ในใบสมัครเค้าก็จะถามครับว่าเราเคยทำกิจกรรมอะไรมาบ้าง หรือเคยได้รับทุนอะไรมาบ้าง เขียนเพิ่มเติมในกระดาษได้หากเขียนในใบสมัครไม่พอ ทีนี้ ผมก็เอาเลยสิครับ โม้แหลกลาญเลยครับ ว่าเคยทำอะไรมาบ้าง ผมขุดมาตั้งแต่สมัคร ม.ปลายเลยครับ ตั้งแต่ที่เคยได้ทุน AFS ไปประเทศเยอรมัน ในสมัยมหาวิทยาลัยเคยทำค่ายอาสาพัฒนาชนบท ทำชมรมพัฒนาบุคลิกภาพและจริยะสัมพันธ์ ทุนฝึกงานต่างประเทศของบริษัท Schlumberger, ค่ายลูกเสือโลกที่สัตหีบ โดยองค์กรลูกเสือโลก, ชนะเลิศการประกวด Mister University Thailand และเป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดที่เกาหลีใต้ (เหมือนนางงามจักรวาลอย่างไงอย่างนั้นครับ), กิจกรรม Service For Peace ที่ทำโดยการเป็นเยาวชนตัวอย่าง, ทุน Best & Brightest Scholarship ไปดูงานที่เยอรมัน, ฮังการี และออสเตรีย ของ สกอ. กระทรวงศึกษาธิการ โม้แหลกเลยครับ และทำเป็น Portfolio ส่งไปพร้อมใบสมัคร พร้อมทั้งแนบ Resume ประสปการณ์การทำงานอย่างอลังการ แบบว่า ไม่เลือกชั้นแล้วยูจะเสียใจนะ จะบอกให้ ก็เหมือนกับการพรีเซนต์ตัวเราน่ะล่ะครับ มีอะไรเด่น อะไรดัง ก็งัดออกมาสู้กันเลย เพราะเราก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเค้าจะใส่อะไรลงไปบ้าง อ้อ มีให้ใส่ความสามารถพิเศษไปด้วยครับ ผมก็ใส่ไปว่าสามารถพูดภาษาอังกฤษและเยอรมันได้อย่างคล่องแคล่ว (มันเรียกว่าฟามสามารถพิเศษตรงไหนหว่า ) แล้วก็เป่าแคนครับ ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ผมไม่ได้เป่าแคนมาเกือบ 13 ปีแล้วครับ ตั้งแต่กลับมาจาก AFS แต่ก็ใส่ไปก่อนดีฝ่า ถ้าได้เข้าไปถึงรอบสัมภาษณ์แล้วค่อยมาฟื้นน่า
หลังจากกรอกข้อมูลและเอกสารทุกอย่างพร้อมแล้วก็ส่งไปยัง สยช. ครับ และรอประกาศเรียกสอบข้อเขียน ซึ่งสอบข้อเขียนนี้ในแต่ละปีจะมีผู้สมัครประมาณ 500 คนครับ แล้วจะคัดเหลือรอบสัมภาษณ์ประมาณ 100 กว่าคน และจากรอบสัมภาษณ์ 100 คน ก็จะมีผู้ที่ผ่านการสอบสัมภาษณ์่ได้เข้าร่วมโครงการ 15 คนครับ และจากฝั่งเยาวชนประเภทที่ 2 คือตัวแทนจังหวัดอีก 12 คน (โดยที่ทำการสัมภาษณ์แยกกัน) โอ้ววว!!!! จาก 500 เหลือ 15 คน อัตราการรับคือ 3% !!!! แม่เจ้า แล้วตูจะรอดไหมเนี่ย เอาวะ!! ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ทำให้ดีที่สุด สู้โว๊ยยย!!!
จากคุณ |
:
Charlie Man
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ก.ค. 52 16:52:12
|
|
|
|
|
|