ความคิดเห็นที่ 1 Dowry หรือสินสอด เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจมาก ถ้าบังเอิญได้ไปพบเจอ และต้องอธิบายให้ต่างชาติฟังให้เข้าใจได้ถ่องแท้ ผมเคยอธิบายให้ต่างชาติ และเป็นยุโรปด้วย ซึ่งไม่มีความเชื่อในเรื่องนี้เลย บางประเทศบอกว่า ผู้หญิง เสียอีก ที่ต้องเอาสินสอดมามอบให้ฝ่ายชาย ผมเลยทิ้งงานเจรจาเลย ทุกวันนี้ ก็อยู่กินด้วยกันราบรื่น ยังไงก็ขอให้รักกันจริงก็แล้วกัน แต่ผมมีข้อสังเกตุว่า ถ้าต่างชาติมาแต่งในไทย จะ convince ได้ประสบความสำเร็จ ได้มากกว่า ผู้หญิงเราไปแต่งที่ต่างประเทศ ซึ่งกรณีที่ผมเจรจา เป็นอย่างหลัง จากคุณ : PICCANINNY'S DAD - [ วันวาเลนไทน์ 21:34:43 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าเรียกตามธรรมเนียม ไม่ได้มากมายอะไร  คงไม่น่าเหมือนกับการขายลูกสาวหรอกค่ะ แต่ถ้าเรียกเงินเยอะ ๆ เพื่อให้เป็นหน้าเป็นตา  อย่างที่เคย ๆ มาโพสท์ถามกันเยอะแยะมาแล้วในห้องนี้  อาจทำให้อีกฝ่ายคิดไปได้แบบนั้น อีกวิธีที่ทำเกิดขึ้นกับตัวเอง  ไม่ได้เรียกสินสอด...จะให้เท่าไหร่ก็ให้มา  ได้มาแล้วก็คืนกลับไปเพื่อให้คู่บ่าวสาวตั้งตัว อย่างนี้รับรองไม่ขายลูกสาวแน่นอนค่ะ จากคุณ : Amber n the Gang - [ วันวาเลนไทน์ 21:46:16 ]

ความคิดเห็นที่ 3 สามีอเมริกันเหมือนกันค่ะ  งานแต่งก็ไม่มี ได้แค่จดทะเบียนอย่างเดียวที่เมืองไทยนี่แหล่้ะ พ่อ แม่ ดิฉันไม่ได้จากลูกเขยซักบาท  แต่ได้จากเงินเก็บดิฉันเองไปแทน ดิฉันไม่ฉลาดพูดค่ะเลย ไม่อาจเปลี่ยนความคิดเขาได้  Convinced ไม่สำเร็จ แต่ ชีวิตหลังแต่งงานมีความสุขมากมาย เชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ค่ะ จากคุณ : โจ๊กหมูไม่เอาชูรส - [ วันวาเลนไทน์ 21:53:02 ]

ความคิดเห็นที่ 4 จะขายไม่ขาย มันอยู่ที่จำนวนเงิน เรียก ๑๙๙ เขาก็จะเห็นว่าเป้นแค่ธรรมเนียม ถ้าเรียก ๑๙๙๙๙๙๙ แล้วเก็บไปหมด เขาก็อาจว่าขาย ตัวเองไม่มีสินสอด ทองหมั้นใดๆ เพราะพ่อแม่ไม่ได้เรียกค่ะ จากคุณ : mrs.night owl - [ วันวาเลนไทน์ 22:02:15 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ลองเข้าไปหาข้อมูลในเวป www.weddingsquare.com ซิคะ น่าจะมีข้อมูลที่น่าสนใจเเละได้รายละเอียด ไม่น่าเเปลกใจที่เเฟนคุณไม่เข้าใจ เพราะว่าเค้าไม่ได้เติบโตมาในวัฒนธรรมเเบบเรา ไม่มีประโยชน์ที่จะมาบังคับให้เค้าเข้าใจ ลองถามคุณพ่อคุณเเม่ซิคะ ว่าเค้าต้องการให้คุณเเต่งงานเเบบใหน สินสอดจำเป็นมากมั๊ย เค้าอยากได้สินสอดมาทำไม(อันนี้ในความคิดเรามีหลายเเบบนะคะ เช่น พ่อเเม่ที่ได้มาเก็บไว้เอง(ในกรณีที่คุณพ่อคุณเเม่ไม่มีรายได้) กับได้มาเเล้วคืนหมดเเค่พอมีอยู่ในพิธีให้ถูกต้องตามธรรมเนียม) อย่าลืมถามคุณเเฟนด้วยนะคะ ว่างานเเต่งงานในเมืองไทย เค้าต้องการอะไร เพราะว่าอย่างน้อยมันก็เป็นงานของเค้าเหมือนกัน คุณคือคนกลางประสานทั้งสองฝ่ายให้เข้าใจกัน การเเต่งงานตามประเพณีเป็นสิ่งดีงาม เเต่ว่าจะมายึดติดมากเกินไปคงจะไม่เหมาะ อย่างน้อยคุณเเฟนน่าจะรู้สึกสบายใจในงานเเต่งงานด้วย ดีกว่าให้เค้ามานั่งคิดสงสัยว่างานนี้จัดเพื่ออะไร สินสอดมากน้อยเเค่ใหน เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม คงไม่ีมีใครมาบอกได้หรอกนะคะ ดูที่ความพอดีดีกว่า ที่ทั้งคุณเเละคุณเเฟนเเละคุณพ่อคุณเเม่พอใจ สินสอดที่คุณเเฟนหามาได้เเบบไม่ลำบากมากนัก เป็นจำนวนที่คุณพ่อคุณเเม่พอใจ ขึ้นอยู่อีกว่าคุณเเฟนคุณยึดเเต่ึความคิดเห็นของตัวเอง ไม่พยายามเข้าใจ เเต่เชื่อเถอะค่ะ อธิบายดีดีอย่าใช้อารมณ์ เค้าก็คงต้องเข้าใจวัฒนธรรมเราไม่มากก็น้อย ถ้าถามกรณีเรา เเม่เรียกสินสอดค่ะ ได้มาเเล้วก็คืนกลับหมดเลยค่ะ เรียกเเค่ตามประเพณี งานเเต่งงาน เค้าออกมั่งเราออกมั่งตามความเหมาะสมค่ะ เช่น ฝ่ายชายออกค่่าเเหวน เราออกค่าชุด เราว่าถ้าฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายออกมั่ง ไม่น่าจะเสียหายอะไรเพราะว่าเป็นงานของเราทั้งสองคน อะไรทำนองนี้ค่ะ ขอให้โชคดีนะคะ จากคุณ : mayistheone (mayistheone) - [ วันวาเลนไทน์ 22:08:03 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อืม อธิบายยากจริงๆด้วย แต่เราใช้รูปอธิบายเขาอ่ะ โดยเอารูปจากงานแต่งน้อง งานแต่งเพื่อน ค่อยๆอธิบาย แต่ไม่แน่ใจว่าป่านนี้เข้าใจหรือยัง ....... เพราะอีกนาน...... สุดท้ายพ่อแม่อาจจะไม่ได้เขยฝรั่งก็ได้ สำหรับเรา  เราทะยอยซื้อทองเก็บสะสมไว้ แล้วบอกเขาว่าเก็บเอาไว้สำหรับงานหมั้นของเรา ทีแรกเขาก็ถามเราว่า "ชอบทองคำเหรอ ไม่ใช่ชอบพวกเครื่องประดับที่ทำจากเงินเหรอ"....เราก็บอกว่าตามธรรมเนียมไทย ควรมีทองคำ เขาก็ยิ้มๆ แล้วเราก็แปะท้ายว่า ไว้ตอนมาขอ ให้นายเอาเงินนายมาซื้อทองจากเรานะ จะคิดราคาถูกๆ ป่านนี้ก็ยังไม่มาขอเลย เราเลยขายทองไปแล้วล่ะ (ทองราคากำลังขึ้น) ไว้ทองราคาลง ค่อยไปซื้อมาเก็บไว้ใหม่ จากคุณ : LoveIsColorBlind - [ วันวาเลนไทน์ 22:31:58 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอแชร์ประสบการณ์ด้วยคนค่ะ เรามีแฟนเป็น Dutch ค่ะ คบกันได้ครึ่งปีแล้ว แต่เราเริ่มที่จะบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องสินสอดไว้เลยเมื่อสัก 2-3 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากว่าเขาควรจะเข้าใจในขนบธรรมเนียมประเพณีของเรา ซึ่งพอเราบอกเขา เขาก็คงเหมือนกับหลาย ๆ คนที่ไม่เข้าใจ เราก็พยายามจะอธิบายว่าไม่ใช่การขายลูกสาวกินนะ แต่มันเป็นประเพณี และก็บอกเขาว่า บางคู่ให้สินสอดพ่อแม่ ๆ ก็ให้กลับคืนมา ก็หาอธิบายกันไป จนเราไป search หาข้อมูลเรื่องสินสอดที่เป็นภาษาอังกฤษให้เขามาสัก 3-4 เว๊บไซต์ เขาก็อ่านแล้วก็พยายามทำความเข้าใจ ตอนนี้เขาก็เข้าใจมากขึ้นแล้วเราก็บอกเพิ่มไปด้วยว่าแม่ฉันไม่อยากให้ลูกเป็นหนี้เพราะการแต่งงาน ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเอาเงินมาแต่งมากมาย แม่ไม่อยากได้ แค่ขอให้มันมีพอเป็นธรรมเนียมก็พอ แล้วก็บอกเขาว่าแม่ฉันไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา พ่อแม่ฉันเป็นถึงครูบาอาจารย์ที่คนรู้จักมากมาย เป็นที่นับหน้าถือตา นั่นคือ 1 เหตุผลที่เธอต้องมีสินสอดมาแต่ง นอกจากนี้เราก็ยกตัวอย่างน้องสาวเราที่แต่งงานด้วยสินสอด 1 แสนบาท (ขนาดชาวบ้านธรรมดาแถวบ้านยังแต่งมากกว่านี้เลย) แม่เราถามฝ่ายชายเลยว่ามีเงินเท่าไหร่ เขาบอกว่าเขามีแค่นี้เพราะเขาต้องผ่อนรถและยังมีภาระอื่น ๆ แม่เราก็ยอม เนื่องจากไม่อยากให้เขา 2 คนไปกู้หนี้ยืมสินมาแต่งกันด้วยเงินสินสอดมากมาย ยังไงก็ขอให้เขาเข้าใจ แล้วก็พยายามอธิบายด้วยเหตุผลที่ดีนะคะ สู้ สู้ ค่ะ จากคุณ : alex - [ วันวาเลนไทน์ 22:49:01 A:192.168.0.17 X:124.121.44.120 TicketID:203486 ]

ความคิดเห็นที่ 8 กรณีเรา หลังจากที่บอกพ่อแม่ว่าจะแต่งงานและหลังจากที่พ่อแม่ได้ทำความรู้จักกับฝ่ายชายเรียบร้อยแล้ว พ่อแม่เราไม่ได้พูดเรื่องสินสอดหรือพิธีเลยค่ะ  อาจเป็นเพราะท่านอยู่ต่างประเทศมานานทั้งคู่ เข้าใจวัฒนธรรมตะวันตกดี  ท่านบอกแค่ว่าจะแต่งแบบไหนก็เป็นเรื่องของเรา ตอนนี้เลยจัดการเรื่องเอกสารอยู่ค่ะ ไม่คิดจะจัดพิธีใด ๆ ทั้งที่ไทยและที่เยอรมัน เราและแฟนรวมทั้งครอบครัวเราไม่มีใครชอบพิธีรีตรอง  ตอนที่แฟนมาเที่ยวเมืองไทยเราก็แค่พาไปไหว้ผู้ใหญ่ฝ่ายเรา  เรื่องสินสอดนี่ยากที่จะอธิบายให้ชาวตะวันตกเข้าใจค่ะ  เพราะมันไม่ใช่ธรรมเนียมเค้า  เราว่าถ้าเรียกพอเป็นพิธี เค้าก็คงไม่คิดว่าขายลูกสาวล่ะมั้งคะ เช่น 999 หรือ 9999 แต่ถ้าเรียกหลายแสนหรือหลักล้าน พ่อหนุ่มคนนั้นอาจโบกมือลาค่ะ  การแต่งงานกับชาวต่างชาตินั้น คุณต้องเคารพธรรมเนียมของเค้าด้วยนะคะ  ไม่ใช่ให้ฝ่ายชายมาจ่ายสินสอดแพง ๆ โดยอ้างว่าธรรมเนียมไทยเป็นแบบนั้น  เราว่ามันไม่ยุติธรรมกับฝ่ายชายเท่าไหร่ และการที่จะมีชีวิตสมรสที่ราบรื่นมีความสุข ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพิธีรีตรองหรือสินสอดทองหมั้นใด ๆ จากคุณ : Sonnenschein - [ วันวาเลนไทน์ 22:57:46 ]

ความคิดเห็นที่ 9 งานนี้ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจถ่องแท้คงลำบากค่ะ เพราะวัฒนธรรมประเพณีแตกต่างกัน ของเรา ตอนแต่งงาน ทางบ้านก็เรียกสินสอดเหมือนกันค่ะ ซึ่งสามีก็เข้าใจ...จัดหามาให้ (เพราะเราไม่ได้เรียกอะไรมากมาย) พอใช้ในพิธีเสร็จ บ้านเราก็คืนมาให้เราสองคนทั้งหมด ให้เป็นเงินก้นถุง แต่ถ้าบ้านเราเรียก แล้วเราคิดว่า พ่อแม่เราจะเก็บเอาไว้ อันนี้ต้องดูให้ดีนะคะ เพราะมันอาจเป็นดาบสองคมได้ ถ้าเขาเข้าใจก็ดีไป แต่ถ้าไม่เข้าใจ เค้าจะตีความเป็นอื่นไปได้ เพราะตัวอย่างดี และ ไม่ดี มีให้เห็นเกี่ยวกับหญิงไทย ซึ่งเรา ๆ ท่าน ๆ รู้กันอยู่ งานแต่งงาน คงต้องช่วยกันออกค่ะ อย่างเช่นงานเรา เราบอกไปเลยว่า เราจะออกค่าชุดเอง (จะได้เลือกราคาเท่าไหร่ก็ได้ ตามใจเรา งบเรา ไม่กระอักกระอ่วนใจ) งานเช้า ครอบครัวเราออก ส่วนงานเลี้ยงเย็น เค้าเป็นคนจ่าย... แหวนเค้าเป็นคนซื้อ ค่าการ์ดของชำร่วย เราออกเอง เพราะอยากเลือกราคาตามใจเรา ไม่ต้องกังวล... สุดท้าย เราว่าคุณควรคุยกับว่าที่สามีในอนาคตให้หมดไปเลยก็ดีค่ะ ว่า เราต้องการแบบไหน เค้าต้องการแบบไหน รับกันได้ไหม ปรับกันได้เท่าไหร่ เพราะสุดท้าย เราแต่งงานกัน แขกเหรื่อที่มางาน กลับไป ก็จะเหลือแต่เราสองคนนี่แหล่ะค่ะ คุยกันให้กระจ่างเข้าใจกันก่อนแต่ง จะได้ไม่มีปัญหา เพราะว่าบางที เรื่องเงิน พอมันเยอะเข้า มันไม่เข้าใคร ออกใครนะคะ อย่าให้วันแต่งงาน เป็นวันที่สวยหรูดูดี แต่สุดท้ายเหลือสองคนแล้วมีปัญหา.... โชคดีนะคะ จากคุณ : KhunTop - [ วันวาเลนไทน์ 22:59:26 ]

ความคิดเห็นที่ 10 การอธิบายเรื่อง"สินสอด"ให้คนต่างชาติ  โดยเฉพาะคนยุโรปให้เข้าใจ  นั้น  ขอแนะนำดังนี้ 1. บอกให้เขาทราบว่า  นี่คือประเพณีของสังคมและวัฒนธรรมไทยที่มีมานาน  นี่มิใช้การซื้อ - ขายลูกสาวแต่อย่างใด  แต่เป็นการที่ฝ่ายชายต้องมอบค่าเลี้ยงดูตอบแทนแก่ฝ่ายหญิงตามประเพณี 2. ประเพณีนี้มีมานานนมแล้วในยุโรป  มีมาก่อนประเทศสหรัฐอเมริกาจะเกิดเสียอีก  เพิ่งจะมาเลิกเอาในศตวรรษที่ 19-20 หรือประมาณ 100 กว่าปีมานี้เอง   หากเป็นคนยุโรป  หรือคนอเมริกันที่มีการศึกษาดีๆ  น่าจะรู้เรื่องนี้และจะอธิบายได้ไม่ยาก 3. คำว่า  Dowry   ซึ่งไทยแปลว่า  " สินสอด " นั้น  หมายถึงเงินที่ฝ่ายหญิงต้องมอบให้แก่ฝ่ายชายเพื่อการแต่งงาน มีที่มาจากภาษาอังกฤษโบราณ  คือ  douerie  หรือ douarie และจากภาษาลาติน  คือ dotarium  หรือ  doariu 3. ส่วนคำว่าสินสอด  ในความหมายที่ฝ่ายชาย  ต้องมอบให้แก่ฝ่ายหญิง  นั้น  เขามีศัพท์เรียกในภาษาอังกฤษว่า a  bride price   ซึ่งคนยิว  เขาทราบดีจากไบเบิ้ลยิว  และจากคัมภีร์ Talmud ของพวกเขาว่า  สินสอด  คือทรัพย์สินหรือเงินทองที่ฝ่ายชายต้องมอบให้แก่บิดาของเจ้าสาวเพื่อการสมรส แสดงให้เห็นว่า  สินสอด  ไม่ว่าฝ่ายใดต้องให้แก่ฝ่ายใด  นั้น  เป็นประเพณีปฎิบัติของมนุษยชาติในทุกส่วนของโลกมาแต่โบราณ  และปัจจุบันหลายประเทศในเอเซียก็ยังปฎิบัติอยู่  เช่น ในอินเดียส่วนใหญ่  ฝ่ายหญิงต้องมอบสินสอดแก่ฝ่ายชาย  ส่วนในไทย  ฝ่ายชายต้องมอบแก่ฝ่ายหญิง ที่มา : Answer.com, Business Dictionary : dowry         Britannica Concise Encyclopedia : dowry         Britannica.com : dowry         Wordnet Dictionary: As opposed to a dowry, a bride price. จากคุณ : Detente - [ วันวาเลนไทน์ 23:31:17 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขออภัย ได้โพสท์ข้อความซ้ำซ้อนกัน  จึงลบออก แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 52 23:35:10 จากคุณ : Detente - [ วันวาเลนไทน์ 23:32:57 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณทุกความคิดเห็นมากนะคะ คือความที่เราเป็นคนกลางก็เลยลำบากใจค่อนข้างมากคะ :( ทางครอบครัวก็อยากให้มีสินสอดตามฐานะตามประเพณี (แต่ก็คืนกลับมาให้นะคะ) ส่วนแฟนก็ไม่คุ้นกับธรรมเนียมแบบนี้..เฮ้ออออ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกความคิดเห็นคะ เป็นประโยชน์อย่างมากๆคะ จากคุณ : love is all around ^-^ - [ 15 ก.พ. 52 00:03:06 A:124.121.47.96 X: TicketID:157244 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ดิฉันไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้ค่ะ เพราะตอนแต่งนั้นแต่งแบบไทยจริง แต่ไม่มีการเรียกสินสอดแต่อย่างใด โชคดีที่แม่ดิฉันเป็นคนพูดเองว่า จะไม่เรียกเพราะเข้าใจว่า สามีเป็นต่างชาติคงไม่เข้าใจประเพณีเรื่องนี้ ดิฉันว่า ถ้าอธิบายแฟนคุณแล้วเค้าไม่เข้าใจ ในขณะที่ทางพ่อแม่คุณก็จะให้คืนกลับมา คุณก็เอาเงินเก็บคุณส่วนหนึ่งจัดเป็นสินสอดตามทำเนียมก็ได้ค่ะ จะได้ไม่ต้องอธิบายแฟนให้เหนื่อย เพราะเดี๋ยวเข้าใจผิดจะกลายเป็นปมไปเปล่าๆ จากคุณ : Walcher - [ 15 ก.พ. 52 00:39:18 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อิฉันเคยอธิบายกับแฟนเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ อิฉัน: ไอ้ค่าสินสอด ที่ยูต้องเอามาขอฉันเนี้ย ก็เพื่อเป็นการตอบแทนค่าน้ำนมแม่ฉัน ที่ท่านเลี้ยงดูฉันมาจนโต จนมาเป็นว่าที่เมียเธอได้อย่างทุกวันเนี้ย คุณชาย: อ้าว!! แล้วค่าน้ำนมแม่ฉันล่ะ เธอไม่จ่ายให้มั่งเหรอ กว่าฉันจะโตมาเป็นว่าที่สามีเธอได้เนี้ย ฉันก็กินนมจากแม่น่ะ ไม่ได้กินนมวัวอย่างเดียว!?!? อิฉัน:  ค่ะ!!!!! // จนทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้แต่งเลยค่ะ  เอิ๊กๆๆๆ แต่ว่าเขาเข้าใจแล้วนะค่ะ คุณต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ อธิบาย แล้วยิ่งถ้าเขารู้จักครอบครัวของคุณเป็นอย่างดี เขาจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นค่ะ หรือบางทีอาจจะพาเขาไปร่วมงานแต่งเพื่อนหรือญาติบ้างก็ดีค่ะ ให้ได้สัมผัสบรรยากาศจริง โชคดีนะคะ จากคุณ : kobivankinobi (Kobivankinobi) - [ 15 ก.พ. 52 00:49:38 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เรื่องอย่างนี้ แล้วแต่ครอบครัวนะ บางครอบครัวไม่ยอมตกลงก็พูดกันยาก ประสบการณ์ส่วนตัว ไม่ได้เรียกสินสอดค่ะ ไม่คิดว่าเป็นเรื่องจำเป็นถือว่ามันล้าสมัยนะ พ่อแม่ก็ไม่ได้เรียกร้อง ต่างคนต่างตกลง ไม่ได้ทะเลาะกันเรื่องนี้ อีกอย่าง พ่อแม่ไม่บังคับ ปล่อยให้ตัดสินใจเองค่ะ จากคุณ : yinnerella - [ 15 ก.พ. 52 04:10:37 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ส่วนตัวดิฉันก็ไม่ได้ทั้งสินสอด..รวมถึงไม่ได้จัดงานแต่งเลยค่ะ สามีมาสู่ขอเสร็จ....ออกไปทานข้าวฉลองกันเฉพาะครอบครัว คนรอบข้างก็งง..ทำไมไม่จัดงาน (ดิฉันทำงานราชการค่ะ) ทั้งนี้แล้วแต่ละคู่ตกลงกันนะคะ...เอาแบบให้สบายใจทั้งสองฝ่าย พบกันแบบทางสายกลาง...โชคดีค่ะ จากคุณ : jum - [ 15 ก.พ. 52 07:11:08 A:72.225.217.164 X: TicketID:203101 ]

ความคิดเห็นที่ 17 บอกเหมือนคห.14 ว่าเป็นค่าน้ำนม ค่าเลี้ยงดูหลายๆปีที่ผ่านมา ถ้าเขาเถียงกินน้ำนมมาเหมือนกัน   บอกว่าเป็นธรรมเนียมไทยต้องให้เกียรติฝ่ายหญิง เพราะเมีย(ยุคเก่า)ต้องปรนนิบัติสามีและญาติโกโหติกาสามี ออกลูกให้ด้วย ธรรมเนียมของใครของมันอย่างของอินเดียหญิงเป็นฝ่ายขอชาย สุดท้ายใช้ท่าไม้ตาย เมิงจะเอาไหมเมียหรือจะนอนกอดหมอนต่อไป อิอิ จากคุณ : วสันดิลก - [ 15 ก.พ. 52 12:31:47 ]

ความคิดเห็นที่ 18 #17   แหม! ชี้โพรงให้กระรอกตาสีฟ้า ถือโอกาสบอกเลิกซะเลย 555..... จากคุณ : โจ๊กหมูไม่เอาชูรส - [ 15 ก.พ. 52 12:59:33 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เข้ามาอ่านด้วยคน มาบอกเพิ่มด้วยว่า วัฒนธรรมอาหรับ มีสินสอดเหมือนกันโดยฝ่ายชายจะต้องให้ครอบครัวฝ่ายหญิง   วันแต่งงาน ที่บ้านฝ่ายหญิงจะประดับประดาด้วยไฟ รอบบ้าน รั้วบ้าน หลังคา เป็นเวลาสามวัน เพื่อประกาศให้ชาวบ้านรู้ว่า ลูกสาวบ้านนี้แต่งงานนะ พอเสร็จพิธี คืนนั้นฝ่ายญาติของเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะจัด ขบวนรถแห่ (อิอิ ตั้งชื่อเอง) คือพวกญาติๆ ก็จะนั่งในขบวนรถแห่นั้น แห่ไปรอบเมือง บีบแตรไปตลอดถนน รถก็ติดไฟ หรือประดับประดาอะไรแล้วแต่เค้า บอกให้ประชาชีทราบว่า ลูกสาวบ้านนี้ได้แต่งงานแล้วนะ อ้อ ในพิธีแต่งงาน แขกเหรื่อที่มาร่วมงานก็จะแยกห้องเป็นห้องแขกฝ่ายชายกับแขกฝ่ายหญิงด้วยนะคะ  เป็นงานรื่นเริงที่บรรดาผู้หญิงก็จะแต่งตัวสวยงามกันมา พอออกบ้านก็คลุมดำทั้งตัว พอเข้าฮอลล์งานแต่งงานที่แยกเพศปุ๊บ ก็จะสลัดชุมคลุมดำนั้นทิ้งแล้วก็อวดโฉมกันค่ะ   ระหว่างดูตัว บรรดาเพื่อนหรือผู้ใหญ่ของฝ่ายชายที่เป็นเพศชาย (ยกเว้นพ่อหรือพี่ชายน้องชาย) จะไม่มีทางได้เห็นหน้าค่าตาของว่าที่เจ้าสาวเลยค่ะ คือไปร่วมนะงานหมั้นเพื่อนฝ่ายชายไปร่วมมากมาย  คือไปร่วมในการเจรจาขอหมั้น  (แต่ไม่เห็นหน้าผู้หญิงนะ) เพราะผู้หญิงต้องสงวนให้ว่าที่สามีคนเดียวเท่านั้น ชายอื่นห้ามมอง  อ้อ พวกเพื่อนหรือญาติของฝ่ายชาย (ที่เป็นเพศชาย) จะได้เห็นหน้าฝ่ายหญิงก็ต่อเมื่อ ทั้งสองคนแต่งงานกันเรียบร้อยแล้ว ผู้หญิงเป็นภรรยาของผู้ชายคนนั้นแล้วอย่างถูกต้องตามกฏหมายและธรรมเนียมปฏิบัติค่ะ มิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้สงสัยมาก  ร้านขายชุดราตรีทีนี่สวยมากและอลังการมาก (เอ่อ แต่ผู้หญิงจะใส่ไปไหนคะ ออกบ้านก็คลุมดำแล้ว)  ก็นั่นแหละค่ะ ต้องงานเลี้ยงที่มีสตรีล้วน เค้าถึงจะสลัดชุดดำโชว์ชุดราตรีกัน ไม่เกี่ยวหรอกค่ะ เล่าให้ฟังเฉย ๆ ปล ขึ้นอยู่กับความเคร่งครัดของแต่ละครอบครัวด้วยค่ะ จากคุณ : Freedom of Life - [ 15 ก.พ. 52 16:20:22 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ฝรั่งตะวันตกวิเคราะห์มูลเหตุที่มาของ "สินสอด" ไทยไม่เหมือนอย่างที่ไทยคิด  ว่า "เป็นการให้ค่าน้ำนม"   มีเขยฝรั่งเคยตอบคำถามใน web ไว้ว่า   ประเพณี "สินสอด" ไทยนั้นแท้จริงแล้วนำเข้ามาจากจีน  ไม่ใช้เป็นประเพณีไทยแต่ดั้งเดิม   และอธิบายเพิ่มเติม (อย่างน่าสนใจ) ไว้ว่า   การที่ลูกสาวแต่งงานออกไปนั้นทำให้พ่อแม่เสียแรงงานที่จะช่วยงานทำไร่ไถนา (อาชีพมาแต่โบราณ)  จึงเท่ากับเป็นการเสียแรงงานส่วนนี้ไป   ฝ่ายชายจึงต้องให้ "สินสอด" ชดเชย   โดยอ้างเพิ่มเติมด้วยว่า   อย่าลืมว่าอาชีพหลักของคนไทย 80% นั้นคือเกษตรกร เขยต่างชาติคนนี้ยังเข้าใจทัศนคติของคนไทยได้ดีด้วยว่า   การที่ "สินสอด" ยังเป็นประเพณีที่ปฏิบัติแพร่หลายในเมืองไทยจนถึงปัจจุบันนั้นเนื่องจากสังคมไทยให้ความสำคัญกับคำว่า  "หน้าตา"   เป็นอย่างมาก  ดังนั้นจึงให้คำแนะนำกับอนาคตเขยต่างชาติที่จะแต่งงานกับสาวไทยไว้ว่า  ถ้าจำเป็นต้องเออออตามประเพณีนี้แล้วละก็   ให้ประมาณเอาที่ afford ได้และต้องไม่เกินเงินเดือนที่ตัวได้รับ     ประเพณีสินสอดในอินเดียนั้น  ถ้าดีจริงรัฐบาลอินเดียคงไม่ออกกฏหมายห้ามการเรียกสินสอดที่ตั้งเงื่อนไขเรียกร้องสิ่งตอบแทนตั้งแต่ปี 1961   กระนั้นทุกวันนี้ที่เวลาผ่านไปแล้วกว่า 40 ปี  ก็ยังมีรายงานข่าวผู้หญิงอินเดียถูกเผาทั้งเป็นปีละเป็นพัน (Bride burning) เนื่องจากถูกสามีเรียกค่าสินสอดเพิ่มแล้วจ่ายให้ไม่ได้    และเพราะประเพณีสินสอดที่หญิงต้องจ่ายให้ชายนี่เอง  ที่ทำให้ชาวอินเดียถึงไม่อยากได้ลูกผู้หญิงถึงขนาดที่ว่าเมื่อมีลูกสาวจะฆ่าทิ้งเสียตั้งแต่แรก   เหตุการณ์นี้เคยทำข่าวออกทีวีของ BCC  ซึ่งมีอัตราเด็กหญิงอินเดียถูกฆ่าตายมากในรัฐปัญจาบ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 52 22:52:01 จากคุณ : Scharfsinn (Scharfsinn) - [ 15 ก.พ. 52 20:32:25 ]

ความคิดเห็นที่ 21 หญิงไทย: เธอควรจ่ายนะ ฉันเป็นคนไทย ต้องทำตามธรรมเนียมไทยสิ ชายต่างชาติ: ยูจะแต่งงานกับไอ ไอเป็นคนต่างชาติ ทำไมยูไม่ทำตามธรรมเนียมชาติไอบ้างล่ะ   หญิง: (ซ้ำบทสนทนาตัวเอง) ชาย: (ซ้ำเช่นกัน) คงไม่มีวันจบ ก็คงต้องหาทางพบกันตรงกลาง   คุณคุยกับพ่อแม่ตัวเองหรือยังคะ พ่อแม่คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ คิดว่าจำนวนเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม จะทำอะไรกับเงินค่าสินสอด(ให้กลับคืนหรือเก็บ) และ flexible ขนาดไหน จากคุณ : pervpanda - [ 15 ก.พ. 52 23:47:01 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คห.20 อยากบอกฝรั่งในเว็บว่าไทยไม่ได้เลียนแบบจีนคุณคิดเอาเอง เหมือนมวยไทยฝรั่งสรุปง่ายๆว่าไทยเอาอย่างจีน สมัยก่อนผู้ชายแต่งเข้าบ้าน (ที่มานิทานพ่อตากับลูกเขย) ไม่ใช่หญิงแต่งออกเพราะลูกสาวต้องดูแลพ่อแม่ ฝรั่งเข้าใจผิด คห.21 เอาอย่างนี้แล้วกันใครเป็นฝ่ายขอความรัก  คนนั้นจ่ายค่าสินสอด อย่างนี้ผู้หญิงไทยชนะแน่ จากคุณ : วสันดิลก - [ 16 ก.พ. 52 01:44:17 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คห  22   คุณมีหลักฐานยืนยันได้หรือไม่ล่ะว่า  "สินสอด" ไทยไม่ได้เอามาจากจีน   การโต้แย้งโดยบอกว่า  "คิดเอาเอง"  นี่เป็นเรื่องเลื่อนลอยไปหน่อย  ถ้าคุณลองไปศึกษาอ่านดูประเพณี "สินสอด"  จะเห็นว่าเป็นเรื่องเก่าแก่โบราณในตะวันตกย้อนไปถึงก่อนคริสตกาลด้วยซ้ำ   ส่วนทางตะวันออกนั้นก็มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่ามีมานาน (พอๆ กับยุโรป)  ในประเทศจีนและอินเดีย  นับเป็นระยะเวลาพันๆ ปี   แต่ถ้าเปรียบเทียบแนวคิดที่มาของสินสอดจีนกับอินเดียแล้ว   แนวคิดของจีนจะเหมือนกับไทยทุกวันนี้    ในเมื่อประวัติศาสตร์ประเทศจีนเก่าแก่กว่าไทยนับเป็นพันปี   และประวัติศาสตร์คนไทยอพยพมาจากจีน    การสันนิษฐานว่าประเพณีนี้มาจากจีนก็มีเหตุผล  ส่วนสินสอดของอินเดียนั้นจะแตกต่างออกไปการปฏิบัติก็แตกต่างกันไปด้วย ส่วนที่ว่าชายไทยแต่งเข้าบ้านนี่   เข้าใจว่าในกรณีที่ครอบครัวมีลูกสาวคนเดียวกระมัง     ถ้าเกิดมีลูกสาวมากๆ นี่  ลูกเขยเข้ามาอยู่ทุกคนด้วยหรือ?   เรื่องที่ฝรั่งบอกว่า "มวยไทย"  เอามาจากจีนนี่   ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย   และเท่าที่อ่านหรือได้ยินการพูดถึงมวยไทยของทางตะวันตกนั้นก็ยังไม่เคยเห็นใครบอกว่า  ประวัติมวยไทยมาจากจีน   แม้แต่ข้อมูลที่เป็นทางการที่หาอ่านได้ทั่วไปก็ยังบอกว่า  มวยไทยเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและพัฒนามาจากการต่อสู้กระบี่กระบอง ฝรั่งที่ว่าเข้าใจผิดระหว่าง  "มวยไทย" กับ "กังฟู"  หรือเปล่า? จากคุณ : Scharfsinn (Scharfsinn) - [ 16 ก.พ. 52 05:32:20 ]

ความคิดเห็นที่ 24 หลักฐานก็คือการใช้วิจารณญาณก่อนเชื่อคนนอกมาสอนเรื่องตัวเองผิดๆ ฝรั่งส่วนมากจะมั่วข้อมูลเรื่องไทยๆ ฟังหูไว้หู ถ้าเขาบอกทุกอย่างของไทยได้มาจากจีน ยังจะเชื่อจะภูมิใจไหม ไทยไม่ได้ย้ายมาจากจีนเขาพบหลักฐานใหม่ เปลี่ยนแนวคิดใหม่มาตั้งนานแล้ว ไทยมีแหล่งอารยธรรมหลายพันปีทำไมต้องยกให้จีนเป็นใหญ่ ไม่เข้าใจ ลูกสาวมีหลายคนก็แต่งชายเข้าบ้านอยู่ดี  คงไม่มีบ้านไหนมีลูกสาว 10-20 คน ดูเรื่องสังข์ทองเป็นตัวอย่างวรรณคดีเอามาจากชีวิตจริง เรื่องมวยไทยอยู่ในสารคดีของฝรั่ง ถ้าไม่เคยดูก็ไม่รู้เป็นธรรมดา แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 13:14:30 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 12:46:06 จากคุณ : วสันดิลก - [ 16 ก.พ. 52 11:46:17 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คห  24   คงเข้าใจสับสนระหว่างคำว่า  "หลักฐาน"  กับ  "วิจารณญาณ"   "หลักฐาน" คือสิ่งที่สามารถพิสูจน์ใช้ยืนยันได้  อาจเป็นสิ่งของหรือข้อมูลทางวิชาการที่มีหลักเกณฑ์ทางการศึกษา   สามารถยอมรับได้แม้แต่ในทางกฏหมาย "วิจารณญาน"   เป็นความคิดที่แต่ละคนมีแตกต่างกันไปไม่มีหลักเกณฑ์แน่นอน  ขึ้นอยู่กับภูมิปัญญาและจริตอารมณ์ของมนุษย์   แต่วิจารณญานจะเกิดขึ้นได้ต้องมีหลักฐานข้อมูลเป็นปัจจัยหลัก ข้อมูลทางวิชการที่ปรากฏอยู่ในวิกิพีเดียปัจจุบันนี้  ยังตั้งข้อสันนิษฐานอยู่ว่าเชื้อสาย "ไท"  สืบทอดต้นตระกูลย้อนไปถึง 35,000 ปี  จากการตรวจสอบ DNA  ตามที่ตัดตอนข้อความมาดังนี้ Y-DNA Haplogroup O1 among Austronesian and Tai peoples also suggests a common ancestry with the Sino-Tibetan, Austro-Asiatic and Hmong-Mien peoples some 35,000 years ago in China.[4] Y-DNA Haplogroup O2a is also found at high frequency among most Tai peoples, which is a trait that they share with the neighboring Austroasiatic peoples. Y-DNA Haplogroups O1 and O2a are subclades of O Y-DNA haplogroup, which itself is a subclade of Y-DNA Haplogroup K, a genetic mutation that is believed to have originated 40,000 yeas ago, somewhere between Iran and Central China. ดังนั้นเมื่อใช้วิจารณญานตามข้อมูลที่ปรากฏเป็นหลักฐานอยู่นี้   กับแนวความคิดประเพณี "สินสอด" ของจีนและไทยที่สอดคล้องกัน   จึงทำให้น่าเชื่อว่า   ประเพณีนี้สืบทอดมาจากจีนนั้นเป็นไปได้    เราอยู่ในยุคสมัยที่ต้องถกเถียงกันโดยใช้ข้อมูล  ไม่ใช่แยกแยะว่าเป็นคน "นอก" หรือ คน "ใน"    คำกล่าวที่ว่า "ทำไมถึงต้องยกให้จีนเป็นใหญ่"  จึงเป็นเรื่องผลสะท้อนทางอารมณ์มากกว่าเหตุผล ตัวอย่างนิทานไทย   วรรณคดีเอาเค้าโครงมาจากชีวิตจริง   แต่นิทานไม่ใช่เรื่องจริงอยู่ดีเพราะแต่งให้เกินจริงเข้าไว้เพื่อความสนุก ความเก่งของฝรั่งอย่างหนึ่งก็คือ  ความสามารถคิดเรื่องได้หลากหลาย   แม้แต่เรื่องมวยไทยก็อาจจะทำออกมาได้หลาย version  ที่ คห 24  อยู่อาจมีสารคดีฝรั่งเสนอมวยไทยที่มาจากจีน    แต่ฝรั่งที่อื่นเสนอสารคดีว่ามวยไทยเริ่มต้นจากสมัยอยุธยา    "วิจารณญาน" คงได้ใช้กันตอนนี้เอง เพิ่มเติม:-    มีความเป็นไปได้ที่วิจารณญานจะบอกต่อไปว่า  "Tai"  กับ "ไทย"  เป็นคนละเผ่าพันธุ์กัน แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 15:15:57 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 14:51:14 จากคุณ : Scharfsinn (Scharfsinn) - [ 16 ก.พ. 52 14:33:43 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เกิดมาใน ชนชั้นกลาง น่าจะมีความรู้ อธิบายให้ฝรั่งเข้าใจนะ เห็นเขาบอกว่า ชนชั้นกลาง ฉลาด มีการศึกษา น่าจะรู้เอง เมื่อไหร่ ชนชั้น บ้าบอ นี่มันจะหมดไปจากสังคมซักที จากคุณ : อธิคธรรม - [ 16 ก.พ. 52 15:54:56 A:222.123.75.186 X: TicketID:180727 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ในประเทศไทยซึ่งถูกจัดอยู่ในประเทศกำลังพัฒนานั้นชนชั้นล่างนี่เป็นฐานปิระมิด   หรือให้เข้าใจง่ายคือ  เป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ    และดูจากแผนการพัฒนาศึกษาของไทยมีนโยบายที่จะพยายามปรับให้เข้าสู่ชนชั้นกลางให้มากขึ้น   ดูแล้วน่าเป็นห่วงว่าตามโนบายนี้คนชนชั้นบ้าบอนี่จะเพิ่มมากขึ้นในสังคมไทย   ซึ่งพอจะเห็นเค้าลางบ้างแล้ว จากคุณ : Scharfsinn (Scharfsinn) - [ 16 ก.พ. 52 16:22:50 ]

ความคิดเห็นที่ 28 โดยส่วนตัวเอง ก็ไม่มีสินสอดเหมือนกัน แต่อันนี้เราเป็นคนตัดสินใจเองว่าไม่เอา คงขึ้นอยู่กับครอบครัวของแต่ละคนด้วยหล่ะมั้งคะ   *** ธรรมเนียมไทยกับค่าสินสอด มันก็เป็นธรรมเนียมที่มีมานาน ถ้าแต่งกับคนไทยก็ไม่ต้องปวดหัวมาอธิบายให้ยุ่งยาก แต่ฝรั่งธรรมเนียมแบบนี้ไม่เคยมี ถ้าจะอธิบายก็คงจะนาน บอกไปง่ายๆ สั้นๆ ว่าธรรมเนียมก็คือธรรมเนียม มันก็คงคล้ายๆ กับธรรมเนียมฝรั่งที่มีการให้ของขวัญในวันคริสต์มาส เงินสินสอดก็เหมือนกับเป็นของขวัญวันแต่งงานที่เรามอบให้กับบุพการี ซึ่งก็ไม่ได้ให้กันทุกปีเหมือนคริสต์มาส ซะเมื่อไร ลูกเขยฝรั่งถ้าอาจจะเข้าใจยากหน่อย แต่ถ้ายังอยากได้เมียไทย ก็ควรจะปฏิบัติตามวัฒนธรรมไทยและธรรมเนียมไทย เพื่อความสบายใจของว่าที่เมีย (ในอนาคต)   **** จากคุณ : ป้ามะลิกับลุงมะระ - [ 16 ก.พ. 52 20:58:21 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ว่าที่สามีเป็นเวียดนาม-อเมริกันค่ะ จะแต่งกันสิ้นปีนี้ ทางเราก็มีการคุยเรื่องสินสอดเหมือนกัน ซึ่งเค้าก้อเข้าใจ โดยส่วนตัว...เค้าให้เงินในการจัดงานทั้งหมด ดูแลทุกอย่าง ให้ชุดเครื่องประดับหนึ่งชุด แล้วทางเราก็ได้บอกเพิ่มเติมว่า ต้องมีทองคำด้วย ทางเค้าก็เข้าใจ ส่วนเรื่องเงินสินสอด ก็ถือว่าเป็นเงินก้อนที่เค้าให้เรื่องจัดงานแต่ง เวลาได้เงินกล่องจากแขกเหรื่องาน ก็เก็บไว้เป็นเงินก้นถุงเราเอง ถือว่าโชคดีค่ะ ที่ทางครอบครัวเค้าเข้าใจบ้านเรา เพราะว่าเค้ารู้ว่าถ้าเราแต่งงานไปอยู่กับบ้านเค้าที่อเมริกา ทางครอบครัวเราต้องขาดสมาชิกคนนึงไปแน่ ๆ จากคุณ : mikamikan - [ 16 ก.พ. 52 23:51:30 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าคนที่เราอธิายเป็นคนที่ไม่ได้เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของโลกแล้วละก็ ต้องเข้าใจแน่ๆ ถ้าเป็นผมก็อธิบายไปง่ายๆว่า นี้คือวัฒนธรรมของประเทศไทย ที่ทำกันมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว คุณไม่ต้องไปเข้าใจอะไรหรอก เพราะฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่เค้าก็ทำกันมาเป็นวัฒนธรรมของชาติ ให้เรายึดปฎิับัติกันมาเป็นร้อยเป็นพันปีแล้วหนะ มันก็เหมือนวัฒนธรรมบางอย่างของคุณ หรือของประเทศอื่นๆ ที่มันแตกต่างกันออกไป คุณไม่ต้องไปหาเหตุผลหรอว่ามันเพราะอะไร ถ้าคุณไม่ได้จะทำวิจัยในเรื่องนั้นๆ แค่คุณรู้ว่าเค้าทำการแบบนี้ วัฒนธรรมเค้าเป็นแบบนี้ก็พอแล้ว ผมว่าแค่นี้ก็น่าจะเคลียแล้วแหละครัีบ อย่างอินเีดียผู้หญิงต้องขอผู้ชาย นี้ก็คือวัฒนธรรมของเค้า อย่างที่อื่นๆเค้าก็ต้องมีอะไรที่แตกต่างจากประเทศของตนอีกมาก ถ้าคนมันไม่ใจแคบและกบในกะลาเกินไปต้องเข้าใจเรื่องความต่างของ วัฒนธรรมครับ ก็แค่ความต่างกันของวัฒนธรรม แค่นี้ไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว จากคุณ : คนนอกเมือง - [ 17 ก.พ. 52 14:30:41 A:125.27.5.192 X: TicketID:173909 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ว้าว ไม่ได้เข้ามาเช็คแค่ไม่กี่วัน มีคนมาร่วมแสดงความคิดเห็นเต็มแล้ว ขอบคุณมากๆๆๆ นะคะ ได้ idea ขึ้นอีกเยอะเลยว่าจะไปอธิบายเค้าว่าอย่างไร จากที่อ่านความคิดเห็นหลายท่านๆส่วนใหญ่ค่อนข้างเห็นในทางเดียวกันว่าวัฒนธรรมก็คือวัฒนธรรม ซึ่งอาจยากที่จะอธิบายแต่เราก็ต้องยอมรับในความแตกต่างของวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน คิดว่าคงจะไปบอกเค้าแนวประมาณนี้แหละคะ...ดูเป็นคำตอบที่กลางๆสุดแล้ว :) ขอบคุณอีกครั้งคะ ปล.หลังจากมาแอบดูในห้องไกลบ้านมาสักพักรู้สึกว่าคนส่วนใหญ่ในที่นี้น่ารักมากคะ มีปัญหาอะไรช่วยเหลือกันดีจัง ^0^ จากคุณ : love is all around ^-^ - [ 18 ก.พ. 52 18:09:21 A:172.16.61.34 X:203.170.231.232 TicketID:157244 ]