Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    ช่วยด้วยค่ะโดนคนแกล้งโทรไปแจ้ง DHS ว่าเรากับสามีทำร้ายลูก

    ดิฉันอ่านเว็บบอร์ดพันทิพย์มานานแล้วค่ะ แต่เพิ่งสมัครเป็นสมาชิกได้ไม่นาน เห็นเพื่อนๆหลายคนมาโพสต์ถามปัญหาต่างๆก็ได้แต่เข้ามาอ่านหาประสบการณ์ ไม่คิดเลยว่าความซวยที่สุดในชีวิตมาเกิดกับตัวเองจนได้
    ดิฉันขอท้าวความเล่าความเป็นมาของตัวเองก่อนนะคะ ยาวไปอย่าเพิ่งเบื่อเลยนะคะดิฉันกลุ้มใจมากๆ

    ดิฉันแต่งงานมาอยู่ที่อาร์คันซอ อเมริกาได้ 2 ปีกว่าๆแล้วค่ะ  รู้จักกับสามีที่นี่ โดนการแนะนำของเพื่อน สามีเป็นคนอเมริกัน เป็นคนดีรักครอบครัวมากค่ะ เรามีลูกชายคนแรก เพิ่งอายุได้ 10 เดือน ตอนนี้สามีไม่ได้ทำงานโดนเลย์ออฟมาตั้งแต่ปีที่แล้วจึงกลับไปเรียนต่อ ดิฉันทำงานส่งหนังสือพิมพ์ตอนเช้า แล้วก็อยู่บ้านเลี้ยงลูก

    ชีวิตแต่งงานก็มีความสุขดี มีทะเลาะกันบ้างตามประสาสามีภรรยาแต่ไม่เคยมีเรื่องใหญ่เลย ส่วนใหญ่สามีจะเงียบเวลาที่เราทะเลาะ เรียกว่าดิฉันทะเลาะคนเดียวมากกว่า สามีและน้องชายถูกเลี้ยงมาโดย ปู่กับย่าตั้งแต่เล็กๆ ส่วนพ่อกับแม่ของสามีแยกไปแต่งงานใหม่ทั้งคู่ พ่อของสามีแต่งงานใหม่กับอดีตผู้พิภากษาจากแคลิฟอร์เนียอยู่เมืองเดียวกับกับครอบครัวของดิฉันและปู่ย่ารวมถึงน้องชายด้วยค่ะ ส่วนแม่ของสามีอยู่กับสามีใหม่ที่ ซานฟรานซิสโกค่ะ

    ปู่กับย่าของสามีเป็นอเมริกันชาตินิยมค่ะ สามีบอกว่าทั้งคู่ไม่เชื่อในการแต่งงานของคนต่างเชื้อชาติกันคือคิดว่าคนอมริกันเหนือกว่าคนชาติอื่นๆ  แล้วเค้าก็ไม่ชอบคนสีผิวมากๆ สามีเล่าเรื่องนี้ให้ฟังตั้งแต่ตอนเริ่มคบกัน แต่สุดท้ายดิฉันก็แต่งงานกับสามีค่ะ โดยตอนแรก เราสองคนไปจดทะเบียนกันเงียบๆแค่สองคนมีน้องชายสามีที่รู้ จนตอนหลังที่ปู่กับย่าของสามีรู้ รู้สึกว่าทั้งสองคนจะช็อคค่ะ เพราะตอนที่ทราบข่าวว่าสามีแต่งงานกับดิฉันน้องชายของสามีก็ไปแต่งงานกับแฟนสาวชาวเวียดนามด้วยค่ะ เลยช็อคดับเบิ้ล แต่ด้วยความเป้นผู้ใหญ่ของเค้ามั้งคะ เลยไม่ค่อยแสดงออกอะไรกับเรา ดิฉันก็ไม่ได้ทำตัวกระด้างกระเดืองอะไร ตอนหลังสามีมาเล่าใหฟังว่า ป้าซึ่งเป็นลูกสาวของย่า เล่าว่า ย่าเค้าชอบเรามาก พูดถึงเราบ่อยๆ เพราะบ้านเราสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วดิฉันชอบทำปอเปี๊ยะทอดให้แกทานค่ะ

    ตอนแรกที่แต่งงานดิฉันย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกันกับสามีที่บ้านเช่า ซึ่งทั้งสองคนเช่าอยู่ด้วยกันก่อน แล้วตอนหลังเราต่างคนต่างซื้อบ้านเป็นของตัวเองก่อนที่สามีจะตกงาน หลังจากซื้อบ้านได้ไม่นานดิฉันก็ท้องแล้วก็มีเจ้าตัวเล็กซึ่งตอนนี้ 10 เดือนกว่าๆแล้วค่ะ  ช่วงก่อนท้องดิฉันกับสามีจะแวะเยี่ยมเยียนปู่ย่าแล้วก็น้องชายเค้าบ่อยๆ แต่หลังจากที่ดิฉันคลอดลูกแล้วสามีกลับไปเรียน เราก็ไม่ค่อยได้ไปหาครับครัวของสามีมากนัก  ดิฉันอยู่ที่นี่มีเพื่อนคนไทยอยู่ สองสามคน เพราะรัฐนี้คนลาวกับเวียดนามจะเยอะมากกว่าคนไทย คนไทยนับได้ที่ดิฉันรู้จักไม่ถึง 10 คนค่ะ

    ช่วงท้องได้ 5 เดือนกว่าๆ ดิฉันหยุดทำงานที่ร้านอาหารของเพื่อน มาอยู่บ้านแล้วส่งหนังสือพิมพ์ตอนเช้าอย่างเดียวค่ะ เพราะแพ้ท้อง เหม็นกลิ่นอาหาร สามีก็กลัวว่าเราจะลื่นหกล้มแล้วแท้งด้วย เลยคิดว่าอยู่บ้านไปก่อนจนกว่าลูกจะโตซักหน่อยดีกว่า ซึ่งการที่ดิฉันไม่ได้ทำงานอย่างเดิม มาอยู่บ้าน ประกอบกับเราไม่ค่อยได้แวะเวียนไปหาปู่ย่าอย่างเดิมนั้น ดิฉันมีความรู้สึกว่า เค้าไม่ชอบค่ะ เหมือนกับคิดว่าเราขี้เกียจ รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของดิฉันกับทางญาติของสามีก็ไม่ได้ดีเหมือนแต่ก่อน แต่ดิฉันไม่ได้ไปยุ่งกับใครนะคะ ส่วนใหญ่จะอยู่บ้านเลี้ยงลูก ทำความสะอาดบ้าน ทำกับข้าวไป

    จนวันที่ความซวยมาเยื่อนค่ะ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2009 ดิฉันอยู่บ้านกับลูกตามปกติ ช่วง 11 โมงเช้ามีผู้หญิงมากดกริ่งหน้าประตู ดฺฉันเลยออกไปดูค่ะ เค้าบอกว่าชื่อเรเชล มาจาก DHS ซึ่งตอนนั้นดิฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร ตอนแรกไม่กล้าให้เข้ามาเพราะสามีไม่อยู่ ไปเรียน แต่เค้าถามว่าเราชื่อนี้รึปล่าว เราบอกว่าใช่ เลยคิดว่าเค้ารู้ชื่อเรา น่าจะเป็นคนด้านสังคมสงเคราะห์รึปล่าวนะ มาช่วยดูแลหลังคลอดหรือเปล่าเพราะตอนอยู่โรงพยาบาลมีคนจากหลายที่ เอานั่นเอานี่มาให้กรอกกันวุ่นวายไปหมด ดิฉันเลยให้เข้ามา

    พอเค้าเข้ามาก็เริ่มอ่านกระดาษแผ่นนึงค่ะ จับใจความได้ว่า มีคนโทรเข้าไปแจ้งว่าดิฉัน ทำร้ายลูก(sheck the baby) ดิฉันอารมณ์โมโหร้าย ทำฝาผนังเป็นรู พังโต๊ะกาแฟ แล้วก็อะไรต่อมิอะไร อีกรวมๆแล้วประมาณ 7-8 ข้อ ณ วินาทีนั้น ดิฉันงงค่ะ สับสน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วผู้หญิงคนนี้ก็ขอนั่งลงที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งตอนนั้น ข้อที่อ่านมาว่าทำผนังเป็นรูและ sheck the baby มันสะกิดใจดิฉันมากค่ะ เพราะมันเป็นความจริง อย่าเพิ่งตกใจว่าดิฉันทำร้ายลูกจริงๆนะคะ มีคำอธิบายค่ะ

    อย่างที่บอกชีวิตแต่งงาน ปกติก็มีกระทบกระทั่งกันบ้าง ตอนที่ดิฉันท้องและคลอดใหม่ๆดิฉันเครียดมากค่ะ เพราะกลัวแล้วก็คิดถึงบ้าน ได้แต่โทรหาแม่ที่เมืองไทย แล้วก็ถามเพื่อนๆที่เคยมีลูกเอา เราเลี้ยงลูกกันสองคนโดยที่ปู่กับย่าเค้าไม่ได้มาช่วยดูอะไรเลย แม่ของสามีบินมาสองครั้งจากซานฟราน อยู่ครั้งละ 1 อาทิตย์ ก็พอช่วยได้บ้างค่ะ ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองขี้โมโหมาก บ้างครั้งเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ หงุดหงิดบ่อยมากๆ  หลายครั้งที่ดิฉันโมโหสามีเรื่องที่เค้าไม่เข้าใจที่เราพูดสื่อสารกันไม่เข้าใจ ดิฉันหมายถึงเข้าใจไม่ลึกซึ้งนะคะ ไม่รู้ว่าคู่อื่นๆมีปัญหาเรื่องนี้บ้างมั้ย ภาษาอังกฤษของดิฉันอยู่ระดับปานกลางค่ะ สื่อสารเข้าใจแต่ถ้าใช้คำยากๆก็ไม่รู้ต้องอธิบายค่ะ ก่อนหน้านี้ประมาณ เดือน หรืองสองเดือนกว่าๆ จำไม่ได้แล้วว่าโกรธสามีเรื่องอะไร เลยแตะผนังเป็นรู ก็บ้านที่นี่มันไม่แข็งแรงเหมือนเมืองไทยนี่คะ  ไม่ใช่ดิฉันโหดนะคะ มันก็เลยเป็นรู มีบางครั้งที่ดิฉันคว่ำโต๊ะกาแฟเล็กๆเหมือนกัน จนสามีบอกว่าเราต้องการบำบัดความโกรธแล้วนะ มันไม่ดี ดิฉันเองก็รู้ตัวค่ะว่ามันเกินไปจริงๆ ช่วงนี้ ก็พยายามควบคุมค่ะ เป็นอย่างนี้อยู่จนลูกอายุได้ 3-4 เดือน ดิฉันก็ดีขึ้นค่ะ เริ่มชิน

    ดิฉันชอบเล่าความเป็นไปในบ้านให้สามีฟังค่ะ เราพะเค้าไปเรียนจะไม่เห็นพัฒนาการของลูกเหมือนเรา อ้อ ดิฉันแยกห้องนอนกับสามี ตั้งแต่ท้องได้ 6-7 เดือนค่ะ เพราะสามีนอนกรนมากๆ ดิฉันเป็นคนตื่นง่ายก็เลยมานอนห้องลูก นอนมาตลอดจนลูกได้ 6 เดือนค่ะ คือที่แยกห้องนี่ไม่ได้ทะเลาะกันนะคะ ห้องมันติดกันแล้วพอลูกคลอดมาดิฉันก็ไม่อยากให้เสียงลูกร้องตอนกลางคืนรบกวนสามีด้วย เพราะเค้าต้องตื่น ตี 3 ไปส่งหนังสือพิมพ์แทนดิฉันด้วย แล้วยังต้องไปเรียนอีก  ก็นั่นล่ะค่ะ ตอนเช้าของแต่ละวันหรือตอนเย็นหลังจากสามีกลับมาจากเรียนดิฉันก็ชอบเล่าให้เค้าฟังว่าทำอะไรมั่งเป้นปกติอยู่แล้ว เช้าของวันธรรมดาวันหนึ่ง ซึ่งลูกอายุได้ประมาณ 1 เดือนกว่าๆ ดิฉันเล่าให้สามีฟังว่าเมื่อคืนลูกงอแงมาก ต้องอุ้มต้องโอ๋อยู่นานกว่าจะเงียบ แต่ ตอนนั้นดิฉันใช้คำว่า แทนคำว่า ดิฉันบอกแล้วค่ะว่าภาษาอังกฤษดิฉันกลางๆ ตอนนั้นไม่รู้จริงๆว่าจะใช้คำว่าอะไร  สามีแสดงอาการตกใจมากค่ะ ร้องบอกว่า เธอทำอย่างนั้นได้ยังไง มันไม่ดีนะ ผิดกฏหมายแล้วก็เป็นอันตรายกับลูก ดิฉันงงค่ะ เลยพยายามบอกว่าไม่ใช่ๆ ดิฉันพยายามกล่อมลูก พูดกันอยู่นานเค้าเลยไปค้นอินเตอร์เน็ตให้ดูว่า มันเลวร้ายแค่ไหน Sheck the baby เนี่ย ดิฉันเลยแสดงอาการอุ้มให้ดูค่ะ เค้าเลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นใช้คำว่า Rock the baby แทนนะ เป็นอนัเข้าใจค่ะ   ทีนี้มาต่อจากตอนที่ เรเชล จาก DHS กล่าวข้อกล่าวหาดิฉันต่อนะคะ

    หลังจากอ่านข้อกล่าวหาดิฉันจบ ตอนนั้นดิฉันเกิดคำถาม ขึ้นในใจว่า ใครโทรไป ทำไมรู้เรื่องราวในบ้านเราได้ แล้วเรเชลก็ถามว่า คุณทำร้ายลูกตอนไหน เกิดขึ้นมากี่ครั้งแล้ว ดิฉันที่ตอนนั้นสับสน เลยบอกไปว่า  I didn't sheck the baby i just rock him.  คือตอนนั้นเข้าใจว่าสามีโทรไปน่ะค่ะ คิดว่าเค้าอยากช่วยเราเรื่องความเครียดแล้วก็เรื่องบำบัดความโมโหเลยโทรไปเรียกให้ social worker อะไรทำนองนี้มาช่วยน่ะค่ะ ซึ่งดิฉันคิดผิดถนัด

    หลังจากนั้น เรเชลก็บอกว่า ถึงเป็นแค่ ร็อคเดอะเบบี้ก็อาจทำให้เกิดอันตรายกับเด็กได้ถ้าเธอทำแรง ดิฉันก็งง ค่ะ แล้วเธอก็ถามต่อว่า เธอทำตอนที่เด็กงอแงรึปล่าว ดิฉันก็บอกว่าใช่ค่ะ แล้วเรเชลก็จดๆลงในกระดาษ เรเชลถามดิฉันอีกว่า แล้วเธอเคยโมโหลูกรึปล่าว ดิฉันบอกว่าก็เคย บางครั้งเราก็หงุดหงุดนะ เพราะเราหนื่อย แล้วเธอก็ถามประมาณว่า แสดงว่าเธอ เช็คเดอะเบบี้ ตอนที่เธอหงุดหงิดแล้วก็เบบี้ก็ร้องงอแง ดิฉันก็เริ่มงง หนักไปอีกค่ะ คือเลี้ยงลูกมันก็ต้องมีวันแบบนั้นบ้างนะคะดิฉันก็เลยตอบไปว่าใช่ ก็ถ้าลูกร้องงอแง ก็ต้องร็อคก็กอดให้เค้าหายงอแงแต่ดิฉันไม่ได้ทำร้ายลูก แล้วเธอก็เขียนลงไปในสมุดโน๊ตอีกค่ะ จากนั้นเธอก็ถามเรื่องราวในครอบครัวค่ะ ถามไปเรื่อยๆ ดิฉันก็ตอบไปตามตรงค่ะ ก็ไม่ได้ทำผิดอะไร แล้วดิฉันก็ชี้ให้ดูว่า นี่ไงโต๊ะกาแฟ ดิฉันไม่ได้พังแค่คว่ำตอนที่โกรธสามีเฉยๆ เธอก็อือๆ  แล้วเธอก็ขอตัวไปดูลูกชายดิฉัน ซึ่งนอนเล่นอยู่ค่ะ เธอขออุ้มแล้วก็สำรวจดูดิฉันคิดว่าคงหารอยช้ำค่ะ แต่เจ้าตัวเล็กก็ยิ้มให้ จากนั้นเธอก็ขอตัวไปดูห้องลูกเราค่ะก็พาไปดู ก็เจอรูบนผนังค่ะ ก็เลยบอกว่า นั่นน่ะแหละ รูที่ดิฉันทำ เธอก็เดินดูๆ แล้วก็กลับมานั่งที่โซฟา ดิฉันก็ถามว่าแล้วยังไงต่อ ตอนนั้นยังเข้าใจว่าเรเชลแป็นนักบำบัดความโกรธอยู่ค่ะ  เธอเลยบอกว่า ต้องให้เราพาลูกไปตรวจสแกนสมองแล้วก็ตรวจม่านตา ภายใน 24 ชม. ดิฉันก็งงว่าจะต้องไปตรวจทำไมเพราะดิฉันไม่ได้ทำอะไร แล้วอีกอย่างลูกเพิ่งไปสแกนสมองมาเมือสามอาทิตย์ที่แล้ว เพราะหมอเด็กประจำตัวลูกคิดว่า ลูกเราหัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นๆ อาจจะมีอะไรผิดปกติน่ะค่ะ เราก็บอกไปเรเชลก็เลยบอกว่า มีคนแจ้งมาว่าเราทำร้ายลูกยังไงก็ต้องให้ไปตรวจ ตอนนี้ดิฉันเพิ่งถึงบ้างอ้อค่ะ เริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว แล้วเค้าก็ให้เราเซ็นใบยินยอมว่าเราจะพาลูกไปตรวจค่ะ ซึงก็ต้องเซ้นไม่งั้นเค้าบอกว่าจะใช้คำสั่งศาล ถึงตอนนี้ดิฉันช็อคเลยค่ะว่าใครที่โทรไปแจ้งแบบนี้    เลยถามเรเชลว่าสามีเราโทรไปแจ้งเหรอ เรเชลบอกว่าไม่ใช่

    เลยถามเรเชลต่อว่าแล้วดิฉันจะเป็นยังไง จะติดคุกหรือปล่าว คือตอนนี้มันงงค่ะ ไม่เข้าใจอะไรเลย เค้าเลยบอกว่าถ้าผลการตรวจสมองและร่างกายลูกเป็นปกติ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแต่ถ้ามีอะไรผิดปกติ ชื่อดิฉันจะถูกใส่ไว้ในระบบอะไรซักอย่างนี่ล่ะค่ะ แล้วเค้ายังบอกว่าเค้ามีเวลาสอบสวน 30 วัน หลังจากนั้นถ้าผลออกมาว่าเราไม่ผิดเราสามารถทำเรื่องขอหลักฐานที่ใช้ในการสอบสวนมาเก็บไว้ได้ก่อนที่เค้าจะทำลายค่ะ แล้วเรเชลก็กลับไป  แต่ก่อนกลับเธอหันมาถามว่า ทำไมถึงคิดว่าเป็นสามีล่ะ ดิฉันตอบได้แค่คำว่า ก็ดิฉันเล่าให้เค้าฟังทุกอย่าง แล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีกเลยค่ะ ตอนนั้นดิฉันสับสนค่ะ ปนกับเศร้าไม่รู้ว่า ใครทำกับเราแบบนี้ ต้องเป็นคนใกล้ตัวมากๆถึงรู้เรื่องในบ้านขนาดนี้ได้ เพราะตลอดเวลาดิฉันไม่เคยเล่าให้เพื่อนคนไทยหรือแม้แต่แม่ฟังเรื่องดิฉันทำผนังเป็นรูค่ะ

    พอเรเชลกลับไปดิฉันก็โทรไปหาสามีว่า เกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นยังไม่เชื่อค่ะว่า สามีไม่ได้โทรไป เค้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย พอเล่าให้เค้าฟังเค้าก็เลยขับรถไปที่ DHS ไปหาเรเชลค่ะ ตอนนั้นเรเชลถามเค้าว่าคุณรู้หรือปล่าวว่าภรรยาคุณ sheck the baby สามีดิฉันเลยบอกว่าดิฉันไม่ได้ทำแต่เรเชลบอกสามีดิฉันว่า ดิฉันบอกเธอว่าดิฉันทำค่ะ สามีเลยบอกว่าตอนนั้นดิฉันใช้คำผิด ดิฉันแค่ Rock  the baby แล้วสามีก็โชว์เรเชล แบบที่ดิฉันทำให้สามีดูค่ะ   เรเชลเลยบอกว่า ถ้างั้นคุณก็รู้สิว่าภรรยาคุณทำร้ายลูกแต่คุณไม่แจ้งเข้ามา  สามีเลยโกรธ บอกว่าจะแจ้งได้ยังไงก็เค้าไม่ได้ทำ แต่เธอยังยืนยันค่ะว่า สามีรู้แต่ไม่แจ้ง แถมยังแจ้งข้อหาว่าสามีมีส่วนร่วมด้วย สามีโมโหมากค่ะ กลับมาบ้านโทรไปหา ปู่ย่า หาทนาย เพราะเราไม่อยากให้ลูกโดนสแกนสมองอีก เพราะมันเสี่ยงตอนนั้นลูกเพิ่ง 4 เดือนเองค่ะ ไม่ใช่ว่าอยากปกปิด แต่เพราะเค้าเพิ่งไปสแกนมาก่อนหน้านี้ 3 อาทิตย์ค่ะ  แต่ทุกคนบอกว่าที่ประเทศนี้ เค้าให้ความสำคัญของเด็กที่สุด ต่อให้มีคนโทรแกล้งเค้าก็ต้องออกมาสอบสวนก่อน ทางที่ดี เราควรทำตามที่เค้าบอก เราก็ทำค่ะ ผลตรวจทุกอย่างออกมาปกติดี ซึ่งก็เป็นไปตามที่เราคาดค่ะ เพราะว่าดิฉันไม่เคยทำร้ายลูก ออกจะตามใจเสียด้วยซ้ำ เพื่อนๆคนไทยบอกดิฉันเลี้ยงลูกถนอมเกินไป

    จากคุณ : Thai Country Girl - [ 1 ก.ค. 52 12:56:27 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com