามีกฎหมายญี่ปุ่นห้ามคนญี่ปุ่นถือสองสัญชาติ ก็ขอให้ท่านผู้นั้นนำตัวบทกฎหมาย " ห้าม " หรือ "บังคับ " เช่นว่า มาแสดงด้วยถอยคำจะจะ ชัดเจน ของกฎหมายดังกล่าว

ที่ต้องท้าทาย ก็เพื่อให้ท่านเจ้าของกระทู้ หรือผู้ที่ยังลังเลเกิดความมั่นใจนั่นเอง (ตัวข้าพเจ้าเองก็มีความมั่นใจในการนำเสนอเป็นอย่างยิ่ง) จึงหาใช่เป็นเรื่องอวดยะโสแต่อย่างใดไม่

และทั้งนี้ ใคร่ขอเรียนว่า ตาม information หรือใบบอกแจ้งข่าวเรื่องสัญชาติของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐ ฯ ในญี่ปุ่น หรือของสถานทูตญี่ปุ่นทั่วโลก ที่ได้ใช้คำพูดว่า If he or she fails to choose either of the nationalities, he or she may lose Japanese nationality "หากผู้ใดไม่เลือกสัญชาติ เขาอาจต้องเสียสัญชาติญี่ปุ่น " นั้น ประโยคดังกล่าวนี้มิใช่บทบัญญัติ หรือข้อบังคับทางกฎหมายแต่อย่างใดทั้งสิ้น ถือได้ว่าประโยคดังกล่าวเป็นเพียงแค่คำแนะนำ หรือเป็นเพียงการ " ขู่ " อย่างอ่อน ๆ เท่านั้น เพราะทั้งนี้ ภาษากฎหมายทั่วโลก ( เน้นว่าทั่วโลก ) ไม่มีชาติใดเขียนกฎหมาย หรือข้อบังคับโดยใช้ถ้อยคำว่า he may หรือ you may ในความหมายว่า " อาจจะ " เพราะคำว่า อาจจะ หรือ may นั้น แปลความได้ว่าผู้พูดปราศจากความมั่นใจในสิ่งตนพูดออกมา คือตนไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่ตนพูดออกมาว่า หากบุคคลสองสัญชาติไม่ปฎิบัติตามคำแนะนำที่ให้มาแล้ว " ผล " จะออกมาเป็นอย่างไร ขอเรียนย้ำว่าภาษากฎหมายนั้น จะต้องพูด หรือเขียนทุกอย่างให้ปรากฎด้วยความชัดเจนมั่นใจแน่นอนร้อยเปอร์เซนต์ ข้อบังคับตามกฎหมายจะใช้คำว่า อาจจะ หรือแทงกั๊ก หรือเผื่อเลือก ไม่ได้อย่างเด็ดขาด มันไม่ศักดิ์สิทธิน่าเชื่อถือ และไม่ใช่ภาษากฎหมาย เป็นเพียงแค่ภาษาในคำโฆษณาตามใบบอก information เท่านั้น หากท่านไม่เชื่อกรุณาเปิดดูบทบัญญัติกฎหมายของทั่วโลก หรือเปิดดูประมวลกฎหมายของไทยดูก็ได้ ไม่มีกฎหมายฉบับใดใช้ may ในถ้อยคำบังคับใช้กฎหมายโดยเด็ดขาด ( ท้าอีกแล้ว) แต่อย่างไรก็ตามบทบังคับตามกฎหมาย สามารถใช้คำว่า หรือ or ได้ ซึ่งก็มีความหมายแตกต่างจาก may มาก

ตัวอย่าง : " ผู้ใดฆ่าผู้อื่น อาจ(may)ได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต "

ขอเรียนว่าไม่มีกฎหมายประเทศใดในโลกนี้ เขียนอย่างนี้

ขอเพิ่มเติมความรู้เกี่ยวกับเรื่อง " สัญชาติ " ดังต่อไปนี้
(ขออนุญาต หากท่านใดรู้แล้วก็กรุณาผ่านไป)

ต่อไปนี้คือ " หัวใจ" ของกฎหมายสัญชาติที่ทั่วโลกถือเป็นหลักปฎิบัติ จึงควรที่ผู้สนใจกฎหมายสัญชาติควรทำความเข้าใจและศึกษา

1. นานาชาติทั่วโลก ถือว่าเรื่อง " สัญชาติ " คือสิ่งสำคัญที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวระหว่างตัวบุคคล กับรัฐแห่งนั้น

" สัญชาติของบุคคล " มีที่มาจาก 2 สถาน คือ

1.1 จากหลักสายโลหิต ( jus sanguinis ) หมายถึงทารกที่เกิดจากบิดา-มารดาที่มีสัญชาติใด ก็ย่อมได้สัญชาติตามบิดา และของมารดาด้วย เช่น บิดาเป็นญี่ปุ่น มารดาเป็นคนไทย เด็กที่เกิดมาจะได้สัญชาติญี่ปุ่น และได้สัญชาติไทยด้วย นี่เป็นตามหลักสายโลหิต ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ให้สัญชาติโดยถือหลักสายโลหิต

1.2 จากหลักดินแดน ( jus soli ) soli ในภาษา Latin ก็คือ soil ในภาษาอังกฤษนั่นเอง หมายถึงเด็กไม่ว่าบิดา หรือมารดาจะเป็นคนสัญชาติใดก็ตาม หากถือกำเนิด ( เกิด ) ในดินแดน ( soil ) ของประเทศใด เด็กก็ย่อมได้ " สัญชาติ " ของดินแดนประเทศนั้น ตัวอย่างเช่น พ่อเป็นญี่ปุ่น แม่เป็นไทยคลอดบุตรในประเทศเยอรมันนี เด็กก็มีสิทธิได้รับสัญชาติเยอรมันด้วย แต่ทั้งนี้ สัญชาติโดยหลักดินแดนมีข้อจำกัดบางประการ เช่นประเทศไทยไม่ยอมรับเด็กต่างชาติที่พ่อ-แม่เป็นครอบครัวนักการทูต หรือผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายที่คลอดในประเทศไทยให้ได้รับสัญชาติไทย

2. การมีสัญชาติใด บุคคลนั้นจะมีความรู้สึกผูกพันกับประเทศนั้นไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้น ประเทศที่เจริญทั้งหลายในโลกนี้ จึงไม่ยอมทอดทิ้ง หรือ " ถอนสัญชาติ " บุคคลที่มีสัญชาติของตนง่าย ๆ ต่อให้บุคคลนั้นมี 10 สัญชาติก็ตาม หากเขามีสัญชาติไทยด้วย เขาก็ต้องมีความรักในชาติไทยด้วย ใช่หรือไม่ หากไทยประกาศสงครามกับประเทศใด อย่างน้อยเขาก็ต้องมีจิตใจเข้าข้างฝ่ายไทย ใช่หรือไม่ (ยกเว้นกรณีสัญชาติต่างๆที่ตนถืออยู่ ประกาศสงครามต่อกัน ซึ่งจะเป็นอีกปัญหาหนึ่ง)

การถอดถอนให้บุคคลใดเสียสัญชาตินั้นๆ เป็นการสร้างศัตรู ทั้งเป็นการสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีระหว่างบุคคลกับรัฐผู้ถอดสัญชาตินั้นๆ ดังนั้น ประเทศทั้งหลายในโลกนี้ จึงหลีกเลี่ยงการถอดถอน หรือการทำให้บุคคลใดเสียสัญชาติของตน ยกเว้นกรณีผู้รับโอนสัญชาติบางรายที่มีพฤติกรรมเป็นการประทูษร้ายต่อรัฐนั้นๆ โดยตรง จึงต้องทำการถอนสัญชาติบุคคลดังกล่าว

3. การเสียสัญชาติใด สัญชาติหนึ่ง มิใช่เป็นเรื่องง่ายๆ เหมือนดังเช่นชายหนุ่มหรือหญิงสาวเสียความบริสุทธิ มิใช่ดังนี้แน่นอน เพราะเรื่องสัญชาติบุคคลเป็นเรื่องสำคัญของชนชาติ และเป็นเรื่องละเอียดอ่อนยิ่ง

ขอเรียนว่า หากบุคคลสัญชาติใด ไปได้สัญชาติอื่น และแม้ประเทศนั้นจะออกกฎหมายว่า การได้สัญชาติอื่น ถือว่าบุคคลนั้นจะต้องเสียสัญชาติเดิม ดังเช่นกฎหมายสัญชาติไทย พ.ศ. 2508 ในมาตรา 22 ( จำเลขมาตราไม่ชัด เพราะตอนนี้อยู่นอกสำนักงาน) บอกเป็นความว่า " คนไทยที่ได้รับสัญชาติอื่น ย่อมเสียสัญชาติไทย " ใคร่ขอเรียนยืนยันถ้อยคำตามมาตรานี้ว่า เป็นบทบัญญัติกฎหมายที่มิใช่แสดงว่าคนไทยที่ไปได้หรือไปรับโอนเป็นสัญชาติอื่น จะต้องเสียสัญชาติไทยไปโดยอัตโนมัติ มิได้เป็นเช่นนี้โดยแท้ เพราะยังมีมาตรา 5 ของกฎหมายสัญชาติฉบับนี้ยืนยันย้ำว่า " คนไทยที่จะเสียสัญชาติไทยแน่นอน 1000 เปอร์เซนต์ นั้น ต้องได้ถูกประกาศชื่อให้เสียสัญชาติไทยในราชกิจจานุเบกษาก่อน จึงจะมีผล "

กฎหมายสัญชาติของนานาชาติทั่วโลกก็เป็นเช่นนี้ แม้กฎหมายญี่ปุ่น ก็เป็นไปตามนี้ เพราะทุกชาติที่เจริญแล้วในโลกนี้ ต่างตระหนักถึง " หลักสิทธิมนุษยชน " ตามที่ได้มีบัญญัติไว้ในปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ของสหประชาชาติ " UN Universal declaration on human right " เพราะการจะเลือกถือสัญชาติใดๆก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมอันหนึ่งของมนุษย์

4. ใคร่ขออนุญาตเสริมความเห็นคุณหมูหวานในความเห็นที่ 7 ถ้าคนไทยเลือกถือสัญชาติญี่ปุ่น จะมี 2 กรณี ดังนี้

4.1 ถ้าเลือกถือสัญชาติญี่ปุ่นอย่างเดียวโดยสละสัญชาติไทยเด็ดขาด ( ให้มีประกาศเสียสัญชาติไทยในราชกิจจานุเบกษา) ผู้รับมรดกจะต้องจำหน่ายทีดินมรดกภายใน 1 ปีนับแต่ได้รับมรดก เป็นไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน

4.2 ถ้าเลือกถือสัญชาติญี่ปุ่นโดยมิได้สละสัญชาติไทยอย่างจริงจังตามกฎหมายไทย (โปรดดูข้อ 3 ข้างบน) ท่านก็สามารถถือกรรมสิทธิที่ดินในประเทศไทยได้ตลอดชีวิต ไม่ว่าจะถือที่ดินหนึ่งแสนไร่ในประเทศไทย ก็ไม่มีกฎหมายใดห้าม ทั้งนี้ ขอให้ท่านต่ออายุบัตรประจำประชาชนไทยไว้อย่าให้ขาด และเวลาไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ดิน โปรดอย่าทำเป็นพูดไทยไม่ชัด หรืออย่าแย้มให้เขารู้ว่าท่านมีสัญชาติอื่นด้วยเด็ดขาด

6. สำหรับคุณความเห็นที่ 8 คุณ Living Extreme ขอเรียนว่าคุณเข้าใจถูกต้อง 1000 เปอร์เซนต์ แล้ว หากเลือกสัญชาติญี่ปุ่น ก็ไม่จำเป็นต้องสละสัญชาติไทยจริง ( กล่าวคือ แจ้งต่อทางการญี่ปุ่นพอเป็นพิธี ว่าคุณสละสัญชาติอื่นเพื่อถือสัญชาติญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียว นับว่าครบถ้วนตามพิธีการเลือกสัญชาติแล้ว หลังจากนั้นต่อมา คุณจะถือสัญชาติใดอีก ญี่ปุ่นไม่มีกฎหมายเอาผิด หรือลงโทษคุณได้ หรือแม้แต่จะถอนสัญชาติคุณเพราะเหตุคุณไปมีสัญชาติอื่น ก็ไม่มีอีก)

5. สุดท้ายนี้ ขอเรียนมาด้วยความเคารพเพื่อประโยชน์ของคนไทยผู้มีปัญหาขัดข้องในเรื่องสัญชาติซึ่งยังมิอาจหาความรู้เบื้องต้นได้จากที่ใด โปรดรับทราบว่าข้อความของข้าพเจ้าตามที่นำเสนอมานี้ ได้กลั่นกรองความถูกต้องของข้อมูลมาแล้วอย่างถี่ถ้วน จึงยืนยันด้วยเกียรติว่า ท่านสามารถถือเป็นความรู้พื้นฐานในเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ต้องการรู้เรื่องเกี่ยวกับ " สัญชาติ " ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ขอให้โชคดี
แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 51 02:17:38
แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 51 20:17:48

จากคุณ : นักกฎหมายฝึกหัดปี 1 (Detente) - [ 4 ธ.ค. 51 19:32:45 ]