ความคิดเห็นที่ 1 ขอบคุณค่ะสำหรับข้อมูลดีดี เรียนเพื่อพัฒนาชาติบ้านเมืองจริง ๆ จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ - [ 12 ก.พ. 52 11:42:36 ]

ความคิดเห็นที่ 2 โห มีมานานแล้วนะคะนั่น นักเรียนนอก จากคุณ : มาดามอุ้ย - [ 12 ก.พ. 52 12:36:04 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เพิ่งรู้ว่ามีมานานแล้วนะเนี่ย ขอบคุณที่นำมาให้อ่านค่ะ จากคุณ : malibule (malibule) - [ 12 ก.พ. 52 13:16:40 ]

ความคิดเห็นที่ 4 >>>วิชาก่อสร้าง วิชาช่างเงิน และ ช่างทอง<<< อยากถูกส่งไปเรียนวิชาเหล่านั้นจัง จากคุณ : JidNince - [ 12 ก.พ. 52 13:22:22 ]

ความคิดเห็นที่ 5 โอววววววว... จากคุณ : Krryta (kryta) - [ 12 ก.พ. 52 14:01:01 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ต่อนะครับ ผลที่ได้รับจากการส่งนักเรียนทุนไปศึกษาในต่างประเทศ ย่อมาจากข้อมูลจากหนังสือ ก.พ. "สาระน่ารู้การศึกษาต่อต่างประเทศ" สมัยสุโขทัย ผลที่พุทธศาสนาเจริญในประเทศไทยในปัจจุบันนี้ น่าจะมีส่วนจากการส่งนักเรียนไปศึกษาวิชาพุทธศาสนาในสมัยนั้น สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยนี้ ส่งนักเรียนไปที่ฝรั่งเศส ซึ่งน่าจะ้ดำเินินการเพื่อผลทางการฑูตมากกว่า ในกรณีนี้หากพิจารณาอย่างกว้าง ๆ อาจกล่าวได้ว่า การที่ไทยไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอลันดา ส่วนหนึ่งน่าจะขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่ไทยมีอยู่กับประเทศฝรั่งเศส สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัย ร.5 นักเรียที่เรียนสำเร็จแล้ว ได้เป็นกำลังสำคัญในการปรับปรุงประเทศต่าง ๆ เป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมีนักเรียนบางคนประสบปัญหาในการเรียน แต่ก็มีโอกาสรับราชการเพราะนำความรู้ภาษาต่างประเทศที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ได้ ในช่วงสมัย ร.5 - ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัย ร.7 เมื่อนักเรียนทุนเรียนสำเร็จกลับมาแล้วต่างก็มารับราชการ สร้างประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกรมป่าไม้ กรมรถไฟหลวง กรมยุติธรรมทหารเรือ และ กรมศึกษาธิการ ฯลฯ และผลที่ตามมาที่เห็นชัดเจน และ สำคัญมากต่อประวัติศาสตร์การเืมืองไทย ก็คือ การที่ประเทศไทยรอดจากการเป็นอาณานิคมของประเทศทางตะวันตก และการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 จากคุณ : lastyim - [ 12 ก.พ. 52 14:32:52 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อยากอยู่ทันเห็น  นักเรียนไทยคนแรกที่ได้ไปศึกษาต่างดาวจัง ก้าวต่อไป ๆ จากคุณ : pigfight - [ 12 ก.พ. 52 14:39:31 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ลบความเห็นเพราะไม่ตรงตามที่เจ้าของกระทู้ประสงค์ แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 52 16:20:53 จากคุณ : วัชรานนท์ - [ 12 ก.พ. 52 21:13:52 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สวัสดีครับ เนื้อหาของกระทู้นี้ น่าสนใจมากจริงๆครับ โดยเฉพาะ ข้อมูลที่ ย่อมา ว่า "สมัยสุโขทัย ส่งคณะสงฆ์ไปศึกษาพระพุทธศาสนา ณ ประเทศลังกา ใคร่ขอความกรุณา คุณ ช่วยสละเวลา คัดลอกส่วนเต็ม( ที่ไม่ได้ย่อ) จากเนื้อหา ที่ระบุในเอกสารต้นฉบับของ ก.พ. ด้วย ได้หรือไม่ครับ เฉพาะตรงสมัยสุโขทัยนี้แหละครับ เพราะผมมีความต้องการทราบ ให้แน่ชัด ว่าในเอกสารก.พ. ระบุพระนามของพระมหากษัตริย์ในสมัยนั้น และปีพ.ศ. หรือรายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการส่งพระสงฆ์ไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่ประเทศศรีลังกา ว่าอย่างไร ถ้าไม่ยาวมากช่วยคัดสำเนา ย่อหน้านั้นด้วยเถิดครับ *หากยาวมาก เป็นไปได้ไหมว่าช่วยกรุณาใช้วิธี Scanning ข้อความของสมัยสุโขทัยนั้นให้ประจักษ์อย่างชัดแจ้ง ว่า เอกสารก.พ. ได้ระบุเรื่องปีพ.ศ.ไว้ว่าเป็น"สมัยสุโขทัย"     เหตุผล ที่ขอความกรุณา คัดลอกฉบับเต็ม จากที่ปรากฏในเอกสารของก.พ. เพราะว่า จากหลักฐานข้อมูลที่แน่ชัดในประวัติพระพุทธศาสนาสมัยต่างๆ มีรายละเอียด เกี่ยวกับปีพ.ศ. และพระนามของพระมหากษัตริย์ไว้ครบถ้วน ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ตรงกันแทบจะทุกแห่งในศูนย์ความรู้ทางศาสนา รายละเอียดที่เกี่ยวกับ การส่งพระสงฆ์ไปศึกษาในลังกานั้น มีหลักฐานข้อมูล จากสำนักสงฆ์ สถาบันการศึกษาพระพุทธศาสนาของไทย ยืนยันแน่นอนว่า เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช          พระประวัติพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ.๑๙๕๒  – พ.ศ.๒๐๓๐ ) กษัตริย์อาณาจักรล้านนาองค์ที่๙  ราชวงศ์เม็งราย (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๘๕ – พ.ศ. ๒๐๓๐) พระนามเดิมคือ "เจ้าลก" หรือ "ท้าวลก" เนื่องจากเป็นพระโอรสองค์ที่ ๖ ในพญาสามฝั่งแกน (ลก ในภาษาไทเดิม มีความหมายว่า ลำดับที่ ๖ ) ร่วมรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าสามฝั่งแกนจึงจำต้องมอบราชสมบัติให้เจ้าลก เป็นพระเจ้าเชียงใหม่ในปี พ.ศ. ๑๙๘๕ ทรงพระนามว่า พระมหาศรีสุธรรมติโลกราช มีพระชนมายุ ๓๒ พรรษา  (Resource : Wikipedia)     ยกส่วนนี้มา ให้เห็นว่า พระเจ้าติโลกราช ทรงครองแผ่นดินล้านนา หลังจากสมัยสุโขทัยนะครับ มีหลักฐานข้อมูลประกอบแน่ชัดด้วยว่า พระเจ้าติโลกราช ทรงทำสงครามร่วมสมัยกับพระเจ้าแผ่นดินสมัยอยุธยา คือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (๑๙๙๑ ถึง ๒๐๓๑) ข้อความประวัติศาสตร์ ที่ระบุการทำยุทธสงครามระหว่างพระเจ้าติโลกราช ในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา ปีพ.ศ. ๒๐๐๔ ครั้นถึง พ.ศ.๒๐๐๔ พระเจ้าติโลกราชยกทัพลงมาตีหัวเมืองตอนเหนือของอยุธยาอีก แต่บังเอิญพวกฮ่อ(จีน ยูนนาน)ยกกำลังมาตีชายแดนเชียงใหม่ก็จำต้องยกทัพกับไปรักษาเมืองขึ้นกับเชียงใหม่ อย่างไรก็ดี พระเจ้าติโลกราชได้ยกทัพมารุกรานหัวเมืองฝ่ายเหนือของอยุธยาอยู่เนืองๆ เป็นเหตุให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเปลี่ยนนโยบายเสด็จขึ้นไปประทับครองราชสมบัติเสีย ณ เมืองพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ.๒๐๐๖ โดยยกฐานะเมืองพิษณุโลกเป็นเมืองหลวง เพื่อสะดวกในการจัดกำลังต่อตีทัพมหาราชฝ่ายเหนือ อีกทั้งยังทำหัวเมืองฝ่ายเหนือซึ่งมักแก่งแยกอำนาจกันและแตกออกจากฝ่ายกรุงศรีอยุธยามีความสามัคคีด้วยความยำเกรงสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ได้ประทับครองราชย์อยูที่เมืองพิษณุโลกจนสิ้นรัชกาล เมื่อ พ.ศ.๒๐๓๑ แต่ยังต้องคอยสู้รบกับการรุกรานของพระเจ้าติโลกราชอยู่เรื่อยมารวม๒๗  ปี     นอกจากนี้ ในหลักฐานข้อมูลว่าด้วย ประวัติพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย  ไม่มีปรากฏบันทึกการส่งพระสงฆ์ออกไปลังกา ครับ สุโขทัย นับจาก พ่อขุนศรีอินทราทิตย์  ปฐมวงศ์ราชวงศ์พระร่วงแห่งอาณาจักรสุโขทัย ครองราชสมบัติ ตั้งแต่ พ.ศ.๑๗๘๒คำนวณศักราชจากคัมภีร์สุริยยาตรตามข้อเสนอของ ศ. ประเสริฐ ณ นครและ พ.อ.พิเศษ เอื้อน มณเฑียรทอง)ถึง พ.ศ.๑๙๒๑   สุโขทัยก็ตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา พระยาลือไทยจึงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายของอาณาจักรสุโขทัย หลัง พ.ศ. ๑๘๐๐ เมื่อไทยตั้งอาณาจักรมั่นคงอยู่ที่สุโขทัยแล้ว พ่อขุนรามคำแหง พระองค์เลื่อมใสพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า จึงได้ทรงอาราธนาพระสงฆ์แต่เมืองนครศรีธรรมราชขึ้นไปยังสุโขทัย ทรงทำนุบำรุงพระสงฆ์ ส่งเสริมการเรียนพระไตรปิฎก พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีผู้เลื่อมในน้อยลง และในที่สุดก็มารวมเป็นนิกายเดียวกัน พระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองมาก มีการสร้างวัดวาอาราม และหล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่มากมาย   พ.ศ.๑๘๙๗ พระยาลิไทขึ้นครองราชย์ ได้นิมนต์พระมหาสวามีสังฆราชเมืองลังกาชื่อสุมนะเข้ามาสู่กรุงสุโขทัย ได้เสด็จออกผนวชชั่วคราว ณ วัดป่ามะม่วง ในเขตอรัญญิก และได้ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเตภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง เป็นหนังสือที่ทรงอิทธิพลต่อความคิดความเชื่อและวิถีปฏิบัติของประชาชนทั่วไปในเรื่องนรกสวรรค์และการทำดีทำชั่ว http://www.oknation.net/blog/Duplex/2008/12/29/entry-2 ------------------------------- การส่งพระสงฆ์ไปยังลังกา เพื่อเผยแพร่ลัทธิสยามวงศ์ โดยพระอุบาลีภิกขุ ท่านได้ไปอุปสมบทสามเณรและพระที่ลังกาหลายพันรูป ในสมัยกรุงศรีอยุธยาครับ คือประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ระยะเวลาช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา (๑๘๙๓ ถึง ๒๓๑๐) ตามข้อมูลทุกแห่ง ไม่มีการส่งพระสงฆ์ออกไปศึกษาพระพุทธศาสนานอกประเทศในสมัยสุโขทัย แต่มีการส่งไปในสมัยพระเจ้าติโลกราช ก่อนปี พ.ศ.๒๐๒๐ ตรงกับสมัยอยุธยาครับ หลักฐานข้อมูลระบุว่า ปี พ.ศ.๒๐๒๐ เป็นปีที่มีการสังคายนาพระไตรปิฏก ณ วัดโพธารามเมืองเชียงใหม่               พระเจ้าติโลกราชมหาราช พระเจ้าติโลกราชมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์เม็งรายเป็นพระราชบุตรองค์ที่ ๖ ของพระเจ้าสามฝั่งแกน (ในสมัยของพระองค์ พระสถูปเก่าแก่องค์หนึ่งที่เมืองเชียงราย ต้องอสนีบาตลงจนได้พบพระแก้วมรกต) เมื่อมาถึงรัชสมัยพระเจ้าติโลกราชพระองค์ได้ทำสงครามกับกรุงศรีอยุธยาในแผ่นดินของพระเจ้าบรมไตรโลกนาถ ชิงหัวเมืองปลายแดนต่อแดนกัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะหลายคราว ในรัชสมัยของพระองค์ได้ขยายอำนาจไปถึงเมืองเชียงรุ้ง เมืองหลวงพระบาง ครั้งนั้น อาณาจักรลานนาไทยมีเขตแดนกว้างใหญ่กว่าทุกสมัย คือทิศเหนือจรดยูนานของจีน ทิศใต้จรดเมืองกำแพงเพชร ทิศตะวันออกจรดริมฝั่งโขง ทิศตะวันตกจรดพม่า ทางด้านพระพุทธศาสนาในรัชกาลของพระเจ้าติโลกราช พระสงฆ์คณะหนึ่งได้รับพระบรมราชูปถัมภ์ไปศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศลังกา เมื่อกลับมาได้นำต้นพระศรีมหาโพธิ์มาด้วย จึงโปรดให้สร้างอารามถวายชื่อว่า วัดโพธาราม หรือวัดเจดีย์เจ็ดยอด ครั้นถึง พ.ศ. ๒๐๒๐ โปรดอุปถัมภ์จัดการสังคายนาครั้งที่ ๑ ขึ้น (แต่ถ้านับต่อจากประเทศลังกาก็เป็นครั้งที่ ๘ ) กระทำที่วัดโพธารามหรือวัดเจดีย์เจ็ดยอดนั่นเอง ถือเป็นการทำสังคายนาในประเทศไทยเป็นครั้งแรกอีกด้วย   http://www.history.mbu.ac.th/buddhism/bud6-2.html ข้อมูลการชำระพระไตรปิฎกและจารลงใบลาน สมัยพระเจ้าติโลกราช ประมาณ พ.ศ. ๒๐๒๐ ปรากฏใน พระไตรปิฎกฉบับประชาชน http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/abouttripitaka/inthai.html                               สมัยอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓–๒๓๑๐) บทที่ ๖ - พระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา                 ส่งพระสงฆ์ไปลังกา ในราวศตวรรษที่ ๒๒ ประเทศลังกาต้องผจญภัยกับสงครามกลางเมืองอยู่เนือง ๆ และยังถูก กดขี่จากพวกโปรตุเกสห้ามมิให้นับถือพระพุทธศาสนา ปรากฏว่าพระสงฆ์ในลังกาได้สูญวงศ์ลง เพราะไม่ได้อุปสมบทกันช้านาน แต่ก็มีสามเณรอยู่รูปหนึ่งชื่อว่าสรณังกร ได้พยายามขวนขวายที่จะให้ฟื้นสมณวงศ์ขึ้นใหม่ สามเณรสรณังกรจึงทูลให้พระเจ้ากิตติราชสิงหะซึ่งปกครองลังกาอยู่ในเวลานั้นให้ส่งราชทูตมากรุงศรีอยุธยา ทางฝ่ายไทยได้มอบหน้าที่ให้สมเด็จพระสังฆราชวัดมหาธาตุเป็นผู้คัดเลือกพระสงฆ์ที่จะไปลังกา และได้พระอุบาลีแห่งวัดธรรมารามเป็นหัวหน้าคณะออกไปอุปสมบทชาวลังกา พระเจ้ากิตติราชสิงหะได้นิมนต์ให้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดบุบผาราม แล้วได้ทำพิธีผูกพัทธสีมาขึ้นที่วัดบุบผารามนั่นเอง และให้การอุปสมบทสามเณรสรณังกรเป็นรูปแรก  ต่อมาก็ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชแห่งลังกา พระอุบาลีได้บรรพชาอุปสมบทกุลบุตรชาวลังกาทั้งหมดหลายพันรูป คณะสงฆ์ที่เกิดขึ้นใหม่นี้จึงเรียกชื่อว่า "สยามวงศ์" หรือ "อุบาลีวงศ์" และพระอุบาลีนั้น ต่อมาได้อาพาธถึงมรณะภาพในลังกานั่นเอง ปัจจุบันอัฐิของท่านยังปรากฏอยู่ อาสนะที่ท่านนั่งบวชกุลบุตร ตลอดจนพัดรองที่ท่านใช้ประจำ ยังคงรักษาไว้ในรูปเดิม จัดเป็นปูชนียวัตถุอนุสรณ์ของพระสงฆ์ในนิกายสยามวงศ์ในลังกามาตราบเท่าทุกวันนี้ Refer: ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, ฉบับมุขปาฐะ, เล่ม ๒ http://www.history.mbu.ac.th/buddhism/bud6-4.html ------------------------------------------ Note:จากข้อมูลข้างต้นนี้ สรุปได้ว่า การส่งพระสงฆ์ไปศึกษาในศรีลังกา ไม่ใช่ ในสมัยสุโขทัย และ การส่งพระสงฆ์ไปลังกาสมัยอยุธยา เป็นการไปอุปสมบทชาวลังกา  เกิดลัทธิสยามวงศ์หรืออุบาลีวงศ์ ในลังกาสืบมา จึงใคร่ขอความกรุณา ผู้ตั้งกระทู้ นำหลักฐานสำเนาฉบับเต็ม ของเอกสารก.พ. มาชี้แจงในส่วนนี้ ให้เป็นที่กระจ่างด้วยครับ ว่า การส่งพระสงฆ์ไปศึกษาต่อที่ประเทศศรีลังกา ตามที่หน่วยงานราชการเผยแพร่นั้น ระบุไว้ในพ.ศ.ใด ในรัชสมัยของพระมหากษัตริย์พระนามว่าอะไร ขอข้อมูลส่วนนี้เพื่อนำไปค้นคว้าต่อไปครับ หากไม่ตรงกับที่นำมาแจกแจง                  ขอบคุณมากครับ     แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 52 22:13:55 แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 52 22:09:56 จากคุณ : ยอดทิวาพันแสง - [ 12 ก.พ. 52 22:00:17 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เราเคยเขียนหนังสือ เกี่ยวกับเรื่อง คนไทย ใน ตปท การที่ คุณยอดทิวาพันแสง ความคิดเห็นที่ 9 แย้งว่า <<การส่งพระสงฆ์ไปศึกษาในศรีลังกาไม่ใช่ ในสมัยสุโขทัย >> นั้น ก็คิดว่า เขาคงเขียนสรุปสั้นๆ เพราะ ศิลปวัฒนธรรม มิย ๒๕๓๓ สุจิตต์  วงศ์เทศ ก็เขียนว่า ในสมัยสุโขทัยมี สงฆ์ไทยไปลังกา ในสมัยพระเจ้าเลอไทย ขุนทััพของสุโขทัย ชื่อ ศรีศรัทธา หลานปู่ของพ่อขุนศรีนาวนำถม เกิดหน่ายโลกและชีวิต จึงออกบวช ต่อมาท่านเดินทาง ไปอยู่ลังกานานถึง ๑๐ ปี แล้วจึงกลับสุโขไทย นะ จากคุณ : ธนิตา - [ 13 ก.พ. 52 01:21:58 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 52 16:59:45 แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 52 01:56:26 จากคุณ : วัชรานนท์ - [ 13 ก.พ. 52 01:52:57 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณมากครับ คุณธนิตา สำหรับการเพิ่มข้อมูล เกี่ยวกับ "พระสงฆ์ไทยที่ไปลังกา" ในสมัยสุโขทัย แต่ประโยคว่า การส่งคณะสงฆ์ไทยไปศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา คือใจความที่ผมต้องการทราบสำเนาฉบับเต็มครับ ว่าหนังสือของก.พ.ระบุว่าอย่างไร ขอความกรุณา รอให้คุณ lastyim เป็นผู้กลับมาตอบสิ่งที่ผมต้องการทราบในจุดนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ในประวัติหลักศิลาจารึก ได้กล่าวถึง "พระมหาเถรศรีศรัทธา' ไว้ว่า การเดินทางของพระภิกษุรูปนี้ เพื่อไปจาริกแสวงบุญและบูรณะศาสนสถานต่างๆทั้งในลังกาและอินเดีย จึงกลับมาเขียนประวัติตระกูลไว้ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๒ พระมหาเถรศรีศรัทธา เป็นเชื้อสายของ พ่อขุนศรีนาวนำถม (ผู้สถาปนาแคว้นสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย) สันนิษฐานว่าเป็นผู้สร้าง จารึกวัดศรีชุม หรือ ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๒ พระมหาเถรศรีศรัทธาปรากฏนามตามจารึกวัดศรีชุมว่า สมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีศรีรัตนลงกาทีปมหาสามี ตามเรื่องเล่าในศิลาจารึก กล่าวว่า "พระมหาเถรศรีศรัทธา" (อยู่ในเชื้อสายตระกูลของ พ่อขุนศรีนาวนำถม)  เกิดในเมืองสรลวงสองแคว (พิษณุโลก) เป็นบุตรของ "พระยาคำแหงพระรา"ม และ เป็นหลานของ "พ่อขุนผาเมือง" ในวัยหนุ่มเมื่ออายุ ๑๗ ปีได้ช่วยบิดารบกับ ท้าวอีจาน จนชนะ ต่อมาเมื่ออายุได้ ๒๖ ปีได้ช่วย พระยาเลอไทยในการสงคราม และทำการชนช้างชนะ ขุนจัง จนถูกยกย่องว่าเป็นนักรบที่เข้มแข็งมีฝีมือ เมื่ออายุ ๓๑ ปี มีความจำเป็นทำให้ต้องสละทรัพย์สมบัติ ภรรยารวมทั้ง ธิดาอีกสองคน ออกบวชเดินทางจาริกแสวงบุญ ช่วยบูรณะศาสนสถานที่ต่างๆ จนถึงอินเดียและลังกา จนกระทั่งได้กลับมาสร้างจารึกเล่าเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของตระกูลไว้ในแคว้นสุโขทัยในสมัยการปกครองของพระยาลิไทย มีผู้สันนิษฐานว่าเนื่องจากกษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วงได้ขยายอำนาจของสุโขทัยเข้ามายังลุ่มน้ำน่านซึ่งเป็นบริเวณที่ตระกูลนาวนำถมมีอำนาจครอบครองอยู่ อาจเป็นสาเหตุที่กดดันให้ 'พระมหาเถรศรีศรัทธา" ต้องออกบวช จารึกวัดศรีชุม ที่พระมหาเถรศรีศรัทธาได้สร้างขึ้น นับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่บอกเล่าถึงการสถาปนาแคว้นสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย ที่ไม่มีปรากฏในหลักฐานอื่นๆ           หลักฐานตามศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๒(จารึกวัดศรีชุม) ปรากฏเชื้อสายของราชวงศ์ของพ่อขุนศรีนาวนำถมคือ -พ่อขุนศรีนาวนำถม ผู้สถาปนาแคว้นสุโขทัย - ศรีสัชนาลัย -พ่อขุนผาเมือง บุตรของลำดับที่ ๑ -พระยากำแหงพระราม เจ้าเมืองสรลวงสองแคว อาจเป็นบุตรของลำดับที่ ๒ -พระมหาเถรศรีศรัทธา หลานของลำดับที่ ๒ (บุตรของลำดับที่ ๓) ผู้มีเรื่องราวชีวิตอยู่ในศิลาจารึกหลักที่ ๒ (อาจเป็นเพราะเนื่องจาก มหาเถรศรีศรัทธา ไม่มีบุตรชายมีแต่ธิดาสองคน และออกบวชเดินทางแสวงบุญในเวลาต่อมา จึงไม่ปรากฏหลักฐานการสืบเชื้อสายของตระกูลนี้ต่อมาหลังจากนั้น) Resource:Wikipedia ********************************* เป็นความจริงตามนี้ ว่ามีพระสงฆ์ไทยได้ออกไปลังกา ในสมัยสุโขทัย แต่ "การส่งคณะสงฆ์ไปศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา ข้อความส่วนนี้ ไม่มีปรากฏในสมัยสุโขทัยครับ ตามที่อธิบายไว้ข้างบน คณะสงฆ์หมายถึงพระสงฆ์หลายรูป และเป็นการจัดส่งในพระบรมราชูปถัมภ์ ของพระมหากษัตราธิราช (ตามความหมายของเนื้อกระทู้) ซึ่งเป็นคนละความหมายกับการเิดินทางไปเดี่ยวๆ อย่างในกรณีของท่านพระมหาเถรศรีศรัทธา ครับผม     ถึงอย่างไร ก็ยังอยากเห็นว่า หนังสือของก.พ.เขียนว่าอย่างไร เขียนถึงการส่งคณะสงฆ์ของพระเจ้าติโลกราช (ตรงกับสมัยอยุธยา) หรือว่า เขียนถึงการเดินทางไปแสวงบุญของ"พระมหาเถรศรีศรัทธา"   คุณธนิตา kindly please กรุณารอฟังคำตอบของผู้ตั้งกระทู้ด้วยครับ เพื่อที่เราจะได้ทราบว่า เป็นไปตามหลักฐานของสำนักไหนกันแน่ จะนำหลักฐานของหนังสือศิลปวัฒนธรรม มาเป็นคำตอบให้กับ หนังสือของก.พ. ก็ได้ครับ แต่ขอให้เป็น "ภายหลัง" จากที่ ได้ทราบข้อความส่วนเต็มที่ปรากฎอยู่ในหนังสือของก.พ. ก่อน นั่นคือคำถามของผม ขอบคุณครับ สำหรับคุณวัชรานนท์ ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่คนในยุคนี้ศึกษาและสันนิษฐาน ค้นคว้าจากแหล่งข้อมูล น่าสนใจทุกประเด็นครับ ไม่ทราบว่าใครกดไฟแดงให้คุณ   คุณถามไปทางเจ้าหน้าที่พันทิปได้ครับว่าเป็นความเข้าใจผิดของใครอย่างไร อธิบายไปว่านี่คือประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่ง แต่ผมยินดีที่ได้อ่านข้อมูลเพิ่ม จะช่วยกดผ่านให้ครับ เพราะผมก็ตกใจที่เห็นไฟแดงในความเห็นนั้นเช่นกัน      เรามาช่วยกันค้นข้อมูลครับ ไม่มีใครเกิดทันยุคนั้นอยู่แล้ว ต้องอ้างอิงกันทั้งนั้น ขอบคุณประเด็นให้ได้ศึกษาทบทวนความรู้เก่าครับ                         แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 52 03:24:36 แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 52 02:53:38 จากคุณ : ยอดทิวาพันแสง - [ 13 ก.พ. 52 02:46:06 ]

ความคิดเห็นที่ 13 :) จากคุณ : lastyim - [ 13 ก.พ. 52 10:24:31 ]

ความคิดเห็นที่ 14 2 จากคุณ : lastyim - [ 13 ก.พ. 52 10:32:36 ]

ความคิดเห็นที่ 15 3 จากคุณ : lastyim - [ 13 ก.พ. 52 10:32:57 ]

ความคิดเห็นที่ 16 4 จากคุณ : lastyim - [ 13 ก.พ. 52 10:33:21 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เรียน คุณวัชรนนท์ กระผมแ้จ้งลบ reply 8 เพราะมีความเห็นว่าอยากให้กระทู้นี้มีเนื้อหาเฉพาะเกี่ยวกับศึกษาต่อครับ ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไรกับประวัติศาสตร์ หรือ ขวัญอ่อน แค่แจ้งลบเพราะ เนื้อความของ reply 8 ไม่เกี่ยวกับศึกษาต่อตามหัวข้อกระทู้ครับ ผมลูกช้าง 42 เหมือนกันครับ (คณะมนุดอีกตะหาก) ด้วยความเคารพ จากคุณ : lastyim - [ 13 ก.พ. 52 11:24:18 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณเป็นอย่างมากนะครับ ที่ได้นำต้นฉบับมาลงให้เห็นชัดเจน ว่า สิ่งตีพิมพ์ของหน่วยงานราชการ ย่อสรุปความไว้ โดยไม่ระบุรายละเอียดปีพ.ศ.และพระนามของพระราชวงศ์ ว่าการส่งคณะสงฆ์ไปศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศลังกานั้น เกิดขึ้นในรัชสมัยใดของยุคสุโขทัยเป็นราชธานี เวลาที่นำไปอ้างอิงต่อในบทความ ผมจะได้เขียนไปตามนี้่ ว่าไม่มีรายละเอียดส่วนนี้ ในหนังสือเล่มดังกล่าวครับ ข้อมูลในส่วนข้างต้นที่ค้นพบรายละเอียดจากสถาบันศาสนา ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนและทำให้ทราบว่าการบันทึกต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ เต็มไปด้วยข้อสันนิษฐานมากมาย หากมีการค้นพบใดใหม่ๆ จะมีการบันทึกเพิ่มเติมไว้ว่า ต่อมา...มีการค้นพบว่า....ดังนั้นดังนี้ เมื่อนี้เมื่อนั้น ในรายการนี้จะได้นำประเด็นไปแสวงหาข้อมูลต่อไป เพื่อความแน่ชัด เนื่องจากเกี่ยวข้องกับ 'ประวัติของคณะสงฆ์ไทย' ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องการหลักฐานรายละเอียดให้กระจ่างครับ               Your assistance is greatly appreciated จากคุณ : ยอดทิวาพันแสง - [ 13 ก.พ. 52 11:32:36 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เพิ่มเติมข้อมูล เรื่อง ประวัติการส่งนักเรียนไทยไปศึกษาในต่างประเทศ       ตั้งแต่ พ.ศ.  2385 - ปัจจุบัน    (Resource: OEA, London)                *การส่งนักเรียนไทยไปศึกษาในต่างประเทศเป็นกระบวนการต่อเนื่องกันมานับตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี  ได้มีการส่งคณะสงฆ์ไปศึกษาพระพุทธศาสนา ณ ศรีลังกา (ไม่ระบุรายละเอียดรัชสมัยและปีพ.ศ.) และมีการกล่าวอ้างว่าได้ส่งบุคคลไปเรียนการทำชามสังคโลกที่ประเทศจีน  แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด                   ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีการส่งนักเรียนไปพร้อมกับคณะทูตไปประเทศฝรั่งเศสด้วย  หลังจากนั้นความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกก็หยุดชะงักไปในสมัยของสมเด็จพระเพทราชา                 จนถึง สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 เมื่อ พ.ศ. 2385   ก็เริ่มมีการส่งนักเรียนไปศึกษาในต่างประเทศอีกครั้ง (นิยม รัฐอมฤต, 2515 : 8)  ซึ่งนักเรียนไทยคนแรกคือ นายฉุน สมเด็จพระบรมมหาประยูรวงศ์ฝากไปกับกัปตันเรืออังกฤษจนสำเร็จได้ประกาศนียบัตรการเดินเรือทะเล  รับราชการเป็นขุนเจนทะเล (โกมล สาเก่งทราย, 2509: 17) เมื่อสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับทางยุโรปอย่างจริงจังมากขึ้นจึงจัดส่งนักเรียนไทย 2 คน คือ นายทด บุนนาค  และนายเทศ บุนนาค  ไปพร้อมคณะทูตไทยไปอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2400  เป็นคณะแรกแต่ปรากฎว่าเมื่อคณะทูตเดินทางกลับนักเรียนทั้งสองก็กลับมาด้วยโดยไม่ทราบเหตุผล (พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรง ราชานุภาพ, 2503 : 257-258 อ้างถึงในละออทอง อัมรินทร์รัตน์, 2522 : 30)                ต่อมาสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการส่งนักเรียนไทยไปศึกษาต่างประเทศ  โดยพระองค์ทรงส่งเสริมให้พระราชโอรสทุกพระองค์  พระบรมวงศานุวงศ์  ตลอดจนสามัญชนไปศึกษาในประเทศยุโรปโดยเฉพาะประเทศสหราชอาณาจักร  เพื่อกลับมาเป็นกำลังในการบริหารประเทศ   พระองค์ทรงวางระเบียบเงินทุนหลวงช่วยเหลือการศึกษาของนักเรียนไทยในต่างประเทศเรียกว่า "ทุนเล่าเรียนหลวง (King's Scholarship)" ได้มีการจัดสอบแข่งขันรับทุนดังกล่าวโดยกำหนดอายุและระดับการศึกษาของนักเรียนให้พอดีที่จะเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนยุโรป  วิชาที่ไปศึกษาคือ ภาษาอังกฤษ  ภาษาฝรั่งเศส  และภาษาเยอรมัน และได้ศึกษาตามที่นักเรียนถนัด  อาทิเช่น วิชาทหารบก  ทหารเรือ  การทูต  วิศวกรรมศาสตร์ ฯลฯ (สำนักงาน ก.พ. 2536 : 3) ต่อมาส่วนราชการต่าง ๆ จึงได้มีการเคลื่อนไหวจัดส่งนักเรียนไปศึกษาในต่างประเทศกันอย่างคึกคัก   กระทรวงซึ่งเริ่มต้นส่งนักเรียนของตนออกไปศึกษาเป็นครั้งแรกคือ กรมศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ  โดยส่งนักเรียนครูออกไป เมื่อ พ.ศ. 2439  และกระทรวงต่อมาคือ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งเริ่มส่งเมื่อ พ.ศ. 2440 เช่นกัน   หลังจากนั้น กระทรวงต่าง ๆ เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีนักเรียนทุนของกระทรวงออกไปศึกษาวิชาในต่างประเทศด้วย *  สุวนัน ขวัญทอง, การศึกษาประวัติสำนักงานผู้ดูแลนักเรียนไทยในสหราชอาณาจักร เพื่อการจัดแสดงนิทรรศการอนุสรณ์สามัคคีสมาคม, 2543 http://home2.btconnect.com/oeathai/history.htm                     Comment: ข้อมูลของ "สนร.ลอนดอน" เขียนไว้ด้วยว่า "การส่งบุคคลไปเรียนการทำชามสังคโลกในประเทศจีน ในยุคสุโขทัยนั้น เป็นการกล่าวอ้าง ซึ่งยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด" เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันสืบค้นต่อไปครับ คุณค่าของ"ประวัติศาสตร์" และการค้นคว้า สำหรับนักศึกษาที่ต้องการฐานข้อมูลแน่นหนา จำเป็นต้องมีรายการคำที่สำคัญอันได้แก่ คำว่า "สันนิษฐานว่า" หรือ คำว่า "มีหลักฐานยืนยันได้อย่างแน่ชัด" ณ ที่แห่งใด ครับ                           แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 52 12:35:59 จากคุณ : ยอดทิวาพันแสง - [ 13 ก.พ. 52 12:31:43 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ถ้าเราอยากรู้ว่า คนไทยคนแรก ๆ ที่ส่งลูกไปเรียนด้วยเงินตัวเอง โดยไม่ผ่านหลวงเลย คือใคร พอจะหาได้ไหมครับ อยากทราบอ่ะครับ ว่าเขาทำมาค้าขายอะไร ทำไมถึงส่งลูกไปเรียนเองได้ จากคุณ : lastyim - [ 13 ก.พ. 52 12:38:33 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คนไทยคนแรก ๆ ไปเรียนเมกา จะไม่ผ่านหลวงกัน ได้แก่ ๑ นายเทียนฮี้ หรือนายฮี้ แซ่เทียน บุตรซินแสชาวจีนชื่อ เทียนฮวดในกรุงเทพ ฯ โดยนักสอนศาสนาชาวอเมริกัน ติดต่อให้มาเรียนแพทย์ที่อเมริกาเมื่อปี พ.ศ. 2409 จบแพทย์ปี 2414 ต่อมาได้เป็นพระยาสารสินสวามิภักดิ์ ต้นตระกูลสารสิน และเป็น บิดาของนายพจน์ สารสิน อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2419 นายแพทย์นักสอนศาสนาชาวอเมริกันเดินทางกลับสหรัฐพานักเรียนไทยมาด้วย 2 ท่าน ท่านหนึ่งชื่อ นายกร   อมาตยกุล จบวิชาวิศวกรรมจากอเมริกาเป็นคนแรก เมื่อกลับไปเมืองไทย ได้เป็นพระยาวินิจวิทยากร ส่วนอีกท่านหนึ่งชื่อบุนต่วน  บุนอิด มาเรียนวิชาศาสนาแล้ว ได้รับสัญชาติอเมริกัน ท่านก็คงเป็นคนจากเมืองไทยคนแรกที่ได้สัญชาติอเมริกัน เป็นศาสนาจารย์ ต่อมาท่านก็กลับไปเผยแพร่คริสตศาสนาในเมืองไทยจนถึงแก่กรรม ปัจจุบันสมาคม YMCAในกรุงเทพ ฯมีชื่ออาคารเป็นอนุสรณ์แก่ท่าน จากคุณ : ธนิตา - [ 13 ก.พ. 52 16:44:29 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เรียนเจ้าของกระทู้ ขอขอบคุณที่ได้แจงเหตุผลมา  ผมได้อ่านแล้วและในเมื่อเจ้าของกระทู้ได้พิจารณาแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องหรือไม่เป็นเนื้อหาในทิศทางที่เจ้าของกระทู้ประสงค์จะให้เป็น  ขอเป็นฝ่ายลบข้อความของผมเองก็แล้วกันครับ..... เหตุผลที่ผมร่วมแจมก็อยู่บนเหตุผลของเจ้าของกระทู้ประสงค์ตามนี้ >>>>กระทู้นี้แชร์ความรู้กันสบาย ๆ ครับ   ผมคงตีความหมายผิดไปเอง แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 52 17:04:14 จากคุณ : วัชรานนท์ - [ 13 ก.พ. 52 16:58:09 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เฮาก็ลูกจ๊างโตย แต่ระหัส ตัวแรก คือ 0 เจ้า จากคุณ : ธนิตา - [ 13 ก.พ. 52 18:39:25 ]