ความคิดเห็นที่ 1 เคยได้ยินว่าโตเกียวนะ แ่ต่นานมาแล้วล่ะ จากคุณ : The Queenslander - [ 25 ม.ค. 52 21:39:22 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Currency movements main factor in deciding              ranking of most expensive cities in the world A report by Mercer Consulting 28 July 2008: *Moscow is the world’s most expensive city for expatriates for the third consecutive year, according to the latest Cost of Living Survey from Mercer. **Tokyo is in second position climbing two places since 2007, whereas London drops one place to rank third. Oslo climbs six places to 4th place and is followed by Seoul in 5th. Asuncion in Paraguay is the least expensive city in the ranking for the sixth year running. Contrary to the trend observed last year, the gap between the world’s most and least expensive cities now seems to be widening. http://www.citymayors.com/features/cost_survey.html                           edit Flags แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 52 21:54:57 แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 52 21:52:38 จากคุณ : ยอดทิวาพันแสง - [ 25 ม.ค. 52 21:51:31 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณมากเลยครับคุณยอดทิวาพันแสง จากคุณ : sUnTaO - [ 25 ม.ค. 52 21:54:24 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ได้ยินมาว่า ... ถ้านับแต่ - อสังหา ที่อยู่ บ้าน เช่า office อะไรพวกนี้ ... London, UK ยังมา Win ชิว ๆ - ค่ากินค่าอยู่ ... ก็ Oslo, Norway - โดยรวม ๆ ก็ ... Tokyo, Japan จากคุณ : ผัดไทยกุ้งสด - [ 25 ม.ค. 52 22:23:59 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ได้ยินว่ามอสโค (หรือเปล่า)ที่รัสเซียก็ใกล้เคียงกะโตเกียวแล้วนะคะ  อันนี้เห็นอาจารย์ว่า จากคุณ : มาม่าน้ำข้น - [ 25 ม.ค. 52 22:25:17 ]

ความคิดเห็นที่ 6 Norway จากคุณ : Captainside - [ 25 ม.ค. 52 22:43:15 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เราว่าแถวสแกนดิเนเวียน่ะสวีเดนค่าครองชีพโหดน้อยที่สุดแล้ว คนนอรเวย์ยังขับรถข้ามแดนมาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคไปตุนเลย ไอ้ที่บอกว่าข้าวจานละแปดร้อยต้องดูด้วยว่ากินแถวไหน จากคุณ : นอกเรื่องนิดหน่อย - [ 25 ม.ค. 52 23:12:39 A:58.8.125.83 X: TicketID:159141 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณๆยอดทิวาพันแสงด้วยค่ะ จากคุณ : @_s.Oliver_@ - [ 25 ม.ค. 52 23:37:29 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เข้ามาอ่านด้วยความสนใจ ต้องขอชื่นชมความเห็นที่  2 คุณ " ยอดทิวาพันแสง "  ที่กรุณานำเสนอความรู้ตอบกระทู้นี้  ที่เต็มไปด้วยข้อมูล และหลักฐานเป็นตัวเป็นตนพิสูจน์ได้ชัดเจนโดยมิได้คิดเอาเอง อย่างนี้สิ  เป็นประโยชน์แท้จริงแก่สังคมพันทิพ จากคุณ : Detente - [ 26 ม.ค. 52 02:08:39 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ที่โคเปน เดนมาร์กก็แพงค่ะ เพื่อนที่มาจากญี่ปุ่น ยังออกปากเลยว่าแพงกว่าที่บ้านเธอ 2 เท่า (แต่จำไม่ได้ค่ะว่าเธอมาจากเมืองไหน) แอบเข้ามาบ่นค่ะ แต่ที่แน่ๆค่าครองชีพที่นี่แพงกว่าอเมริกาแน่นอนค่ะ เพราะอยู่อเมริกามาก่อน (เวอร์จิเนียค่ะ) ภาษีที่นี่ก็มหาโหดดดด ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆนะคะ จะเก็บเอาไว้พิจารณาตอนลาพักร้อนค่ะ จากคุณ : sunisa (sunisaogkim) - [ 26 ม.ค. 52 04:15:21 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ^ ^ เดนมาร์ก แพงโคด คอนเฟิร์มมม จากคุณ : ป้ามะลิกับลุงมะระ - [ 26 ม.ค. 52 04:34:17 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เราอยู่ออสโลค่ะเคยไปเที่ยวที่ รัสเซีย ญี่ปุ่น อังกฤษ สวิสเซอร์แลนด์ ขอบอกว่าถูกกว่าที่นอร์เวย์ (เปรียบเทียบตาม living cost ของที่นี่) จะเห็นว่าแพงกว่าก็ที่เดนมาร์กนี่แหละ การกินอยู่ถูกหรือแพงตามที่เค้าจัดอันดับเค้าคิดตามรายได้ของประชากรและค่าครองชีพ ที่มอสโกประชากรรายได้ต่ำแต่ต้องเสียค่าครองชีพแพงมหาโหดคิดเป็นเปอร์เซนต์มากที่สุดเลยได้ครองแชมป์เมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกไป จากคุณ : หมวยเล็กของป๊า (@studentby) - [ 26 ม.ค. 52 04:52:44 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มาเห็นด้วยกับหมวยเล็กค่ะ อยู่ออสโลเหมือนกัน แพงได้ใจมากเลยจะซื้อจะหยิบจะจับคูรเป็นเงินไทยแล้วกินไม่ลง แฟนมาหาจากอังกฤษ บ่นไม่หยุดปากว่าของแพงเดือนก่อนมาหาที่ออสโล ไปซื้อยาสระผมขวดละ 78 โครน หลังจากนั้นก้อพูดไม่หนยุดเลยว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยซื้อยาสระผม 7 ปอร์นมาก่อนเลย 55555 โอ๊วว เศร้า มานี้รักประเทศไทยขึ้นเยอะเลย จากคุณ : Northpole..Bear - [ 26 ม.ค. 52 05:51:09 A:80.203.94.231 X: TicketID:201230 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อสองวันก่อนที่เวอร์จิเนียภรรยาผมไปซื้อไข่กับน้ำตาลมาเก็บไว้และแจกเพื่อน เพราะลดราคา น้ำตาลทราย กก(2.26lbs)ละ 99 cents , Egg grade A 99 cents/dozen เนื้อไก่บางครั้งถูกกว่าเมืองไทยเสียอีก จากคุณ : อิสวาสุ - [ 26 ม.ค. 52 06:34:25 A:71.114.54.31 X: TicketID:146114 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คิดว่าน่าจะเป็นนอร์เวย์ค่ะ ตอนไปเที่ยวแพงหูฉี่เลย แพงกว่าอังกฤษสามเท่ามั้ง จากคุณ : tan (littlesmeagle) - [ 26 ม.ค. 52 08:56:35 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ข้าวจานละแปดร้อยมีทุกที่เลยค่ะ อิๆ เมื่อวานไปกินอาหารกลางวันร้านญี่ปุ่นจานเดียวก็หมดไปหกร้อยแล้ว แต่อร่อยมาก จากคุณ : pixp - [ 26 ม.ค. 52 11:13:13 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เข้ามาดูผลสำรวจ และเข้ามางงกับกระทู้แนะนำ เมื่อกี้เข้ามา กระทู้แนะนำใหม่ๆ เข้าวินมาเกือบสิบเลย แวะไปห้องสาวๆ กลับมา เหลือกระทู้นี้อันเดียว งง ค่ะ ใครขโมยกระทู้แนะนำไป เอาคืนมานะ คิคิ แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 52 14:06:56 จากคุณ : มาดามอุ้ย - [ 26 ม.ค. 52 14:06:10 ]

ความคิดเห็นที่ 18 To confirm NORWAY จากคุณ : รุ้งงามข้างบ้าน - [ 26 ม.ค. 52 14:35:46 ]

ความคิดเห็นที่ 19 มีเพื่อนจากโอมาน เค้าบอกว่าค่าเงินบ้านเค้าแข็งกว่า ออสเตรเลีย สี่เท่า เค้าเลยไม่ต้องทำงาน เห็นใครๆ ก็บอกว่าพวกประเทศผลิตน้ำมัน ค่าเงินแข็งมากๆ แต่ไม่รู้ว่าของราคาเท่าไหรกัน จากคุณ : LetMeCry - [ 26 ม.ค. 52 15:29:54 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อยากทราบเหมอืนกันครับ ว่าพวกข้าวของ ประเทศที่ค้าน้ำมัน เช่น สหรัฐอาหรับเอมเรต หรือโอมาน คูโวต เนี่ย แพงมากรึเปล่า แต่เห็นเงินเดือนดีมากเลยครับ ไม่รู้ค่าครองชีพจะเป็นยังไง จากคุณ : sUnTaO - [ 26 ม.ค. 52 20:07:45 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ2ปีก่อนค่าครองชีพบ้านเราก็เริ่ดเหมือนกันนะ อิฉันอ่านเจอแฮมเบอเกอร์แพงที่สุดในโลก มีขายที่ประเทศไทย เชียวนะ อุแม่เจ้า Trilogy Exclusive Burger แค่ชิ้นละ7,769บาท!!!!! **คุณบุญสอน ปิลอง กับ มิสเตอร์ไซม่อน โบมองท์(Mr. Simon Beaumont)เชฟใหญ่ประจำโรงแรมแมรืออท รีสอร์ทแอนด์สปา กรุงเทพฯ ช่วยกันคิดค้นสูตร เพื่อที่ลูกค้าชิมแล้วจะได้ร้องว้าว เห็นว่างั้น ส่วนผสมก็เบาะๆ - โดยนำเนื้อมัตซึซากะเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในสุดยอดเนื้อที่ดีที่สุดในโลก เป็นเนื้อที่มีแต่ความนุ่ม ไม่มีความเหนียว กินเข้าไปแทบละลายในปาก - เห็ดทรัพเฟิลดำ ราชาแห่งเห็ด นำเข้าจากออสเตรเลีย - ตับห่านเกรดเอ นำเข้าจากฝรั่งเศส - ขนมปังโฮมเมด ทำจากงาผสมสาหร่ายวากาเม่ - เห็ดโมเรลผัดกับOnion Mustard Sauce รสชาดเปรี้ยวหวาน - ตกแต่งแฮมเบอเกอร์ให้สวยงาม ด้วยการแปะแผ่นทองคำบริสุทธิ์ ที่มา :: จาก นิตยสารรายปักษ์ แพรว ปีที่ 28 ฉบับที่ 669(10 กรกฎาคม 2550) จากคุณ : ศิริรักษ์ - [ 26 ม.ค. 52 20:35:52 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คิดว่า (คห ส่วนตัว โดยสังเกตจากราคาของอุปโภค บริโภค)  ประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันเนี่ย (กลุ่มตะวันออกกลาง) ค่าครองชีพไม่ได้จะสูงมากหากเทียบกับกลุ่มประเทศยุโรป คือแต่ละที่ก็อาจจะแตกต่างกันในราคาของผลผลิตบางอย่าง เช่นน้ำมัน (บาห์เรนและยูเออีแพงกว่าที่การ์ต้า) เห็น คห บนเอ่ยถึงประเทศที่ผลิตและส่งออกน้ำมัน การ์ต้าก็ส่งออกกับเค้าอยู่นะ รถก็ถูกกว่าทางเอเชียอีก น้ำมันก็ถูก (การ์ต้า) ถูกกว่าน้ำดื่ม รถเล็กเช่น ฮอนด้าซิตี้ เต็มถัง 350-400 บาท อาหารก็ไม่ได้จะแพงมากหากเทียบกับ ทางยุโรป (เริ่มต้นที่ 150 จริงๆ ถูกกว่านี้ก็มีแต่เป็นพวก อาหารอินเดีย ของอุปโภค บริโภคก็ไม่แพงมาก ราคาเท่าๆ  กับเมืองไทยหรือาจจะแพงกว่าในเรทรับได้  เคเอฟซีชุดจะ 150-180 (ชุดที่มีไก่ 3 ชิ้น ขนมปัง) ของที่ส่งมาจากอินเดียและจีน ถูกทั้งนั้น อ้อ มีส่งมาจากไทยด้วย เสื้อผ้า รองเท้า แพงกว่าประมาณเท่าตัว ของที่แพง ๆ ก็อาจะเป็นพวกผักผลไม้ต่างแดน (ไกลๆ) เพราะว่าประเทศเค้าเพาะปลูกไม่ค่อยได้ เช่นเงาะหรือมังคุด กิโลละ 400 ผักกาดขาวหัวละ 250 (เทียบเป็นเงินไทยให้) แต่ผักผลไม้ที่มาจากอินเดีย (ที่อินเดียสามารถเพาะปลูกได้) จะถูกกว่าราคารับได้ แพงกว่านิดหน่อย  ที่แพงเห็นได้ชัดก็ที่อยู่ อยากได้แบบถูก ๆ ก็เช่าเฉพาะห้องนอน ซึ่งก็กว้างขวางอยู่ แชร์ห้องรับแขกหรือห้องครัวกับคนอื่น ส่วนโอมาน เนี่ย รอคุณ Ter มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม อืม ให้เงินเดือนสูง แถมไม่ต้องเสียภาษีอีกต่างหาก (อาจจะกำลังคิดระบบอยู่ แต่ ณ ปัจจุบันนี้ยังไม่มี) ประชากรสัญชาติเค้า (กาตารี่) น้ำไฟ ฟรี โทรศัพท์แลนด์ไลน์ฟรี (แต่ ประชากรประเทศเค้าจริงๆ มีน้อยกว่าชาวต่างชาติที่มาอยู่และมาทำงานเสียอีก) คิดว่าแค่เงินจากค่าวีซ่าคนมาทำงาน (ปล อาจมาทำงาน 1 คน ติดตามอีก 10 คนเป็นครอบครัว ) รายได้เข้าประเทศไปมหาศาลแล้ว ไหนจะแรงงานอีก ซึ่งรับรองให้ตายเหอะ ประเทศเหล่านี้ คุณจะไม่เจอแรงงานที่เป็นคนสัญชาติเค้าเลย (ถ้าใครเจอ บอกด้วยนะ คือแทบไม่เคยได้ยินเลย)  สวัสดิการคนต่างชาติ "ไม่มี" (แม้ว่าจะอยู่ที่นี่กันเป็น 10-20 ปี ก็ยังซื้อบ้านไม่ได้) แต่เอาเงินไปทุ่มให้กับคนสัญชาติตัวเองทั้งหมด คนต่างชาติอยู่ในฐานะผู้อาศัย ที่ไม่ได้อาศัยฟรี ๆ ไม่ให้สัญชาติง่าย ๆ จริงอยู่ประเทศอาจไม่น่าสนใจ ไม่มีใครรู้จัก  แต่สำหรับคนที่มาจากประเทศที่ด้อยกว่าหรือมีปัญหาทางการเมือง รบกันตลอดเวลา ถ้าเค้าได้สัญชาตินี้เค้าก็สบายไปหลาย ๆ อย่าง (จ้างทหารอเมริกันมาคุ้มครองประเทศด้วยนะ)  เห็นประเทศเล็ก ๆ แบบนี้ เงินหนักนะ ประเทศเหล่านี้ คนโลคอลเทียบสัดส่วนประชาการทั้งหมดร่ำรวยจริง (กิน อยู่ ใช้ อย่างหรูหรา) คนที่มาอด ๆ อยาก กลายมาเป็นพลเมืองชั้นยากจน ของที่นี่จะเป็นคนต่างชาติที่เข้ามาขายแรงงาน มาทำงาน  ซึ่งมี 40 ต่อ 60 จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เพราะฉะนั้น ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ก็ต้องเป็นราคาที่ "คนทั้งหมด" สามารถใช้จ่ายได้ ซื้อได้  ดังนั้น หากเทียบกับยุโรป คิดว่าที่นี่น่าจะต่ำกว่า    (คิดว่าส่วนหนึ่งไม่ได้เป็นประเทศที่คนนิยมมาด้วยน่ะค่ะ นอกจากผู้ลงทุน) อืม ก็ติดอันดับต้น กับเค้าเหมือนกันนะเนี่ย (ร่ำรวยนะเทียบกำลังซื้อของประชากร - ไม่เกี่ยวกับค่าครองชีพ) http://www.financialjesus.com/2008/05/23/top-10-worlds-richest-countries/ http://www.mapsofworld.com/world-top-ten/world-top-ten-richest-countries-map.html แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 52 15:22:57 แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 52 15:18:26 แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 52 21:00:44 จากคุณ : Freedom of Life - [ 26 ม.ค. 52 20:55:27 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ถ้าคิด Based on เงินบาทไทย มันเทียบ และบอกไม่ได้หรอกครับว่า ที่ไหนแพง ที่ไหนถูก เพราะสกุลเงินเรามันต่ำ การประเมินค่าครองชีพ ดูจากรายได้ประชากรในเมืองนั้น พิจารณาปัจจัยพื้นฐานที่ประชากรต้องจ่าย คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค จะบอกว่า Norway แพง เพราะเอาเงินเขา มาเทียบกับเงินเรา ค่าความต่างของราคาค่าเงิน ทำให้เราคนไทย ซึ่งใช้เงินบาท เงินที่ไม่มีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจมากนัก คิดว่ามันแพง นักเรียนทุน กพ. มาเรียนต่อเยอรมนี ได้เงินเดือนเดือนละ 900 ยูโร ในขณะที่ไปเรียนอังกฤษ จะได้ประมาณเดือนละ 700 ปอนด์ นักเรียนอเมริกาได้ประมาณ 1200 ดอลลาร์ สมัยก่อน 1 ยูโร เท่ากับ 50 บาท (ประมาณ 45000 บาท) และ 1 ปอนด์ เท่ากับ 70 บาท (ประมาณ 49000 บาท) และ 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 30 บาท (ประมาณ 36000 บาท) จะบอกว่า นักเรียนอังกฤษได้เงินมากกว่านักเรียนเยอรมันไม่ได้ หรือนักเรียนอเมริกาได้เงินน้อยสุด เพราะอะไร... เพราะความต่างของค่าเงินนี่หล่ะครับ จบปริญญาตรีที่เยอรมนี ได้เงินเดือนเดือนละประมาณ 2000 ยูโร ค่าเช่าบ้าน 400 ยูโร (ได้บ้านเท่าแมวดิ้นตาย) ค่ากิน 300 ยูโร ค่าประกันสุขภาพ 70 ยูโร ค่ารถเมล์ ประมาณ 180 ยูโร (คิดอัตราที่มิวนิค เมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุดของเยอรมนี นั่งได้ไม่จำกัดเที่ยว นั่งไปเลยทั่วมิวนิค นั่งแหลกราญ นั่งล้างผลาญเวลา) เหลือเงินเดือนละ 950 ยูโร คิดโน่นนี้เข้าไปด้วย ก็ตีซะว่า เหลือ 900 ยูโรต่อเดือน (เงินนี้ใช้ได้อีกเดือนเต็มๆ ถ้าเดือนหน้าไม่มีงานทำ กินน้อยลงหน่อยก็พอ ค่ารถไม่ต้องเสีย เพราะไม่ต้องไปทำงาน) มาดูประเทศไทย จบปริญญาตรี ได้เงินเดือน 10000 บาท ค่าเช่าห้อง 5000 บาท ค่ากินวันละ 100 บาท (พอไหมนี่) ค่ารถเมล์ นั่งรถแดง ต่อเดียวเอ้า ไปกลับ 16 บาท (เดือนหนึ่ง 540 บาท) ประกันสังคม 500 บาท (แถมไปหาหมอต้องจ่ายอีก) เสื้อผ้า โอ้ยอย่าไปซื้อมันเลย เงินจะหมดแล้ว สรุปเดือนหนึ่ง 9400 บาท เหลือเงินเก็บ 600 บาท เดือนหน้าถ้าไม่มีงานทำ ตาย ต้องนอนข้างถนน สรุปว่า มิวนิค หรือ กรุงเทพฯ ค่าครองชีพแพงกว่ากันครับ ถ้าได้เงินเดือน 2000 บาท แล้วค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เหมือนมิวนิค แต่เปลี่ยนเป็นเงินบาท ก็จะมีชีวิตไม่ต่างกับชาวเยอรมันเลยครับ แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 52 17:46:52 แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 52 22:30:07 แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 52 22:29:11 แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 52 22:25:03 แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 52 22:23:15 จากคุณ : เบคู กะ อูเว - [ 26 ม.ค. 52 22:21:59 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ู^ ^ พูดง่ายๆ  รายได้ของคนในประเทศที่เจริญแล้ว(โดยเฉพาะคนชนชั้นรากหญ้า) จะได้สัดส่วนกับค่าครองชีพที่ต้องเสียไปในแต่ละเดือน  ทำงานชิลๆ สบายๆ ไม่ต้องไปคดโกงใคร ก็มีเงินพอใช้จ่าย และเหลือเก็บไว้เป็นทุนรอนเมื่อยามแก่เฒ่า ส่วนของไทย คนส่วนใหญ่ที่ทำมาหากินสุจริต ทำงานแทบตาย เงินแทบจะไม่พอใช้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรฟุ่มเฟือยเลย เพราะรายได้มันไม่สัมพันธ์กับค่าครองชีพที่แพงเกินเหตุ จากคุณ : praphrut608 - [ 26 ม.ค. 52 23:12:08 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ความคิดเห็นที่ 23 นักเรียนทุน กพ. มาเรียนต่อเยอรมนี ได้เงินเดือนเดือนละ 900 ยูโร ในขณะที่ไปเรียนอังกฤษ จะได้ประมาณเดือนละ 1200 ปอนด์ Really??? I think Thai government scholarship students in UK got £745  per month ( ~£830 if study in London) จากคุณ : FBlock - [ 27 ม.ค. 52 00:06:02 ]

ความคิดเห็นที่ 26 การจัดอันดับประเทศที่มีค่าครองชีพที่แพงที่สุดของ Mercer นั้น  มีจุดประสงค์หลักไว้ใช้สำหรับการเป็นพนักงานต่างชาติ (expatriate) และบริษัทที่จะว่าจ้าง   เพื่อเป็นเกณฑ์ในการต่อรองหรือเรียกร้อง package ค่าจ้างให้เหมาะสมกับประเทศที่ตนเองจะไปทำงาน เงื่อนไขที่  Mercer มาใช้จึงครอบคลุมถึงทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัวในชีวิตประจำวัน ซึ่งราคาสิ่งของทุกอย่างสำหรับคนเหล่านี้จะสูงกว่าคนเจ้าของประเทศจ่ายจริง   เริ่มตั้งแต่ค่าที่อยู่  ค่ากิน  ค่ารักษาพยาบาล   ค่าโรงเรียนลูกๆ  ฯลฯ   แม้แต่เงื่อนไขสภาพทางการเมืองความปลอดภัยของชีวิตก็รวมอยู่ด้วย ดังนั้นการจัดอันดับของ  Mercer  จึงไม่ได้สะท้อนภาพมาตรฐานความเป็นอยู่โดยรวมของประชาชนในประเทศนั้น    แต่จะมีการทำสำรวจ Quality of Living Global Rankings  อีกต่างหาก   จะเห็นว่าลำดับของประเทศจะเปลียนไปอย่างสิ้นเชิง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  มอสโควนั้นไม่ติดอันดับแม้แต่ 20 อันดับแรกของประเทศที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี การทำสำรวจที่เป็นการสะท้อนภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่ใกล้เคียงความเป็นจริงนั้นน่าจะดูผลการสำรวจของ  UBS Invesment Banking ซึ่งเป็นหน่วยงานทางการเงินที่มีสาขาอยู่ทั่วโลกกว่า 50 ประเทศ   โดยผลการสำรวจล่าสุดปี 2008  ชื่อว่า  UBS survey  "Prices & Earnings"   ในจำนวนประเทศทั้งหมด 71 ประเทศทั่วโลก   UBS  จัดลำดับประเทศที่มีค่าครองชีพที่สูงที่สุดในโลกโดยใช้เกณฑ์ของอัตราค่าจ้าง  (wage levels)  และ  กำลังซื้อของประชากร (domestic purschasing power) ในประเทศนั้นๆ     ผลสำรวจจึงถูกนำมาใช้ประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะไปเที่ยวในประเทศนั้นๆ  เนื่องจากสะท้อนค่าครองชีพที่แท้จริงของทั้งประเทศ    ไม่ใช่เฉพาะคนทำงานชาวต่างชาติตามแบบของ  Mercer อันดับเมืองและประเทศที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดจึงเป็นอย่างที่หลายคนบอกไว้แล้วคือ 1)  Oslo  นอร์เวย์ 2)  Copenhagen  เดนมาร์ก 3)  London  อังกฤษ 4)  Dublin   ไอร์แลนด์ 5)  Zurich   สวิสเซอร์แลนด์ อันดับเมืองและประเทศที่มีค่าจ้างแพงที่สุดในโลกคือ 1)  Copenhagen   เดนมาร์ก 2)  Oslo  นอร์เวย์ 3)  Zurich  สวิสฯ 4)  Geneva  สวิสฯ 5)  Dublin   ไอร์แลนด์ อันดับเมืองและประเทศที่ประชากรมีกำลังซื้อมากที่สุดในโลกคือ 1)  Copenhagen   เดนมาร์ก 2)  Zurich   สวิสฯ 3)  Berlin  เยอรมันนี 4)  Geneva   สวิสฯ 5)  Frankfurt  เยอรมันนี จะเห็นว่าประเทศที่มีค่าจ้างสูงที่สุด   ไม่ได้หมายความว่าจะมีกำลังซื้อสูงที่สุด   ถ้าข้าวของในประเทศนั้นราคาแพง  ถึงแม้ได้ค้าจ้างสูงก็จริงแต่กลับไม่เหลือเงินให้จับจ่ายได้มาก รายละเอียดเข้าหาอ่านได้ใน  UBS homepage แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 52 05:26:18 จากคุณ : Scharfsinn (Scharfsinn) - [ 27 ม.ค. 52 00:26:07 ]

ความคิดเห็นที่ 27 และแล้ว โคเปน เดนมาร์กก็เข้าวินมาอันดับ 1 และ 2 ทำงานที่นี่จ่ายภาษีเยอะก็จริงแต่ก็ยังเหลือเก็บเอาไว้เที่ยวได้อย่างสบายๆค่ะ เห็นด้วยกับความคิดเห็นด้านบนค่ะว่ากรุงเทพฯบ้านเราค่าครองชีพสูงเช่นกันถ้าเทียบกับเงินเดือนที่ได้และรายจ่ายที่ต้องจ่ายออกไป จากคุณ : sunisa (sunisaogkim) - [ 27 ม.ค. 52 01:07:04 ]

ความคิดเห็นที่ 28 #11 ป้าลิ คนเดนนิชมาทำงานที่เมืองผม บอกว่าเมืองผมแพงกว่าที่เดนมาร์คอีก -_-'' จากคุณ : chonlapat81 - [ 27 ม.ค. 52 02:04:10 ]

ความคิดเห็นที่ 29 THE MOST EXPENSIVE CITIES IN THE WORLD                  ขอบคุณผู้ตั้งกระทู้ และผู้ที่ให้หัวใจ มานะครับ           อธิบายเพิ่มเติม จากการเชื่อม link ในความคิดเห็น #2 นะครับ ปกติ เวลาที่ยกข้อความมา จะกำกับแหล่งที่มาสำหรับค้นคว้าไว้ ในที่นี้ หากมีความละเอียดและเวลาศึกษา จะเห็นได้ว่า เมื่อคลิก link ใหญ่เข้าไปแล้ว จะพบ link ย่อยของแหล่งสำรวจอื่นๆอีก ซึ่งมีการแจกแจงเอาไว้แล้ว โดยศูนย์นั้นๆ หรือแหล่งข่าวนั้นๆ ข้อมูลใน link ย่อยเหล่านั้น ไม่ตรงกัน หากจะนำมาเทียบ มีความต่างอยู่ เพราะฉะนั้น คงไม่ใช่ประเด็นที่ต้องมาอธิบายความต่างของแหล่งข้อมูล ทั้งนี้ ขึ้นกับวิจารณญาณ และประสบการณ์ รวมทั้งดุลพินิจส่วนบุคคล สำหรับกระทู้นี้ ผมได้หาแหล่งสืบค้นมาให้เป็นพื้นฐานในชั้นต้นเท่านั้น เพื่อผู้ถาม ผู้สนใจ หรือผู้ใฝ่แสวงหาข้อมูล ได้ไปต่อยอด ตามอัธยาศัยครับ มิได้มีเจตนาใดๆ หรือความคิดเห็นใดๆ ว่า สิ่งที่ระบุไว้นั้น ถูกหรือไม่ อย่างไร เป็นการช่วยเหลือหาข้อมูล และไม่ได้อธิบาย เพราะหนึ่ง ไม่มีเวลามากพอ สอง เชื่อว่าคนในห้องนี้อ่านภาษาอังกฤษจากแหล่งข้อมูลนั้นได้ โดยไม่ต้องแปลให้ครับ           อย่างไรก็ตาม เพื่อความชัดเจน ขอนำ linkย่อย ที่อยู่ใน link ใหญ่ #2 มาแยกออกดังนี้คือ --ECA International Survey --UBS Survey --Mercer Survey --EIU Survey แหล่งข้อมูลแต่ละแห่ง ระบุเดือนปีไว้ พร้อมกับตารางเปรียบเทียบเมืองต่างๆ ECA International survey (June 2008) : Introduction | Table: World | Table: Europe | Table: Asia | http://www.citymayors.com/statistics/expensive-cities-world.html UBS survey (March 2008): Most expensive cities (Intro) |World's most expensive cities (table) |Richest cities by personal earnings (table) | Richest cities by purchasing power (table | [[London is the most expensive city in the world while Zurich is home to highest wage earners A report by UBS]] Methodology These calculations are based on wage figures, social security contributions and working hours in 2006 for fourteen widespread professions. Uniform criteria were used with regard to work experience, age, marital status etc. The wage index was weighted by the share of each occupation in overall employment and overall income and also by gender. The figures relate to pay net of taxes and social security contributions. **In calculating the 2008 update of the wage index, UBS not only took account of exchange rates and inflation, but also factored in that part of the economic growth was due to productivity improvements and was therefore passed on to employees in the form of higher pay. http://www.citymayors.com/economics/richest_cities.html Mercer survey (July 2008): Most expensive cities http://www.citymayors.com/features/cost_survey.html EIU survey (2007): Most expensive cities 17 June 2008: Deciding on which is the world’s most expensive city is a little bit like choosing between the merits of various world heavy weight boxing champions. Until a few years ago the choice was between Tokyo and London. But in its 2007 ‘Worldwide cost of living survey’ the Economist Intelligence Unit (EIU) said four European cities had overtaken Tokyo as the world’s costliest city. However, Mercer Consulting insists that in 2008 Moscow was the most expensive city in the world, with Oslo ranked 4th. Meanwhile, in its March 2008 research, Swiss Bank UBS puts London in first place, followed by Oslo, New York and Tokyo. To make budget planning for international travellers and expatriates even more difficult, ECA’s June 2008 research suggests that Angola’s capital Luanda was the most expensive city in the world. http://www.citymayors.com/economics/expensive_cities_eiu.html Note : ในความเห็นส่วนตัว (ไม่มี link) เป็นเรื่องยากที่จะสรุป สิ่งที่เป็นที่สุดในโลก เพราะแน่นอนว่า ไม่ว่าในหัวข้อไหน จะต้องมีความคิดเห็นที่ต่างกันอยู่ โดยเฉพาะ ในเรื่องเมืองที่รวยที่สุด แพงที่สุด สวยที่สุด ดีที่สุด ในโลก หรือเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก การตีความอาจจะเหมือนหรือต่างกันได้ และไม่มีิ่ข้อสรุปได้สำหรับปัจเจกบุคคล เรื่องค่าครองชีพ ขึ้นกับรายได้ ขึ้นกับขนาดครอบครัว ขึ้นกับรายจ่ายส่วนตัว รวมทั้งระบบภาษีอีกด้วย ใครจะอยู่ที่ไหนแล้วเหมาะสมกับตนหรือไม่ ล้วนต้องพิจารณาปัจจัย หลายอย่าง คำตอบเกี่ยวกับการจัดอันดับในแต่ละปี หรือสถิตินักท่องเที่ยว ประเด็นเหล่านี้ เปลี่ยนแปรได้ อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ใช่ หากเน้นคนละหลัก หรือยกมาจากแหล่งสำรวจ ต่างปี นี่เป็น "ข้อมูลพื้นฐาน"เท่านั้นครับ                 edit Methodology แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 52 02:36:31 แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 52 02:33:58 แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 52 02:24:17 จากคุณ : ยอดทิวาพันแสง - [ 27 ม.ค. 52 02:13:04 ]

ความคิดเห็นที่ 30 จำได้ว่า เคยซื้อน้ำธรรมดา ราคา เกือบ 140 บาทไทย (ประมาณ 20 โครน) ที่ Copenhagen ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะหนูหิวน้ำมากค่า เลยกัดฟันซื้อ T_T และยังจำได้อีกว่า เจอพี่ๆคนไทยที่ร้านอาหารไทย เมื่อวันก่อนกลับ 2 วัน ดีใจมากๆ ยังจำอาหารเย็น สองมื้อ นั้นได้ค่ะ อิ่ม อร่อย และ คุ้มที่สุด จากคุณ : นางสาวอันดามัน - [ 27 ม.ค. 52 03:00:19 ]

ความคิดเห็นที่ 31 #26 ครับ Dublin อยู่ Ireland ไม่ใช่หรอครับ หรือว่าใน อังกฤษ ก็มี ครับ แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 52 05:04:18 จากคุณ : ZerBoYer - [ 27 ม.ค. 52 05:02:26 ]

ความคิดเห็นที่ 32 คห  31  ขอบคุณมากๆ ที่ช่วยทักท้วงแก้ไข  ผิดพลาดจริงๆ และได้แก้ไขตามที่กรุณาบอกมาแล้ว   เนื่องจากไม่มีเวลาพอไปค้นคว้า   และความรู้ภาษาอังกฤษมีน้อย   จะไปอ่านตาม link   ก็เกรงว่าจะไม่เข้าใจ   ถือเสียว่าเป็นความรู้  "ขั้นพื้นฐาน"  แล้วกัน แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 52 05:51:42 จากคุณ : Scharfsinn (Scharfsinn) - [ 27 ม.ค. 52 05:27:49 ]

ความคิดเห็นที่ 33 แต่ที่เยอรมัน ภาษาทั่วไป 19% นะครับ แล้วภาษีรายได้ หากไม่ผิดพลาด ก็ประมาณ 40% แหล่งข้อมูล : ที่พอจะทราบมาครับ ตอนนี้อยู่เยอรมัน แต่ก็ไม่ได้แน่ใจ 100% ครับ แต่เพื่อนผมที่เป็นเยอรมันหลายคนบอกนะครับว่า จบป ตรี เริ่มประมาณ 1200 ยูโร ป โท ประมาณ 2000 นี่น่าจะหักภาษีแล้ว บอกเท่าที่ทราบนะครับ จากคุณ : LuPangBig - [ 27 ม.ค. 52 06:59:38 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ที่เยอรมัน ภาษีรายได้จ่ายเป็นเบอร์ค่ะ มีตั้งแต่เบอร์ 1-5 เบอร์ 5 รู้สึกจะจ่ายแพงสุด เคยถามคนที่บ้าน เพราะแกเดินทางบ่อยๆ บอกว่าเท่าที่เคยไปมา ฟินแลนด์ของแพง (อันนี้เป็นประสบการณ์จริงของพ่อบ้านแต่เพียงผู้เดียว) เห็นด้วยกับคุณทิวาพันแสงมากๆค่ะ ที่ว่า (ขอก็อปมาแปะข้างล่างนี่เลยค่ะ) Note : ในความเห็นส่วนตัว (ไม่มี link) เป็นเรื่องยากที่จะสรุป สิ่งที่เป็นที่สุดในโลก เพราะแน่นอนว่า ไม่ว่าในหัวข้อไหน จะต้องมีความคิดเห็นที่ต่างกันอยู่ โดยเฉพาะ ในเรื่องเมืองที่รวยที่สุด แพงที่สุด สวยที่สุด ดีที่สุด ในโลก หรือเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก การตีความอาจจะเหมือนหรือต่างกันได้ และไม่มีิ่ข้อสรุปได้สำหรับปัจเจกบุคคล เรื่องค่าครองชีพ ขึ้นกับรายได้ ขึ้นกับขนาดครอบครัว ขึ้นกับรายจ่ายส่วนตัว รวมทั้งระบบภาษีอีกด้วย ใครจะอยู่ที่ไหนแล้วเหมาะสมกับตนหรือไม่ ล้วนต้องพิจารณาปัจจัย หลายอย่าง คำตอบเกี่ยวกับการจัดอันดับในแต่ละปี หรือสถิตินักท่องเที่ยว ประเด็นเหล่านี้ เปลี่ยนแปรได้ อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ใช่ หากเน้นคนละหลัก หรือยกมาจากแหล่งสำรวจ ต่างปี นี่เป็น "ข้อมูลพื้นฐาน"เท่านั้นครับ จากคุณ : @_s.Oliver_@ - [ 27 ม.ค. 52 13:52:37 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ภาษีเงินได้ในเยอรมันนีมี 4  ระดับตามอัตรารายได้ต่อปีดังนี้ 0%  รายได้ถึง 7,664 E 15%  รายได้ตั้งแต่  7,665 E -  52,152 E 42%   52,153 E -  250,000 E 45%   250,0001  E  และมากกว่า ภาษี VAT หรือ MwSt (Mehrwertsteuer)  19% นอกจากภาษีรายได้แล้ว  ยังต้องหักค่า social welfare ต่างๆ เพิ่มเข้าไปอีก 4-5 รายการ เป็นต้นว่า  เงินเกษียณ   ประกันสุขภาพ  ค่าดูแลยามเจ็บป่วย  เงินประกันว่างงาน  และ ค่าประกันอุติเหตุตามลักษณะงาน (ปกตินายจ้างจ่าย)   โดยเฉลี่ยทั่วไปแล้ว  จากรายได้ทั้งหมดจะเหลือสุทธิที่  51 %  จะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับสถานะครอบครัวว่าโสด  แต่งงานหรือ มีบุตรกี่คน  คนโสดอาจเหลือรายได้สุทธิใช้แค่  50%   ส่วนคนที่มีลูก 2 - 3 คน  อาจเหลือสุทธิใช้ 60 - 65 % การใช้ผลสำรวจใดๆ ขึ้นอยู่กับองค์กรที่สำรวจ  จุดประสงค์ในการนำไปใช้  จึงใช้ปัจจัยที่นำมาพิจารณาต่างกันและไม่ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม    ถึงแม้จะเป็น "ข้อมูลพื้นฐาน"   แต่คนจะนำไปใช้ประโยชน์ได้  ต้องรู้จักวิเคราะห์ด้วยว่าข้อมูลใดเหมาะสมกับจุดประสงค์ที่ตัวต้องการหรือไม่ แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 52 17:13:45 แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 52 15:42:42 จากคุณ : Scharfsinn (Scharfsinn) - [ 27 ม.ค. 52 15:07:28 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ดิฉันว่าประเทศไทยนี่แหละ แพงที่สุดในโลกค่ะ ไม่รู้ว่าปกติค่าครองชีพเค้าคิดกันยังไง คำนวณออกมาแบบไหน เพราะฉะนั้นดิฉันจะตอบตามความคิดของตัวเอง โดยคำนึงถึงรายได้และรายจ่าย ดิฉันอยู่เมืองไทยเงินเดือน 15,000 บาท ตอนนี้อยู่เดนมาร์ก เงินเดือน 14,000 โครน ถือว่าได้เงินเดือนระดับเดียวกัน แต่ต่างกันที่หน่วยค่าเงิน จะซื้ออะไรที ก็ไม่ต้องเก็บเงินกันหลังโก่งเหมือนเมืองไทยตัวอย่างคร่าวๆ ซื้อรถ  เมืองไทย 600,000 บาท เดนมาร์ก 150,000 โครน โน๊ตบุ๊ค เมืองไทย 20,000 บาท เดนมาร์ก 4,000 โครน มือถือหรูๆ เมืองไทย 15,000 บาท เดนมาร์ก 3,000 โครน กล้องดิจิตอล  เมืองไทย 15,000 บาท เดนมาร์ก 2,000 โครน ก็มีบางส่วนนะคะ ที่เดนมาร์กแพงกว่าเมืองไทย แต่ส่วนใหญ่เห็นจะเป็นแบบนี้มากกว่า ส่วนใหญ่ที่ว่าแพง เพราะมักจะคำนวณเป็นค่าเงินไทยเวลาซื้อของ แต่ก็ต้องนึกถึงรายรับด้วย เพราะว่าเราไม่ได้รับเงินเดือนไทย แต่จ่ายราคาฝรั่งซะที่ไหนกันคะ จากคุณ : KungGuenter - [ 27 ม.ค. 52 16:07:35 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ที่คุณ จขกท. ว่าข้าวจานละแปดร้อยนี่ หน่วยเป็นบาทหรือโครนค่ะ ถ้าหน่วยเป็นบาท ก็ธรรมดานะค่ะ ถ้าเป็นร้านอาหาร เพราะส่วนใหญ่ร้านอาหารก็จะแพงหน่อย เพราะภาษีแถวนี้แพง ขนาดดิฉันจะกินส้มตำที มะละกอ ลูกนึงก็ปาเข้าไป 3-4 ร้อยบาทแล้วค่ะ จากคุณ : KungGuenter - [ 27 ม.ค. 52 16:12:35 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ^ ^ ^ ^ อิจฉาจังมีมะละกอกินด้วย T_T จากคุณ : chonlapat81 - [ 27 ม.ค. 52 19:48:38 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ^ ^ น้องchonlapat81 ที่กรีนแลนด์ไม่มีมะละกอก็ใช้แตงกว่าโลดค่ะ     แตงแถวนี้ใหญ่พอๆ กับมะละกอแหล่ะ อิอิ ^_^ จากคุณ : ป้ามะลิกับลุงมะระ - [ 27 ม.ค. 52 21:06:23 ]

ความคิดเห็นที่ 40 มะละกอแถวอังกฤษลูกเหี่ยวๆยังขายตั้ง4ปอนด์ก่า ลูกใหญ่ก็ไม่เกี่ยงราคาหรอก แต่นี่ลูกเท่าสาก!!! ลูกมะกอกแพ็คนึง4ลูก/2ปอนด์ก่า ขายแพงกระด้อกระเดี้ยอีกละ !!เพื่อรอบเอวอันอ้อนแอ้น ก็เลยต้องซื้ออยู่ดี ตำแตงกินแซ่บกั่ว ลวกเส้นข้าวปุ้นลงไปคลุกนำ จังแม่นนัวขนาด เมื่อวันก่อนไปดูรถมือ2คันที่คุณพ่อบ้านชอบ พอลองขับรอบเมืองเสร็จคุณพ่อบ้านต่อเหลือ3,000 จากราคา4,750 ดีมากอ้ายเฒ่า (ก่อนปีใหม่แกเจอลูก/เมีย/แม่ถล่มโบนัสจนหมด ป่านนี้ยังนั่งทำเป็นงงอยู่เลย) ลป. ปีนี้คงต้องเลื่อนเวลากลับบ้านออกไปก่อน ค่าเงินปอนด์กระเตื้องค่อยว่ากันใหม่ (คิดถึงกล้วยแขกห้างเอ็มโพเรียม อ่า ใครได้กลับบ้านก็แซ่บเผื่อแนเด้อ) จากคุณ : ศิริรักษ์ - [ 27 ม.ค. 52 22:01:47 ]

ความคิดเห็นที่ 41 พูดยากนะ จะเอาคำตอบตามที่ทางการให้ข้อมูล หรือจะเอาที่จ่ายจริง เวลาไปอยู่หรือไปเยือน ญี่ปุ่น นี่ถ้าเทียบกับยุโรป ถือว่าถูกกว่า แต่เงินเยน กำลังขึ้น อังกฤษเคยรู้สึกว่าแพง แต่ตอนนี้เงินปอน์ดก็ลง ที่ไปมา สแกนดิเนียเวียนี่แหละแพงสุด จากคุณ : ตาน - [ 27 ม.ค. 52 22:59:52 A:192.168.0.17 X:78.20.213.165 TicketID:105576 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าปัญหาของไทยคืออะไร ที่ UK นอกลอนดอน  คนทำแมคโดนัลด์ ได้ขั้นต่ำ 5.75 ปอนด์ต่อชั่วโมง เฉลี่ย หนึ่งวีก ทำ 40 ชม ก็ได้ประมาณ 220 กว่าปอนด์ ที่กรุงเทพ คนทำแมคโดนัลด์ ได้ชั่วโมงละ 25 บาท สมมติว่าทำ 40 ชั่วโมง ก็ได้ 1000 บาท สรุปก็คือ ทำแมคโดนัลด์ที่ไทยได้เดือนละ 4,000 บาท ใช้ชีวิตไม่มีทางพอแน่นอน ตรงข้ามใน UK จะมีเงินถึง อย่างน้อยเกือบ 900 ปอนด์ต่อเดือน จ่ายค่าเช่าบ้าน ประมาณ 300 ปอนด์ต่อเดือน ก็เหลือใช้จ่ายอีก 600 ปอนด์เต็มๆ สรุปก็คือ ทำไมที่ไทย มันเป็นแบบนี้ ระบบการทำงานของเรา ไม่เอื้อต่อคนรากหญ้าอย่างแท้จริง เราเติบโตมาด้วยระบบวัตถุนิยม ทุนนิยม แต่แก่นแท้ของสังคมเรา และการดูแลจากรัฐ กลับไม่ได้พัฒนาตามไปด้วย ถึงจะรักเมืองไทยมากเท่าชีวิต แต่พอมาเห็นระบบในต่างประเทศที่เขาสร้างขึ้นมา เพื่อคนของเขาจริงๆ เลยต้องตั้งคำถามกับตัวเองตลอดเวลาว่า ทำไมประเทศเราถึงเป็นแบบนี้ ? จากคุณ : ...เอาเถอะ - [ 27 ม.ค. 52 23:14:07 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ^ ^ เพราะว่าฐานะทางเศรษกิจของเรากับของเค้ามันไม่เหมอืนกันไงครับ  ประเทศของเรา รายรับมันไม่ได้มากมายเหมือนกับประเทศแถบยุโรป ทำให้รัฐสวัสดิการต่างๆ มันไม่ได้ดีเหมือนในประเทศที่พัฒนาแล้วแบบยุโรปครับ เพราะรัฐบาลก็แจกแจงงบตามรายรับของประเทศเรานั่นหล่ะคัรบ  การแข่งขันทางการค้า ยุโรปเค้าได้เปรียบเรา เพราะเค้าปฎิวัติอุตสาหรรมก่อนเราไงครับ จากคุณ : sUnTaO - [ 28 ม.ค. 52 00:05:55 ]

ความคิดเห็นที่ 44 รายได้ กับ รายจ่าย แต่ละประเทศมันก็ต้องสัมพันธ์กันน่ะค่ะ จากคุณ : Engfriend47 - [ 29 ม.ค. 52 01:50:20 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า  เขาคำนวนกันยังไง  แต่คำนวนจากความรู้สึกของตัวเองแล้วเห็นด้วยกับบางความเห็นข้างบน  รายได้กับค่าครองชีพของคนไทยไม่สัมพันธ์กันเลย  โดยเฉพาะชนชั้นแรงงาน เมื่อก่อนรายได้ต่อเดือน 12,000 บาท  หักโน่นหักนี่เหลือเก็บต่อเดือนไม่ไหร่  กลับไปเยี่ยมบ้านต่างจังหวัดที  เงินที่เก็บไว้ก็เกือบหมด  แล้วก็เริ่มต้นเก็บใหม่  วนๆ เวียนๆ อยู่อย่างนี้  ทั้งๆ ที่ก็รัดเข็มขัดจนตัวกิ่ว ตอนนี้มีรายได้เฉลี่ยต่อวัน 10,000 บาท  แม้จะหักค่าภาษีมหาโหด หักโน่นหักนี่ แต่ยังไงก็ยังเหลือให้ชื่นใจ เมื่อ 2-3 อาทิตย์ก่อน  ยังพูดกับพ่อบ้านอยู่เลยว่า  เมื่อก่อนฉันต้องทำงานทั้งวันถึงจะมีเงินซื้อแชมพูกับครีมนวดคู่นี้ได้... มันแตกต่างกันจนยากจะเข้าใจ จากคุณ : monchen - [ 29 ม.ค. 52 06:55:16 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ผลสำรวจของเงินเดือนเอ้กแพท ในทวีปต่างๆ พบว่าเอ้กแพทสัญชาติยุโรปหรือ อเมริกัน เมื่อมาอยู่เมืองไทยหรือแถบเอเชีย จะได้ค่าเเรงสูงมากกว่า เอ้กแพทที่อยู่ในที่อื่นๆ ไม่นับแอฟฟริกา ในขณะเดียวกันเอ็กซ์แพทสัญชาติไทยและเอเชียอื่นๆ จะได้รับเงินเดือนต่ำกว่า เอ็กซ์เเพทในตำแหน่งเดียวกัน บริษัทเดียวกัน จากคุณ : mrs.night owl - [ 29 ม.ค. 52 17:36:02 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ถ้าลองเทียบๆว่าค่าแรงขั้นต่ำหนึ่งชั่วโมงจะซื้ออะไรได้บ้าง เราว่าประเทศไทยคงเป็นต้นๆของโลก ขั้นต่ำอังกฤษหนึ่งชั่วโมงอย่างน้อยก็ยังเข้าแมคซื้อเบอร์เกอร์ได้หลายก้อนอยู่ จากคุณ : pervpanda - [ 30 ม.ค. 52 03:00:01 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ^ ^เห็นด้วยกับคคห.ที่47 ลองคิดที่ค่าเเรงขั้นต่ำ ไทยน่าจะติดอันดับต้นๆค่ะ จากคุณ : Hana* - [ 30 ม.ค. 52 08:53:38 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เข้ามาอ่านเป็นความรู้เจ้าคะ... จากคุณ : สายน้ำริน (yoja) - [ 30 ม.ค. 52 15:09:47 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เอาค่าเเรงขั้นต่ำมาเทียบกับราคา บิ๊กแมค ดิแนว่าไม่ค่อยยุติธรรมนะคะ เพราะ แมคดดเนลบ้านเรา มันราคาไม่ได้ถูก อย่างที่ออกแบบมาให้คนรายได้น้อยกิน ค่าเเรงขึ้นต่ำ กินก่วยเตี๋ยวไก่รถเข็นได้หลายชามอยู่นะ จากคุณ : mrs.night owl - [ 30 ม.ค. 52 15:34:27 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ลองคิดตามอัตราค่าแรงขั้นต่ำรายชั่วโมงดูนะคะ (คร่าวๆ) คนกทม. ชม.ละ 25 บาทกินข้าวได้ 1 จาน ทำงานเพิ่มอีก 1 ชม. ถึงจะซื้อน้ำเปล่าได้ คนลอนดอน ชม.ละ 5 ปอนด์ กิน Fish and Chips ได้ 1 จาน แล้วกดน้ำก๊อกกินไป ลองมาเทียบกับค่าเช่าบ้าน คนกทม.เช่าห้องรูหนู 2,500 บาท (ไม่รู้ยังมีอยู่หรือเปล่า) ต้องทำงาน 100 ชม. คนลอนดอนเช่าห้องเท่าแมวดิ้นตาย 300 ปอนด์ทำงานแค่ 60 ชม. ก็พอแล้ว ค่าเดินทาง คนกทม. ทำงาน 1 ชม. เดินทางได้ประมาณ 3 เที่ยว (รถเมล์แดง) ค่ารถเมล์แดงลอนดอน ถ้ามีตั๋วเดือน ทำงาน 1 ชม. เดินทางน่าจะได้ประมาณ 8 เที่ยว (ผิดถูกยังงัยก็แจ้งด้วยนะคะ) ค่าเสื้อผ้า คนกทม. ทำงาน 2 ชม. คงได้เสื้อยืดสักตัว (ตราห่านคู่) คนลอนดอนทำงาน 2 ชม. ซื้อเสื้อผ้าเซลล์ได้แล้ว หรืออาจจะได้ถึงสองตัว สินค้าฟุ่มเฟือย... ดูหนังโรงคนกทม. ต้องทำงาน 4-5 ชม. ต่อหนึ่งที่นั่ง คนลอนดอน 2 ชม. ดูหนังได้ 1 เรื่อง อยากดูคอนเสิร์ต Coldplay ... 50 ปอนด์ ที่ Wembley คนลอนดอนต้องทำงาน 10 ชม. อยากดูคอนเสิร์ตพี่เบิร์ด ... 800 บาท ที่ Impact เมืองทอง คนกทม. ต้องทำงาน 32 ชม. นี่ขนาดลอนดอนเป็นเมืองที่ค่าครองชีพแพงอันดับ 3 ของโลก คนลอนดอนไม่เห็นต้องทำงานหนักเหมือนคนกทม. เลย แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 52 15:09:11 จากคุณ : มู่หลินฮุย - [ 31 ม.ค. 52 14:33:09 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 31 ม.ค. 52 16:28:22 ]

ความคิดเห็นที่ 53 คุณมู่หลินฮุย ลืมเรื่องภาษี กับ ni หรือเปล่าครับ ค่าบ้านลิมเรื่อง coucil tax ค่าไฟ ค่าแกซ หรือเปล่าครับ ทำงานชั่วโมงละ 5.5 ภาษีเอาไปเหลือประมาณ 4.0 ค่าเช่าบ้าน หนึ่งห้องเมืองไทย 5000 bath/monthค่าไฟน้ำ 1000 ห้องเท่ากันเลยห้องน้ำในตัว ลอนดอน 600-650 +coucil tax 90-150 (ตาม zone) ไฟน้ำแกซ 60-100 ตามอากาศ London 600+90+60 = 750 gbp Bangkok 5000+1000 = 6000 baht  อันนี้เอาแบบขนาดเดียวกันนะครับ ไม่เอาแบบแมวซุกตาย เมืองไทยแม้จะแมวซุกตายก็ยัง en-suite ส่วนใหญ่ ที่อังกฤษแมวซูกตาย ไม่มีห้องน้ำอาบน้ำอีกไปแชร์ ค่าแรงขั้นต่ำ 25บาท กับ 5.5   ไทยได้ 25x160 = 8000 baht /no income tax uk 5.5x160 =880 x 78% = 686.4 after tax then after ni contribution 624 GBP 8000-6000= 2000 bahts 624 -750 = ....  - 126 GBP ยังไม่มีเงินไว้กินข้าวเลยอ่ะครับ อันนี้ผมเทียบตามห้องที่ต้องเหมือนกันนะครับ แต่ถ้าไป share เขาอยู่มันก็อีกเรื่องครับ ประมาณ 400 รวม coucil + ค่าไฟก็ 450  = 624-450 = 174 GBP ก็มีเงินเก็บมากกว่า ประมาณนี้ครับ ลืมบอกไปครับอันนี้ไม่ทราบว่าเมืองไทยต้องจ่ายสวัสดิการ ประกันสังคมไหมนะครับ แต่ค่าแรงไม่น่าจะต้องจ่ายภาษีในเรทนี้ แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 52 16:53:31 แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 52 16:50:16 จากคุณ : thetoppy - [ 31 ม.ค. 52 16:38:35 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เราเคยอยู่ลอนดอนห้าปีตอนนี้ย้ายมาอยู่สก๊อตแลนด์เข้าปีที่สามแล้ว คิดว่าของแพง แต่ก็พออยู่ใด้ถ้าใช้เงินเป็น ค่าภาษีหลายอย่างแพงเหมือนทุกประเทศแต่สวัสดิการณ์คงสู้นอร์เวย์กับสวิสไม่ใด้แน่ๆ(ไม่เคยไปอยู่นอร์เว์แต่รู้ว่าแท๊กแพงเหมือนกันแต่คนมีโอกาสเกษียรอายุน้อยกว่ายูเคแน่นอนค่ะ) สามปีที่แล้ว เราคิดว่ามีอยู่สามเมือง โดเกียว ลอนดอนและนิวยอร์ค  เลยคิดว่าญี่ปุ่นน่าจะเป็นที่สุด ส่วนลอนดอนค่าห้อง หรือแม้แต่ที่อเบอร์ดีนค่าบ้านก็ยังแพงเหมือนเดิม  สตูดิโอในแหล่งดีๆสามแสนกว่าขึ้น  แพงมากๆ เราเสริชไรท์มูปท์เว๊ปไซด์พอๆกับเข้าเว๊ปพันทิปซ่งบ่อยมากแต่ไม่เคยคิดว่าบ้านมันถูกลงเหมือนข่าวเลย แต่รู้ว่ามีบ้านค้างตลาดเป็นปีก็มี อยู่กรุงเทพของแพงขึ้นมากแต่สาวไทยทำงานเงินเดือนไม่กี่หมื่นอยู่เมืองไทยสามารถซื้อกระเป๋า เครื่องสำอางค์แพงๆใด้  อยู่นี่เงินขวัญถุงสามีให้ไม่ใช่น้อยแต่เรายังคิดแล้วคิดอีกไม่กล้าควักเลย   เพราะรายจ่ายที่ต้องเสียไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็นยกตัวอย่างค่าแท๊กซี่แค่ประมาณสิบห้าไมล์เป็นเงินประมาณห้าหกร้อยบาท ค่ารถเมล์เที่ยวละสิบเอ็ดปอนด์เข้าเมือง   แค่แวะดื่มกาแฟกับเค้กชิ้นเล็กๆก็ต้องเสียพอๆกับทานข้าวนอกบ้านที่เมืองไทยเลย (ค่าคนทำความสะอาดบ้านตอนนี้เรทสิบปอนด์ต่อชั่วโมง สี่ร้อยห้าสิบบาทไทยแล้ว แต่อยู่เมืองไทยจ้างเดือนละเจ็ดพันบาท ทำความสะอาดทุกอย่างและรีดผ้าให้ด้วย โครตจะอยู่อย่างสุขสบายเลย อยู่นี่ทำทุกอย่างเองหมด ทานข้างนอกอาทิตย์ละครั้งมีปัญญาแค่นี้ก็นับว่าเปลืองสุดๆแล้ว) แต่ค่าอาหารกลางวันลูกวันละประมาณร้อยบาทเหมือนเมืองไทย ค่ารถโรงเรียนเกือบสองร้อยปอนด์ อยู่กรุงเทพคงประมาณนี้เหมือนกัน   บางอย่างเราก็ยอมรับว่าแพงแต่ก็เข้าใจว่าเค้าต้องจ่ายภาษีแพงเพื่อเอาเงินตรงนั้นกลับคืนสู่ประชาชน  เปรียบเทียบกับเมืองไทย เงินภาษีของคนไทยกลับโดนนักการเมืองโกงกิน  คนไทยใด้รับคืนไม่เต็มที่เราเลยคิดว่าเมืองไทยเป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มที่่าครองชีพสูงที่สุดด้วยเหมือนกัน เพราะอะไรหลายอย่างที่เราใด้พรีเมื่ออยู่ที่นี่ อยู่เมืองไทยเราต้องจ่ายถึงจะเป็นเงินน้อยกว่าที่นี่ก็เถอะ  แต่สามีเราที่ทำงานและเดินทางไปหลายประเทศกลับบ่นว่าของแพงที่สุดคือ ไนจีเรีย เพราะแค่กระดาษทิชชูม้วนหยาบๆก็ม้วนละสองปอนด์แล้ว อยู่บ้านนอกเมืองไทยตอนนี้เด็กต่างจังหวัดใด้เงินไปโรงเรียนวันละยี่สิบนี่บอกไม่พอกิน  พ่อแม่ทำไร่ทำนารายใด้ขี้นอยู่กับสภาพอากาศและตลาดจะเลี้ยงลูกให้โตมีการศึกษาดีๆใด้อย่างไรถ้าไม่ยอมกู้หนี้ีมสินมาส่งลูกเรียน เพราะอยู่ต่างจังหวัดก็ต้องใช้เงินเยอะอยู่ดี ตอนนี้เราไม่คิดจะอยู่เมืองที่มีค่าใช้จ่ายน้อยแต่อยากอยู่เมืองที่มีสวัสดิการดีคุ้มค่ากับภาษีมากกว่า เพื่อนๆในนี้จะบอกเราใด้ใหมว่าเมืองใหนสวัสดิการคุ้มที่สุดคะ จากคุณ : ลูกแมง - [ 1 ก.พ. 52 07:13:36 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ลืมเรื่องภาษีไปจริงๆด้วยค่ะ (น้อมรับผิด) ตามกฎหมายจริงๆ ค่าแรงเท่านี้ คนไทยต้องจ่ายประกันสังคม 5% ค่ะ จากคุณ : มู่หลินฮุย - [ 1 ก.พ. 52 11:29:46 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เมืองไทยค่าแรงขั้นต่ำไม่สัมพันธ์กับค่าใช้จ่ายจริงๆ อ่ะ จากคุณ : HuGGie - [ 1 ก.พ. 52 12:28:23 ]

ความคิดเห็นที่ 57 จริงๆค่าครองชีพ ถ้าวัดว่ารายได้เทียบกับรายจ่าย เมืองไทยก็น่าจะติดอันดับเหมือนกันนะ เพราะทำมาหักค่าใช้จ่ายแทบไม่มีเหลือ เอาจริงๆ อย่ามาเทียบเป็นตัวเลขเลย ลองไปคิดว่า พอทำจริงๆ แล้วตอนอยู่เมืองไทยกับเมืองนอก แบบไหนเหลือเก็บพอไปทำอย่างอื่นได้เยอะกว่ากัน (ไม่ต้องเทียบค่าเงินนะ) เราว่า คนไทยเก่งนะ ซื้อบ้านซื้อรถกันได้ ทั้งๆที่รายได้ก็แค่นั้น แต่นั้นแหละ พวกฝรั่งพอเกษียณมันอยู่เฉยๆได้สบาย แต่เราคงต้องทำงานจนตายกันไปข้างนึง ก๋งร๊อกอายุแปดสิบ ทุกวันนี้ยังทำงานอยู่เลยฮะ ถ้ายายยังอยู่ ยายร๊อกก็ยังคงทำงานเหมือนกัน ที่เมืองไทยเราเห็นคนแก่ๆ ทำงานกัีนเยอะแยะไปนะ ที่อเมริกาเห็นอยู่บ้านเฉยๆ ผลาญเงินกันเล่นๆ ไปเที่ยวเมืองนอกสบายใจเชียว ร๊อกว่า ญี่ปุ่นน่าจะคาครองชีพแพงสุด เห็นญี่ปุ่นหลายคนพากันหนีออกนอกประเทศ ตอนแรกเรางงว่าทำไมเค้าถึงอยากอเมริกา แต่เค้าให้เหตุผลว่า ค่าครองชีพเค้าสูง แต่รายได้มันไม่พอกิน มาอเมริกา เป็นไอดีล อิมมิแกรนท์ หาเงินได้เริ่ดๆ ค่าครองชีพก็ต่ำกว่า จากคุณ : น้องร๊อก - [ 1 ก.พ. 52 15:07:29 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ค่าเช่าห้องที่เมืองไทย ไม่ต้องเช่า5000ก็ได้ค่ะ ถูกกว่านั้นก็มี จากคุณ : กาหยี่ (กาหยี่) - [ 1 ก.พ. 52 23:13:21 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ชอบจริงๆกะทู้นี้ จากคุณ : okb - [ 4 ก.พ. 52 21:11:38 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ขออนุญาตเสริมค่ะ การที่ผลการสำรวจค่าครองชีพของแต่ละที่แตกต่างกันนั้น มีสาเหตุหลายอย่างค่ะ อาจจะเป็นวิธีการเก็บราคา ชนิดประเภทของสินค้าที่เก็บราคา วิธีการคำนวณดัชนี การถ่วงน้ำหนักของสินค้าแต่ละหมวด เมืองที่ใช้เป็นฐานในการเปรียบเทียบ เป็นต้นค่ะ จากคุณ : gy - [ 25 ก.พ. 52 02:00:42 A:192.168.50.125 X:58.8.201.134 TicketID:164750 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ต่อจากข้างบนค่ะ แต่ละสำนักจะระบุรายละเอียดเกี่ยวกับที่มาของข้อมูลเอาไว้ให้ค่ะ ECA The research for ECA’s 2008 survey was conducted in March 2008 and is based on a basket of goods and services most commonly purchased by "western expatriates". The basket does "NOT include items such as accommodation, utility costs, school fees or motoring costs". UBS The cost of a weighted shopping basket geared to "Western European" consumer habits containing "122 goods and services including rent". Mercer Mercer's survey covers 143 cities across six continents and measures the comparative cost of over "200 items" in each location, "including housing, transport, food, clothing, household goods and entertainment". จาก http://www.citymayors.com จากคุณ : gy - [ 25 ก.พ. 52 02:20:37 A:192.168.50.125 X:58.8.201.134 TicketID:164750 ]

ความคิดเห็นที่ 62 อธิบายยากๆ เป็นหลักการกะเค้าไม่เป็นหรอก รู้แต่ว่า อยู่เมกา ถ้าเงินเดือนสามพันเหรียญ โค้กที่นั่นขวดละประมาณเหรียญนึง อยู่เมืองไทย ถ้าเงินเดือนสามพันบาท โค้กขวดละ? มีปัญญากินเรอะ? แล้วเงินมันจะเหลือได้ยังงายยยยยยย จากคุณ : ปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจจสมุปบาท) - [ 10 มี.ค. 52 22:55:06 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เข้ามาบอกว่า คห .23 คุณ เบคู กะ อูเว พูดไว้ถูกหมดค่ะ และก็จะบอกว่า กรุงเทพ เนี่ย แพงนะคะ ถ้าจะอยู่ให้ได้ดี จบปริญญาตรีใหม่ๆส่วนมาก เงินเดือนไม่พอยาไส้กันทั้งนั้นค่ะ ถ้าไม่มีผู้ปกครองซัพพอร์ตก็อยู่ได้แค่ห้องรูหนูเท่านั้น ค่ากินในเมืองก็ยังไม่พออะ บ้านในกรุงเทพ(ย้ำว่ากรุงเทพ) แพงกว่าบ้านในอเมริกา และแพงกว่าบ้านในเยอรมัน อีกค่ะ คุณมีเงินห้าล้าน ซื้อได้แค่เล็กๆในกรุงเทพ แต่ซื้อได้อย่างใหญ่ในอเมริกา แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 52 15:39:07 จากคุณ : ~*Angellique*~ - [ 12 มี.ค. 52 15:35:11 ]