Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  
 


(เรื่องสั้นแด่ผู้ไกลบ้าน).................สนามบิน................ vote  

NOTE:
 เนื่องจากผมเคยเป็นนักเรียนนอกมาก่อน
        ต้องไปๆกลับๆเมืองไทย-เมืองนอก  
          ......จึงค่อนข้างรู้สึกผูกพันกับสนามบินเป็นอย่างยิ่ง

         ทุกครั้งที่ผมได้มาสนามบิน ไม่ว่าจะมาส่งเพื่อน หรือรับญาติๆ
 ...ผมจะสัมผัสได้ถึงกระแสแห่งความรู้สึกหลากหลาย ที่หมุนเวียนอยู่ในสถานที่แห่งนี้    
......ผ่านทางสีหน้าและแววตาของผู้คน

นั่นคือ....แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้น  
 
..และหวังว่าคุณผู้อ่านชาวไกลบ้าน  

........จะได้รับรู้และสัมผัสในบางสิ่งที่ผมอยากจะสื่อ ต่อไปนี้

.............................................
...........สนามบิน.................
..............................................

ที่แห่งนี้……….
     
     คือ จุดเริ่มต้นของทุกการเดินทาง
     
               ……จุดหมายปลายทางของทุกการไขว่คว้า
       
                            จุดแรกที่จะพานพบ…และจุดสุดท้ายที่จะกล่าวลา
                     
               ณ ที่แห่งหนึ่ง …ที่เชื่อมแผ่นดินไว้กับผืนฟ้า
       
   ….มีหนึ่งคำสัญญา  ที่เชื่อมสองดวงใจ



…………………………..
18.24 น.
“วันนี้สนามบินคนเยอะจังนะ”  ปอพูดขึ้นขณะมองไปรอบๆ
“มันก็เยอะอย่างนี้ทุกวันแหละ” ผมตอบ
“ แล้วพี่ต้อง รู้มะ   สนามบินจะเงียบเหงาที่สุดตอนไหน?”    
“ อื่มม….    สงสัยจะเป็นตอนเช้ามืดมั้ง ”  
“ ผิดแล่ว   ” ปอพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ  แล้วหันมาทำหน้าบูดใส่ผม  ก่อนจะเงียบไปซักพักหนึ่ง
…..แล้วค่อยพูดต่อด้วยน้ำเสียงปนเหงาเล็กน้อยว่า
“สนามบินจะเงียบเหงาที่สุดก็ตอนที่เราจะต้องจากมันไปต่างหาก ”    

18.30 น.
ผมกำลังเข็นรถเข็นสีเงินคันใหญ่ ไปตามพื้นเงาวับใหม่เอี่ยมของสนามบิน ในนั้นมีกระเป๋าเดินทางใบย่อมๆหนึ่งใบกับกระเป๋าหนังใส่ไวโอลินอีกหนึ่งใบอยู่บนนั้น โดยมีปอแฟนผมเดินอยู่เคียงข้าง
เราทั้งสองกำลังเดินผ่านลานที่นั่งสำหรับรอส่งผู้โดยสารขาออกไปยังจุดรับตั๋วเครื่องบิน  
‘ให้ตายสิ บรรยากาศแถวนี้ช่างอึมครึมน่าสลดหดหู่ซะจริงๆ  …พาลจะทำให้น้ำตาของผมมันไหลออกมาจนได้สิน่า’
ขวามือของผม   …..หญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนเช็ดน้ำตา  ขณะโบกมือให้กับชายหนุ่มที่กำลังจะเดินลับตาไป
ห่างออกไปไม่ไกลนัก..…แม่ลูกคู่หนึ่งโอบกอดกันน้ำตานองหน้า   ดูท่าจะไม่ยอมปล่อยมือจากกันไปง่ายๆ
ผมเบือนหน้าหนี  พลางชวนเธอคุยเรื่องอื่น
“ เดี๋ยวปอต้องไปจ่ายค่าภาษีสนามบินตรงไหน รู้ยัง?  ” ผมถาม
….เธอเองก็คงเหลือบไปเห็นภาพนั้นเหมือนกัน แต่คงแกล้งทำเป็นไม่เห็น
“อ๋อ…  พ่อปอเค้าไปจ่ายให้แล้วล่ะ” ปอตอบพลางยิ้มแหยๆ   ผมมองแล้วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนที่เธอพลาดรางวัลชนะเลิศการประกวดไวโอลิน เสียจริงๆ
ในตอนนั้นผมรู้ว่าเธอเสียใจมาก   แต่ก็แสร้งฝืนยิ้มให้คนอื่นคิดว่าเธอไม่เป็นไร    
แต่….พอแค่ผมดึงตัวเธอมากอดแล้วตบบ่าเธอเบาๆเท่านั้นแหละ   ทำนบน้ำตาก็พังครืนลงมาทันที
……คราวนี้ผมก็อยากดึงตัวเธอมากอดเช่นกัน   …แต่...กลัวทำนบผมมันจะพังซะก่อนน่ะสิ
ตั้งแต่เธอพลาดการประกวดคราวนั้น  เธอก็มุมานะซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย จนแทบจะ ไม่ได้หลับไม่ได้นอน
จนในที่สุดเธอก็ได้ทุนจากมหาวิทยาลัยให้ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยดนตรีที่ออสเตรียเป็นเวลา 3 ปี  
…..ในตอนนั้น เธอดีใจมาก   การได้ไปออสเตรีย มันคือความฝันสูงสุดของเธอเลยทีเดียว
…….และวันนี้  เธอก็จะออกเดินทางเพื่อไปทำความฝันของเธอให้เป็นจริง    
เพราะฉะนั้น ……วันนี้ ผมต้องไม่เศร้า  หรืออย่างน้อย …ผมก็ต้องไม่ทำให้เธอเห็นว่าเศร้า

18.40 น.  
ผมเข็นรถเข็นไปที่ช่องโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่อง  แล้วบอกปอให้นำพาสปอร์ตไปให้พนักงานที่เคาน์เตอร์
พอชั่งกระเป๋าและตรวจพาสปอร์ตเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็ยื่นตั๋วและพาสปอร์ตให้กับปอ
“ เครื่องจะออกสองทุ่มนะครับ   ให้ไปรอขึ้นเครื่องที่ GATE 10  ก่อนเวลาซัก 15 นาทีนะครับ ”  พนักงานที่เคาน์เตอร์บอก
ผมรู้สึกใจหายขึ้นมาวูบหนึ่ง    ‘นี่คงเป็นขั้นตอนสุดท้ายแล้วสินะ’
หลังจากนี้ไปก็หมดหน้าที่ของผม ‘ผู้มาส่ง’ แล้ว
ผมเดินจูงมือปอไปนั่งที่ลานเก้าอี้หน้าเขต ผู้โดยสารขาออก
พ่อกับแม่ปอยังนั่งรออยู่ที่เดิม ผมพาปอไปนั่งข้างๆ
“เสร็จแล้วเหรอลูก” แม่ชะโงกหน้ามาถามปอ  
“ค่ะแม่   พอดีปอไม่ได้เอาของไปเยอะ  น้ำหนักเลยผ่านเกณท์”
“ดีแล้วล่ะลูก   …ถ้างั้นเราสองคนก็นั่งเล่นแถวนี้ไปก่อนนะ  เดี๋ยวพ่อกับแม่ว่าจะไปเดินหาอะไรกินแถวนี้หน่อย”
พ่อพูด พลางลุกขึ้นจูงมือแม่เดินไปทางอื่น ก่อนจะแอบหันมาส่งสายตาเป็นนัยๆกับผม
ผมนึกขอบคุณพ่อปอในใจที่อุตส่าห์เข้าใจ

18. 49 น.
….เหลือเพียงแต่ผมกับปอตามลำพังสองคน……
ผมดูนาฬิกาข้อมือ เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน
……ช่วงเวลาสุดท้าย   …ก่อนที่เราจะต้องห่างกัน…..นานนับปี      
แล้วผม….ก็คงจะต้องกลับมาใช้ชีวิตตัวคนเดียว   …  อีกครั้งนึงสินะ
……..
5 ปีที่แล้ว  ผมเป็นเพียงนักศึกษาบ้านนอกคนนึงที่เผอิญพลัดหลงเข้ามาเรียนในเมืองใหญ่
ด้วยความที่ผมไม่มีญาติซักคนอยู่ในกรุงเทพฯ จึงต้องมาเช่าหอพักใกล้ๆมหา’ลัยเพียงลำพัง  
ถึงจะเหงาเพียงใด แต่ผมมุมานะเรียนจนจบภายในสี่ปี … หวังจะกลับไปทำงานที่บ้านเกิดของผม อย่างที่พ่อกับแม่ผมตั้งใจไว้
…….อีกไม่นานผมก็จะได้กลับไปทำงานในบ้านเกิดที่ผมรัก   หลังจากที่ต้องจากมันมาเพียงลำพังถึงสี่ปี
พ่อแม่ของผมดีใจมาก เมื่อรู้ข่าวว่าผมจบแล้ว   ท่านบอกจะขึ้นมากรุงเทพฯเพื่อมาร่วมงานรับปริญญาของผม
ตั้งแต่งานวันซ้อมรับจนถึงตอนวันรับจริง
….แล้วในวันซ้อมรับปริญญาวันแรกของผมนั้นเอง   ขณะที่ผมกำลังเฝ้ารอการมาของท่านทั้งสองอย่างใจจดใจจ่อ
…… จู่ๆ อาจารย์ท่านหนึ่งก็รีบมาบอกผมว่า พ่อแม่ของผมได้รับอุบัติเหตุจากรถโดยสารพลิกคว่ำ   ขณะนี้อาการสาหัส กำลังรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ผมรีบรุดไปยังโรงพยาบาลนั้นทันที …….
พอไปถึง… หมอบอกว่า ขณะนี้กำลัง พักฟื้นหลังการผ่าตัด ห้ามเยี่ยม …….ผมจึงทำได้เพียงแค่นั่งอยู่หน้าห้องและรอ........
.............มันช่างเป็นการรอคอยที่แสนจะยาวนานเหลือเกิน
……ผมนั่งรอจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น  
แล้วหมอคนหนึ่งก็เดินออกมาบอกผมว่า   ….ขณะนี้ คนไข้ทั้งสองคนเสียชีวิตแล้ว
……..ผมรู้สึกเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผมกำลังพังทลายลงมาตรงหน้า  …มันเป็นชีวิตไม่มีอะไรเหลืออีกต่อไปแล้ว
เย็นวันนั้นผมให้เพื่อนช่วยติดต่อวัดแถวๆมหา’ลัยให้    เพื่อจัดงานศพให้ท่านทั้งสอง
ผมขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกไปไหน  นอกจากตอนเย็นที่จะออกไปทำพิธีศพให้พ่อกับแม่
แล้วก็จะนอนเฝ้าอยู่ที่วัดจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น จึงค่อยกลับหอ    ….เป็นอย่างนั้นติดต่อกัน 3วัน จนถึงวันฌาปนกิจ
อาจารย์ที่ปรึกษาของผม ช่วยทำเรื่องขอไม่เข้าร่วมการซ้อมรับครั้งที่ 2 ให้
 
……แต่ไม่ว่าผมจะเสียใจขนาดไหนก็ตาม  ผมก็ยังต้องลากสังขารอันไร้วิญญาณของผมไปงานรับปริญญาให้ได้
เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมทุ่มเททำให้พ่อกับแม่ผมมาตลอดสี่ปี
……ถึงแม้ตอนนี้ ท่านจะไม่มีโอกาสได้เห็นมันก็ตาม
ผมเข้าร่วมรับปริญญาในวันจริงอย่างซังกะตาย
…..ในวันนั้น สีหน้าผู้คนเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มและ เสียงหัวเราะ    มีเพียงผมเท่านั้นที่สีหน้าไร้อารมณ์
ผมไม่มีความรู้สึกใดๆหลงเหลืออยู่   ไม่มีดอกไม้ซักช่อ   ไม่มีคนรู้จักมาถ่ายรูปข้างๆ     ….เพื่อนๆผมเห็นคงนึกสงสาร เลยลากผมไปถ่ายคู่กับพวกมัน    
แต่ผมก็แค่ทำให้มันเสร็จๆไป .. แค่นั้น
หลังงานเลิก  ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน ไม่ก็ไปฉลองกันต่อ ….
…มีเพียงผมที่มานั่งอยู่ริมสระบัวหลังม.เพียงลำพัง
คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวผม
……ผมควรจะทำอะไรต่อไปจากนี้??
…แล้วผมจะทำเพื่อใคร   ในเมื่อไม่มีใคร ที่ผมจะทำให้อีกต่อไปแล้ว??
……..ผมจะมีชีวิตอยู่…..เพื่อใคร??
ในตอนนั้น ผมรู้สึกท้อแท้ เศร้า และ เหงาเหลือเกิน
แต่กระนั้น…กลับไม่มีน้ำตาซักหยดไหลออกมาจากตาของผม  
เสียงไวโอลินแว่วมาจากอีกฟากของสระบัว  
….เป็นเสียงเพลงช้าๆเบาๆคละเคล้ากับเสียงลมยามเย็น
ผมฟังแล้วเริ่มคล้อยตามไปกับเสียงนั้น
ผมค่อยๆหลับตาลง ปล่อยใจให้ล่องลอยไปตามเสียงเพลง
…ไม่มีเศร้า ….ไม่มีเหงา…..ไม่มีทุกข์ใดๆ ในชั่วขณะนั้น
………ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างเบาหวิว
…เหมือนตัวผมกำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า
ผมนั่งอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน ผมไม่รู้  
…..รู้แต่ว่าเสียงไวโอลินได้หยุดลงไปแล้ว  
…ผมค่อยๆลืมตาขึ้น  
แสงอาทิตย์เบื้องหน้าได้สาดแสงลำสุดท้ายมายังสระน้ำ สะท้อนเข้าตาผม   จนทำให้ต้องหยีตาเล็กน้อย
….ผมเหม่อมองระลอกคลื่นน้ำเล็กๆในสระ กำลังคิดว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปในอนาคตก็พอดีได้ยินเสียงเล็กๆเสียงหนึ่ง  ดังมาจากข้างหลัง
“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียวคะ??”
ผมจึงหันไปมองตามที่มาของเสียง   …สาวน้อยคนหนึ่งในชุดนักศึกษา ในมือเธอถือซองหนังใส่ไวโอลินอยู่
เธอยิ้มนิดๆที่มุมปาก    
….รอยยิ้มของเธอพอที่จะเปลี่ยนความเหงาความว้าเหว่ของผมให้กลายเป็นความสุขขึ้นมาได้ในทันใด
…..นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมพบกับปอ
หลังจากวันนั้น ผมก็มานั่งรอเธอซ้อมไวโอลินที่นี่ทุกวัน
เสียงไวโอลินของเธอช่วยบรรเทาความเหงาที่ผมต้องเผชิญอยู่ได้เป็นปลิดทิ้ง
เราจะนั่งคุยกันริมสระหลังเธอซ้อมไวโอลินเสร็จ    เธอมักจะเล่าความฝันที่อยากจะเป็นนักไวโอลินให้ผมฟังเสมอๆ
...และน่าแปลก ที่ผมเองก็สามารถเปิดใจคุยกับเธอได้ทุกเรื่อง    ซึ่งเธอก็รับฟังมันด้วยความเอาใจใส่
หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว ผมก็จะพาเธอไปส่งที่บ้าน
…..
ผมไม่รู้ว่าผมรักเธอเข้าตอนไหน   แต่…ตั้งแต่ผมได้เจอเธอ ผมก็แทบจะไม่รู้สึกอ้างว้างเดียวดายอีกต่อไป
……ผมมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ผมขาดเธอไปไม่ได้ซะแล้ว

….ไม่นานนักเราก็ได้เป็นแฟนกัน….
ผมได้งานทำในกรุงเทพฯ หลังจากเรียนจบได้เดือนนึง
…..ทุกวันหลังเลิกงาน  ผมก็จะมานั่งอยู่ข้างสระบัวแห่งนี้  ฟังเสียงไวโอลินของปอ
รอเธอซ้อมจนเสร็จ   แล้วก็จะพาเธอไปส่งที่บ้าน  เป็นประจำเช่นนี้ทุกวัน
ปอเป็นผู้หญิงที่น่ารัก มองโลกในแง่ดี  เธอทำให้ผมยิ้มได้ทุกวันแม้ว่าผมจะกลุ้มใจขนาดไหนก็ตาม
เธอเป็นทั้งแฟน เพื่อน น้องสาว     และแทบจะทุกสิ่งทุกอย่างของผม    
สำหรับผมแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดแล้วในแต่ละวันของชีวิตผม
และในตอนนี้ ผมก็ตอบคำถามที่ค้างคาใจผมมานานได้ว่า  ‘ผมจะมีชีวิตอยู่เพื่อใคร’
……….ปอ เป็นความหมายของชีวิตผม นับจากนี้
………………………

แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 52 12:52:58

แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 52 12:52:33

แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 52 12:51:57

แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 52 12:23:43

จากคุณ : ซงย้ง
เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 52 12:21:45




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com