Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    พาสปอร์ตเอี่ยมอ่อง เงินเดือนไม่ได้มากมาย แต่ได้วีซ่าอเมริกา 10 ปีมาเรียบร้อยแล้วค่ะ

    วางแผนจะไปอเมริกา เดือนสิงหาคม ^^' ไม่ต้องแปลกในนะคะว่าทำไมถึงรีบทำเรื่องขอวีซ่าจัง คือเพิ่งได้ทุนไปเรียนต่างประเทศมา กลับมาถึงหน่วยงานต้นสังกัด (ราชการ) กำลังมีงานใหญ่ แล้วก็ยุ่งวุ่นวายติดพันมาจนถึงเดือนนี้ เราเลยยังไม่มีหน้าที่ที่รับผิดชอบแน่นอน

    ก็เลยคิดว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะเตรียมการขอวีซ่าไว้เลย เพราะถ้าเกิดโปรเจคงานมาเมื่อไหร่ แล้วลงทำงานเต็มตัว อาจจะไม่มีเวลาว่างเลยก็ได้ แต่คาดว่าปลายสิงหาที่เราจะไปงานคงเริ่มใกล้ปิดโปรเจ็ค แล้วอีกอย่างมีเพื่อนที่เรารู้จักตอนไปเรียนที่เกาหลี เค้าไปทำงานที่อเมริกา ก็เลยได้ทุ่นค่าใช้จ่ายแล้วก็ได้เจอเพื่อนไปในตัว (แต่ปัญหาคือมันเป็นช่วงที่เด็กๆ บินกลับไปเรียนด้วยอ่ะดิ กรี๊ดด ตั๋วจะหายากมะเนี้ย แต่เพื่อนก็จะว่างช่วงเด็กๆ ปิดเทอม เพราะเค้าทำงานที่มหาวิทยาลัย)

    เตรียมตัวตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ไม่ได้เตรียมอะไรมากค่ะ ^^' ซื้อพินแล้วก็ลงวันจองไว้ ตอนแรกลงไว้ 16 เมษายน (มันขึ้นสีเขียวจริงๆ นะคะ) เราแบบอึ้ง ทำไมคิวมันยาวขนาดนี้ (เพิ่งกลับมาเมืองไทยไม่นาน ยังเบลอๆ วันหยุดสงกรานต์) พอจองไปได้สักพักเค้าเมลล์มาบอกว่าระบบผิดพลาดให้เปลี่ยนวันจองสัมภาษณ์ พอเราเปลี่ยนเราก็เสียสิทธิ์การใช้พินไป 1 ครั้งซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความผิดเรา ก็พอเข้าไปเปลี่ยนทีนี้เดือนมีนาคมมีวันสีเขียวให้เลือกแล้ว เลยเลือก 18 มีนาคมไว้

    ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้แค่ไหน แต่คิดว่าเราเป็นข้าราชการ แล้วก็คิดว่ามั่นใจในการตอบ เพราะเราไม่มีความคิดที่จะไปทำงานหรือหลบหนีอยู่โน่นอยู่แล้ว ว่าแล้วก็เสียเงินค่าธรรมเนียมการทำวีซ่าไปที่ไปรษณีย์ 4,454 บาทด้วยความรู้สึกที่กระเป๋าเบาโดยไม่รู้อนาคตเลยตู๊ จ่ายไปเนี่ยจะรอดมั๊ย

    เอกสารที่เตรียมไว้ก็ปกติค่ะ
    1. DS-156
    2. DS-157
    3. เอกสารรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัด ระบุชื่อหน่วยงาน กระทรวง ตำแหน่ง วันเริ่มทำงาน เงินเดือน
    (ยังไม่ได้ขอใบลา เพราะมันนานเกิ๊น แล้วยังไม่แน่ใจว่าจะได้ว่างไปตอนไหน)
    4. รูปถ่าย 2X2 นิ้ว 2 รูป
    5. ให้เพื่อนส่งหนังสือเชิญไปเที่ยวมา
    6. พาสปอร์ตเล่มใหม่เอี่ยมอ่อง (เพราะเคยใช้แต่พาสปอร์ตราชการ เคยไปต่างประเทศด้วยงาน ส่วนเรียนก็ไปด้วยทุนรัฐบาล)
    7. สมุดบัญชีธนาคารที่หมั่นอัพเดทเสมอ (เงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยนี่ล่ะค่ะ)

    เราอ่านข้อมูลเรื่องการทำวีซ่าจากหลายเว็บมาก ขอบคุณทุกๆ เว็บเลย จำไม่ได้หรอก แหะๆ  มีคุณซูซี่, ห้องไกลบ้าน, ห้องBP, คุณ MASTERMAN, เว็บ ImmigrationLinks.com, เว็บ http://www.usvisa4thai.com/, เว็บ http://travel.state.gov, เว็บ http://www.thaiontario.com, เว็บ http://bangkok.usembassy.gov, เว็บ http://www.thaiinamerica.com และอีกมากมายที่เสิร์จหาจาก google

    ก่อนถึงวันก็ไม่ได้เครียดไรเลยนะ อ่อ ทำแผนการเดินทาง แบบคร่าวๆ ทำเป็นวันๆ คร่าวๆ ไว้ ตัวอย่างเช่น เราไปพักกับเพื่อนที่ NJ เราก็บอกวันแรกขอเดินเที่ยวรอบๆ NJ แล้วอีกสี่วันต่อไปก็ขอเดิน NY โดยใส่สถานที่ที่เราอยากไป แล้วเราอ่านจากพันธ์ทิพย์ว่ามีบริษัททัวร์พาเที่ยวราคาไม่แพง เราก็เลยสนใจแล้วก็ได้ทริปไป DC  เราก็เลยเอาโปรแกรมเค้าใส่ เพียงแต่วันที่สองเราจะไม่กลับพร้อมเค้า เราจะอยู่ต่ออีกสองวัน (แอบเขียนไปด้วย ว่าพอดีตรงกับวันเกิด ขอฉลองวันเกิดที่ DC) แล้วก็กลับมา NY แล้วเราก็ซื้ออีกทริปไปอีกหลายเมืองอีกสามวัน แล้วก็เหลือไว้ราวสองวัน  เดินเล่นเก็บตก NY อีกรอบก่อนบินกลับ

    พอถึงคืนวันที่ 17 เริ่มเครียด ตื่นเต้น นั่งอ่านเว็บมากมายอีกรอบกว่าจะได้นอนเกือบตีสอง ทั้งๆ ที่ต้องตื่นตีห้าไปสถานฑูต แล้วก็เตรียมเอกสารแสดงความผูกพันกับถิ่นที่อยู่ไว้ ก็มีแค่ประกันชีวิตที่ทำไว้สองแห่ง โดยเอาใบเสร็จแต่ละปีบวกที่จ่ายล่าสุดไปด้วย ทะเบียนบ้านตัวจริง

    แล้วก็คิดว่าจะเอาบัญชีน้องสาวไปเป็นสปอนเซอร์ (แต่ก็คิดได้อีก ไม่ได้ให้เค้าทำเรื่องว่าจะเป็นสปอนเซอร์เรานี่หว่า) แต่ก็กะว่าจะเอาทะเบียนบ้าน และรูปถ่ายตั้งแต่เราเด็กๆ จนโตมาเป็นหลักฐานความสัมพันธ์ แล้วน้องสาวก็ทำงานเป็นแอร์ด้วย เงินเยอะอยู่แล้ว แล้วก็กลุ้มใจต่อ ตายแล้วไม่มีหลักฐานอะไรจากเพื่อนเลยนี่หว่า จะรอดมั๊ยเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

    แต่ว่าอ่านจากบางเว็บเค้าแนะนำว่า ทางที่ดีเราควรจะแสดงว่าเราสามารถดูแลตัวเองได้ ไม่อ้างอิงใครจะดีที่สุด (แต่ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก เกินดีกว่าขาดวะ) แล้วก็เจอข้อแนะนำนึงว่า ไม่ต้องเอาหนังสือเชิญหรอก แค่ระบุว่าเราจะไปพักกับใครแล้วใส่ที่อยู่ก็พอ พอเค้าถามเราค่อยบอกว่าเรารู้จักกันยังไง จะได้ไม่เป็นที่จ้องจับผิดมากกว่า แต่ก็ยังไม่ได้เอาเอกสารออกไปจากแฟ้มที่จัดไว้

    เช้าถึงสถานฑูตพร้อมเปียกฝนมาเลย เค้านัด 8.00 แต่ว่าไปถึง 7.40 ^^' เจ้าหน้าที่สาวสวมเสื้อแดงด้านนอกก็จะเช็คว่าเรามีคิวในวันนั้นหรือเปล่า แล้วก็ให้เข้าไปผ่านขั้นตอนการตรวจกระเป๋า และการฝากอุปกรณ์สื่อสาร และอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ รวมทั้งรีโมทรถยนต์ (เด๋วนี้ไฮโซ เคยมาเมื่อสามปีก่อนพานายๆ มาทำวีซ่า เพื่อไปประชุมที่ UN นายๆ ระดับซี 9 อ่ะ สมัยนั้นต้องมาด้วยตัวเอง ลูกน้องก็ต้องไปจองตั้งแต่ไก่โห่ใช่มั๊ยล่ะคะ นายก็มาสายหน่อย ^^' ลำบากกว่านี้เยอะ เด๋วนี้ถ้าไปติดต่อราชการเจ้าตัวไม่ต้องมาก็ได้ แค่มีหนังสือนำจากหน่วยงานราชการ พร้อมเอกสารให้ครบ)

    เข้าไปก็ต่อแถว Non-Immigration Visa แถวยาวมาก ไปถึงมีเจ้าหน้าที่สาวเสื้อแดงสองคนตรวจเอกสาร เค้าก็จัดเอกสาร DS-156, DS-157, ใบรับรองการทำงาน, รูปถ่าย, พาสปอร์ต, ใบที่เราจ่ายเงินค่าธรรมเนียมสีฟ้าๆ แล้วเอาใส่แฟ้มที่เราต้องยื่นให้เจ้าหน้าที่ไว้ แล้วก็ส่งแฟ้มมาให้เรา กับเอกสารหนึ่งแผ่นสำหรับใส่ที่อยู่ในการส่งพาสปอร์ตกลับ หลังจากนั้นก็ไปจ่ายเงิน 75 บาทค่าส่ง EMS ซึ่งในกทมจะได้ภายใน 24 ชม. หลังสถานฑูตจัดส่ง หลังเสร็จขั้นตอนนี้เราแอบใส่แผนการเดินทางลงไปด้วย (เราแอบคิดในใจ แล้วไอ้หลักฐานที่แสดงความผูกพันกับถิ่นที่อยู่ จะให้ตูยื่นตอนไหนฟะ)

    ระหว่างรอคิวเราก็ดูวิดีโอที่เค้าแนะนำขั้นตอนการทำวีซ่า เราดูการแสกนนิ้วก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์ว่าต้องทำยังไง หลังจากเสร็จจากเรื่องซอง ก็ไปช่องที่ 1 - 3 ยื่นเอกสารในแฟ้มใสที่สาวเสื้อแดงที่ตรวจเอกสารให้มาน่ะ พร้อมกับซองให้เค้าไป

    "เดินทางคนเดียวเหรอคะ"
    ค่ะ
    "เคยมีวีซ่าอเมริกามั๊ยคะ"
    ไม่เคยค่ะ
    "วางนิ้วสี่นิ้วด้านซ้ายค่ะ"
    (วางลงไปอย่างว่าง่าย)
    "เอามือขวาช่วยกดด้วยนคะ ทิ้งไว้สักพักค่ะ"
    (กดค่ะกด)
    "คราวนี้มือขวาค่ะ"
    (นิ้วมือทั้งสี่ด้านซ้ายวาง เอามือซ้ายกดอย่างรู้งาน)
    "กดตรงปลายนิ้วนิดนะคะ"
    (กดจ้า กด)
    "นิ้วโป้งสองข้างค่ะ"
    (กดลงไปเหมือนชำนาญ)
    "พูดภาษาอังกฤษได้มั๊ยคะ"
    ได้ค่ะ
    "เชิญรอด้านในเลยค่ะ"
    ขอบคุณค่ะ

    เจ้าหน้าให้ที่บัตรคิวมาเบอร์ 210 เดินเข้าไปนักเรียนจะไปซัมเมอร์มาทำวีซ่าเยอะมากๆ แอบสังเกตว่าคนส่วนใหญ่จะไปที่ช่อง 8 แล้วก็เห็นว่าเบอร์ที่เรียกล่าสุดในหมวดเดียวกับเราคือ 201 ก็เลยไปนั่งรออย่างเย็นใจ สบายๆ กว่าจะได้เข้ามาถึงตรงนี้ก็เก้าโมงนิดๆ แล้ว รอได้ประมาณ 20 นาทีเบอร์เราก็ขึ้นจอ (เฮ้ย เบอร์ 202 - 209 หายไปไหนเนี้ย) ไปที่ช่อง 9 เป็นฝรั่งหน้าตาใจดีร่างอ้วนหน่อย (หน้าคล้ายเพื่อนเราเลย เอิ๊กๆ) ช่องนี้โล่งมากๆๆๆๆ ไม่มีใครเลยอ่ะ

    บทสนทนาเป็นภาษาอังกษนะคะ อันนี้แปลมาแล้ว แล้วด้วยความที่เราไปเรียนต่อมา แล้วเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน การคุยภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันจึงเป็นเรื่องปกติ ที่ทำให้เราไม่ได้รู้สึกประหม่าที่จะพูด ถ้าสัมภาษณ์ตอนที่เราไม่ค่อยได้ใช้ มันอาจจะมีประหม่าบ้างอะนะ การสัมภาษณ์ครั้งนี้

    เราตอบเสียงดังฟังชัด ตอบอย่างมั่นใจทุกคำ

    "Good Morning"
    Good Morning ค่ะ (ยิ้ม)
    "วางนิ้วชี้ซ้าย" (สแกนอีกแล้ว)
    "แล้วก็นิ้วชี้ขวาครับ"


    แล้วเจ้าหน้าที่ก้มลงดูเอกสาร
    "ปีที่แล้วไปเกาหลีมาเหรอ ไปทำอะไร"
    ได้ทุนไปเรียนค่ะ

    แล้วก็ดูที่แผนการเดินทางของเรา
    "ไปเที่ยวแถบตะวันออกเหรอ ทำไมถึงอยากไปล่ะ"
    มีเพื่อนอยู่ค่ะ แล้วก็อยากไปเที่ยวมานานแล้ว

    ก้มลงอ่าน DS-156
    "บ้านเพื่อนอยู่ในนิวเจอร์ซี่ย์เหรอ"
    ใช่ค่ะ
    "..... (ชื่อเพื่อน) นี่ผู้ชายหรือผู้หญิง"
    ผู้หญิงค่ะ
    "แล้วรู้จักกันได้ยังไง"
    รู้จักกันตอนไปเรียนทุนที่เกาหลีค่ะ
    "แล้วตอนนี้เค้าอยู่อเมริกาเหรอ"
    ค่ะ เค้าเป็น Legal Worker อยู่ที่มหาวิทยาลัย.....
    "คุณรับราชการที่.....เหรอ"
    ค่ะ (แอบคิด จะถามทำไมเนี่ย แค่เนี้ย)

    "คุณไปเรียนที่เกาหลีเหรอ ลองพูดภาษาเกาหลีให้ฟังหน่อยสิ"
    อันยองฮาเซโย ฉันชื่อ........ค่ะ (อันนี้ไม่ได้เตี๊ยมมาก่อน คิดได้แค่นี่แหละ)
    เค้าก็ยิ้ม แล้วก็ "อันยองฮาเซโย"
    "เรียนป.เอกเหรอ"
    เปล่าค่ะ ป.โทค่ะ
    (เพราะเราจบโทมาแล้วใบนึง แล้วก็คิด ตายแล้วเราไม่ได้เอาเอกสารทางการศึกษามาสักใบเลยอ่ะ)

    "คุณไปเรียนมานานแค่ไหนครับ"
    13 เดือนค่ะ
    "แล้วคุณยังเรียนอยู่เหรอ" (ในใบเราเขียนว่าถึง present)
    ค่ะ เรียนที่โน่นจบ coursework แล้ว แต่ต้องกลับมาทำวิทยานิพนธ์ส่ง
    "คุณทำวิทยานิพนธ์ส่งมหาวิทยาลัยอะไร"
    (เหมือนเป็นการทดสอบว่าเราพูดความจริงหรือเปล่า เพราะใน DS-157 เราเขียนเอาไว้)
    มหาวิทยาลัย..................... ค่ะ
    "แล้วที่คุณไปเรียนที่ รัฐบาลไทยออกให้เหรอ"
    เปล่าค่ะ เป็นทุนจากรัฐบาลเกาหลีค่ะ
    (เค้าก็พยักหน้า)

    "ขอสมุดบัญชีหน่อยครับ"
    ยื่นให้สองเล่ม เป็นเล่มเก่าเล่มนึง
    "แล้วคุณคิดว่าต้องใช้เงินสักเท่าไหร่ที่จะไปในคราวนี้" (แล้วก็มองสมุดบัญชี พร้อมแผนการเดินทางที่เรายื่น)
    สองพันเหรียญน่าจะพอค่ะ เพราะตั้งใจให้เป็น Budget Trip แล้วชั้นไม่ได้สาวนักชอป ที่ไปเที่ยวนี้อยากได้ประสบการณ์แปลกใหม่มากกว่า (เงินในบัญชีไม่ถึงที่เราพูดเลยแหละ ^^')
    "แล้วมีใครช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายคุณหรือเปล่า"
    ก็มีน้องสาวค่ะ ช่วยเรื่องตั๋วเครื่องบิน เพราะเค้าเป็นแอร์ฯ อยู่ที่สายการบิน................ แล้วเค้าอาจจะมาเที่ยวด้วยสัก 3-4 วันถ้าลางานได้ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะลาได้มั๊ย
    "คุณวางแผนจะไปสักกี่วัน"
    10-12 วันค่ะ ไม่รวมวันเดินทาง ซึ่งการเดินทางน่าจะใช้เวลาประมาณ 2 วันต่อเที่ยวใช่มั๊ยคะ
    (เค้าพยักหน้าอย่างเดียว แล้วก็ก้มลงดูกระดาษอีก)
    "Have a nice day แล้วเราจะส่งพาสปอร์ตคุณให้ทางไปรษณีย์นะครับ"
    Have a nice day ค่ะ ขอบคุณค่ะ

    โอ๊ยยยยยยยย อยากจะกรี๊ดเดี๋ยวนั้น อิอิ ขอครั้งแรกผ่านเลย ดีใจสุดๆ แล้วระบบการทำวีซ่าแบบใหม่นี่ดีกว่าเดิมอย่างมากมาย รวดเร็วด้วย เจ้าหน้าที่ก็น่ารักทุกคนตั้งแต่เริ่มกระบวนการที่หน้าประตูจนถึงคนสัมภาษณ์ สมกับเงินที่ทางอเมริกาได้จากการทำวีซ่าไปวันๆ นึง น่าจะได้เป็นล้านๆ

    ^^'
    แล้ววันนี้ก็ได้รับพาสปอร์ตคืนตอนบ่ายสาม (ไปสัมภาษณ์เมื่อวานตอนเช้าค่ะ) ได้มา 10 ปี จ้า

    ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ได้จากทุกๆ คนค่ะ

    แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 52 19:59:18

    แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 52 15:36:55

    แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 52 15:36:26

    จากคุณ : อานาตะโออาอิชิมัตสึ - [ 19 มี.ค. 52 15:35:52 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com