ความคิดเห็นที่ 6
ก่อนจะเริ่มเตรียมตัวเรามีพื้นฐานไวยากรณ์และการฟังไม่ค่อยมีปัญหามากเท่าไร แต่ไม่ถึงขั้นเพอร์เฟคนะคะ (ไม่ได้เรียนสายภาษาตอนป.ตรี) เราเตรียมอย่างไม่ค่อยจริงจังประมาณ 4-5 เดือน ที่ไม่จริงจังคือ 2 สัปดาห์ค่อยหัดทำแบบฝึกหัดทีนึง ออกแนวเรื่อยเปื่อยไม่ได้จัดตารางให้ตัวเองเพราะงานยุ่งด้วย ก่อนวันสอบจริงประมาณ 2 เดือนถึงมาเริ่มเตรียมจริงๆ จังๆ เน้นทำแบบฝึกหัดทุกวันค่ะ อย่างน้อยวันละ 1 พาร์ทก็ยังดี เราคิดว่าระยะเวลาการเตรียมตัวขึ้นกับพื้ันฐานภาษาอังกฤษอย่างที่ความเห็นข้างบนบอกค่ะ เราทำงานในต่างประเทศที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษทุกวันก่อนวันสอบจริงมาประมาณ 6 เดือน ไม่ได้ลงคลาสเรียนเพิ่มเติมเพราะไม่มีเวลาเลยหัดอ่านหัดทำแบบฝึกหัดเอาเอง เราซื้อหนังสือโทเฟลของ ETS เล่มเดียวที่เหลือก็ยืมเอาจากห้องสมุด เราเริ่มเตรียมจาก
-พาร์ท reading เพราะเป็นพาร์ทที่คิดว่าจะทำคะแนนได้ดีที่สุด และเวลาในการทำข้อสอบจริงไม่กระชั้นชิดเหมือน speaking เราใช้เวลากับพาร์ทนี้พอสมควรค่ะ ในการทำแบบฝึกหัดก็จะตั้งมาตรฐานให้ตัวเองว่าต้องตอบผิดไม่เกิน passage ละ 2 หรือ 3 ข้อ หัดทำแบบฝึกหัดทั้งใน ETS, Kaplan, Barron, Princeton และ Cambridge ส่วนตัวชอบ Cambridge มากที่สุดค่ะ ระดับความยากนั้นเท่ากับข้อสอบของจริงมาก
-พาร์ท Listening เราคิดว่าทักษะที่สำคัญที่ต้องหัดในการทำข้อสอบนี้นอกจากการฟังแล้ว คือการจดโน๊ตจากเลคเชอร์หรือบทสนทนาที่ฟัง เราใช้วิธีจดตามคำพูดให้มากที่สุดโดยเฉพาะในคำถามจากเลคเชอร์ แต่ไม่ได้จดทุกคำพูดนะคะ เป็นการจดแบบสรุปใจความ เราทำแบบฝึกหัดจากในหนังสือที่ลิสต์ตามข้างบน ไม่ได้ชอบของสำนักไหนเป็นพิเศษ ตั้งมาตรฐานให้ตัวเองเหมือนพาร์ท reading คือ ผิดไม่เกิน 2 หรือ 3 ข้อ
-speaking & writing ช่วงที่เตรียมสองพาร์ทนี้ เราเหลือวันเตรียมสอบไม่มากนัก (ไฟลนก้นนั่นเอง) เราเลยหัดเขียนแค่ 1-2 หัวข้อ และสุ่มทำแบบฝึกหัดที่ต้องฟังและอ่านบทความก่อนเขียน แค่ 1-2 ข้อเหมือนกัน เรายืมหนังสือของ Barron ชื่อ How to Prepare for the TOEFL Essay (Barron's How to Prepare for the Computer-Based Toefl Essay) (Paperback) by Lynn Lougheed (Author) เป็น edition เก่าของปี 2002 จากห้องสมุดมาลองเปิดๆ ดู โครงสร้างการเขียนของ essay ตัวอย่างที่มีในหนังสือ
ส่วน speaking นี้เตรียมตัวก่อนสอบแค่ 1 สัปดาห์ แต่อย่างที่บอกข้างต้นคือเราต้องสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษทุกวันที่ทำงาน เลยเตรียมตัวแค่ดูว่าเค้าลักษณะคำถามในข้อสอบเป็นยังไง เราชอบซีดีที่มากับหนังสือของ ETS ที่มีตัวอย่างของการตอบในระดับต่างๆ ให้ฟัง ว่าคนที่ได้คะแนนมากเค้าตอบยังไง คะแนนน้อยเป็นยังไง แล้วพอประเมิณตัวเองคร่าวๆ ได้
อีกปัจจัยนึงที่มีผลกับคะแนนคือว่าข้อสอบที่ได้ออกเป็นแนวไหน เช่นเรามีพื้นฐานเรียนสายวิทยาศาสตร์มา แล้ววันจริงก็ได้ข้อสอบที่เป็นแนวนี้พอสมควรทำให้เข้าใจข้อสอบได้ง่ายขึ้น แต่ก็มีพวกแนววรรณคดี ประวัติศาสตร์ปนมาด้วยแต่น้อยกว่า ซึ่งแนวพวกนี้ไม่ถนัดเลยจริงๆ (ตอนสอบยังเบื่อที่จะต้องฟังหรืออ่านเลย) ทำให้ต้องตั้งใจมากขึ้นกว่าข้อสอบแนววิทยาศาสตร์มากๆ พูดง่ายๆ คือเตรียมตัวให้ดีและต้องมีโชคเข้าข้างด้วยนิดหน่อยวันสอบค่ะ
ถ้าอยากจะทำให้ได้เกิน 110 คะแนนขึ้นไป เราคิดว่าอาจจะต้องเป้าหมายเป้าไว้คะแนนได้เกิน 27 หรือ 28 คะแนนใน reading, listening และ writing โดยส่วนใหญ่คนไทยมักได้คะแนนในพาร์ท speaking น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับพาร์ทอื่นๆ ดังนั้นถ้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดีในพาร์ทนี้ ก็ต้องพยายามทำให้พาร์ทอื่นๆ ให้ได้เกือบเต็มให้มากที่สุด ส่วนการได้คะแนนเกิน 110 ขึ้นไปนี่จะช่วยในเรื่อง admission ได้มากแค่ไหนเราก็ไม่รู้ (เพราะผลยังไม่ออก) ขอให้โชคดี
จากคุณ :
Loon (virion)
- [
28 ธ.ค. 51 04:47:10
]
|
|
|