ความคิดเห็นที่ 1 เคยถามห้องสมุดนานมาแล้วได้ความว่า พระจีนอ้วน ชื่อ พระสังขจาย (สะกดผิดแน่ๆเลย แง๊วๆ) ค่ะ เป็นพระที่เดิมแล้วหุ่นดี รูปหล่อ ผิวงาม สาวหลง เกิดกิเลส(กะคนอื่นนะคะไม่ใช่ตัวเค้า) แต่เนื่องด้วยความเป็นพระ จึงเสกตัวเองให้อ้วนท้วน จะได้ไม่มีคนมาหลงและเป็นข้อเบี่ยงเบนจากการปฏิบัติธรรม รึยังไงเนี๊ยอ่ะค่ะ เลยออกมาเป็นอ้วน ยิ้ม แฮปปี้ แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์แห่งโลกและธรรม ค่ะ จำได้แค่เนี๊ยะอ่ะค่ะ ผิดถูกอย่างไร รอคนอื่นคอนเฟิร์มอีกทีดีกว่าค่ะ บังเอิญด้อยปัญญาเรื่องศาสนาเช่นกัน เหอๆๆๆ เรื่องอื่น มานั่งปูเสื่อรอเป็นเพื่อนนะจ๊ะ รอร๊อรอ.... จากคุณ : Kryta (kryta) - [ วันวาเลนไทน์ 03:59:05 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ฝากตอบฝรั่ง ออกตัวเสียก่อนว่าอธิบายตามที่ทราบมา.... สำหรับกรณีพระพุทธรูปไทยกับจีน(รูปร่างอ้วนยิ้มแย้มและโชว์พุงใหญ่)นั้น   เป็นพระพุทธเจ้าคนละองค์กัน!!  ครั้นจะตอบสั้นๆ อย่างนี้อาจจะเกิดคำถามต่อขึ้นมาอีกมากมาย....ขอเล่าสาวที่มาที่ไปแบบคร่าวๆ ให้ฟังนะครับ ก่อนอื่น ต้องเข้าใจว่าพุทธศาสนาในแดนเอเชียตะวันตกเฉียงใต้อย่างไทย ลาว พม่า เขมร  นั้นเป็นพุทธศาสนาลัทธิหินยาน(เถรวาท)ซึ่งกระจายมายังดินแดนนี้ในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช   ส่วนพุทธศาสนาทางด้านเอเชียเหนือ เช่น จีน  ธิเบต  ญี่ปุ่น  เกาหลี   เป็นพุทศาสนาลัทธิมหายาน   ซึ่งพระภิกษุ "เหี้ยนจัง" (หรือที่รู้จักกันดีในนามพระถังซั่มจั่ง)นำไปเผยแพร่ในจีน(ความจริงก็มีนักบวชพุทธในจีนอยู่บ้างแล้ว  แต่ไม่ค่อยแพร่หลายเหมือนช่วงที่พระถังซั่มจังนำไปเผยแพร่)   ตามคติมหายานจะให้ความเคารพต่อพระโพธิสัตว์เป็นอย่างสูง  อย่างเช่น เจ้าแม่กวนอิมก็ถือเป็นพระโพธิสัตว์(อวโลกิเตศวร) ขอข้ามรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมไปเพราะไม่ใช่พระพุทธรูป   และพระโพธิสัตว์อีกรูปหนึ่งที่จีนให้ความสำคัญ (อ้อ !  ลืมบอกไปว่ามีพระโพธิสัตว์มากมาย  แต่จีนจะให้ความสำคัญมากน้อยลดหลั่นกันไป)คือ  พระศรีอริยเมตตรัย......พระผู้จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปถัดจากพระพุทธเจ้า(อดีตเจ้าชายสิทธัทถะ)ต่อไป   พูดสั้นๆ ก็คือพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป จากคุณ : วัชรานนท์ - [ วันวาเลนไทน์ 04:14:28 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถามต่อ พระสังกัจจาย กับพระถังซัมจั๋ง นี่ใช่คนเดียวกันหรือเปล่า พระสังกัจจาย ไม่ใช่พระพุทธเจ้านะ  เป็นพระอริยสงฆ์ (หรือเปล่า) เราว่าที่่ต่างกันเพราะศิลปะ และความเชื่อของแต่ละวัฒนธรรมไม่เหมือนกันนะ คนจีนเชื่อในโหงวเฮ้ง คนอ้วนดูเป็นคนมีบุญ อย่างพระพุทธรูปของไทย ตั้งสมัย สุโขทัย อยุธยา และ รัตนโกสินทร์ ก็มีลักษณะไม่เหมือนกัน เพราะเป็นศิลปะคนละยุคกัน เหมือนกับลักษณะศิลปะของฝรั่งก็ไม่เหมือนกัน เท่าที่จำได้เริ่มตั้งแต่ยุค Medieval, Renaissance, Romanticism อะไรนั่น และยังแบ่งยิบย่อย ลงไปอีก (สมัยเรียนจำได้แต่ชื่อ บาร็อค โรโคโค โกธิค อะไรไม่รู้ จำไม่ได้ละ) ลักษณะงานก็ยังดูแตกต่างกันออกไป ถามกลับว่า ทำไม จีซัส ของฝรั่งก็ยังไม่เหมือนกันเลย (จำได้แค่ว่ามีหนวดเครา) เราว่าขึ้นอยู่กับ perception ของแต่ละชาติ และแต่ละยุคมากกว่านะ แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 52 04:22:38 จากคุณ : yinnerella - [ วันวาเลนไทน์ 04:21:18 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ปล คลาดกับคุณ วัชรานันท์เพียงนิดเดียว ใจตรงกันเลยพูดถึงพระถังฯ จากคุณ : yinnerella - [ วันวาเลนไทน์ 04:24:14 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณทุกท่านโดยเฉพาะคุณวัชรานนท์ ถ้าจะมาเล่าอะไรต่อเชิญได้นะคะอยากรู้เหมือนกัน เรื่องศิลปะของพระพุทธรูปรูปทรงต่างๆใบหน้าอารมณ์ต่างๆกันในประเทศไทยเราพอรู้มาบ้างเหมือนกัน อย่างที่คุณyinnerella ว่า คือปั้นกันตามสภาพสังคม ณ ช่วงเวลานั้นๆ อันนั้นเราอธิบายไปให้ฝรั่งฟังได้ แต่ของที่มีท้องกลมใหญ่ของจีน นี่เราจนปัญญาเลยค่ะ เลยมาพึ่งทุกท่าน แต่ต้องยอมรับนะคะ ว่าเข้าใจผิดมาตลอดว่า ทุกองค์ไม่ว่าอ้วน ผอม คือพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน ต่างกันตรงชื่อเรียกและรูปทรงปฏิมากรรม จนมาเข้าใจก็เมื่ออ่านที่คุณวัชรานนท์มาบอกนี่หล่ะ ว่าคนละองค์กัน ศาสนาพุทธนี่สลับสับซ้อนเหมือนกันนะ ตอนเรียนพุทธศาสนาดิฉันก็นิสัยไม่ดีแอบหลับอยู่หลังห้อง ตลอด แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 52 04:41:13 จากคุณ : hamble pie - [ วันวาเลนไทน์ 04:38:13 ]

ความคิดเห็นที่ 6 พระโพธิสัตว์ที่จะเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิตมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตนั้น(หรือที่เรารู้จักดีว่า "ยุคพระศรีอารย์")   มีการกล่าวถึงในพระสุตันตปิฏกชื่อพระสูตรว่า "จักกวัตติสูตร" (ลองพิมพ์ในกรูเกิลดูรายละเอียด)นั้นเป็นที่นับถือของชาวจีนมากทีเดียวซึ่งเขาจะถือว่าเป็นสัญญลักษณ์แห่งการมั่งมีศรีสุข   จึงมีการปั้นรูปปั้นเคารพสักการะซึ่งมักจะเรียกกันว่าพระสังกระจาย ที่นี้ขอตีโค้งเข้าจุดไฮไลต์ว่าทำไมพระสังกระจายจึงมีรูปร่างอ้วนท้วน  กล่าวกันว่าการปั้นรูปพระศรีอริยเมตตรัยหรือพระสังกระจายจีนในยุคแรก  พุทธลักษณะงดงามครบตามลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการ   แต่ต่อมาแผ่นดินจีนแตกแยกมีการพุ่งรบฆ่าฟันเลือดนองแผ่นดินมาก(ในช่วงสามก๊กตอนปลาย)   คติความเชื่อเรื่องพระสังกระจายก็ค่อยๆ เลือนลางตามไปด้วย   ต่อมาเมื่อจีนรวมแผ่นดินได้เป็นครั้งแรกในราชวงศ์ซ่ง   แนวความเชื่อเรื่องพระศรีอริยเมตตรัยก็ย้อนกลับมาอีกครั้งและก็มีการสร้างพระพุทธรูปไว้สักการะบูชา    และพระพุทธรูปในยุคนี้มีพุทธลักษณะอ้วนท้วน  ยิ้มแย้ม  ร่าเริง  สาเหตุก็นั้น  กล่าวกันว่าได้รับอิทธิพลมาจากพระภิกษุรูปหนึ่งจากเมืองเฉ้อเจียง   ท่านมีลักษณะอ้วนท้วน  ร่าเริง  ยิ้มแย้ม   ท่านพยากรณ์ดินฟ้าอากาศ  ฝนจะตกน้ำจะท่วมได้อย่างแม่นยำ  เป็นที่นับหน้าถือตาเป็นอย่างสูง   ซึ่งต่อมาการสร้างพระพุทธรูปศรีอริยเมตตรัยโพธิสัตว์หรือพระสังกระจายก็ได้ยึดเอาตามรูปแบบของพระภิกษุรูปนี้    นี่เป็นตำนานที่เล่ากันมา  ผิดถูกอย่างไรอย่ามาโทษผมก็แล้วกัน จากคุณ : วัชรานนท์ - [ วันวาเลนไทน์ 04:43:38 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ปัญหามีอยู่อย่างหนึ่งที่บางคนยังเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับพระสังกระจาย(พระจีน)กับพระกัจจายน์ หรือพระอุปคุตที่คนทางอีสานเรียก   คือลักษณะของรูปปั้นของพระทั้งสองจะอ้วนคล้ายกัน  แถมมีชื่อเรียกใกล้เคียงกันอีก พระสังกระจายคือพระโพธิสัตว์ตามที่อธิบายไว้ข้างบน   ส่วนพระกัจจายน์นั้นคือพระอรหันต์อีกรูปหนึ่งอยู่ในสมัยพระพุทธเจ้า   รูปปั้นของพระกัจจายน์จะอ้วนท้วนเหมือนพระสังกัจจายไม่มีผิดเพี้ยน พระกัจจายน์   มีชื่อตามพระไตรปิฏกว่า "พระมหากัจจายนะ"   ซึ่งแต่ก่อนนั้นท่านมีรูปร่างที่งดงามมากประมาณว่าสาวๆ สมัยนั้นเห็นท่านก็ร้องกรี๊ดกร๊าดวิ่งเข้ามาสวมกอด    และรูปร่างคล้ายคลึงกับพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว    คล้ายคลึงชนิดที่ว่า   เมื่อพระภิกษุเห็นท่านเดินมาแต่ไกล   เหล่าพระภิกษุก็เข้าใจผิดว่าพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จมา   จึงพากันรีบลาดปูอาสนะไว้ต้อนรับและเคารพ    ตรงนี้เองที่ทำให้พระมหากัจจายนะรู้สึกไม่ดีที่ทำให้เหล่าพระอาวุโสเคารพท่าน    ท่านจึงได้เนรนิตกายของท่านให้อ้วนท้วนและดูอัปลักษณ์และสตรีที่ลุ่มหลงในรูปของท่านจะได้ไม่เข้ามาหาท่าน     ข้อแตกต่างระหว่างที่พึงสังเกตุระหว่างรูปปั้นของพระสังกระจายกับพระกัจจายน์ก็คือ  พระสังกระจาย(จีน)จะคลุมจีวรเปิดครอบเพียงไหล่และเปิดให้เห็นพุง  ส่วนพระกัจจายน์จะครองจีวรเฉลียงบ่าตามลักษณะการครองจีวรของพระพุทธรูปทั่วๆ ไป    รูปปั้นพระสังกระจายจะมีศรีษะที่ไม่มีผม(คือโล้น)  แต่พระกัจจายน์จะมีผมเหมือนพระเมาลีของพระพุทธเจ้า จากคุณ : วัชรานนท์ - [ วันวาเลนไทน์ 04:57:08 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ส่วนรูปปั้นพระโพธิสัตว์ของฝ่ายธิเบตนั้นก็ผิดแผกแตกต่างกันไปอีก   บางรูปก็เป็นประหนึ่งยักษ์มาร   ก็ขอให้เข้าใจว่านั่นเป็นหนึ่งในพระโพธิสัตว์ข้างฝ่ายธิเบตเขาซึ่งเขาให้ความเคารพ   จุดหลักๆ ก็คือยังมีพระพุทธรูปคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้บูชาเหมือนเรา ลักษณะการเป็นไปศาสนาพุทธในธิเบตนั้นเป็นมหายานที่แฝงไปด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์พอประมาณ(คล้ายๆ กับไทย)   แม้จะเป็นมหายานเหมือนจีนแต่ก็แตกแขนงออกจากมหายานออกมาอีกทอดหนึ่งซึ่งเรียกว่า "วัชรยาน"  ซึ่งเป็นการผสมผสานกับลัทธิดั้งเดิมเรียกลัทธินี้ว่าลัทธิบอนก่อนที่พุทธศาสนาจะแผ่ไปถึง   คล้ายๆ กับไทยที่นับถือพราหมณ์มาก่อน   วัดบางวัดในไทยจึงพระพุทธรูปผสมปนเปไปกับรูปปั้นเทพเจ้าฝ่ายฮินดู   เหมือนวัดในธิเบตที่มีพระพุทธรูปผสมปนเปกับรูปปั้นพระโพธิสัตว์และรูปปั้นของลัทธิบอน จากคุณ : วัชรานนท์ - [ วันวาเลนไทน์ 05:09:19 ]

ความคิดเห็นที่ 9 พุทธมหายานของธิเบต ยังได้ชื่อว่า นิกายตันตระ ด้วยครับผม จะเห็นได้ว่า นิกายพุทธมหายานธิเบต ค่อนข้างจะเคร่งครัดและให้ความเคารพบูชากับ พระโพธิสัตว์และพระพุทธเจ้ามาก จริงๆ แล้วในสมัยก่อนหรือสมัยพุทธกาล เราไม่มีรูปพระพุทธเจ้าครับ การปั้นรูปพระพุทธเจ้าจริงๆ เริ่มในสมัยหลังพระเจ้าอโศกมหาราชเสียอีก หรือสมัยราชวงศ์คุปตะของอินเดีย โดยพระพุทธรูปปางแรกๆ ดูไปมาจะคล้ายกับพวกเทพเจ้าของกรีกด้วย เพราะอินเดียได้รับอิทธิพลมาจากกรีก (Alexander มหาราชที่ยกทัพมาถึงชมพูทวีปนั่นเองครับ)   ถูกผิดยังไงขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยครับ พระพุทธรูป หรือ รูปเคารพแทนพระพุทธเจ้า เริ่มมีการสร้างขึ้นมาตั้งแต่ระหว่าง พ.ศ. 500 ถึง 550 เมื่อชาวกรีก ที่ชาวชมพูทวีป (อินเดียโบราณ) เรียกชาวต่างแดนว่า "โยนา" หรือ "โยนก" โดยพระเจ้าเมนันเดอร์ที่ 1 หรือ พระเจ้ามิลินท์ กษัตริย์เชื้อสายกรีก ยกทัพกรีกเข้ามาครอบครองแคว้นคันธาราฐ (ปัจจุบันเป็นดินแดนของอัฟกานิสถาน) จากนั้นพระองค์ก็แผ่อาณาเขตไปทั่วบริเวณด้านตะวันตกเฉียงเหนือของชมพูทวีป และสร้างเมืองหลวงเป็นที่ประทับ ณ เมืองสากล (Sakala) หลังจากที่ได้พบพระสงฆ์ท่านหนึ่งนามว่า นาคเสน จึงมีเรื่องราวแห่งการตั้งคำถามของพระเจ้ามิลินท์ต่อพระนาคเสน จนทำพระเจ้ามิลินท์ ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา (คำถามคำตอบปุจฉาวิสัชนา ซึ่งถูกเขียนบันทึกเป็นหนังสือและแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมาก เรื่องนี้ก็คือ มิลินทปัญหา - The Milinda Panha or The Questions of King Minlinda) ได้มีการสร้างสถาปัตยกรรม และประติมากรรมทางพุทธศาสนามากมายในแคว้นคันธาราฐ ซึ่งการสร้างพระพุทธรูปนั้นมีลักษณะต่างๆ ตามพุทธประวัติ (ปางพระพุทธรูป) พระพุทธรูปรูปแรกจึงเกิดขึ้นในสมัยของพระเจ้ามิลินท์ หรือเมนันเดอร์ที่ 1 ชาวกรีกที่มาครอบครองแคว้นคันธาราฐ เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 6 หรือ 2,000 ปีที่แล้วนั่นเอง พระพุทธรูปที่เกิดขึ้นครั้งแรกจึงเรียกรูปแบบของพระพุทธรูปนี้ว่า แบบคันธาราฐ โดยถ่ายแบบอย่างเทวรูปที่พวกชาวกรีกนับถือกันในยุโรปมาสร้าง พระพุทธรูปแบบคันธาราฐจึงมีใบหน้าเหมือนฝรั่งชาวกรีก จีวรก็เป็นริ้วเหมือนเครื่องนุ่งห่มของเทวรูปกรีก และต่อมาในภายหลัง ราวพุทธศตวรรษ ที่ 4-12 มีคตินิยมสร้างพระพุทธรูปเป็นขนาดเล็กๆ (พระเครื่อง)บรรจุไว้ในพุทธเจดีย์ จากคุณ : พัฒน์ - [ วันวาเลนไทน์ 05:21:08 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คุณวัชรานนท์ อันนี้ดิฉันเข้าไปลองลื้อๆอ่านดูในวิกิ ต้องบอกว่า ...โอโห!! อย่าง "งง "เลยค่ะ เพราะดิฉันรู้จักอยู่องค์เดียวคือพระสิทธัตถะ แต่ในเว็บมีพระพุทธเจ้ามาแล้วทั้งหมด 25 พระองค์  อึ้งเลยค่ะ เพราะไม่เคยรู้ (เป็นคนไกลพระไกลเจ้า) โปรดอภัย จากคุณ : hamble pie - [ วันวาเลนไทน์ 05:22:16 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ให้ฟังต่อ  กำลังน้ำลายแตกฟอง  อิ อิ อิ พระพุทธรูปสร้างขึ้นครั้งแรกโดยชาวกรีก.....คือตอนที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชกรีฑาทัพบุกมาถึงอินเดีย  แล้วทิ้งทหารชาวกรีกไว้จำนวนหนึ่งเพื่อปกครองเมืองคันธาราษฏร์ ซึ่งต่อมาเกิดเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา  ในรัชสมัยพระเจ้ามิลินทร์(เป็นชาวกรีก)พระองค์ก็ให้ทหารกรีกแกะสลักหินเป็นพระพุทธเจ้า   พระพุทธรูปในยุคแรกจึงมีพระพักตร์ไปเหมือนเทพเจ้าทางกรีก     นั่นเป็นประวัติศาสตร์ที่ยืนยันว่าการมีรูปปั้นหรือพระพุทธรูปเกิดขึ้นครั้งแรก ความจริงมองตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้ว   ในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชก็น่าจะสามารถสร้างพระพุทธรูปได้   กล่าวกันว่าสาเหตุที่ไม่สร้างพระพุทธรูปนั้น   เกรงว่าสร้างแล้วจะไม่มีลักษณะเหมือนพระพุทธเจ้าจึงไม่สร้างกัน   เลยเลี่ยงมาแกะสลักเสาหินเสมาธรรมจักรแทน อีกตำนานหนึ่ง....เกี่ยวกับพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นครั้งแรก   เคยอ่านข้อเขียนของศาสตราจารย์เสฐียรพงษ์  ราชบัณฑิตฯ (อดีตสามเณรเปรียญธรรมเก้าประโยค) ว่า     เมื่อครั้งสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จขึ้นไปจำพรรษาที่สวรรค์ชึ้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพระมารดาเป็นเวลาสามเดือนนั้น    ชาวเมืองเชตวันเกิดความรู้สึกระลึกถึงพระพุทธองค์เป็นอย่างมาก   จึงมีการแกะสลักไม้แก่นจันทร์เป็นเสมือนหนึ่งตัวแทนพระพุทธเจ้าไว้เคารพ   นั่นจะถือว่าเป็นพระพุทธรูปได้หรือเปล่า?? เหนื่อย!!  พอแค่นี้ล่ะกัน แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 52 05:39:32 จากคุณ : วัชรานนท์ - [ วันวาเลนไทน์ 05:23:51 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ชนกับคุณพัฒน์ซึ่งมีเนื้อหาคล้ายๆ กันเลย คุณแฮมเบิ่ลพาย   ถ้าจะกล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว   พระพุทธเจ้ามีมากมายมากกว่า25 พระองค์ครับ   และในกาลข้างหน้าก็จะมีอีกมากมาย แม้พระเทวทัตที่เคยลอบทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงกับถูกธรณีสูบตกนรกอเวจี   อีกหลายแสนกัปป์ก็จะได้เกิดมาเป็นปัจเจกพุทธเจ้า อยากรู้ไหมว่า "กัปป์" หนึ่งยาวนานเท่าไหร่??   เอาไว้ว่างๆ จะมาเล่าให้ฟ้ง แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 52 05:33:52 จากคุณ : วัชรานนท์ - [ วันวาเลนไทน์ 05:28:35 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คุณวัชรานนท์ อย่าเพิ่งไปไหนนะคะ เหนื่อยให้พักได้แต่ต้องมาต่อให้นะคะ เพราะกำลังจะเข้าเรื่องเลย อยากรู้ๆ คือทุกวันนี้ยอมรับว่าศึกษาคริสค่ะ แต่ดิฉันคือคนที่นับถือทุกศาสนาใครเล่าอะไรมา ฟังหมด คริสนี่ก็ได้มาศึกษาแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่อ่านๆไปก็สอนให้ทำดีเหมือนกัน ก็ถือว่าดีเหมือนกัน แต่พุทธนี่ขอบอกเลยว่ารู้น้อยมาก ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลก จากคุณ : hamble pie - [ วันวาเลนไทน์ 05:40:09 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ชนกับคุณวัชรานนท์แน่ๆ ตำนาน "กัป" เคยได้ยินมาว่า ท่านให้จินตนาการว่า มีภูเขาสูงหนึ่งโยชน์ กว้างยาวหนึ่งโยชน์ (ด้านละ 16 กิโลเมตร)  แล้วทุกร้อยปี จะมีเทวดานำผ้าทิพย์บาง มาลูบภูเขา ไปเรื่อยๆทุกร้อย ปีจนกว่าจะราบเรียบ กั่กๆๆๆๆ หรืออีกตำนานก็คือ อีกแห่งหนึ่ระบุว่า กล่องขนาด 1 คิวบิกโยชน์ (16 X 16 X 16 กิโลเมตร)  บรรจุเมล็ดพันธุ์ผักกาด เต็มกล่อง 100 ปี เอาออก 1เมล็ด จนหมดกล่องจึงเท่ากับ 1 กัลป์ หากสมมติว่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีขนาด 1 คิวบิกมิลลิเมตรแล้ว ผมลองคำนวณดูแล้วจะได้เวลา 1 กัลป์เท่ากับ 2.56 X 10ยกกำลัง16 ปีครับ หรือเท่ากับ 25,600,000,000,000,000 ปี หรือ 25,600 ล้านล้านปี นั่นเอง เครดิต http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001466.htm จากคุณ : พัฒน์ - [ วันวาเลนไทน์ 05:43:37 ]

ความคิดเห็นที่ 15 พระพุทธเจ้าไม่ได้มีองค์เดียวครับผม เท่าที่ผมจำได้ ตอนพระพุทธเจ้าศากยมุนี (เจ้าชายสิทธัตถะ) พระองค์ต้องการอธิษฐานขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงเสี่ยงลอยถาดทอง ไปตามแม่น้ำ (อะไรจำไม่ได้เหมือนกัน)  ถาดทองของพระองค์ได้ไปหยุด ณ ตำแหน่งที่พระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ท่านได้ทรงอธิษฐานจิตลอยถาดเช่นกัน ครับ จากคุณ : พัฒน์ - [ วันวาเลนไทน์ 05:47:38 ]

ความคิดเห็นที่ 16 นึกว่าหลงมาห้องศาสนา ขอบคุณคนถาม และคนตอบนะคะ อ่านประดับความรู้(แต่อีก 2 วันก็ลืม) ดีจังเลยค่ะ จากคุณ : pixp - [ วันวาเลนไทน์ 05:57:48 ]

ความคิดเห็นที่ 17 พยายามอ่านให้เข้าใจแต่ก็มีคำถามค่ะ 1. พระโพธิสัตว์กับพระศรีอริยเมตตรัยแตกต่างกันอย่างไรคะ 2. แล้วลัทธิหินยานกับมหายานล่ะคะ แตกต่างกันอย่างไร จากคุณ : Kalimera - [ วันวาเลนไทน์ 06:18:19 ]

ความคิดเห็นที่ 18 พักนี้ได้อ่านกระทู้ดี ๆ เกี่ยวกับทั้งประวัติศาสตร์และศาสนาในห้องไกลบ้านแล้วรู้สึกดีค่ะ มีกระทู้ดี ๆ แบบนี้มีหลงมาให้อ่านบ้างก็ดีนะคะ อ่านแล้วได้ทั้งความรู้และเพลินดี ต้องขอขอบคุณทั้งคนตั้งกระทู้และก็คนที่อุตส่าห์มาตอบให้ความรู้ค่ะ จากคุณ : JC2002 - [ วันวาเลนไทน์ 06:27:17 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เคยโดนถามแบบนี้เหมือนกันค่ะ คราวนี้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องซะที จากคุณ : Brunnett - [ วันวาเลนไทน์ 06:49:56 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อ่านแล้วรู้สึกดีค่ะ  นอกจากรู้สึกดีแล้วยังสนุกและได้ความรู้มากขึ้นด้วยค่ะ  ตอนนี้กำลังจิตตก  ได้มาอ่านกระทู้แบบนี้แล้วรู้สึกสบายใจขึ้นมาทีเดียว จากคุณ : Louise Vuitton - [ วันวาเลนไทน์ 07:54:24 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ที่บ้านมีองค์พระสังกัจจายน์ ทีแรกก็นึกว่าเป็นองค์เดียวกับพระสังกระจาย อย่างที่เคย ๆได้ยินมาไม่นึกว่าจะมี 2 องค์แตกต่างกัน จนอ่านคห.7 ของคุณวัชรานนท์ ถึงได้ทราบว่าเป็นองค์พระสังกัจจายน์ เพราะว่ามีคำสวด เขียนว่าองค์พระสังกัจจายานะ พูดถึงองค์พระสังกระจาย อยากถามเพื่อนๆ ว่าต่างประเทศที่เพื่อน ๆ อยู่ ร้านที่ขาย LOTTO ของฝรั่งจะมีองค์พระสังกระจาย หรือ Happy face Buddah ตามที่ฝรั่งเรียก วางอยู่ที่ข้างหน้าเคาน์เตอร์ให้คนที่มาซื้อ Lotto ลูบท้องเหมือนเมืองที่ดิฉันอาศัยอยู่ และเมืองใกล้เคียงที่ออสเตรเลียหรือเปล่าคะ ไม่แน่ใจว่ารัฐอื่น ๆ จะเหมือนกันหรือไม่ ดิฉันเห็นมาหลายร้านค่ะ เคยไปซื้อที่เมืองอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่มีองค์พระสังกระจายตั้งอยู่ อาจจะมีลักษณะแตกต่างกัน ตอนมาใหม่ ๆ คิดว่าฝรั่งคงตั้งโชว์เฉย ๆ สงสัยก็เลยถามเจ้าของร้านฝรั่งว่าทำไมถึงตั้ง เจ้าของบอกว่าคนลูบท้องแล้วจะโชคดี เคยมีคนถูกรางวัล ฟังแล้วไม่น่าเชื่อว่าฝรั่งก็มีความเชื่อในเรื่องแบบนี้ด้วย บางองค์ท้องจะถูกขัดซะเงาวับเชียวค่ะ แถมบางร้านมีเปลี่ยนชุด ถักผ้าพันคอ และสวมหมวกให้ตอนหน้าหนาวด้วยค่ะ จากคุณ : coast girl - [ วันวาเลนไทน์ 08:16:56 A:121.214.1.8 X: TicketID:163162 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ความรู้แน่นมากๆครับ ชอบจัง จากคุณ : goodnightcry - [ วันวาเลนไทน์ 08:32:55 ]

ความคิดเห็นที่ 23 1. พระโพธิสัตว์กับพระศรีอริยเมตตรัยแตกต่างกันอย่างไรคะ พระโพธิสัตว์คือพระที่กำลังสั่งสมบารมีเพื่อจะมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตครับ พระศรีอริยเมตตรัยก็จะมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปต่อจากเจ้าชายสิทธัตถะครับ แล้วก็จะมีต่อไปอีกเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆ 2. แล้วลัทธิหินยานกับมหายานล่ะคะ แตกต่างกันอย่างไร หลักๆคือเรื่องการปฏิบัติครับ จากคุณ : หน้าตัวผู้ - [ วันวาเลนไทน์ 09:33:28 ]

ความคิดเห็นที่ 24 พระสังกัจจายหรือพระมหากัจจายนะคือองค์เดียวกันครับ เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในประพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยพระสมณะโคดมยังทรงพระชนม์ พระมหากัจจายนะเดิมแล้วเป็นพระที่มีรูปงาม หล่อเหลาทีเดียว ครั้งหนึ่งมีบุตรเศรษฐีประจำเมืองชื่อ โสไรญะ (เขียนถูกป่าวหว่า) นั่งรถม้าผ่านมาแล้วเห็นพระมหากัจจายนะเข้า ก็เลยคิดไปว่า "พระคุณเจ้าท่านนี้ช่างรูปงามจริง ๆ ผิวก็สวย ถ้าหากว่าเราได้ท่านมาเป็นภรรยา หรือให้ภรรยามีผิวสวยได้ดังพระองค์ ก็คงจะวิเศษ" ด้วยจิตอกุกศลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กรรมส่งผลทันที ทำให้เพศชายของโสไรญะหายไปทันที กลายเป็นเพศหญิงขึ้นมาแทนที่ ด้วยความอับอายก็เลยหนีไปอยู่เมืองอื่น และได้แต่งงานกับเศรษฐีต่างเมือนจนมีลูกด้วยกัน ต่อมามีอดีตเพื่อนของโสไรญะเดินทางมาค้าขายและได้พบกับโสไรญะในร่างหญิง ตอนแรกจำไม่ได้ แต่ตอนหลังจำไม่ได้เหมือนกันว่าคุยกันยังไงถึงได้รู้ความเป็นมา เพื่อนคนนี้ก็เลยรีบพาโสไรญะในร่างหญิงไปกราบขอขมาพระมหากัจจายนะอย่างด่วนจี๋ พอพระมหากัจจายนะทราบเรื่องก็กล่าวประโยคสั้น ๆ ว่า "เอาเถิด อาตมาอโหสิให้" เพศหญิงของโสไรญะก็หายไป กลับมาเป็นเพศชายดังเดิม พระมหากัจจายนะก็คิดได้ว่าความมีรูปงามก็เป็นโทษเช่นกัน ท่านจึงอธิษฐานจิต เปลี่ยนร่างให้กลายเป็นคนอ้วนพุงพลุ้ยอย่างที่เราเห็นเป็นพระสังกัจจายกันครับ นอกเรื่องไปยาว วกกลับมาเรื่องนี้ คราวนี้ก็เข้ากะคติของคนจีนที่คิดกันไปเองว่า คนอ้วน ๆ คือคนที่มีร่างกายแข็งแรง และรวย คราวนี้ก็มากันใหญ่เลยครับ พระสังกัจจายเต็มวัดจีนเลยคราวนี้ และที่นิยมมากในหมู่พ่อค้าและนักพนันก็คือพระสังกัจจายชูทอง อยากรวยต้องหาไว้บูชา กายของพระพุทธเจ้าจะต้องประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการ (อย่าถามว่ามีอะไรบ้าง เพราะจำไม่ได้) ดังนั้นแล้วให้คุณหารูปของพระพุทธรูปปกติให้ฝรั่งเค้าดูครับ และบอกไปเลยว่ามาตรฐานต้องเป็นแบบนี้ ถ้าอ้วน ๆ มานี่ไม่ใช่ บอกไปเลยครับ จากคุณ : The Queenslander - [ วันวาเลนไทน์ 09:53:45 ]

ความคิดเห็นที่ 25 Religions and I are always in parallel.  So just read for new knowledge. จากคุณ : Thai Woman (ณารา) - [ วันวาเลนไทน์ 09:56:01 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ความจริง พระสังกัจจายน์ หรือ พระมหากัจจายนะ ท่านเป็นพระที่มีบุญญาธิการมาก เคยปรารถนาพุทธภูมิในกาลก่อน และก็มีบารมีจวนจะเต็มอยู่แล้ว ท่านจะรอเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องบำเพ็ญบารมีต่อไปอีก แต่ละชาติสภาวะมันเป็นทุกข์ เพราะต้องเกิดในกองทุกข์คือขันธ์ ๕ ขณะใดที่เราอาศัยร่างกายอยู่ขณะนั้นเราก็เป็นทุกข์ จะเกิดอยู่ในโลกก็เป็นสังคมของความทุกข์ มันหาความสุขจริงๆ ไม่ได้ ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจขอลาพุทธภูมิกลับมาเป็นสาวกภูมิ - ดังนั้นพระมหากัจจายนะท่านบำเพ็ญมาบารมีมามาก ใกล้จะเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อท่านเห็นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตั้งมโนปณิธานใหม่ว่า ต้องการเป็นสาวก ฉะนั้นเมื่อฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าเพียงจบเดียวจึงบรรลุอรหันต์ปฏิสัมภิทา ญาณ และก็เป็นพระที่มีความฉลาดในการอธิบายธรรมะมาก จากคุณ : หน้าตัวผู้ - [ วันวาเลนไทน์ 10:14:44 ]

ความคิดเห็นที่ 27 อืม นั้นแหละครับ ตอบฝรั่งไปว่าแตกต่างกันตามความเชื่อ สภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมทางสังคม ประวัติศาสตร์ของพื้นที่นั้น ๆ เข้าใจได้ง่าย ๆ ส่วนพระมหากัจจายนะ ก็เป็นเรื่องตามที่ คห บน ๆ เล่ามานะครับ จึงเนรมิตตนให้อ้วนพุงพลุ้งเป็นแบบนั้นไปครับ เราเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องราวสมัยพุทธกาล ก็คงจะคล้าย ๆ กับเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิ้ล เข้าได้ใจง่ายเหมือนกันครับ จากคุณ : Sand and Sea (เม็ดทราย กะ ชายหาด) - [ วันวาเลนไทน์ 11:31:49 ]

ความคิดเห็นที่ 28 กระทู้ดีมีประโยชน์ค่ะ จากคุณ : ยุ้ยหัดเขียน - [ วันวาเลนไทน์ 11:50:35 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณ คุณ ham ที่ตั้งกระทู้นี้ ทำให้เราได้อ่านอะไรประดับความรู้ไปด้วย ชาวไกลบ้านหลายท่าน ทรงภูมิจริงๆนะ รู้ลึก รู้จริง ที่เรามาอ่านๆนี่ ท่ีโรงเรียนไม่ได้สอนเลยนะ (หรืออาจจะสอนแต่เรานั่งหลับในชั้นเรียนก็เป็นได้) ต้องใช้เวลาซึมซับพอสมควร เพราะชื่อเยอะมาก เหมือนอ่าน สามก๊กยังไงยังงั้น 555 จากคุณ : กิฟท์หมด (yinnerella) - [ วันวาเลนไทน์ 12:53:18 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ขอแชร์ความเห็นจากความรู้ (เท่าหางอึ่ง) ที่ตัวเองมีนะคะ ตอบแบบง่าย ๆ (ยกเว้น จีนเพราะความต่างของพระจีนจะเห็นได้ชัดเจน)   คือว่า พระพุทธรูปในแต่ละที่ ก็จะต่างกันเนื่องจากการสร้าง (อิมเมจ) จะคล้าย ๆ กับ demonstrate รูปกาย มาจากคนในสังคมนั้น ๆ แหละค่ะ เช่นพระพุทธรูปที่แม่ฮ่องสอนขึ้นไปจะได้รับอิทธิพลมาจากทางพม่า โดยจะมีคิ้วเส้นเดียว ปากแดง และหน้า (พระพักตร์  หรือเปล่า) ขาว พระพุทธรูป สร้างที่เมืองไทย กับที่อินเดียก็จะหน้าตาต่างกันเห็นได้อย่างชัดเจน จากคุณ : Freedom of Life - [ วันวาเลนไทน์ 13:05:45 ]

ความคิดเห็นที่ 31 Thank you ka Khun หน้าตัวผู้ จากคุณ : Kalimera - [ วันวาเลนไทน์ 14:37:39 ]

ความคิดเห็นที่ 32 มาขอบคุณ คุณ hamble pie ที่มาตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ดิฉันกำลังอ่านหนังสือเรื่อง เจ็ดเดือนบรรลุธรรม ของคุณดังตฤณอยู่พอดีเลย ก็มาได้ความรู้อีกหลายอย่างในกระทู้นี้   คววามรู้คุณวัชรานนท์นี่แน่นจริงๆ พึ่งรู้ว่าพระสังกระจายและพระกัจจายน์นี่ ไม่ใช่องค์เดียวกัน เมื่อแปดปีก่อนที่พวกทาลีบันทำลายรูปปั้นพระพุทธรูปทั่วประเทศ ก็ยังเคยสงสัยว่าทำไมมีรูปปั้นพระพุทธรูปอยู่ทั่วไปในอาฟกานิสถาน แต่ไม่ได้ไปสนใจติดตาม ได้คุณวัชรานนท์และอีกหลายท่านๆเอาความรู้มาป้อนถึงปาก แบบนี้ก็ต้องขอขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ จากคุณ : Rinta - [ วันวาเลนไทน์ 16:02:35 ]

ความคิดเห็นที่ 33 จะไม่ตอบโดยละเอียดนะครับ  เพราะเดี๋ยวจะลำบากในการอธิบายให้ฝรั่งฟัง ถามว่า ทำไมพระพุทธรูปของแต่ละประเทศรูปร่างไม่เหมือนกันเลย ตอบว่า ภายหลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว  จึงมีการสร้างพระพุทธรูป เป็นความนิยมที่เกิดขึ้นภายหลังจากได้รับอิทธิพลจากกรีกที่บุกยึดอินเดีย  ดังนั้นย่อมไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า พระองค์จะมีรูปลักษณะเช่นไร  พุทธลักษณะที่ปรากฎอยู่จึงสร้างจากการตีความตำราของลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการ  ทำให้แต่ละภูมิภาค ย่อมตีความลักษณะของมหาบุรุษแตกต่างกันไป อดีตก่อนจะมีการสร้างพระพุทธรูปนั้น  ชาวพุทธจะบูชาพระองค์โดยอาศัยสิ่งแทน  เช่น ธรรมจักร  ต้นโพธิ์ สถูป เจดีย์เป็นต้น ถามว่า   เป็นพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันหรือเปล่า ตอบว่า   ต้องดูครับวัดที่เขาไปเห็นพระพุทธรูปนั้นเป็นวัดแบบไหน  ปท ใด และที่สำคัญคือเป็นวัดในนิกายใด   ถ้าเป็นนิกายหินยาน เช่นใน ปท ไทย  พม่า ศรีลังกา   แน่นอนครับ เกือบเต็ม 100 เป็นพระพุทธเจ้า(พระมหาโคดม) ที่เดิมคือเจ้าชายสิทธัตถะ (ในไทยไม่รวมพวกวัดจีน วัดญวนในเยาวราช ที่เป็นมหายาน)            แต่ถ้าเขาไปที่ ปท จีน  เกาหลี  ญี่ปุ่น  กลุ่มนี้เป็นพุทธมหายาน พราะพุทธรูปที่เห็นอาจจะไม่ใช่พระพุทธเจ้า  อาจเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้ (คือพระที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อมาในพุทธกาลใหม่  ในชาติต่อไป)         มีหลักสังเกตง่ายๆ  ถ้าเข้าไปในอุโบสถแล้ว  คุณเห็นพระประธานนั่งเด่นเป็นสง่า องค์โตๆเพียงองค์เดียว   เดาได้ว่า คือ พระพุทธเจ้านั่นเอง  เป็นหินยานแบบไทยเรา   แต่ถ้าเข้าไปแล้วพบ  พระประธานนั่งเรียงกันบนฐานเดียวกันมากกว่า 1 องค์  (มักจะเป็น 3 องค์) แสดงว่าเป็นมหายาน   สามองค์ที่เรียงกัน คือ 1. พระพุทธเจ้าในอดีต   2. พระพุทธเจ้าในปัจจุบัน(เจ้าชายสิทธัตถะ)   3. พระพุทธเจ้าในอนาคต       นั่นคือ ต้ององค์กลางในวัดมหายาน จึงจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์เดียวกับหินยาน         วัดมหายานในไทยมีมากเหมือนกัน  แถวเยาวราชก็มีดังๆ คือ วัดเล่งเน่ยยี่ (วัดมังกรกมลาวาส)   ลองเข้าไปในโบสถ์จะเป็นพระประธานนั่งเรียง 3 องค์ *****แก้พิมพ์ผิด แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 52 16:50:04 จากคุณ : Fortunism - [ วันวาเลนไทน์ 16:48:22 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ตอนเรียนไม่เคยสนใจเรียนเลยค่ะ (ไม่รู้รอดมาได้ยังไง) แถมที่บ้านก็ไกลพระ ไกลเจ้าเหมือนกันค่ะ เลยไม่มีข้อมูลที่มีประโยชน์มาเผื่อแผ่ค่ะ มานั่งรับข้อมูลแทนแล้วกันค่ะ เผื่อมีใครถามจะได้ตอบเค้าได้ :o) จากคุณ : Krapook-_-' - [ วันวาเลนไทน์ 17:06:50 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ถามว่า   ทำไมของจีนอ้วนของไทยผอม ตอบว่า   ไม่แปลกครับ  เพราะเป็นพุทธศิลปะ  จึงมีรูปลักษณ์ไปตามช่างผู้ปั้นแต่ง  แม้แต่ ปท ไทยเราเอง  พราะพุทธรูปก็มีแบบอวบอ้วนเหมือนกัน  แม้แต่จีวรก็ยังแตกต่างเลยครับ   แต่พระพุทธรูปที่เราคุ้นเคยนั้น เป็นพุทธศิลป์ในแบบสมัยสุโขทัย  ที่มักจะนิยมพระพุทธองค์แบบ ผอมบาง  สะโอดสะอง  จึงกลายเป็นว่า เราเห็นแต่พระพุทธเจ้าผอมๆ    ซึ่งถ้ามาทางใต้ จะมีพระพุทธเจ้าที่อวบอ้วน  เขาเรียกว่าแบบข้าวต้มมัด   แม้แต่พระพุทธทักษิณมิ่งมงคลของ จ. นราธิวาสก็อวบอ้วน           แต่ถ้าเป็นมหายานมักจะอวบอ้วน  เพราะจีนมีคตินิยมว่า  คนอยู่ดีกินดี ต้องอวบอ้วน   แต่ต้องบอกฝรั่งว่า พระยิ้ม หรือ พระสังกัจจายณ์   จริงๆ ไม่ใช่ Buddha  แต่เป็น  Monk ....    ภาพ 1. พระสุโขทัยไตรมิตร   2. พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล   3. พระสังกัจจายน์ จากคุณ : Fortunism - [ วันวาเลนไทน์ 17:07:28 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ถามด้วย ๑.ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมีมวยผมครับ   ท่านไม่ได้ปลงผมหรือครับ ๒.พระพุทธรูปของไทย ยอดแหลมๆบนเศียร  คล้ายเปลวไฟนี่คืออะไรครับ   ของชาติอื่นไม่เห็นมีเลย จากคุณ : semplice - [ วันวาเลนไทน์ 17:42:46 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ตอบ คห 36 ครับ 1. เป็นทัศนคติของช่างปั้นมากกว่าครับ เพื่อต้องการให้รูปปั้นพระพุทธเจ้ามีความแตกต่างจากอัครสาวก ทั้ง พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะหรือรูปปั้นพระสงฆ์อื่นๆ  พุทธประวัติได้จารึกชัดเจนว่า พระองค์ทรงปลงพระเกศาที่ริมน้ำเนรัญชรา แล้วทรงมอบมวยพระเกศาให้นายม้าฉันทะ นำกลับไปมอบให้ทางพระราชบิดา สุทโธธนะ กลายเป็นว่า คติช่างปั้นก็สืบทอดกันมา  อีกทางหนึ่งก็คือ อย่างที่เราทราบกันแล้วว่า พระพุทธรูปปางแรกได้รับอิทธิพลมาจากกรีก ลองสังเกตรูปั้นกรีกโบราณทุกรูปสิครับ มีผมหมด ไม่ว่าจะเป็นคนหัวล้านหรือไม่ล้าน ก็ต้องมีผมประดับทุกรูปปั้น 2.  ยอมแหลมๆ นั่นคือ สัญลักษณ์แทนบารมีครับ เราเรียกว่า "ฉัพพันธรังสี" นั่นเองครับผม จากคุณ : พัฒน์ - [ วันวาเลนไทน์ 18:11:32 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ผ่านไปผ่านมาน่ะค่ะ เคยเจอคนถามเหมือนกัน ก็บอกไปค่ะว่า ต่างกัน ความรู้ก็มีไม่เยอะมาก แต่ก็ต้องขอแก้สิ่งที่คห.37 เขียนหน่อยน่ะค่ะ มวยผมข้างบนของพระพุทธเจ้า เรียกว่า อุษณีษะ นะคะ ความหมายอาจจะมี แต่จำไมไ่ด้แล้วเหมือนกัน และลักษณะของอุษณีษะนี้จะแตกต่างไปในแต่ละท้องถิ่น อย่างในเมืองไทยนี่ก็จะเป็นแบบเปลวเพลิง ซึ่งก็มีกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย (ตามรูปปลากรอบของคห.ก่อนๆ) ส่วนของที่อื่นก็จะมีรูปร่างต่างๆกันไป เช่นของลังกา รู้สึกว่าจะเป็นรูปอื่น คล้ายๆดอกบัวน่ะค่ะ ไม่ค่อยแน่ใจ แล้วก็พระพุทธรูปสมัยก่อนสุโขทัยก็จะมีอุษณีษะที่ต่างไปเช่นกันค่ะ จากคุณ : agenaise - [ วันวาเลนไทน์ 18:58:40 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ิ้ิอ้อ ลืมบอก "ฉัพพรรณรัีงสี" นะคะ ไม่ใช่ "ฉัพพันธรังสี" แปลว่า หกสีค่ะ ใกล้เคียงกับสีรุ้งน่ะค่ะ ฉัพพรรณรังสีก็คือแสงที่เปล่งเป็นรูปวงกลมรอบๆพระเศียรของพระพุทธเจ้า แต่อันนี้ไม่ชัวร์ 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องพึ่งกูเกิลแล้วล่ะค่ะ แก้คำผิด แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 52 19:01:52 จากคุณ : agenaise - [ วันวาเลนไทน์ 19:01:19 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณท่าน agenaise ครับผม พอดีผมไม่ได้หาข้อมุลมาประกอบด้วยเลยทำให้ตอบผิดพลาดไปครับ จากคุณ : พัฒน์ - [ วันวาเลนไทน์ 19:49:55 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ความคิดส่วนตัวนะคะ คือ เกิดจากความผิดเพี้ยนในการส่งข้อมูล และความคิด จินตนาการของช่างปั้นคะ ก็เหมือนกับ ที่ เมื่อก่อน เรียก มะม่วง ว่า หมากม่วง เรียกกันไปมา ก็กลายเป็น มะม่วงนั่นแหละคะ สมัยก่อน การเผยแพร่ศาสนา ก็ใช้ใบลาน และ ปากต่อปาก เราคิดว่า คงมีส่วนที่เพี้ยนไป อีกประการหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นก็คือ พระสงฆ์ในศาสนาพุทธแต่ละแห่งแตกต่างกัน เช่น พระไทยโกนคิ้ว พระประเทศใกล้เคียงของเรา ไม่โกงคิ้ว แถมพระสงฆ์ในบางประเทศก็แต่งงานได้ด้วยคะ แปลกดีเนอะ จากคุณ : วิหคลม - [ วันวาเลนไทน์ 19:51:01 ]

ความคิดเห็นที่ 42 พระสังกระจายกับพระสังกัจจายนะเป็นองค์เดียวกัน   สังกระจายเรียกตามลิ้นคนไทย ประวัติของท่านตามคห.24 พระอุปคุตหรือพระบัวเข็มเป็นคนละองค์กับพระสังกระจาย   พระอุปคุตเป็นพระอรหันต์มีฤทธิ์มากจำพรรษาคนเดียวอยู่สะดือทะเล สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชให้สร้างเจดีย์ 84,000 องค์ (สร้างพร้อมวัด) ท่านได้รับการโหวตจากพระองค์อื่นๆให้มาอำนวยความสะดวกอารักขาป้องกัน พญามารมารบกวนการก่อสร้างโทษฐานที่หนีไปจำพรรษาอยู่คนเดียว ปัจจุบันแถวภาคอีสานช่วงจัดงานเทศน์มหาชาติจึงมักอัญเชิญพระบัวเข็มมาร่วมพิธี เมื่อครั้งพุทธกาลยังไม่มีพระพุทธรูป  แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไป เมืองอื่นชาวบ้านคิดถึงพระองค์จึงมาปรึกษากับพระอานนท์ๆบอกให้ปลูกต้น โพธิเป็นตัวแทนรำลึกถึงพระพุทธเจ้าเรียกว่า ต้นโพธิอานนท์   (คนละต้นกับที่พุทธคยา) ส่วนพระพุทธรูปสมัยหลัง คงได้อิทธิพลมาจากศิลปะกรีกโรมัน เพราะต้นกำเนิดอยู่แถวตักกสิลา(ปากีสถาน พระเจ้าอโศกเคยไปอยู่ตอนเป็น อุปราช)ซึ่งเคยโดนกองทัพกรีกปกครอง ในอดีตมีพระพุทธเจ้าอุบัติหลายพระองค์แล้ว ส่วนกัปคือระยะเวลาที่ยาวนาน กัปนี้เรียกว่าภัทระกัป แปลว่ากัปเจริญ เพราะมีพระพุทธเจ้าอุบัติถึง 5 พระองค์ คือ 1. พระกกุสันธะพุทธเจ้า 2.  พระโกนาคมนะพุทธเจ้า 3.  พระกัสสปะพุทธเจ้า 4.  พระโคตมะหรือพระโคดมพุทธเจ้า (องค์ปัจจุบัน) 5.  พระศรีอริยเมตไตรย์ (อนาคต) พระโพธิสัตว์คือผู้ที่กำลังบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เช่น พระเวสสันดร พระมหาชนก อดีตชาติของพระพุทธเจ้า ส่วนพระศรีอริยเมตไตรย์คือพระพุทธเจ้าในอนาคตตอนนี้เป็นเทพบุตรอยู่บน สวรรค์ชั้นดุสิต สมัยพุทธกาลท่านเคยบวชเป็นพระด้วย พระพุทธรูปในจีนถ้าไม่ใช่พระสังกระจายก็จะเป็นพระโพธิสัตว์ของมหายาน มีชื่อเฉพาะ เช่น พระอมิตาภะ พระไภษัชยคุรุ   สรุปพระพุทธรูปสร้างตามความนิยมของแต่ละท้องถิ่น การสร้างพระพุทธรูปให้มีพระเมาลี (ผม) เพื่อจะแยกจากรูปปั้นสาวก ยอดแหลมๆคล้ายเปลวไฟข้างบนหมายถึงมีปัญญามากเฉียบแหลม ฉัพพัณณรังสีคือรัศมีหกสีแผ่ออกมาจากพระวรกายของพระพุทธเจ้า คนมีบุญยุคนั้นบางคนก็มีรังสีแต่มีไม่ถึงหกสี คงเหมือนเราชอบพูดกันว่าออร่าในปัจจุบัน แม่น้ำที่เจ้าชายสิทธัตถะลอยถาดทองคำอธิษฐานคือแม่น้ำเนรัญชรา พุทธคยา แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 52 22:03:39 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 52 21:59:37 จากคุณ : วสันดิลก - [ วันวาเลนไทน์ 21:55:11 ]

ความคิดเห็นที่ 43 โอ้ว มีประโยชน์มากค่ะ เข้ามาโหวต จากคุณ : LoveIsColorBlind - [ วันวาเลนไทน์ 22:22:30 ]

ความคิดเห็นที่ 44 กลับมาอ่านกระทู้นี้อีกครั้ง ทำให้นึกถึงวีซีดีการ์ตูนเอนิเมชั่น ที่ซื้อติดมือมาเมื่อตอนกลับเมืองไทยคราวที่แล้ว ซื้อมาไว้ว่าจะสะสมไว้ให้ไอ้ตัวเล็กดู ซึ่งลองเปิดดูแล้วรู้สึกว่าการ์ตูนชุดนี้มีประโยชน์มากเลยค่ะ คิดว่าถ้าพ่อแม่จะสะสมไว้ให้ลูกเล็กนี่คงเป็นจุดเริ่มต้นให้เค้าได้รับรู้ประวัติพุทธศาสนาแบบคร่าว ๆ ได้เหมือนกัน จากคุณ : JC2002 - [ วันวาเลนไทน์ 23:13:54 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ถ้าฝรั่งมาถามอิฉันหล่ะก็ อิฉันคงต้องเมื่อยมือมากเลยแน่ๆ อาจต้องมีภาพวาดประกอปการอธิบาย แค่คิดก็เหนื่อยแล้วค่าาาา จากคุณ : แปดเซียน - [ 15 ก.พ. 52 00:04:07 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เง้อ........ตกประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร อ่านมาทั้งหมดนี่ เข้าใจมั่งไม่เข้าใจมั่ง ยากเน้อประวัติศาสตร์นี่ แต่ขอบคุณ เจ้าของกระทู้ที่ตั้งกระทู้นี้ขี้นมา เราก็แปลกใจ แต่ว่าไม่คิดจะถาม เพราะว่า ไม่อยากจะตอบตัวเองว่า.... เออ เรานี่โง่จัง........ ปรบมือดังๆให้นะจ๊ะ จากคุณ : เหงาๆแต่ไม่เศร้านะจ๊ะ - [ 15 ก.พ. 52 00:38:51 A:82.36.147.246 X: TicketID:171778 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณหลายๆท่านเข้ามาช่วยตอบ ช่วยให้ความรู้ กำลังลำดับอยู่ค่ะว่าจะ อธิบายฝรั่งอย่างไรให้ง่ายที่สุด ถ้ามีอะไรที่คิดว่ามีประโยชน์ช่วยมาเพิ่มเป็นความรู้นะคะ ตัวดิฉันเองก็อยากรู้ค่ะ ศาสนาพุทธที่จริงไม่ง่ายเลยนะคะ ถ้าจะให้เข้าใจถึงรากจริงๆ ซับซ้อนอยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ ว่าแต่คุณวัชรานนท์ ไปวาเลนไทน์ซะที่ไหนคะนี่ ??หายไปเลย รอนะคะ จากคุณ : hamble pie - [ 15 ก.พ. 52 01:35:43 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ข้อมูลแน่นมากเลยค่ะกระทู้นี้... เวลาที่พื่อนฝรั่งเราถามเรื่องพุทธศาสนา เราจะตอบเค้าไปว่า There are different demoninations in Buddhism but basically it is still the same religion.  It's like the Christianity, there's Catholic, Mormons, Christian, 7th Day Adventist, and other denominations, but if you look at the big picture, they do believe in Jesus Christ even though some of them may follow the different book...) จากคุณ : CaliGirl - [ 15 ก.พ. 52 01:41:27 ]

ความคิดเห็นที่ 49 คุณวสันดิลกคะ ตกลงพระโคตมะหรือพระโคดมพุทธเจ้า (องค์ปัจจุบัน) ดิฉันเคยได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยได้เรียนรู้ประวัติ เคยเรียนประวัติพระพุทธเจ้า(เจ้าชายสิทธัตถะ)องค์เดียว ถ้าจะช่วยเล่าความเป็นมาของพระโคตมะหรือพระโคดมพุทธเจ้า (องค์ปัจจุบัน)ไว้ให้ฟังจะเป็นพระคุณค่ะ นี่ถ้าใครถามก่อนหน้าที่จะมาตั้งกระทู้ ดิฉันจะตอบอย่างฉะฉานเลยแต่เป็นแค่ประวัติเจ้าชายสิทธัตถะเท่านั้น (ก็เรียนกันมาแค่นั้นจริงๆนะ) จากคุณ : hamble pie - [ 15 ก.พ. 52 01:46:21 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ตามที่คุณ  Fortunism  อธิบายใน คห 33 เรื่องความหมายพระประธานสามองค์ ดิฉันไม่เคยทราบมาก่อนเลยค่ะ ทำให้นึกถึงการ์ตูนช่อง Nickolodeon ที่ชอบดูมากคือ Avatar: The Last Airbender ในเรื่องตัวเอกเป็น ประมาณพระโพธิสัตว์ได้แหละมั้ง ที่เคยมีชาติก่อนเกิดเป็น Avartar อยู่ในเผ่าต่างๆ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) สนุกมากค่ะ เป็นการ์ตูนเด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี คุณแฮม เราก็บื้อมาก ไม่เคยรู้เกินไปกว่าเจ้าชายสิทธัตถะเลย เรื่องมีพระพุทธเจ้าหลายองค์นี่ก็ไม่เคยศึกษาจริงๆ และไม่เข้าใจด้วยว่า ทำไมมีหลายองค์นัก ก็จะมีกี่องค์ ศาสนาพุทธก็คือศาสนาพุทธ ไม่ใช่เหรอ แล้วคำสั่งสอนจะเปลี่ยนไปไหม ขอโทษด้วยค่ะ คำถามโชว์โง่ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 52 02:00:19 จากคุณ : yinnerella - [ 15 ก.พ. 52 01:58:16 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ขอสารภาพแบบไม่อายเลยเหมือนกันค่ะว่าตัวเองก็เพิ่งจะรู้เรื่องว่ามีพระพุทธเจ้าหลายองค์จากกระทู้นี้นี่เอง เมื่อก่อนก็เคยคิดว่ามีพระพุทธเจ้าเพียงองค์เดียวคือเจ้าชายสิทธัตถะ เหมือนกัน (เพราะในตำราเรียนวิชาพุทธศาสนาที่เรียนในโรงเรียนก็มีกล่าวถึงแค่องค์เดียว) กระทู้นี้ให้ความรู้เรื่องพุทธศาสนาได้ดีจริง ๆ จากคุณ : JC2002 - [ 15 ก.พ. 52 03:16:20 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เป็นกระทู้แนะนำไปซะแล้ว    เห็นทีว่าผมคงต้องขออนุญาตลาไปปัสสาวะก่อน  อิ อิ อิ  ส่วนตัวไม่ค่อยชอบแจมกระทู้แนะนำเท่าไหร่ ขอบคุณคุณวสันตดิลกที่เข้าสะกิดความจำเรื่องพระอุปคุต   ผมรีบพิมพ์และไม่ได้เช็คข้อมูลเลยออกทะเล  สำหรับเรื่องพระอุปคุตนั้น   ตามข้อมูลของคุณวสันตดิลกเลยนะครับ  ข้อมูลของผมที่ว่าพระอุปคุตกับพระกัจจายน์เป็นองค์เดียวกันนั้นผิด(พิมพ์อย่างเมามันโดยไม่ได้เช็คข้อมูล)  ขอบคุณคุณวสันฯ มาอีกครั้งครับ ขำสำนวนคุณ Rinta นะ"ป้อนถึงปาก"   ก๊ากกกก...  เล่นเอาผมสะเทิ้นไปเลย    เตือนนิดสะกิดหน่อยนะครับ...ใครเอาอะไรมาป้อนถึงปากก็อย่าอ้าปากรับหมดไปซะทุกอย่างนะคุณรินตา  อิ อิ อิ.....เป็นห่วง อ่านความเห็นของคุณวสันตดิลกแล้วชวนให้คิดถึงงานบุญประเพณีทางภาคอีสาน งานบุญแห่พระอุปคุต   จะมีการเอารูปปั้นพระอุปคุตไปลงในหนองน้ำแล้วทำพิธีอาราธนานิมนต์ขึ้นมาจากน้ำ  แล้วแห่เข้าวัด งานบุญผะเวส   งานทำบุญระลึกถึงการบำเพ็ญบารมีชาติสุดท้ายของพระพระเวสสันดรก่อนจะมาเป็นพระพุทธเจ้า   มีการให้เด็กในหมู่บ้านแต่งตัวเป็นกัณหาและชาลี  ถูกชูชกลากจูงรอบๆ หมู่บ้าน  ชาวบ้านสงสารก็ช่วยบริจาคทานพยายามไถ่ตัวกัณหาและชาลี   เงินที่ได้ก็บริจาคเข้าวัดทั้งหมด งานบุญผะเวสที่ภาคอีสานเป็นงานบุญใหญ่เหมือนกัน   สมัยผมบวชเรียนเป็นสามเณรน้อย   ต้องเหน็บเตี่ยวสะบงปีนต้นมะพร้าวเอามาขูดไว้ให้แม่บ้านทำอาหารเลี้ยงแขกในวัด   ต้องปักริ้วธงธรรมจักรรายรอบวัด   ที่สำคัญต้องปักธงรูปสัตว์ห้าชนิด  คือ  ไก่  นาค  เต่า    โค  ราชสีห์ ตอนนั้นผมยังเป็นเณรน้อยยังไม่รู้เรื่องราวอะไร   ถามหลวงตาว่าทำไมเอารูปสัตว์เหล่านั้นมาปักบนธงไม้ไผ่สูงลิ่วเฉียดหลังโบสถ์??    จึงได้ความรู้ใหม่ว่า   สัตว์เหล่านั้นคือตัวแทนของพระพุทธเจ้า 5 องค์ในภัทรกัปป์ของเราตามที่คุณวสันตดิลกเล่าไว้ข้างบน กกุสันธะ (ไก่ ) โกนาคมนะ (นาค ) กัสสปะ (เต่า ) โคตมะ (โค ) เมตเตยยะ (ราชสีห์ ) ในอนาคตนอกจากจะมีพระศรีอริยเมตตรัยที่จะเสด็จลงมาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว    ยังมีพระพุทธเจ้าอีกมามายที่จะตามมาอีก     และที่หลายๆ ท่านพอจะรู้จักดีก็คือ   ช้างป่าเลไลยก์   จากพระพุทธรูปปางเลยไลยก์  ที่มีช้างที่ถวายกระบอกน้ำและลิงถวายรวงผึ้งที่เราคุ้นเคยกันดีนั่นแหละครับ   ช้างป่าเลไลยก์เชือกนี้จะได้เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า ส่วนช้างอีกเชือกที่จะได้เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าเช่นกันก็คือช้างนาฬาคีรี    ที่พระเทวทัตไปเกลี้ยกล่อมพระเจ้าอชาตศรัตรูให้ปล่อยช้างตกมันเชือกนี้ออกมาไล่แทงพระพุทธเจ้า    แต่ท้ายที่สุดช้างก็หมอบอยู่แทบพระบาท คุณฮัมเบิ่ล   ผมคงแจมกระทู้นี้เป็นคคหสุดท้าย   อย่างที่บอกผมไม่อยากจะแจมกระทู้แนะทำเท่าไหร่   ตอบแทนคุณวสันฯ แบบเกริ่นๆ ว่า  เจ้าชายสิทธัตถะ  สมณะโคตม/โคดม  ศากยะมุนี   พระทศพลญาณ   พระชินสีห์   ฯลฯ  ชื่อเหล่านี้เป็นชื่อใช้เรียกพระพุทธเจ้าที่ปรากฏในพระไตรปิฏกองค์ปัจจุบัน    มีอีกคำหนึ่งคือ "ตถาคต"  ที่บางท่านอาจจะไม่เข้าใจ   ตถาคตเป็นคำสรรพนามที่พระพุทธเจ้าใช้เรียกแทนตัวพระองค์เอง   เช่น  บุคคลใดเห็นธรรม  บุคคลนั้นย่อมเห็นตถาคต...ธรรมอันตถาคตตรัสไว้นั้น  ไพเราะในเบื้องต้น  ไพเราะในท่ามกลาง  และไพเราะในที่สุด ปล  พึ่งพูดเรื่องพระสงฆ์องค์เจ้าอยู่หยกๆ   บ่ายวันนี้ผมทราบข่าวว่า   พระสงฆ์วัดป่าสายอาจารย์ชาที่ประเทศอังกฤษจะออกเดินธุดงค์ปักกลดตามชนบทในอังกฤษ    ท่านได้กรุณาถามผมมาว่าแถวๆ เมืองผมมีป่าพอจะให้ท่านปักกลดปฏิบัติธรรมไหม?  (ประเทศอังกฤษจะปักกลดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้  เพราะเขามีกฏหยุมหยิมเยอะแยะ)   เผอิญบ้านที่ผมอยู่ติดกับป่าสงวน  มีกวางมีเก้ง กระต่ายออกมาเล็มหญ้าหน้าบ้านบ่อยๆ   ไม่มีรถวิ่งผ่านเพราะถนนหน้าบ้านเป็นถนนลูกรังและมีกันอยู่แค่สิบสองหลังคาเรือน    ผมเลยติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขออนุญาตให้พระมาปักกลดธุดงค์ที่ใกล้ๆ บ้าน    และขออนุญาตเพื่อนบ้านทุกคน   เขาก็ยินดี   ท่านคาดว่าจะมาถึงบ้านผมตรงกับวันสงกรานต์พอดี !!!   เอาไว้ใกล้ๆ วันผมจะประกาศข่าวให้คนไทยในอังกฤษทราบเผื่อใครอยากจะมาทำบุญตักบาตรร่วมกับผม แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 52 05:04:07 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 52 03:40:37 จากคุณ : วัชรานนท์ - [ 15 ก.พ. 52 03:37:09 ]

ความคิดเห็นที่ 53 คุณวัชรานนท์คะ จากที่บอกว่า "เจ้าชายสิทธัตถะ  สมณะโคตม/โคดม  ศากยะมุนี   พระทศพลญาณ   พระชินสีห์   ฯลฯ  ชื่อเหล่านี้เป็นชื่อใช้เรียกพระพุทธเจ้าที่ปรากฏในพระไตรปิฏกองค์ปัจจุบัน " ตกลงขอคำยืนยันอีกทีว่าคือองค์เดียวกันใช่ไหมคะ ??!อ่านๆแล้ว งง แล้วจะไปไหนล่ะคะ กระทู้แนะนำไม่ทะเลาะมาแจมเถอะค่ะ เป็นวิทยาทาแก่บัวใต้น้ำลึกดำดิ่งเยี่ยงดิฉันนี่ เห็นว่าพระธุดงค์จะมาช่วงหน้าร้อนหรือเปล่าคะดิฉันจะกลับไทยพรุ่งนี้กลับมาอังกฤษอีกทีกลางเมษาหลังสงกรานต์โน่น จะทันท่านหรือเปล่าคะ อยากไปสนทนาธรรมด้วย ช่วงนี้รู้สึกร้อนวิชา....!!!ไม่ใช่ๆ รู้สึกอยากศึกษาเรื่องศาสนา เพราะรู้สึกว่า สนุกดี แลัวทำให้จิตพัฒนาด้วย (เอ๊ะ!!หรือเพราะแก่เต็มทีแล้ว..ไม่แน่ใจ!!) จากคุณ : hamble pie - [ 15 ก.พ. 52 04:58:22 ]

ความคิดเห็นที่ 54 คุณYin คุณ JC2002 มาค่ะมาช่วยกันถามค่ะ ดิฉันน่ะ คาใจมานานอยากจะเล่าโชว์ฝรั่งก็ไม่กล้ากลัวผิด กลัวฝรั่งด่าว่ามั่ว มีอะไรสงสัยมาช่วยกันค่ะ (พวกชอบหลับวิชาพุทธศาสนา!!)หุหุหุ จากคุณ : hamble pie - [ 15 ก.พ. 52 05:03:39 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เห็นด้วยกับคุณ yinerella คห 3 ค่ะ ดิชั้นคิดเหมือนคุณเลยค่ะ เป็นที่ perception ของคนแต่ละพื้นที่ อย่าง Jesus หรือ The Virgin ในแต่ละประเทศยังไม่เหมือนกันเลย จะออกแนวหน้าเหมือนคนในท้องถิ่นนั้นๆ บางทีก็มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับ Art Patron นั้นๆด้วยค่ะ รูปวาด หรือ งานปฎิมากรรม เป็นงาน Art สร้างขึ้นโดย Artists  และ inspiration + อิทธิพล นั่นก็มาจาก perception ของ Artists ค่ะ หวังว่าคงเป็นอีกมุมมองหนึ่งที่จะตอบฝรั่งคนนั้นได้นะคะ คุณ hamble pie จากคุณ : หญิงป้า - [ 15 ก.พ. 52 08:11:56 ]

ความคิดเห็นที่ 56 "เจ้าชายสิทธัตถะ  สมณโคดม  ศากยะมุนี   พระทศพลญาณ   พระชินสีห์   ฯลฯ  ชื่อเหล่านี้เป็นชื่อใช้เรียกพระพุทธเจ้าที่ปรากฏในพระไตรปิฏกองค์ปัจจุบัน " ถูกต้องครับ หรือว่าสิบชาติก่อนที่จะมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระสมณโคดม ก็มาเกิดเป็นพระโพธิสัตว์ดังนี้ ชาติที่ 1 เตมีย์ใบ้ ชาติที่ 2 พระมหาชนก ชาติที่ 3 สุวรรณสาม ชาติที่ 4 พระเนมิราช ชาติที่ 5 พระมโหสถบัณฑิต ชาติที่ 6 พระภูริทัต ชาติที่ 7 พระจันทกุมาร ชาติที่ 8 พระนารท ชาติที่ 9 วิธูรบัณฑิต ชาติที่ 10 พระเวสสันดร ซึ่งแต่ละชาติก็จะมาสร้างบารมีในหลายๆแบบครับ อย่างพระมหาชนกก้มาสร้างความเพียร พระเวสสันดรก็ทานบารมี ซึ่งเราคนธรรมดาไม่ได้อยู่ในวาระจิตแบบพระโพธิสัตว์ครับ บางคนก็ชอบบอกว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ที่มอบลูกมอบเมียให้ชูชกไป อย่างเจ้าแม่กวนอิมก็ถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งครับ เป็นองค์เดียวกับพระอวโลกิเตศวร ของทางธิเบต ซึ่งถือว่าเป็นพระธยานิโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีบริบูรณ์ครบถ้วนแล้ว และสำเร็จเป็นพระธยานิโพธิสัตว์หรือพระโพธิสัตว์ในสมาธิโดย แต่ยับยั้งไว้ยังไม่เสด็จเข้าสู่นิพพาน เพื่อจะโปรดสรรพสัตว์ต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเป็นคติของทางมหายานครับ คือท่านจะมาเอาคนหมู่มากไปยังนิพพาน ซึ่งท่านจะต้องนำพาทุกวาระจิตไปก่อน โดยตัวท่านอยู่จนนำพาดวงจิตสุดท้ายไปครับ จากคุณ : หน้าตัวผู้ - [ 15 ก.พ. 52 09:03:56 ]

ความคิดเห็นที่ 57 เจ้าชายสิทธัตถะ  สมณโคดม  ศากยะมุนี   พระทศพลญาณ   พระชินสีห์   ฯลฯ  ชื่อเหล่านี้เป็นชื่อใช้เรียกพระพุทธเจ้าที่ปรากฏในพระไตรปิฏกองค์ปัจจุบัน " ใช่ครับ ตามความเห็นของท่านหน้าตัวผู้ และท่านวัชรานนท์เลยครับ  แต่ต่างกันที่เรียกตามบริบทไหน อย่างคำว่า ศากยะมุนี ก็คือ มุนีจากวงศ์ศากยะ (ศากยะคือตระกูลของเจ้าชายสิทธัตถะ)  พระทศพลญาณ (แปลว่า พระผู้ทรงญาณอันมีกำลังกล้าแกร่ง 10 ประการนั่นเอง) จากคุณ : พัฒน์ - [ 15 ก.พ. 52 10:31:04 ]

ความคิดเห็นที่ 58 โคตมะหรือโคดมเป็นชื่อโคตรของพระองค์ (วงศ์โค) พระโคดมกับเจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระองค์เดียวกัน แค่เรียกต่างสถานะ แต่คนพุทธจะไม่เรียกว่าพระสมณโคดม (เรียกตรงๆ) ถือว่าไม่เหมาะสม สมณโคดมเป็นคำที่คนนอกศาสนาใช้เรียกพระพุทธเจ้า พระนามพระพุทธเจ้ามีเยอะมาก เรียกว่าคำไวพจน์ เขียนต่างแต่หมายถึงอย่างเดียวกัน พระนามพระพุทธเจ้ามีดังนี้   1.  พระทศพล  แปลว่า ผู้มีกำลัง 10 ประการ 2.  พระศาสดา มาจากคำบาลีว่า สัตถา แปลว่า  ครู 3.  พระสัพพัญญู  แปลว่า ผู้รู้ธรรมทั้งปวง 4.  พระทวิปทุตตมะ  แปลว่า  ผู้ประเสริฐกว่าสัตว์สองเท้าทั้งหมด (ประเสริฐที่สุดในหมู่มนุษย์) 5.  พระมุนินทร์  แปลว่า  ผู้ยิ่งใหญ่กว่าพระมุนีทั้งหลาย (มุนีในที่นี้หมายถึงพระสงฆ์หรือนักบวชอื่นๆ) 6.  พระผู้มีพระภาค  มาจากคำบาลีว่า  ภควา 7.  พระนาถ  แปลว่า  ผู้ทรงเป็นที่พึ่ง (ของมนุษย์และเทวดา) 8.  พระจักขุมันต์  แปลว่า  ผู้มีจักษุ (ดวงตาที่รู้แจ้งมีหลายอย่าง) 9.  พระอังคีรส  แปลว่า  ผู้มีพระรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกาย 10.  พระมุนี  มุนีคือนักบวช ฤาษีทั่วๆไป แต่ในที่นี้หมายถึงพระพุทธเจ้า 11.  พระโลกนาถ  แปลว่า  ผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก 12.  พระอนธิวร  แปลว่า  ผู้ประเสริฐสุด 13.  พระมเหสี  แปลว่า  ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่   มเหสีเป็นคำที่คนทั่วไปใช้ได้  แต่ตรงนี้หมายถึงพระพุทธเจ้า   14.  พระวินายก  แปลว่า  ผู้แนะนำ 15.  พระสมันตจักษุ  แปลว่า  ผู้ทรงมีพุทธญาณรอบทิศ 16.  พระสุคต  แปลว่า  ผู้มีญาณอันงดงาม 17.  พระภูมิปัญญา  แปลว่า  ผู้มีปัญญากว้างดุจแผ่นดิน 18.  พระมารชิ  แปลว่า  ผู้ชนะมาร 19.  พระนรสีห์  ทับศัพท์หรือแปลว่า  ผู้ปกครองมนุษย์และเทวดา 20.  พระนรวร  แปลว่า  ผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ 21.  พระธรรมราชา  คงไม่ต้องแปล 22.  พระมหามุนี  แปลว่า มุนีใหญ่ 23.  พระเทวเทว  แปลว่า  เทวดาของเทวดา 24.  พระโลกครุ  แปลว่า  ครูของโลก 25.  พระธรรมสามี  แปลว่า  เจ้าของธรรม  (สามีคือเจ้าของ) 26.  พระตถาคต  ทับศัพท์หรือแปลว่า ผู้มาอย่างนั้น 27.  พระสยัมภู  แปลว่า  ผู้ตรัสรู้เอง 28.  พระสัมมาสัมพุทธ  แปลเหมือนข้างบน 29.  พระวรปัญญา  แปลว่า  มีปัญญาประเสริฐที่สุด 30.  พระนายก  แปลว่า  ผู้นำ 31.  พระชิน  แปลว่า  ผู้ชนะ 32.  พระสักกะ  แปลว่า  ผู้สามารถ 33.  พระสิทธัตถะ  ทับศัพท์หรือแปลว่า ผู้ทรงทำประโยชน์ให้สำเร็จแก่ชาวโลก 34.  พระสุทโธทนิ  แปลว่า  พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ 35.  พระโคตมหรือโคดม  คนนอกมักเรียกว่า พระสมณโคดม 36.  พระสักยสีหะ  แปลว่า  ผู้ประเสริฐกว่าเจ้าศากยะทุกพระองค์ 37.  พระสักยมุนี  ทับศัพท์พระศากยมุนี หรือแปลว่าผู้เสด็จออกผนวชจากศากยะตระกูล 38.  พระอาทิจจพันธุ  แปลว่า  ผู้ทรงแผ่รัศมีไปถึงวิมานของสุริยเทพบุตร บางพระนามอาจเคยได้เห็นได้ยินบ่อยๆ  บางพระนามอาจไม่เคย ถือว่าเป็นความรู้รอบตัวด้านพระพุทธศาสนาและภาษา แถมความรู้  หลายๆท่านคงไม่รู้ว่าพระนามทีปังกรของพระองค์ที ก็เคยเป็นพระนามอดีตพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทีปังกร แปลว่า เชื้อสายของทีปะ (คือพระองค์เจ้าศรีรัสมิ์ ทีปะกับรัศมีความหมายเหมือนกันคือแสงสว่าง) พระนามอดีตพระพุทธเจ้านำมาตั้งชื่อได้ถือว่าเป็นมงคล แต่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันไม่สมควร ไม่เหมาะสมนำมาตั้งชื่อลูกหลาน เพราะยังไม่หมดยุค จากคุณ : วสันดิลก - [ 15 ก.พ. 52 10:51:44 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เฮ้อ โล่งอก นึกว่าจะมีคนทะเลาะกัน ขอบคุณ จขกท. ที่ตั้งกระทู้ ขอบคุณ ทุกๆ ท่านที่ตอบเพื่อให้ได้ความรู้... ไปได้สวยนะคะ กระทู้นี้ อิอิ (แซวค่ะ) จากคุณ : SassyKate - [ 15 ก.พ. 52 11:03:05 ]

ความคิดเห็นที่ 60 คห.56 "บางคนก็ชอบบอกว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ที่มอบลูกมอบเมียให้ชูชกไป" บางคนที่ว่าเพราะไม่รู้จริง  คิดตัดสินใจโดยเอาตัวเองเป็นมาตรฐาน ไม่ดูตัวบุคคลและไม่ทราบเหตุผลที่ลึกซึ้ง พระเวสสันดรมอบแค่พระโอรสธิดาให้ชูชก ส่วนพระชายาไม่ได้มอบให้ เพราะพระอินทร์แปลงเป็นพราหมณ์มาขอก่อน แล้วถวายคืนเนื่องจากกลัวคนอื่นจะมาขอเหมือนชูชก ที่พระเวสสันดรบริจาคทานลูกเมียเพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้า  เป็นพระพุทธเจ้าเพื่อมาช่วยคนอีกจำนวนนับไม่ถ้วน การบริจาคลูกเมียสิ่งของจึงเป็นเรื่องเล็กถ้าเทียบกับผลตอบแทนข้างหน้า พระเวสสันดรพระชายาพระโอรสธิดาท่านเคยเกิดร่วมกันมาหลายชาติแล้ว เคยเสียสละเพื่อให้พระโพธิสัตว์สมปรารถนาหลายครั้ง ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว  ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับไปเยี่ยมพระราชบิดา พระนางพิมพา (อดีตคือพระนางมัทรี) ได้เข้ามากอดพระบาทแล้วกันแสง พระพุทธเจ้าตรัสแก่สาวกไม่ให้ห้ามพระนางเพราะทรงสงสารที่พระนาง เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา เคยเสียสละมาหลายภพหลายชาติ การบริจาคลูกเมียยกเว้นเฉพาะกรณีพระเวสสันดร เพราะท่านตั้งความปรารถนามานานแล้ว เอามาเปรียบเทียบกับปุถุชนไม่ได้ ท่านมองผลประโยชน์ส่วมรวมเป็นหลัก  ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว น่ายกย่องมากกว่า  ลูกเมียท่านก็ไม่ได้บังคับอะไร   แค่ตรัสให้เห็นแก่ความตั้งใจของท่านเป็นการขอร้องด้วยซ้ำ จะมีสักกี่คนในโลกที่เสียสละทุกอย่างเพื่อช่วยคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ก่อนจะตำหนิท่านลองย้อนดูว่า ท่านทำเพื่อใคร จากตำหนิจะกลายเป็นสรรเสริญ ชาติสุดท้ายเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้บวชให้และทำให้อดีต ลูกเมียบรรลุอรหันต์ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก คือพระนางมัทรีกลับมาเกิดเป็นพระนางพิมพา พระโอรสชาลีกลับมาเกิดเป็นราหุล พระธิดากัณหากลับมาเกิดเป็นภิกษุณีชื่ออุบลวรรณาเถรีมีฤทธิ์มากเทียบเท่า พระมหาโมคคัลลานะเถระอัครสาวกเบื้องซ้าย  ทุกท่านล้วนเป็นพระอรหันต์ เนื่องจากเคยร่วมบำเพ็ญทานบารมีกับพระเวสสันดรมา ก็เหมือนท่านทำเพื่อพระเวสสันดรและตัวท่านเอง และเพราะพระเวสสันดรบริจาคลูกเมียจึงทำให้เรารู้จักพระพุทธศาสนาในวันนี้ กรณีของท่านจึงเปรียบเหมือนการเอากุ้งฝอยตกปลากะพง คนอื่นห้ามเลียนแบบเพราะไม่เคยสั่งสมบารมีมายาวนานเหมือนท่าน จากคุณ : วสันดิลก - [ 15 ก.พ. 52 11:53:33 ]

ความคิดเห็นที่ 61 อีกนิดหนึ่งต่อเนื่องกัน  อาจมีบางท่านแอบคิดว่าทำไมพระเวสสันดร บริจาคแต่เมียลูกส่วนตัวเองสบาย อยากบอกว่ามีอยู่ชาติหนึ่งท่านเห็นสิงโตหรือเสือติดอยู่ก้นเหวไม่มีอาหารกิน ท่านสงสารเลยกระโดดลงเหวเป็นเหยื่อแทน (อยู่กลางป่าไม่มีอาหารติดมือ) คิดดูเอาพระองค์มุ่งมั่นต่อพระโพธิญาณขนาดไหน ท่านจึงบอกว่าการเป็นพระพุทธเจ้าเป็นได้ยาก   มีน้อยคนจะได้เป็น  เพราะต้องเสียสละลำบากเป็นอเนกอนันต์หลายแสนชาติ จากคุณ : วสันดิลก - [ 15 ก.พ. 52 12:16:59 ]

ความคิดเห็นที่ 62 โอ...ไม่ตั้งใจทำให้ท่านๆ ทั้งคุณ yinnerella งง ในเรื่องพระพุทธเจ้าหลายองค์เลย     อย่างนี้นะครับคือ วัดคนไทยนั้นเราจะไหว้แต่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระพุทธโคดม (เจ้าชายสิทธัตถะ) เท่านั้น   แม้พระประธานในแต่ละวัดเราจะเรียกชื่อแตกต่างกัน เช่น  พระแก้วมรกต  พระพุทธชินสีห์  พระพุทธชินราช ก็หมายถึงพระพุทธโคดมเท่านั้น      เพราะว่าไทยเรานับถือพุทธนิกายหินยาน   จึงไม่แปลกเลยครับ ที่ทุกท่านจะรู้จักแต่เจ้าชายสิทธัตถะ แต่ถ้าเป็นวัดนิกายอื่นอย่าง นิกายมหายาน  เกิดทีหลังนิกายหินยานจากซึ่งนิยมนับถือในจีน เกาหลี ญี่ปุ่นนั้น  เขาจะไหว้พระพุทธเจ้าหลายหลากมาก ยังไหว้พระโพธิสัตว์อีกจำนวนมาก  เป็นการเพิ่มความขลังให้น่าเลื่อมใสศรัทธา เวลาเห็นพระประธานในโบสถ์ของนิกายมหายานนั้น  ถ้าไม่อ่านชื่อ  บางทีก็ไม่ทราบหรอกนะว่า คือ พระพุทธเจ้าองค์ไหน  อีกอย่างแม้แต่วัดจีนนิกายใน ปท ไทยเราพระประธานในแต่ล่ะแห่งก็ไม่เป็นองค์เดียวกัน  เช่น บางทีจะบูชาพระพุทธเจ้าอดีตชาติ 2 องค์ กับ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน 1 องค์ เท่านั้น  (คือจะไม่มีพระพุทธเจ้าในอนาคต) สรุป เอาเป็นว่า ถ้าเป็นวัดไทยล่ะก็ พระประธานคือ พระพุทธเจ้า (เจ้าชายสิทธัตถะ) ที่เรากราบไหว้กันอยู่แล้ว   แต่ถ้าเป็นวัดจีน ญี่ปุ่น เกาหลี  คงต้องดูให้แน่ชัดอีกที   เอาละมาพูดเรื่อง นิกายนิดหน่อย  ศาสนาพุทธมี 2 นิกายใหญ่ คือ 1. นิกายหินยาน หรือเรียกว่า เถรวาท  แปลว่า วาทะ, คำพูด ของ พระเถระผู้ใหญ่  ถือพระไตรปิฎกดั่งเดิมเป็นหลัก เป็นนิกายใน ปท ไทยเรา   เราจะไหว้แต่พระพุทธโคดมเป็นพระประธาน  นับถือปฏิบัติตามคำสอนของท่าน อย่างเคร่งครัท  ถ้าจะมีการปรับเปลี่ยนวินัยบางอย่างก็น้อยมากๆ 2. นิกายมหายาน แปลว่า ยาน, พาหนะ ใหญ่  ชื่อบอกเลยว่า เขานับถือพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ มากมายทั้งอดึต ปัจจุบัน  อนาคต   นิกายนี้จะเน้นการสวดมนต์  พิธีกรรม    (มากกว่า การปฏิบัติตนให้เกิดปัญญาบรรลุการรู้แจ้งเห็นจริง)  นิกายมหายานยังแตกแขนงมากมายน่าเวียนหัว เช่นเป็นนิกายวัชรยาน  นิกายตันตระ   แม้แต่ในธิเบต จะเป็นว่า เขามีทั้งดาไลลามะ  และ ปัญเชนลามะ  (ในขณะที่ไทยเราจะมีแต่พระสังฆราชพระองค์เดียว)   ธิเบตยังแบ่งนิกายย่อยนะ (เหลือง ขาว แดง เป็นต้น)     โอ๊ย...ถ้าไปเห็นวัดแบบธิเบตในเมืองจีนแล้ว   จะงงจนไม่แน่ใจว่า เป็นศาสนาพุทธหรือเปล่า  ยิ่งเห็นรูปเคารพของนิกายในธิเบตแล้ว  จะไม่เหมือนกับนิกายหินยานที่เรานับถือกันเลย  ยิ่งถ้าเป็นรูปเคารพของพระโพธิสัตว์แล้ว  พิศดารจนน่ากลัว  ใกล้เคียงกับศาสนาฮินดูซะอย่างนั้น   รูปแนบ ซ้ายคือ  วัดแบบธิเบต (จะเห็นนิกายย่อย 5 สี)     ขวาคือ วัดจีน จากคุณ : Fortunism - [ 15 ก.พ. 52 15:42:50 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เคยมีฝรั่งมาถามเพื่อนเหมือนกันเกี่ยวกับเอาข้าวถวายเจ้าที่ แค่นั้นยังงงไม่รู้ตอบยังไงเลยดี > < จากคุณ : ยูคาริจัง - [ 15 ก.พ. 52 15:59:49 ]

ความคิดเห็นที่ 64 หลายความเห็นพูดว่า ความแตกต่างของพระพุทธรูปนั้นเป็นเพราะ  artist perception   เอ...ไม่รู้จะบอกอย่างไรดี  บอกว่าไม่เห็นด้วยเดี๋ยวจะโดนรุมตื๊บไหมหนอ     อย่างนี้นะครับ  การสร้างพระพุทธรูปนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จะมาทำเป็นไอเดียบรรเจิดละเลงตามความคิดอย่างไมเคิล  แอนเจลโล วาดภาพเฟสโก บนโดมวาติกันนั้นไม่ได้  จะใส่แต่จินตนาการแบบมีอาการตี้สแตก  หัวจะโดนทุบแตกเป็นแน่แท้   เพราะอย่างน้อยที่สุด ช่างผู้เสกสรรจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่อง มหาบุรุษ ลักษณะ ๓๒ ประการ  ให้แจ่มแจ้งก่อน แล้วจึงจะสามารถสร้างพระพุทธรูป   ลักษณะร่วมเหล่านี้ ท่านสังเกตุได้เห็นทั่วไป  เช่น มีนิ้วพระหัตถ์เรียว  มีพระบาทราบเสมอกัน มีพระนาสิกโด่ง ฯลฯ   เมื่อมีหลักในเบื้องต้น  ทีนี้ก็จะเป็นเรื่อง การตีความหรือมุมมอง perception  กันล่ะ  เช่น พระพุทธรูปสมัยแรกๆ อิทธิพลกรีกมาแรง   จมูกของพระพุทธรูปสมัยพระเจ้ามิลินท์  ก็จะโด่งมาก  เพราะคำว่า โด่ง สำหรับพวกกรีกก็ต้องต้องโด่งมากเป็นสันคม  ด้วยปกติชาวกรีกก็จมูกโด่งอยู่แล้ว     แต่พอมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สมัยลพบุรี (อิทธิพลขอม)  ชนพื้นเมืองแถบเอเขีย  ปกติจมูกก็ไม่ค่อยจะเป็นสันอยู่แล้ว  สำหรับเขา  เพียงแค่มีสันขึ้นมาสักหน่อย ก็ถือว่าโด่งแล้วล่ะ  เลยกลายเป็นว่าจะไม่โด่งคมเป็นสันนูนอย่างกรีกสร้าง อีกอย่าง การสร้างพระพุทธรูปจะเกี่ยวกับคติว่า เสมือนจริง  หรือ เสมือนเทพ มาเกี่ยวข้องด้วย    ถ้าเป็นแบบไทยเราหรือเอเชียก็จะมีลักษณะเสมือนเทพมากกว่า   ดูรูปก็จะเข้าใจล่ะ สังเกตุความคมสันรูปหน้า ดวงตา  จมูก ใน 2 แบบ  แบบคันธาราฐ (กรีก-อินเดีย)    แบบลพบุรี (ขอม) จากคุณ : Fortunism - [ 15 ก.พ. 52 16:36:41 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ใครสนใจเรื่องประติมากรรมพระพุทธรูป  อีกทั้งตบะแก่กล้า ไม่"เฉิ่ม" ในเรื่องภาษาอังกฤษ  (แหะ...ผมทำเก๋ไก๋อย่างนั้นเอง  ยังอ่านไม่กี่บรรทัดเอง)   เชิญไปที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Greco-Buddhist_art ส่วนใครอยากรู้เรื่องมหาบุรุษ ลักษณะ ๓๒ ประการและ"อนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ"  เชิญที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=warramutra&month=09-2007&date=06&group=7&gblog=6 ********** นอกเรื่องนิดหน่อย คห 59 คุณ SassyKate  ครับ... กระทู้นั้ไม่มีเรื่องดุเดือดครับ   อิอิ   เพราะใครมาอ่านก็อิ่มบุญครับ ++++++ คห  63  ครับ..... เรื่องพระภูมิเจ้าที่เป็นลัทธิเทวนิยมนะครับ   ถ้าแบบจีนคือ ลัทธิเต๋า ครับ   จึงไม่ใช่ศาสนาพุทธครับ จากคุณ : Fortunism - [ 15 ก.พ. 52 17:04:33 ]

ความคิดเห็นที่ 66 อ่านกระทู้นี้แล้ว ทำให้รู้สัจจะอยู่อย่างหนึ่งว่า  "..ไอ้ตัวเรานี้ ไม่มีความรู้แบบแน่น ๆ ด้านใดสักด้านเลยวุ้ยยยย"... คุณ ๆ ทั้งหลายข้างบนนี่ เก่ง ๆ กันทั้งนั้นเลยค่ะ.. จากคุณ : Match Point - [ 16 ก.พ. 52 00:39:17 ]

ความคิดเห็นที่ 67 กระทู้นี้ สมองทำงานหนักมากๆค่ะ (เซลสมองดิฉันมีน้อยค่ะ เลยต้องทำงานกันหนัก) ขอบคุณคุณ Fortunism มากค่ะ ความเห็นของดิฉันไม่ใช่สัจธรรมค่ะ เป็นเพียงการอนุมานเท่านั้น (เพราะดิฉันไม่ใช่ผู้รู้จริง) เรื่องต่างความเห็นไม่มีการรุมตื้บแน่นอน ดิฉันไม่ชอบวิธีรุมแบบพวกมากลากไปค่ะ :) ถามต่อๆ แบบว่าข้องใจค่ะ ในเรื่องพระพุทธเจ้าในอดีตนั้น ศาสนาก็ยังคงเป็นศาสนาพุทธ ใช่ไหมคะ แล้วคำสั่งสอน แตกต่างกันไหมคะ หรือว่า แล้วแต่นิกาย (พวกอริยสัจสี่อะไรแบบนี้ คนจีนเชื่อแบบเดียวกันไหม) นิกายเนี่ย ขึ้นอยู่กับ perception ไหม  เช่น คนจีน คนญี่ปุ่น ทิเบต ต้องปรับความเชื่อไปตามสภาพบ้านเมืองและสังคมของเขา ความเชื่อในศาสนาพุทธของแต่ละนิกาย ขึ้นอยู่กับ ผู้ที่นำศาสนาเขามาเผยแพร่ในประเทศนั้นหรือไม่ คือ อาจจะศึกษามาจากแหล่งเดียวกัน แต่ตีความหมายไม่เหมือนกัน หรืออย่างเมืองไทย ก็พุทธกับพราหมณ์และผีผสมกัน เป็นต้น หรือ มีแหล่งหนังสืออะไรให้อ่านไหมคะ เพราะเวลามีคนถาม มีคนชวนคุยเรื่องศาสนา ดิฉันตอบไม่ได้ค่ะ เขาถามว่าดิฉันเป็นพุทธไหม ตอบว่าเป็น แต่ไม่ได้ไปวัด ได้แต่ปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 01:42:22 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 01:38:05 จากคุณ : yinnerella - [ 16 ก.พ. 52 01:37:24 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ขอบคุณ ผู้ให้ความรู้ทุกท่านครับ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ยิ่งศึกษาและปฏิบัติ ก็ยิ่งมีความสุขในปัจจุบัน ครับ ไม่ต้องหวังชาติหน้า เกิดเป็นไทยใต้ร่มเงาพุทธศาสนา ไม่สายที่จะเริ่ม   แนะนำ ให้ศึกษาเรื่องกรรม จากหนังสือ เสียดาย  คนตายไม่ได้อ่าน อ่านได้จาก http://www.dungtrin.com   บุญรักษา และเจริญในธรรม  ครับ ^^ จากคุณ : semplice - [ 16 ก.พ. 52 06:20:15 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เจอคำถามของคุณซินเดอ...เอ๊ย.. yinnerella  แล้ว  ผมขอไปเป็นลมก่อนหนึ่งตลบ    ยากนะครับที่ถามมา  ผมไม่ใช่คนเคร่งศาสนาหรอก ความรู้ก็แบบดาดๆ ไม่ลึกซึ้ง  แต่พยายามที่จะอธิบายครับ  เน้น Simplify  ไม่อยากทำเรื่อง"ยาก"  ให้เป็นเรื่อง"ยาก" 1.    เรื่องพระพุทธเจ้าในอดีตนั้น ศาสนาก็ยังคงเป็นศาสนาพุทธ  ใช่ไหมคะ ?      ผมตอบว่า  พระพุทธเจ้าในอดีตนั้น  คำสอนของท่านได้สาบสูญไปแล้วครับ   เพราะกว่าจะเกิดพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่นั้น กินเวลานานแสนนาน บางยุคก็นานเป็น กัลป์  ( 25,600 ล้านล้านปี   อ่านรายละเอียด "กัลป์"ที คห 14 ของคุณพัฒน์)   เฉพาะศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ คำสอนท่านจะคงอยู่ 5,000 ปี เท่านั้น  จะจะสูญสิ้นไป    รอไปอีกเป็นอาจจะ 500 ล้านปี จึงจะมีพระศรีอาริยเมตตรัยมาโปรดในกาลข้างหน้า   ดังนั้น ตอนนั้น ศาสนาพุทธ คงจะไม่เรียกว่า พุทธแล้วล่ะ   คำสอนคงจะแตกต่างแล้วล่ะ     อะนะ....ตอนนั้น มนุษย์รูปร่างเช่นไรยังน่ากังขาเลย  ว่าไหม? ขอตัวก่อนนะ  เดี๋ยวจะมาตอบที่เหลืออีก  (ถ้าไม่มีผู้รู้ท่านอื่นมาช่วย) จากคุณ : Fortunism - [ 16 ก.พ. 52 12:58:40 ]

ความคิดเห็นที่ 70 มาต่อครับ 2. พุทธแต่ละนิกายคำสอนต่างกันไหม ? ผมว่า เมื่อเป็นพุทธเหมือนกัน ในหลักใหญ่ใจความก็คงเหมือนกัน  น่าจะแต่แตกต่างใน การปฏิบัติ  และปลีกย่อยนะ  (ไม่ยืนยันนะ) เช่น อริยสัจสี่  มรรค 8  เหล่านี้  ตำราจีนก็พูดถึงเหมือนกันนะครับ   เคยมีพระสงฆ์ท่านฟังพระจีนสวด  ท่านก็บอกว่า สำเนียงไม่เหมือนกันที่เดียว  แต่ก็มีส่วนที่คล้าย หลักศาสนาพุทธสอนเรื่อง อนัตตา ที่จีนเขาก็พูดถึงเรื่องความว่างเปล่า (จีนออกเสียงว่า คง)  เช่นกัน   แสดงว่าก็บอกให้มนุษย์ไม่เอา"จิต" ไป"ปรุงแต่ง"สิ่งรอบกายเหมือนกัน ส่วนการเรียกชื่อ จีนเขาไม่เรียก อริยสัจ 4 แบบเสียงตรงกับไทยนะ อย่างเช่น คำว่า "กาม" ที่หมายถึง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส  คนจีน  เขาจะเรียกว่า "เซ่อ"  แปลว่า กาม 3.  นิกายเนี่ย ... ปรับความเชื่อไปตามสภาพบ้านเมืองและสังคมของเขาไหม ?......อาจจะศึกษามาจากแหล่งเดียวกัน แต่ตีความหมายไม่เหมือนกัน  ? ตอบว่า  คุณถูกแล้วล่ะ  พระพุทธเจ้าก็อนุญาตให้ปรับเปลี่ยนสิ่งเล็กน้อยไม่ให้ขัดแย้งกับความเป็นอยู่ของชนท้องถิ่นอยู่แล้วครับ   จะว่าไปแล้ว นิกายหินยาน(เถรวาท) จะมีความใกล้เคียงกันมาก  แม้จะต่าง ปท กัน  เช่น ศรีลังกา  พม่า  ไทย   เพราะเราจะยึดพระไตรปิฎกเป็นหลัก   เป็นกลุ่มเคร่งครัด  ปฏิบัติให้เหมือนเดิมมากที่สุด ส่วนนิกายมหายานนั้น  เนื่องจากเขาไม่เน้นเรื่องยึดถือวาทะของพระเถระเป็นหลัก จะเน้นการปรับเปลี่ยนให้เข้าท้องถิ่น   จะมีความแตกต่างกันในกลุ่มนี้มาก  ก็อย่างที่ผมกล่าวตรง คห 62   แค่ธิเบตเอง ก็มีตั้ง 5 นิกายแล้ว  ในยุครุ่งเรืองนั้นแต่ละนิกายจะมีผู้นำที่คล้ายราชาอีก  เช่น ดาไลลามะจะเป็นผู้นำนิกายสีเหลือง (เรียกตามาแบบจีน) เป็นต้น ทำไมจีนนับถือพุทธนิกายมหายาน ? เพราะว่า เพราะมหายานจะรุ่งเรืองอยู่ด้านเหนือของอินเดีย  ประกอบกับพระเถระผู้ใหญ่จีน  เมื่อมาศึกษาและอัญเชิญพระไตรปิกนั้น  ท่านพระถังซัมจั๋งก็มาตอนมหายานกำลังรุ่งเรืองด้วย  ดังนั้นพอกลับจีน  มหายานจึงยิ่งรุ่งเรืองในจีนด้วย จากคุณ : Fortunism - [ 16 ก.พ. 52 14:45:52 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ข้อนี้สำคัญครับ   ถามว่า  (ความเชื่อ)......อย่างเมืองไทย ก็พุทธกับพราหมณ์และผีผสมกัน เป็นต้น ตอบว่า  ไทยเราถือพุทธหินยาน  เราก็เน้นตามคำสอนพระพุทธองค์อยู่แล้ว  ซึ่งมีวัดดีๆมากมายที่ดำเนินตามหลักการนี้  ส่วนที่เอาพราหมณ์ ผี มาผสมกันนั้น  เป็นเพราะคนไทยเราเองที่ไม่เข้าใจหลักสาระศาสนาพุทธมากกว่า  กลับไปหลงเชื่อผี เรื่องปลุกเสก  แล้วกลับมาเรียกรวมว่าเป็นศาสนาพุทธ  ทั้งๆที่นั้นไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย  เราชาวพุทธต้องมีสติในการเลือกเองด้วย การเชื่อเรื่องลึกลับ  เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ศาสนาพุทธนิกายมหายานรุ่งเรือง   ขณะเดียวกันกลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นิกายหินยานเสื่อมลง  แต่แล้วในที่สุด มหายานที่เน้นแต่เรื่องพิธีกรรม ภาวนา  จนลืมการปฏิบัติเรื่องจิตให้เข้าถึงทางพ้นทุกข์   ก็เสื่อมเอง หมดไปจากอินเดีย จากคุณ : Fortunism - [ 16 ก.พ. 52 14:58:05 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ความเห็นของผม ข้างบนนั้นเป็นเรื่องประวัติศาสตร์พุทธครับ  แถมยังมีเรื่องตำนานเป็นกระสาย   ขอให้ท่านอ่านเป็นเรื่องเพลิดเพลินประดับความรู้ครับ แต่สิ่งที่ท่านควรจะ Take it serious คือ โอวาทปาฏิโมกข์ ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตต์ของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เวลาบอกฝรั่งไม่ต้องยกแม่น้ำทั้ง 5 หรอกครับ  เอาแค่ Core ideas of Bhuddhism 1. Do all kinds of goodness   2. Refrain from all kinds of wickedness, and 3. Purify one's mind source: http://www.thailandqa.com/forum/showthread.php?t=19244 ท่านพี่ไทยๆ ต้องอ่านแบบเต็มๆครับที่ http://www.watsaikhan.org/index.php?option=com_content&task=view&id=61&Itemid=43 จากคุณ : Fortunism - [ 16 ก.พ. 52 15:38:08 ]

ความคิดเห็นที่ 73 จริงๆแล้วเวบธรรมะมีมากมาย  ใช้ครูกูเกิ้ลก็อ่านไม่หวาดไม่ไหวแล้ว ผมชอบอยู่ 2 ท่าน แบบ Classic ท่านพุทธทาสภิกขุ   แบบ Modern ท่านพระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี) ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้เคยสรุปให้ไว้แล้วว่า “ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เดินสายกลาง คืออย่าทำตนให้ลำบากเกินไป และในขณะเดียวกันก็อย่าตามใจตัวเองจนเกินไปด้วย ต้องรู้จักประมาณ รู้จักความพอดี รู้เหตุ รู้ผล รู้เขา รู้เรา เหล่านี้เป็นต้น” พระพุทธเจ้าท่านสอน .. "ให้พึ่งตนเอง" หมายความว่า ศาสนาเพียงแต่ชี้ทางเท่านั้น ตัวเราเองต่างหากที่ต้องทำเอง ปฏิบัติเอง เพื่อให้ความทุกข์สิ้นไป พระพุทธเจ้าท่านสอน.. ให้รู้ว่า สิ่งทั้งหลาย มีเหตุ มีปัจจัย และเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้น ซึ่งเป็นสัจธรรมเป็นความจริงตามธรรมชาติและเป็นหลักท ี่ว่าด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์โดยแท้ พระพุทธเจ้าท่านสอน... ให้รู้ว่า สิ่งทั้งปวงในโลกนี้ไม่เที่ยง คือ ไม่ยั่งยืน และเกิดจาการปรุงแต่งทั้งสิ้น เราจึงต้องไม่หลงและไม่ประมาทในสิ่งนั้น ๆ พระพุทธเจ้าท่านสอน.. ให้ทำความดี เว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะการทำใจให้บริสุทธิ์นั้น ถือเป็นเอกลักษณ์ที่ต่างจากศาสนาอื่น ๆ แต่ถ้าจะให้ชัดเจนจริงๆ แล้วเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงสอนมากที่สุด จนเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ก็คือเรื่อง ความทุกข์ เหตุที่เกิดทุกข์ การดับทุกข์ และหนทางการดับทุกข์ อันเป็นความจริง 4 ประการ หรือที่เรียกว่า อริยสัจ 4 นั่นเอง งานประพันธ์โดยพุทธทาสภิกขุ http://www.buddhadasa.in.th/site/books.php +++++++++++ แบบ Modern ท่านพระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี)   อ่านง่ายๆ http://www.fungdham.com/sound/vorvachiramete.html ++++++++++ หนังสือธรรมะออนไลน์ อีบุ๊ค http://www.dhammajak.net/book/index.php ++++++++ สรุปว่า  ของดีเลิศประเสริฐศรีที่ผมเล่าอยู่ใน คห นี้ครับ   ที่จะทำให้ท่านเป็นชาวพุทธแท้จริง แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 16:56:21 จากคุณ : Fortunism - [ 16 ก.พ. 52 16:08:29 ]

ความคิดเห็นที่ 74 คห.ที่ 2 คะ "ก่อนอื่น ต้องเข้าใจว่าพุทธศาสนาในแดนเอเชียตะวันตกเฉียงใต้อย่างไทย ลาว พม่า เขมร" เอเชียตะวันออกเฉียงใต้นะคะ สำหรับ ไทย ลาว เขมร ฯลฯ บ่แม่นตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนรายละเอียดและข้อมูลต่างๆ แม่นยำค่ะ ขอชมเชย จากคุณ : น้องนางบ้านนา - [ 17 ก.พ. 52 15:12:54 A:119.160.218.104 X: TicketID:201753 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ขอบคุณมากเลยค่ะคุณ Fortunism สำหรับคำอธิบายและ ลิงค์ต่างๆ ที่มีประโยชน์ จากคุณ : yinnerella - [ 21 ก.พ. 52 02:36:22 ]