Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    ขอบคุณอดีตที่ผ่านมา ที่ทำให้ผมยืนได้อย่างมั่นคง(จากห้องสยามสแควร์ครับ)

    อย่าพึ่งงงนะครับว่ามันเกี่ยวกับห้องไกลบ้านตรงไหน เดี๋ยวผมจะรีบมาต่อครับ เพราะหลังจากนี้ เกี่ยวกับไกลบ้านตรง ๆ เลย

    --------------------------------------------------------------------------------

    วันนี้เป็นหนึ่งวันวุ่นวายครับ พอได้มาอยู่คนเดียวก็เลยมาเขียนอะไรเล่น ๆ ดีกว่า

    คิดถึงชีวิต ม. ปลาย ตอนเอ็น ถือว่าเป็นหนึ่งจุดพลิกพลันที่มองไปที่ไร ก็ไม่เคยเสียใจที่เดินมาทางนี้เลย

    คะแนนเอ็น ฮ่าฮาแอบเขิน บอกที่ได้น้อยกับเยอะล่ะกันนะครับ

    คณิต 1 : ได้ 9 คะแนน O-o ยังงงตัวเองเลยว่ามั่วประสาอะไรหว่า ได้แค่นี้

    อังกฤษ : ได้เยอะสุดครับ ได้ 78 คะแนน

    แล้วก็ยื่นไป 4 อันดับ แล้ววันประกาศผลก็มาถึง กลับไปเช็คผลเอนท์ทางเน็ต ปรากฎว่า



    ไม่มีข้อมูล แหงล่ะ ฮ๋าฮ๋าา ก็ไม่ติดตามระเบียบ ที่บ้านก็งง ๆ ประมาณว่าไม่ติดเลยเหรอ???


    หลังจากนั้นก็เข้ามหาวิทยาลัยเอกชน เพราะมีคณะที่อยากเรียนเหมือนกันคือบริหารระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแถวหัวหมาก

    หลังจากนั้น 2 เดือน


    กลับ ไปหาอาจารย์ที่โรงเรียน อาจารย์ถามว่า อ้าวทำไมเธอไม่เรียนที่เกษตรล่ะ ผมก็บอกว่า อาจารย์ผมเอนซ์ไม่ติดนาาา อาจารย์ก็บอกว่า เธอจะบ้า เหรอก็ชั้นมีหมายเลขนักเรียนทุกคน ชั้นเช็คชั้นก็รู้ เธอติดเกษตรนะ


    ผมก็ไม่เชื่อ ฮ๋าฮ๋าา พอลองกลับไปเช็คอีกที่



    เห้ยยยยยยยย ติดเกษตร!!!! แม้จะไม่ใช่คณะที่อยากเรียนอันดับหนึ่งแต่ก็บริหารเหมือนกัน แต่เลยวันมอบตัวไปแล้ว

    แล้วทำไมคราวที่แล้วมันไม่ขึ้นอ่ะ


    ชิ เป็ง จำได้แล้ว มันให้เสร็จเลขประจำตัวผู้สอบ



    ดันไปใส่เลขที่นั่งสอบ!!!


    แล้วมันจะติดไหมเนี้ย ฮ่าฮ๋าาา


    ไม่เป็นไรไม่ซีเรียส

    ขอบอกว่าตอนเอนซ์เป็นคน ที่ไม่อ่านหนังสือเลย เพราะคิดว่าพื้นอังกฤษตัวเองดี ส่วนภาษาไทย กับสังคม อ่านพ็อกเก็ตบุ๊คอาจารย์ลิลลี่เอา 2 วันจบ ส่วนคณิตก็รู้ ๆ กัน ออกมาตามที่เห็นด้านบน ฮ๋าฮ๋าาา

    ไม่เป็นไรเรียนที่มหาลัยเอกชนก็ได้ ไม่ซีเรียส เพราะตอนนั้นยอมรับ แทบไม่ได้วางแผนอนาคตตัวเองเท่าไหร่เลย เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะครับ อิอิ

    เข้ามหาลัยปีหนึ่ง ไร้สาระ เดินห้างไปวัน ๆ ดูหนัง แต่ปรับตัวเยอะมากกกกกกก อยากได้เกรดเกิน 3.00 ซักครั้งก็ได้นะ แต่ก็เครียดกับการสอบพอสมควร

    ปีสองนี่แหละ จุดพลิกผลันของชีวิต


    เพราะได้เข้าชมรม และได้เป็นคณะกรรมการ ก็บอกตรง ๆ ว่าทำอะไรเยอะมาก ทั้งท้อ ทั้งเหนื่อย ทั้งร้องไห้ ทั้งดีใจ


    แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ได้เพื่อนแท้ดีดีมาหลายคน แค่นี้ก็คุ้มแล้วมิใช่หรือ???

    จากคนที่งี่เง่า เอาแต่ใจ ใจร้อน และคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่

    กลายเป็นคนที่ใจเย็น มีเหตุมีผล มีความเป็นผู้ใหญ่

    แม้ จะเหนื่อยแค่ไหน แต่ภูมิใจเสมอที่ได้ทำ เพราะสิ่งที่ผมได้ทำผมตลอดปี 2 นั้น เป็นรากฐานที่ทำให้ผมเป็นคนที่แกร่ง และพร้อมที่จะรับปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ และหากลมมันแรงมาก ผมก็ยังจะมีเพื่อนที่คอยรองรับ และดูแลผมในวันที่ผมล้มลง

    หากน้อง ๆ คนไหนมีโอกาสก็ลองทำกิจกรรมนะครับ ลองหาสิ่งที่ชอบ อย่างน้อยเราจะได้ประสบการณ์ชีวิต และได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างครับ


    ปีสาม ก็ทำงานของมหาลัยบ้าง ทำนู่น ทำนี่ รู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมาก ๆ มาหนึ่งปีแหละ เลยเลือกที่จะทำเฉพาะสิงที่ตัวเองชอบ จะได้สนุกกับชีวิตให้เต็มที่
    ไปค่าย ไปปีนเขา ไปนู่นไปนี่

    ปี สี่ กำลังจะจบก็เลือกทำนู่นทำนี่ที่ตัวเองชอบ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจทำ Project ๆ หนึ่ง ซึ่งใช้เวลาทำประมาณ 1 ปี คิดหนักอยู่เหมือนกัน แต่คิดไปคิดมา ทำดีกว่า เพราะคงสนุกดี แต่ที่ไหนได้เครียดดดด เครียดดดดดดดด

    บอก ไว้ก่อนว่าผมเป็นคนที่โพรงจมูกไม่ดี เคยไปหาหมอ หมอบอกว่าหากไปแคะ หรือเครียด เลือดกำเดาจะไหลทันที ก็รู้ตัวมาตลอดนะ ที่บ้านก็รู้ ก็ไม่ได้คิดอะไร

    มีอยู่วันหนึ่ง ก็ในโครงการนี้แหละ ต้องทำตัวเลขที่เราต้องรับผิดชอบ ก็นั่งคิดวิธี คิดไปคิดมา


    เลือดกำเดาไหลเป็นน้ำตก ลองคิดภาพว่ามีกระดาษที่คิดงานอยู่บนโต๊ะ มองไปอีกที สีแดงไปครึ่งแผ่น เลือดไหลเป็นน้ำตก


    น้องที่นั่งอยู่ตรงข้ามร้อง เห้ยยยยยยยย ไปโรงบาลไหมพี่ ทุกคนรีบมาดู


    ส่วนผมเหรอ บอกไม่เป็นไร แล้วก็นั่งคิดงานต่อไป

    ระหว่างที่โปรเจ็คกำลังทำอยู่ ก็จบพอดี เพื่อน ๆ ก็สมัครงานกันแหละ เราก็มีไปสัมภาษณ์บ้าง


    ก่อน จบ 2 เดือน บริษัท เครื่องใช้ไฟฟ้า P  เรียกไปสัมภาษณ์ ก็ได้ แต่โปรเจ็คยังไปจบ เลยบอกว่าขอเริ่มงานเดือนกลางมิถุนายนได้ไหม(ตอนนั้นมีนาคม)

    เค้าก็บอกว่าได้ รอได้

    หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ มีบริษัทโทรมา เราก็อ้อ ๆๆ ครับ ๆๆ เด๋วไปสัมภาษณ์ครับ ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเพราะคิดว่าที่แรกก็โอเคแล้ว

    ต่อมาเพื่อนถาม เห้ยย ที่ไหนเรียกไปสัมภาณณ์อ่ะ ก็บอกไปว่าไม่รู้เหมือนกัน

    แต่เค้าบอกว่า ปูนซีเมนส์ไทยอ่ะ!!


    ขอสารภาพว่า ตอนนั้นไม่รู้จักบริษัทนี้เลยด้วยซ้ำ แย่เนอะ เหอ เหอ


    เพื่อนก็บอก เมิงไม่รู้จักได้ไงเนี้ย ผมพอบอกที่บ้าน ที่บ้านดีใจหยั่งกะได้แล้วเลย จากเฉย ๆ กลายเป็นกดดันสุด ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


    แล้ว ก็ไปสัมภาษณ์ พระเจ้าช่วยสัมภาษณ์ตั้ง 4 รอบ อะไรกันหนักกันหนา แถมต้องไปดูโรงงานเค้าอีก โอ้โห้ แต่สุดท้ายก็ได้ ดีใจครับ แต่ก็บอกเค้าไปว่าขอเริ่มกลางมิถุนายนนะ หากไม่ได้ก็คงไม่ทำ เพราะรู้สึกว่าเราไม่่อยากทิ้งโปรเจ็ค และคิดว่าคงเป็นกิจกรรมอันสุดท้ายของชีวิตนักศึกษา ก็อยากจะอยู่กับความเป็นเด็กให้นาน ๆ หน่อย

    เค้ายอมแหะ++

    แหละแล้วสิ่งที่เป็นบทเรียนอีกครั้งในชีวิต ที่ผมจะไม่มีวันลืมก็เกิดขึ้นอีก

    HR บริษัท P เคยบอกว่าหากน้องไปสัมภาษณ์งานที่ไหน แล้วอยากเปลี่ยนใจก็ให้โทรมาบอก พี่เค้าดีกับผมมากแนะนำทุกอย่าง

    แต่ ด้วยความกลัวก็เลยไม่กล้าโทรไปบอก จนกระทั่งต้นเิืดือนมิถุนายนพี่เค้าโทรมาคอนเฟิร์มว่าเราจะไปทำ สุดท้ายเราบอกไปว่า ได้งานที่อื่นแล้ว

    "น้องรู้ไหมค่ะ ว่าน้องทำให้บริษัทเสียหายมากแค่ไหน" แล้วก็วางไปเลย

    รู้สึก แย่จริง ๆ ครับ หลังจากนั้นเวลามีบริษัทโทรมา แล้วผมไม่ทำ หรือไม่ไปสัมภาษณ์จะโทรไปบอก แล้วกล่าวขอโทษ พร้อมกับกล่าวขอบคุณทุก ๆ ครั้ง

    โปรเจ็คจบแหละ (แทบตาย ฮ๋าฮ๋า) ก็เข้าไปทำงาน

    อยากจะบอกว่าจริง ๆ แล้วผมเป็นคนที่ทำงานแบบแนวความคิด "เน้นการร่วมมือกัน" แต่การทำงานที่แรก ทำให้ความคิดผมนั้นเปลี่ยนไป

    ความ จริงแล้วการเมืองในบริษัทก็ไม่ได้เยอะมากนะ แต่พอทำไปทำมาก็รู้สึกได้ว่า คนเรามันต้องเอาตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกจริง ๆ มิตรมีได้แต่ต้องเลือกคบ

    และเราต้องทำตัวเป็นคน Aggressive บ้าง มันเป็นสิ่งจำเป็น

    การ ทำงานที่แรกนั้น โดนดองไว้ 6 เดือน โดนดองนี่คือ งานไม่ค่อยมีอะไร คือมมันมี แต่มันก็ไม่ได้เยอะไง บ่น ๆๆ ให้เพื่อน ๆ ฟัง เพื่อนก็บอกว่าดีจะตาย งานไม่มี แต่รับเงินเดือน 2 หมื่น ไม่ดีเหรอ

    แต่ ทำไปนาน ๆ มันก็เซ็งอ่ะ ทำได้ซัก 5 เดือนมั้ง เดินไปหาหัวหน้าบอกว่าอยากได้ความรับผิดชอบมากกว่านี้ เจ้านายก็ให้งานมาเพิ่ม แต่มันก็ยังเฉย ๆ (จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องของกลไกตลาดนะครับ) งานก็ไม่ได้มีอะไรเท่าไหร่

    ก่อน ปีใหม่เลยเดินไปหาเจ้านายบอกว่า หาอะไรให้ผมทำหน่อย พูดดี ๆ นะครับ ให้หัวหน้าเข้าใจเรา แต่ลึก ๆ ก็คิดแล้วล่ะว่าหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็จะออก เพราะรู้สึกว่า เราเองก็อยากค้นหาว่าอยากทำอะไรเหมือนกัน

    เจ้านายเข้าใจผิดว่าอยากย้ายกลุ่มลูกค้า เลยจับเราไปอยู่กับหัวหน้าอีกคนซะเลย เราก็นะ นะ ก็มีงานให้ทำล่ะเนอะอย่างน้อย เหอ เหอ

    จากคุณ : LuPangBig - [ 26 มี.ค. 52 06:42:52 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com