ความคิดเห็นที่ 1 แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 52 20:53:11 จากคุณ : แม่ลูกแฝด เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 07:44:55

ความคิดเห็นที่ 2   เคยเป็นบางครั้งค่ะ เหมือนหายใจไม่ทัน บางทีก็เหมือนมีลมตีกลับขึ้นข้างบน บางทีรีบทำอะไรๆไวไปนิด รู้สึกเหนื่อยง่ายผิดปกติ แต่ว่าพอได้นอนสักงีบ รู้สึกดีขึ้นค่ะ พยายามหาน้ำเย็นๆมาดื่ม จะรู้สึกดีขึ้นค่ะ จากคุณ : วดี เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 09:01:04 A:68.50.161.108 X: TicketID:187525

ความคิดเห็นที่ 3 ตอนนี้เราก็เหนื่อยและเครียดสุดๆค่ะ แม่บ้านอินโดกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่อินโดนีเซีย 10-25 ก.ย. เลยต้องลางานยาวมาเลี้ยงลูกเองและพาลูกกลับเมืองไทยโดยไม่มีแม่บ้านติดตาม  โห..รู้ซึ้งจริงๆก็คราวนี้ว่างานแม่บ้านเหนื่อยกว่าทำงานนอกบ้านหลายๆๆๆๆๆๆๆเท่าค่ะ ขอให้คุณพธูไทยและแม่บ้านท่านอื่นๆที่เป็นแม่บ้านเต็มตัวหรือดูแลลูกๆกันเองหายเครียดไวไวนะค่ะ จากคุณ : Th( SG ) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 13:18:47

ความคิดเห็นที่ 4 คุณพธู มีเวลาไปออกกำลังกายไหมคะ ดิฉันเลิกออกกำลังกายแบบหักโหม (weight training) ไปฝึกโยคะอย่างเดียวมา 3-4 เดือนแล้วค่ะ (แต่ก่อนทำอาทิตย์ละครั้งเอง) นอนหลับสบายมากเลย ซึ่งออกกำลังกายแบบเดิมก็หลับดีเช่นกัน แต่มันจะไม่ผ่อนคลายค่ะ เพราะไม่ได้กำหนดลมหายใจเหมือนโยคะ และออกแบบแรงและเร็ว 30-40 นาทีก็เสร็จ เหมือนกับไปกระตุ้นอะดรีนาลินให้ไหลพล่านชอบกล แต่โยคะใช้เวลานานค่ะ 60-75-90 -105 นาที แล้วแต่คลาส บางคนอาจจะไม่มีเวลา จริงๆแล้วจะกลับไปยกเวทเหมือนเดิม แต่เริ่มติดโยคะซะแล้ว วันธรรมดาไปฝึกตอนสองทุ่มค่ะ ให้สามีดูลูก เสาร์อาทิตย์ไปช่วงกลางวัน รู้สึกว่าใจเย็นขึ้น รับมือกับสถานการณ์ได้ดีข้ึน มองโลกเปลี่ยนไป เหมือนกับโลกหมุนช้าลง จากคุณ : yinnerella เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 14:32:57

ความคิดเห็นที่ 5   ขอแจมด้วยคนนะคะ ดิฉันพึ่งเป็นเมื่ออาทิตย์ที่แล้วค่ะ เป็นสองสามวันติดกัน ก็ตกใจไม่กล้านอนเลย ยังสงสัยและคิดว่าตัวเองเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจหรือเปล่า เวลาหายใจไม่พอมันจะเหนื่อยมาก แขนขาหมดแรง ตอนนี้ต้องขอบคุณ คุณ พธูไทย ที่เอามาคุยให้รุ้ว่ามันมาจากสาเหตุอะไร เพราะดิฉันยังไม่ได้ไปหาหมอเลยค่ะ และอาทิตย์ที่ผ่านมาเครียดมากเลยค่ะ ดูแลลูกสองคนสามีไม่อยู่เหมือนกันเลย และพอสามีกลับมาดิฉันก็ต้องไปโรงเรียนวันแรก ไปลงเรียนเล่นๆพอให้ได้ฝึกสมองค่ะ ทั้งยุ่งทั้งเครียด มิน่าละหายใจไม่พอไม่อิ่มและมาจุกที่หน้าอกเหมือนที่คุณบอกทุกอย่างเลยค่ะ จากคุณ : สายลม เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 15:34:38 A:82.95.206.21 X: TicketID:064269

ความคิดเห็นที่ 6   อยากแนะนำผู้ที่เป็นอยู่ว่า ไม่ควรกินยา เพราะคุณจะติดยา ต่อไปคุณจะขาดความมั่นใจเมื่อไม่มียา แล้วก็จะเกิด panic attack หนักขึ้นไปอีก สังเกตมั๊ยว่าผู้ชายมักไม่เป็น แต่ผู้หญิงมักเป็นโรคนี้ สาเหตุเพราะ สรีระของผู้หญิง ทำให้เราหายใจสั้น คือหายใจแค่ช่วงอก เรารักษาคนมาหลายคน ต้องบอกว่าผู้หญิงร้อยละ 95 หายใจไม่ถูกต้อง และการหายใจสั้น ในภาวะปกติ มีผลเสียคือเหนื่อยง่าย ผู้หญิงหลายคนจะบ่นว่าเหนื่อย เพราะหายใจสั้น ทำให้ต้องหายใจถี่ขึ้นจึงเหนื่อยง่าย แต่การหายใจสั้นเมื่อเกิดความเครียดจะอันตรายกว่าเพราะคุณหายใจเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป แต่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซค์ออกมาน้อย จึงเกิดอาการ hypervintalion อ่อนๆ หรือ panic attack ทางแก้ ไม่แนะนำให้กินยาเลย แต่ให้ไปฝึกหายใจกับนักกายภาพแทน แค่ 3ครั้ง จะเหมือนได้ชีวิตใหม่เลย หากคุณมีข้อสงสัย โทรมาถามได้ เพราะเราพิมพ์ไทยยากมาก +323 219 49 18 หรือ + 662 402 6589 จากคุณ : จ๋า เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 16:13:13 A:78.20.209.104 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 7 คุณจ๋ามาอธิบายแบบนี้ ชัดเลยค่ะ ดิฉันยังไม่ได้ไปซื้อยาค่ะ เพราะว่าดิฉันยังให้นมลูกเองอยู่ แล้วยานี่มันต้องกินติดต่อกัน 6-7 วัน โดยลดโดสลง ซึ่งทำให้ดิฉันต้องงดให้นม เลยทำให้ยังไม่ได้ไปซื้อ คือไม่ได้คิดว่าจะกินทันที เพราะห่วงอยู่ว่าจะยิ่งเครียดมากขึ้น เพราะลูกสาวดิฉันติดนมแม่เวลานอน นี่โชคดีที่เปิดคอมพ์มาอ่านดูว่ามีใครเป็นเหมือนกันบ้าง ได้อ่านความคิดเห็นของคุณจ๋า เลยทำให้เข้าใจ แต่จริงๆ ตั้งแต่เมื่อคืน ดิฉันผ่อนคลายขึ้นเยอะในหัวตัวเอง คือรู้ว่าเราเป็นอะไรอยู่ ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากตามที่หมอบอก ทีนี้พอเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ก็เลยได้บอกตัวเองว่า ปล่อยวางเสีย เป็นอันดับแรก แล้วดูผลว่าเป็นอย่างไร แต่ก็ยังหายใจไม่อิ่มอยู่นะคะ แล้วคุณจ๋าอยู่ประเทศอะไรหรือคะ จริงๆ มาเขียนอธิบายแบบนี้ ทำให้แม่บ้านหลายๆ ท่าน ได้ความรู้ไปด้วย ก็ดีเหมือนกันนะคะ ถ้าไม่เช่นนั้น คุณจ๋าเขียนอธิบายเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะโทรถามเพื่อนที่เป็นนักกายภาพดู ว่าเขาจะอธิบายเพิ่มเติมได้ไหม แนะนำด้านการปรับปรุงการหายใจน่ะ แปลกที่ว่าทำไมหมอจึงไม่แนะนำให้รักษาแบบกายภาพ ซึ่งมันดีกว่าแน่นอน หากเราหายใจถูก และถ้าเรามีภาวะแบบนี้ขึ้นมา นอกจากเราจะรู้สาเหตุแล้ว เราจะได้ป้องกันภาวะ hyperventilation ด้วยการหายใจให้ถูก แต่ถ้าหายใจถูกต้องเลยน่าจะดีกว่า มาหายใจให้ถูกเฉพาะเวลาเกิดภาวะนี้ ก็ขนาดแค่ว่าพอดิฉันรู้สาเหตุแน่ชัดว่า มาจากความเครียดนะ ดิฉันยังรู้สึกดีขึ้นเลยน่ะ ตั้งแต่เมื่อคืนก็พยายามหายใจแบบเวลาที่ก่อนคลอดแล้วต้องฝึกหายใจน่ะ คือรู้เลยว่ามันน่าจะสัมพันธ์กัน ที่สำคัญคือ ดิฉันมีอาการปวดหลังไปถึงต้นคอก่อน แล้วพอมีปัญหาเรื่องหายใจตามมา ตอนแรกๆ เลยจะรู้สึกว่า เวลาพยายามจะหายใจให้อิ่มเนี่ย จะเจ็บบริเวณหลังตรงที่ตรงกับปอดไปถึงต้นคอ ถึงได้ว่า psychosomatic นะ ภาวะทางจิตใจ ที่มีผลไปที่ทางกายน่ะ เมื่อกี้ยังนั่งคิดว่า น่าจะไปหาคลับโยคะเล่นแบบที่คุณหยินบอกด้วยเช่นเดียวกัน เพราะอายุเยอะแล้ว ถ้าไปลงสเต็ปแบบตอนก่อนท้อง คงไม่ไหว แต่คิดเอาไว้นะ เพราะอยากจะลดพุงเสียหน่อย หุ่นจะได้กลับมาคงเดิม แต่ก็กลัวว่าจะเหนื่อยหอบแห่กๆ แน่ะ เพราะตอนที่เคยไปเต้นตอนนั้น ก็เหนื่อยนะ ต้องเต้น-เดิน ตลอด 30 นาทีเต็มๆ เลย ไม่อยากบอกว่า เมื่อเช้าเอาแม้กกาซีนมาเปิดๆ ดู รีบเปิดไปที่หน้าเกี่ยวกับ การเตรียมตัวแก่ แล้วก็อ่านใหญ่เลย เขาแนะนำทั้งด้านทางกายและทางใจ คือให้แก่แบบสุขภาพจิตดีน่ะ เพราะบางคนรับไม่ได้กับการที่อายุมากขึ้น แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงทางกายที่ไม่เหมือนสาวๆ แล้ว อ่านแล้วก็ว่า เออหนอ เราแก่แล้วนะ ไปนอนกกลูกสาวตอนบ่ายละค่ะ จากคุณ : พธูไทย เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 19:53:30

ความคิดเห็นที่ 8   I live in Belgium, if you have a home phone in France I can use internet to call for free. What I do in Belgium as a hobby is giving a healing massage to people who are in need. One case that was very impressed me was breathing exercise could heal my mental sickness customer who had been in a hospital for 10 weeks already and a doctor said he had to be in a hospital at least 4 weeks +. However, after one treatment and breath exercise for two weeks, he could leave a metal sickness hospital and he gets a job now. Many doctors want to prescribe medicines, even psychotherapist do. In Belgium 30% of people choose to heal by an alternative way, and breathing exercise is their choice. Normally, physical therapist will give a breathing exercise 9 sessions, 30 minutes each per case. However, as I normally do, if my customers can concentrate well, only three times, it works already. Once your body is trained to breath right, it will breath right forever. It is magic. You may leave your home phone number via my e mail, jarr15@yahoo.com. I will call to explain by telephone when I'm free, it might help you and save your time to go to physical therapist. จากคุณ : tan เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 20:34:53 A:78.20.209.104 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 9   just in case you might get confuse, tan is my pantip name, and Jarr is my real name. จากคุณ : tan เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 20:35:37 A:78.20.209.104 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 10   "ดิฉันมีอาการปวดหลังไปถึงต้นคอก่อน แล้วพอมีปัญหาเรื่องหายใจตามมา ตอนแรกๆ เลยจะรู้สึกว่า เวลาพยายามจะหายใจให้อิ่มเนี่ย จะเจ็บบริเวณหลังตรงที่ตรงกับปอดไปถึงต้นคอ" ...อธิบายเป็นภาษาไทยเพราะมันละเอียด ช่วงที่คุณอุ้มท้อง หลังจะแอ่น เวลานอนหลังจะแอ่นขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อหลังมีการหดรั้งตัว เมื่อคลอดลูกแล้ว กล้ามเนื้อที่หดรั้งนี้ยังไม่ได้คลายออก เพราะมันคลายเองไม่ได้ เนื่องจากหดรั้งมาเป็นเวลานาน ควรใช้นักกายภาพ หรือหมอนวดมือดีช่วย หากยังหาใครไม่ได้ให้ใช้แผ่นความร้อนรองนอน รองนั่งไปก่อน ...yoga is muscle stretching + breathing exercise. However, if you don't know how to breath right, it is quite difficult to do a proper yoga. Why I suggest a breathing exercise first? Breathing exercise is an individual training while most yoga classes are in a big group and most yoga teachers only said breath in or breath out. They don't have time to tell you how to breath in right, how to breath out right since they concentrate more on your posture. ...maybe you can search from internet how to stretch your back and neck muscles first to reduce the pain. Then you can breath easily. จากคุณ : จ๋า เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 20:51:37 A:78.20.209.104 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 11 เครียดมากๆครั้งสุดท้าย อาการที่เป็นคือเป็นลมค่ะ จริงๆตอนนั้นไม่รู้ตัวด้วยว่าเครียด เพียงแต่ว่าสภาพจิตใจร่าเริงผิดปกติ ทั้งๆที่จริงๆแล้วปกติอารมณ์ช่วงนั้นต้องเศร้า (เป็นช่วงที่แฟนจะกลับไปเรียนที่อังกฤษ แล้วไนน์ก็กำลังจะกลับเมืองไทย ต้องช่วยบ้านทางโน้นย้ายบ้านด้วย)  ตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมรู้สึกอย่างนี้ คิดไปคิดมาว่าอาจจะเป็นเครียดแอบแฝง แล้วร่างกายรับมือกับความเครียดด้วยการแสดงออกที่กลับกัน แต่วันที่เกิดเรื่องนี่คือ รู้สึกไม่ค่อยสบายก่อน (ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเพราะทานไอศกรีมมากเกินไป ) จากนั้นก็รู้สึกดีขึ้น แล้วพอมีตัวกระตุ้นอาการก็เป็นลมเลย แล้วไม่ได้เป็นที่บ้านนะคะ ไปเป็นลมที่ร้านอาหารค่ะ แตกตื่นกันทั้งร้านเลย ดีว่ารู้ตัวว่าจะเป็นลม เลยบอกแฟนไว้ก่อนว่าเดี๋ยวอีกไม่นานชั้นจะวูบแล้วนะ เจ้านั้นเลยไม่สติแตกอย่างที่ควรจะเป็น แต่พอฟื้นขึ้นมา อาการรู้สึกไม่สบายตัวทุกอย่างก็หายไปเลยนะคะ เหมือนร่างกาย shut down ตัวเอง แล้วก็รีบูทกลับมาใหม่ จากคุณ : ...hamster... เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 20:58:42

ความคิดเห็นที่ 12 เพื่งไปหาหมอมาเหมือนกันค่ะเพราะปวดหูทะลุไปถึงหัวข้างขวา เหมือนมีหนอนกัดหัว แล้วก็หยุดกัด แล้วพออีกสักพักมันก็กัดใหม่ เป็นหนักๆอยูสองวัน ก็นั่งเดาไปเรื่อยเปื่อยว่าเป็นอะไร ไมเกรน หรือ สมองอักเสบ!!!ตกใจไปขนาดนั้น หมอบอกว่าอาการปวดหูเนื่องมาจาดต่อมทอลซิลเหมือนจะอักเสบเลยจะเคืองเวลากลืนน้ำลายและจะปวดมาถึงในหูได้ แต่ที่ปวดหัวเพราะเส้นประสาทช่วงต้นคอที่ลิงค์ไปถึงสมองมันผิดปรกติ เรื่มรู้สึกไม่ดีตั้งแต่ไปนวดที่เมืองไทยครั้งล่าสุด เขาจับแรงมากตอนนั้นยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่พอกลับมาอังกฤษเกิดมาทำงานบ้าน ยกโน่น ย้ายนี่ แล้วงานที่ร้านก็ดันไปยกกล่องหนักๆ โดยไม่คำนึงถึงความชราของตนเอง เมื่อวันจันทร๋ออกไปวื่ง กลับมาก็เจออาการที่เล่าไปข้างบน หมอบอกว่าการที่เราไปวิ่งโดยที่ช่วงไหล่เราไม่ได้RELAXจริงๆ มันเหมือนเป็นการไป "Pull the  trigger "ของอาการที่มันสะสมมาก่อนหน้านี่้แล้ว ตอนนี้ต้องเอากระเป๋าน้ำร้อนมาพาดบ่าเอาไว้ หมอบอกว่าน่าจะช่วยได้ คิดว่าถ้ากลับไทยครั้งหน้าจะไปหาหมอจับเส้นเก่งๆ ไม่รู้จะเป็นความคิดที่ดีหรือเปล่านะคะ ยังลังเล! จากคุณ : hamble pie เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 22:21:42

ความคิดเห็นที่ 13 คุณพธูไทยคะสามีดิฉันมีอาการเช่นเดียวกับคุณเลยค่ะ แต่เค้าหนักว่าตรงที่ไม่เชื่อหมอ เราไปหาหมอกันบ่อยมาก แต่เช็คอะไรๆก็ปรกติทุกอย่าง เค้าคิดตลอดเวลาว่าเค้าต้องมีโรคอะไรร้ายแรงแน่ หมอทางใต้ของอิตาลีไม่ดี เช็คไม่ละเอียด (มีข่าวบ่อยมากเกี่ยวกับหมอที่นี่) พออ่านกระทู้นี้แล้วเลยบอกเค้าว่าเค้าไม่ได้เป้นคนเดียวนะ คนอื่นก็เป็นเหมือนกัน จากคุณ : Tanyanj เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 22:48:36

ความคิดเห็นที่ 14 ดิฉันก็ลูกสองแล้ว รู้ซึ้งและเข้าใจคุณเลยค่ะว่าเหนื่อยแค่ไหน   ดิฉันเคยเข้าคลาสโยคะ และเข้าซาวน่าหลังจากคลาสทุกครั้งที่เมืองไทยประมาณสามเดือน รู้สึกสบายตัว สบายใจขึ้นค่ะ  คือพอเหงื่อ ออกมากๆแล้วได้อาบน้ำสดชื่น แล้วรู้สึกมีเรี่ยวแรงดีค่ะ  แต่ถ้าคุณพธูไทย ไม่มีเวลาไปคลาสก็ลองซื้อ วีซีดี สอนโยคะแบบง่ายๆมาลองทำดูค่ะ จากคุณ : Ma Vie en France เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 23:05:20

ความคิดเห็นที่ 15 มาสารภาพว่าเป็นเหมือนกันค่ะ นอกจากจะรู้สึกว่าหายใจด้ไม่เต็มปอดแล้วยังปวดหลังชนิดที่นอนแทบไม่หลับอีกด้วยค่ะ ครั้งก่อนไปหา osteopathist มา เธอบอกวาหายใจไม่ถูกหลัก ใช้ปอดแค่ครึ่งเดียวแถมใช้กระบังลมไม่เต็มที่อีกด้วย กล้ามเนื้อหลังเกร็งมากเพราะเครียดและนั่งโต๊ะทำงานหน้าคอมพ์นานเกินไป ตอนนี้เริ่มกลับเข้ายิมไปออกกำลังกายหลังจากที่ห่างหายไปนานและจะเริ่มฝึกโยคะด้วยค่ะ ผลเป็นยังไงเดี๋ยวจะมารายงานให้ฟังกันนะคะ ปล. พาเจ้าขี้เซามาฝากแก้ปวดหลังกันค่ะ จากคุณ : หมูหนาว เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 23:11:23

ความคิดเห็นที่ 16   คุณ Tanyanj ค่ะ อาการพวกนี้ เมื่อเช็คทางการแพทย์ จะไม่พบข้อบกพร่อง เพราะไม่มีเชื้อโรคเข้ามาเกี่ยวข้องการอาการทรมานเหล่านี้ มันอยู่ที่ระบบการหายใจล้วนๆ ซึ่งน้อยคนจะเข้าใจได้ คนที่เข้าใจได้ คือคนที่มีปัญหาแรมปี และลองยามาทุกชนิดแล้วว่าไม่ได้ผล ทางเลือกสุดท้ายก็คือทางธรรมชาติ คือการฝึกลมหายใจ เมื่อหายใจถูกต้อง ร่างกายจะได้รับออกซิเจนมากพอ ในแต่ละครั้งที่หายใจเข้า เมื่อมีออกซิเจนพอ มีการสูบฉีดเลือดที่ดี เซลต่างๆ ของร่างกายก็จะได้รับสารอาหาร และมีการดูดซับอย่างมีประสิทธิภาพ เซลต่างจะแข็งแรงและสามารถทำหน้าที่ได้ดี ร่างกายจะสดชื่น มีพลัง ปราศจากโรคภัยค่ะ ไม่แนะนำให้ฝึกโยคะจากซีดี ถ้าไม่มีพื้นฐานมาก่อน เพราะโยคะจะได้ผลจริงเมื่อปฎิบัติถูกต้องเท่านั้น จากคุณ : จ๋า เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 23:36:52 A:78.20.209.104 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 17 มีคนใกล้ตัวเป็นค่ะ พยายามหาต้นเหตุให้เจอ ว่าอะไรกระตุ้นให้เป็น เพราะบางทีอาจกลับมาเป็นอีก บางคนเป็นปีละ3-4ครั้ง จากคุณ : Yellow Sjipsjip เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 02:06:17

ความคิดเห็นที่ 18 เคยเป็นครั้งเดียวค่ะ แต่คงไม่ใช่สาเหตุเดียวกันมั้ง คือตอนนั้นไม่สบาย นอนอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วอยู่ๆ ก็เกิดหายใจไม่สุด เหมือน มีอะไรไปกั้นตรงช่องหายใจในลำคอ เลยเหมือนสูดลมหายใจแล้วมันไม่เข้าไปใน ร่างกาย  หมอก็บอกว่าเป็น panic attack ให้ calm down นะ หายใจลึกๆ นะ แต่ มันทำไม่ได้อะค่ะ รู้สึกเหมือนจะตายเพราะหายใจไม่ออก สุดท้ายหมอฉีดยาให้เข็ม นึง....หายเป็นปลิดทิ้ง ณ บัดนั้น เหมือนกล้ามเนื้ออะไรต่างๆ มันผ่อนคลาย ทำให้ การหายใจกลับสู่สภาพปกติ จากคุณ : พริม @ Santa Monica เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 02:10:48

ความคิดเห็นที่ 19 เป็นเหมือนกันค่ะ ที่แย่คือตอนเป็นครั้งแรกนั่นขับรถอยู่ ลูกๆเต็มรถเลยค่ะ อยู่ดีๆ ขับรถลอดอุโมงแล้วเกิดอาการหายใจขัด มองไปข้างหน้า ตาเริ่มพร่าแล้วก็เริ่มมืด ดิฉันเริ่มสวดมนต์ แล้วตั้งสติ หาเรื่องอย่างอื่นคิด ดิฉันบวกเลขทะเบียนรถข้างหน้า พยายามหาอย่างอื่นทำ จะได้ไม่คิดน่ะค่ะ ดิฉันว่ายิ่งคิดเหมือนยิ่งกระตุ้น ไปหาหมอ หมอให้ยามากิน แต่ไม่ได้กินหรอกค่ะ กลัวยามากกว่ากลัวจะเป็น ตอนนี้ฝึกหายใจ เวลามันเริ่มจะเป็นก็ตั้งสติแล้วก็หายใจ ท่องไว้ ไม่มีอะไร เดี๋ยวก็หาย ดูเหมือนว่าพอเราคุมได้ มันก็จะเกรงๆ ไม่ค่อยมา attack เท่าไหร่แล้ว จากคุณ : She said (She said) เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 07:19:28

ความคิดเห็นที่ 20   จากสมมุติฐานที่เราเก็บข้อมูลมา อาการแบบนี้เกิดกับ ผู้หญิงอายุ35ขึ้น ย้ายมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง โดยเฉพาะยุโรปที่มีชีวิตที่รีบเร่ง เคร่งครัด ต้องตรงต่อเวลามาก มักเจอสภาพแวดล้อมที่แออัดกว่าที่เคยอยู่ในเมืองไทย เช่นห้องน้ำก็มีขนาดเล็ก ลิฟท์ขนาดเล็ก ร้านอาหารที่วางโต๊ะแน่นขนัด มีความรู้สึก insecureอยู่ลึกๆกับสังคมที่อยู่ในปัจจุบันในบางกรณี เนื่องจากสังคมในยุโรป ตัวใครตัวมัน ใครไม่ช่วยใคร แม้ว่าคุณจะป่วยไข้ก็ตาม เป็นอย่างนั้นหรือเปล่าค่ะ จากคุณ : ตาน เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 14:28:29 A:78.20.209.104 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 21   ได้อ่านข้อความนี้จากเวปสนุก ไม่รู้ใช่วิธีเดียวกับที่คุณตาลช่วยบำบัดลูกค้าอยู่รึปล่าว คิดว่าคงมีประโยชน์ลองเอาไปใช้กันดูนะคะ http://campus.sanook.com/teen_zone/senior_05558.php วิธีขับสารพิษด้วยการหายใจ ทราบหรือไม่ว่า การหายใจสามารถช่วยขับสารพิษได้ วันนี้มีวิธีขับสารพิษด้วยการหายใจมาฝาก... วิธีที่ 1 ให้นั่งคุกเข่าเหยียดหลังตรง และหายใจเข้า ท้องป่อง หายใจออก ท้องยุบ ให้ได้ 120 ครั้งใน 1 นาที โดยไม่รู้สึกเหนื่อย หลังจากนั้นสมองจะรู้สึกโล่ง วิธีที่ 2 นั่งสมาธิ ให้ส้นเท้าทั้ง 2 ข้าง อยู่ในแนวเดียวกัน หงายมือซ้าย ใช้นิ้วโป้ง และนิ้วกลาง มือขวามาปิดจมูก โดยเริ่มจากนิ้วกลางใช้ปิดรูจมูกซ้าย แล้วหายใจออกรูจมูกขวา หายใจให้หมดท้อง ให้รู้สึกว่าท้องแฟบ จากนั้น หายใจเข้า เมื่อหายใจเข้าจนท้องพองแล้วให้ปิดรูจมูกขวาด้วยนิ้วโป้ง แล้วหายใจออกรูจมูกซ้าย จนท้องแฟบ ให้ทำสลับไปมาจะช่วยขับสารพิษในร่างกายได้ ถ้าอยากขับสารพิษออกจากร่างกาย ลองนำวิธีที่แนะนำไปฝึกหายใจกันดูได้. จากคุณ : madam เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 14:57:41 A:81.159.38.147 X: TicketID:121253

ความคิดเห็นที่ 22   "หายใจเข้า ท้องป่อง หายใจออก ท้องยุบ" จากคุณ : madam ...หลักมันอยู่แค่นี้เอง แต่ป่องยังไง ยุบยังไง นี่สิสำคัญ แม่เราพูดประโยคนี้กับเรามา 30ปี แต่เราทำไม่ได้ จนได้รับการ train นี่แหละ ถึงเข้าใจว่าป่องยังไง ยุบแค่ไหน เราหายใจ 3 ครั้งต่อนาทีค่ะ ลึกและยาว (เฉพาะช่วงปฏิบัติ) การหายใจ 120 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่มี trainer อยู่ใกล้ตัว อาจช๊อคได้นะคะ อย่าทำเอง จากคุณ : ตาน(จ๋า) เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 16:40:20 A:78.20.209.104 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 23 เปิดคอมพ์มาวันนี้ มีหลายความคิดเห็นมาเลย จะค่อยๆ อ่านก่อนมาตอบ แม่บ้านท่านไหนจะแชร์ เชิญตามสบายนะคะ เสาร์-อาทิตย์ แบบนี้ ก็จะค่อนข้างจะยุ่งกับเด็กๆ กัน เดี๋ยวดิฉันจะพาลูกออกไปข้างนอก เมื่อวานเจอเพื่อนแม่ลูกชาย เขาชวนว่าให้พาเด็กไปเล่นกันที่สวน และมื้อเย็นมีเพื่อนคนนึงโทรมาชวนให้ไปกินข้าวที่บ้าน เพราะอยากให้เด็กๆ ไปเล่น จะบอกว่าตั้งแต่ดิฉันรู้ตัวว่า นี่เรากำลังเครียดแบบนอกหน้านอกตาแบบนี้ คือมีอาการออกมาทางกาย ดิฉันหยุดเลยทันทีนะ อะไรๆ ให้มันช้าลงก็ได้ ทำอะไรทีละอย่าง ไม่ต้องรีบ อยากโทรกลับบ้านนะคะ แต่ไม่อยากบอกกับแม่ว่าตัวเองมีอาการแบบนี้ เดี๋ยวจะเป็นห่วง เลยไม่ได้โทร นอกจากนี้ เมื่อวานตอนเช้า เจอเพื่อนบ้าน อยู่อพาร์ทเมนท์ชั้นเดียวกัน สังเกตมาหลายวันตอนไปส่งลูกชายว่าเจอเขาตลอดเลย คือคงจะตื่นเช้า เขาเกษียรแล้ว เคยบอกเสมอว่า มีอะไรให้ช่วยบอกนะ เขาไม่มีอะไรทำมาก เช่นถ้าจะให้ไปรับลูกตอนเย็นให้บางวัน เวลามาไม่ทัน เพราะรถติด หรืออะไรแบบนี้ ดิฉันเลยบอกเขาเลยค่ะ ว่า อาทิตย์หน้าขอให้เขาช่วยพาลูกชายดิฉันไปส่งตอนเช้าที่โรงเรียนให้หน่อยได้ไหม เขาดีใจมากเลยค่ะ บอกว่าไม่มีปัญหา บอกเวลามาเลย จะมาเคาะเรียก เพราะเขาตื่นเช้าทุกวันอยู่แล้ว ส่วนตอนเย็นเวลาลูกชายต้องไปเล่นปิงปอง ดิฉันก็จับคู่กับอีกครอบครัวนึง ลูกชายเขาก็ไป ก็ขอเบอร์โทรกัน ว่าดิฉันพาไปส่ง (เพราะต้องไปรับลูกคนสาวอยู่แล้ว) ส่วนเขาพามาส่งตอนเล่นเสร็จ เนี่ยแหละค่ะ ก็คิดว่าคงจะช่วยได้เยอะ ซึ่งจริงๆ ก็ควรจะทำแบบนี้มานานแล้ว แต่ความที่มีสามีเป็นคนไปรับ-ส่ง มาผ่อนเบาภาระ ดิฉันก็ไม่ได้คิดว่าเราควรจะหาเพื่อนลูกเพื่อผลัดกันไปรับ-ส่ง แต่จริงๆ แล้ว ปัญหามันอยู่ที่ลูกชายดิฉันมีกิจกรรมเยอะมาก และเพื่อนคนอื่นๆ เขาไม่ได้ทำเยอะขนาดนี้ เขาเพิ่งเริ่มกันปีนี้เอง ที่เลยทำให้ดิฉันบอกเขาได้ (เช่นปิงปอง) ส่วนว่ายน้ำนี่ ต้องไปเอง เพราะต้องขับรถไปอีกเมืองนึง และไม่มีใครในชั้นไปเรียนเลย วันก่อนสามีเพื่อน ถามดิฉันว่า ดิฉันมีเวลาให้กับตัวเองบ้างไหม เพราะภรรยาของเขาเล่าให้ฟังว่า มาดามคนนี้ทำโน่นทำนี่หลายอย่าง ดูลูกเอง ทำงาน พาลูกไปทำกิจกรรม ฯลฯ คุณรู้ไหมคะ คำถามเดียวนี้ มันทำให้ดิฉันซึ้งใจมากเลยค่ะ ว่าเขาแสดงถึงความเป็นห่วง ให้ฐานะคนรู้จัก เขาบอกว่า นี่ดูสิ ลูกเขาน่ะ เขาไม่ได้พาไปทำกิจกรรม ก็ให้อยู่บ้าน เพราะว่ามันลำบากพวกเขาในการไปรับ-ส่ง แล้วทำไมดิฉันต้องพยายามทำอะไร ที่ทำให้เราเองก็เหนื่อย และก็ไม่มีเวลาให้ตัวเองในการทำสิ่งที่อยาก ดิฉันเฝ้าบอกตัวเองว่า ก็นั่นแหละ คือสิ่งที่เราอยาก เราไม่เหนื่อยหรอก แต่จริงๆ เราเหนื่อย และเราก็คงต้องการเวลาสำหรับตัวเองบ้าง แต่อยากบอกว่า ดิฉันหยุดหมดเลยในหัว ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ ไม่คิดอะไรไปก่อน ไม่วางแผนอะไรไปก่อน ซึ่งสำหรับคนที่รุ้จัก หรือคนที่ทำงาน เขาจะรู้เลยว่า ประเภทไม่วางแผนก่อนล่วงหน้านี่ ไม่ใช่พธูไทย แต่นี่ดิฉันคอนเซิร์นมากนะ เพราะความที่ไม่ค่อยเป็นอะไร แล้วมาเป็น แสดงว่าเรากำลังดำเนินวิถีชีวิตที่ไม่ถูกต้องแล้ว จึงเครียด ก็ทำเฉพาะสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็พอสี่ทุ่มปั๊บ นอนเลยทันทีค่ะ อะไรไม่เสร็จ ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ยังมี แล้วอาการหายใจขัดนี่ มันดีขึ้นเลยนะ คือ ถึงจะยังไม่อิ่ม แต่มันเป็นน้อยลง คือหมายถึงว่า ช่วงเวลาของการรู้สึกว่า หายใจไม่อิ่มนี่จะห่างกันขึ้น เหนื่อยน้อยลง ไปก่อนละคะ เอาไว้มาใหม่ หมดเวลาอินเตอร์เนทแล้วค่ะ สำหรับวันนี้ (ครึ่งชั่วโมงพอค่ะ สำหรับกินกาแฟไปด้วย) สำหรับใครที่หลังไมค์มา เอาไว้ตอบพรุ่งนี้นะคะ หลังพาลูกไปส่งแล้วอะไรๆ แล้ว ย้ำอีกทีนะคะ คุณๆ แชร์ความคิดเห็นกันได้เลยนะคะ บางทีดิฉันไม่ได้ตอบใครเฉพาะเจาะจง เพราะว่าให้เขียนคุยกันได้ค่ะ ก็ดีนะ ว่า เรารู้ว่า มีไอ้เจ้าปัญหานี้เกิดขึ้นด้วย มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย มันไม่ใช่เรื่องที่เราเป็นบ้า ถ้าเราจะมีอาการนี้ ราวกับว่าเราคิดไปเอง หรือการที่หมอสั่งยาแก้เครียดให้เราราวกับเรามีโรคประสาท แต่แหะๆ ยังไม่ได้กินค่ะ ดิฉันเป็นคนกลัวยาค่ะ กลัวการที่ตัวยาไปทำอะไรในร่างกายเรา แล้วเกิดผลข้างเคียง ยาที่ยอมกิน คือยาพาราเซตามอล เวลาปวดหัว ซึ่งนานๆ กินที ขนาดยาเขียว ยาขม ตราใบห่อ อะไรนี่ แม่ให้มา ยังไม่อยากกินเลย ไปแล้วจริงๆ ลูกมาดึงมือใหญ่เลย จากคุณ : พธูไทย เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 17:11:57

ความคิดเห็นที่ 24 อ่านความเห็นเรื่องหายใจ เป็นประโยชน์ดีจังค่ะ ดิฉันก็มาหายใจเป็นตอนหัดโยคะนั่นแหละ ได้หายใจช้าๆ ยาวๆ นี่มันช่วยจริงๆนะคะ ส่วนอาการแบบคุณพธูฯ นั้นดิฉันไม่แน่ใจว่า ตอนดิฉันเป็นนั่นเพราะเครียด หรือ อาหารไม่ย่อย ก็ไม่ทราบ เพราะอาการจะเป็นคล้ายกัน คือ ปวดร้าวช่วงที่หลังระดับหน้าอก ต้องพยายามทำท่า งู หรือ แมว หรือ ท่าหมอบ สักพัก แล้วก็ดีขึ้น แต่คิดว่า น่าจะมาจากทานอาหารค่ำเลทเกินไป พอจะเข้านอนมันเลยเหมือนท้องอืดมากๆ แล้วลมมันตีกลับขึ้นมา เลยตื้อมากๆ คล้ายจะเป็นลม แต่มือเท้าก็ไม่เย็น ช่วงหลังๆมานี่ดิฉันก็รู้สึกเหมือนกันว่าชีวิตมันเริ่มๆยุ่งๆอีกแล้ว  ต้องขับรถไปไหนมาไหนบ่อยมากๆ ขับรถมากๆนี่ก็เพลียได้ง่ายๆเหมือนกันนะคะ  แต่ดีตรงที่ดิฉันชอบทำสำรวจตัวเองช่วงขับรถ รู้สึกว่าความคิดตอนขับรถนี่จะมีสมาธิดี ได้คิดเรื่องที่เวลาอยู่บ้านไม่ค่อยมีเวลาให้คิด ลูกก็ชอบหลับตอนดิฉันขับรถ เลยเหมือนได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง คิดเรื่องอดีตบ้าง อนาคตบ้าง ว่าชีวิตเราเป็นยังไงบ้างจนถึงวันนี้ มีบางเรื่องเหมือนกันที่ยังคิดไม่ตก แต่บางทีพอเห็นหน้าลูกแล้วก็มีความรู้สึกว่า มักจะได้คำตอบดีดีให้กับตัวเองเหมือนกันค่ะ จากคุณ : Walcher เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 19:51:07

ความคิดเห็นที่ 25 อยากให้สามีอ่านภาษาไทยได้จริงๆจะได้มาอ่านแล้วเอาไปทำบ้าง ดิฉันบอกจนเบื่อแล้ว ดื้อจริงๆ จากคุณ : Tanyanj เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 21:41:57

ความคิดเห็นที่ 26   น่าจะมาจากทานอาหารค่ำเลทเกินไป พอจะเข้านอนมันเลยเหมือนท้องอืดมากๆ แล้วลมมันตีกลับขึ้นมา เลยตื้อมากๆ คล้ายจะเป็นลม แต่มือเท้าก็ไม่เย็น จากคุณ : Walcher ...ลองลด หรืองดข้าวขาวดู อาจเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ใน 1 สัปดาห์ จากคุณ : ตาน เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 23:12:47 A:78.20.208.28 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 27 เป็นกระทู้ที่มีประโยชน์จริงๆคะ เพราะว่าช่วงนี้ดิฉันตัวเป็นน๊อตหัวเป็นเกลียวไม่ยิ่งหย่อนเท่าไหร่ อาการหายใจขัดๆเลยมาเป็นระยะ แต่ส่วนมากจะมาในแนวเหนื่อยมากกว่าคะ อาศัยเวลาลูกๆเล่นกันหรือว่านอนดิฉันก็นอนด้วย อย่างที่คุณตานแนะนำเรื่องกินข้าวน้อยลงหรือเปลี่ยนข้าวน่าทำตามจริงๆคะ แ่ต่อย่างว่านะคะประเทศที่ดิฉันอยู่ข้าวที่นี่มีแต่ข้าวขาว จากคุณ : @..pity..@ เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 03:18:05

ความคิดเห็นที่ 28   คุณ : @..pity..@ ...At the beginning I thought Belgium had only white rice too. However, now I can find brown rice in Farang or Morrocan supermarkets. If possible, eat FULL grain rice, you will eat only half amount and get full easily. จากคุณ : tan เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 03:42:18 A:78.20.208.28 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 29   ปัญหาเรื่องท้องอืด ซึ่งนำมาถึงเรื่องหายใจไม่เต็มที่ ก็เพราะประสิทธิภาพการย่อยอาหารของเราแย่ลง เพราะกินข้าวขาวมากเท่าเดิม แต่กินเครื่องเทศน้อยลง อาหารที่เราปรุงเองอาจไม่ได้ใส่เครื่องเทศครบถ้วนเหมือนที่เรากินที่เมืองไทย อาจเพราะหาซื้อยาก หรือราคาแพง เพราะเราใช้ทีละนิดหน่อย แต่ต้องใช้หลายอย่าง เครื่องเทศนี่แหละสำคัญ พวกขมิ้น กระชาย ขิง อันนี้ช่วยเรื่องท้องอืด ลมในลำไส้โดยเฉพาะ ปัญหาอีกเรื่อง คือการกินขนมปัง ซึ่งมียีสต์เป็นส่วนประกอบ อันนี้ก็ทำให้หลายคนท้องอืด แม้กระทั้งฝรั่งเอง พอท้องอืด หายใจไม่เต็ม ทำให้ต้องหายใจเร็วขึ้น ก็เริ่มเกิด hyperventilation ซึ่งอาจนำมาถึงอาการ panic attack ได้ในที่สุด ถึงคุณพธูไทยนิดนึง เวลาที่หมอวัดออกซิเจนที่ปลายนิ้ว แล้วได้ค่าออกซิเจน 100 ไม่ได้แปลว่าปกติ 100 แปลว่า ออกซิเจนในกระแสเลือดมากเกิน และกำลังเกิด hyperventilation อ่อนๆ ค่าที่เหมาะสมในคนที่สงบคือ 98-99 จากคุณ : ตาน เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 03:58:26 A:78.20.208.28 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 30 ปวดร้าวช่วงที่หลังระดับหน้าอก ต้องพยายามทำท่า งู หรือ แมว หรือ ท่าหมอบ สักพัก แล้วก็ดีขึ้น แต่คิดว่า น่าจะมาจากทานอาหารค่ำเลทเกินไป พอจะเข้านอนมันเลยเหมือนท้องอืดมากๆ แล้วลมมันตีกลับขึ้นมา เลยตื้อมากๆ คล้ายจะเป็นลม แต่มือเท้าก็ไม่เย็น จากคุณ   : Walcher ลองเช็คดูอาการนะคะว่าเป็น Acid Reflux กรดไหลย้อนหรือเปล่า ดิฉันเป็น Panic Attack ช่วงเวลาไล่ๆกันกับที่เป็นกรดไหลย้อนเลย อึดๆอัดๆเนี่ยแหละ ตื้อๆ สำหรับดิฉัน (ซึ่งไม่ชอบกินยาแผนปัจจุบันเท่าไหร่) ยาหอมห้าเจดีย์คือสวรรค์ส่งมาเลยค่ะ จากคุณ : She said (She said) เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 08:11:55

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณค่ะ คุณ ตาน คุณ She said (She said) ที่ช่วยวิเคราะห์อาการให้ ดิฉันคิดว่า กรดไหลย้อนนี่ก็น่าจะใช่นะคะ เพราะตอนช่วงท้องก็มีอาการคล้ายๆกัน  แต่รู้สึกตัวเหมือนกันว่า พอหลังจากคลอดแล้ว อาการแบบนี้มันเกิดง่ายขึ้น เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองไทย ดิฉันแทบไม่ป่วยเลย คิดว่า เรื่องอาหารเนี่ยแหละ มีส่วนมากๆ ยิ่งอาหารฝรั่ง มันผ่านกระบวนการเยอะเหลือเกิน  ทานบ่อยๆแล้วรู้สึกเลยว่า จะรู้สึกอึดอัด จริงๆดิฉันก็พยายามระวังเรื่องโรคไตเหมือนกัน เพราะมีเพื่อนที่ป่วยเป็นโรคนี้แล้วรู้สึกว่า มันทรมานมาก อาหารเยอรมันขึ้นชื่อว่า เค็ม ดิฉันพยายามหลีกเลี่ยงทานนอกบ้านค่ะ ยาหอมดิฉันทานไม่เป็นเลย แต่เคยอยากต้มน้ำเก็กฮวยทานเองอยู่เหมือนกัน ท่านใดทำเป็นบ้างไหมค่ะ ช่วยกรุณาบอกวิธีต้มหน่อยค่ะ จะเป็นพระคุณมากเลย เดี๋ยวมาคุยใหม่นะคะ ขอบคุณคุณพธูฯนะคะ ที่อนุญาตให้ใช้กระทู้ค่ะ จากคุณ : Walcher เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 14:35:19

ความคิดเห็นที่ 32   ที่เราไม่ได้มองไปถึงเรื่องกรดไหลย้อน เพราะมันต้องมีอาการแสบร้อนร่วมด้วย ถ้าเป็นแค่ลมจุก อึดอัด หายใจลำบาก เราคิดว่าเป็นอาการท้องอืด เนื่องจาการเคลื่อนไหวของลำไส้ไม่คล่องตัวเหมือนก่อน อาจเป็นเพราะตามวัย หรือเพราะสารอาหารที่กินเข้าไปไม่มากพอที่จะกระตุ้นการทำงานของลำไส้ โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ได้อย่างมีปสภ. ส่วนเรื่องเค็ม อันนี้ควรระวังอย่างยิ่ง อาหารเยอรมันเค็มมาก พอกับอาหารทางใต้ของไทย คนไทยเป็นความดันสูงกันมากๆ แม้กระทั้งคนรุ่นหนุ่มสาว จากคุณ : ตาน เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 15:44:10 A:78.20.210.25 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 33 ไม่เคยเป็นค่ะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วย คงเป็นเพราะว่าดิฉันขี้เกียจรับส่งลูก ประจวบ กับอัฐน้อย เลยไม่มีกิจกรรมเสริมให้ลูก ตารางเวลาของดิฉันคือ เช้าตื่นมา 7 โมงเช้า ทำแซนวิส ส่งลูกไป รร ตัวดิฉันก็กลับมาซดคาเฟอีน รองท้องนิดหน่อย แล้วไป ฟิตเนส ตรงนี้เสียเวลาไปแล้ว 3 ชม ให้ตัวเอง (แต่เล่นโยคะแค่ 1 ชมนะ ที่เหลือ อาบน้ำ สตีมรูม แต่งตัว) ป.ล. แต่ก่อนไปทุกวัน ตอนนี้ไปวันเว้นวัน แระ มันเหนื่อย ตัวแม่ทานเที่ยง แล้วทำงานบ้าน บ่าย 2 ครึ่ง ไปรับลูกจาก รร สี่โมง ไปเรียนว่ายน้ำ หรือว่ายน้ำเล่นที่ฟิตเนส กลับมาทำอาหารเย็น เก็บล้าง และ ดูละคร ยาวไปถึง 5ทุ่ม ปล. ขอให้คุณพธู แก้ไขตัวปัญหาได้ไวๆนะคะ รักตัวเองให้มากๆ หาเวลาให้ตัวเองเยอะๆ การหายใจที่ถูกต้องคือ เวลาหายใจเข้า พุงป่อง เราเอามือทาบ บนตัว ตามลมได้ ลมเข้าหน้าท้องก่อน ไล่ขึ้นหน้าท้องส่วนบน และ เข้าอก เวลาหายใจออก จินตนาการว่า สะดือ จรด กระดูกสันหลัง แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 52 23:17:08 จากคุณ : ปรารถนา เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 23:10:45

ความคิดเห็นที่ 34 แต่การหายใจให้ถูก คือให้ท้องป่องตอนหายใจเข้า และท้องแฟ่บเวลาหายใจออก มันทำยากนะคะ ต้องฝึกค่ะ เมื่อช่วงเย็นลองฝึกดู หลังได้คุยกับคุณตาน (จ๋า) ก็ลองทำดู จะบอกว่า คงจะหักโหมไปหน่อย รู้สึกยังกับจะเป็นตระคริวที่ท้องเลยค่ะ คืออยากทำท้องป่องนะ แต่มันป่องได้ไม่สุดน่ะ เหมือนๆ มันดึงๆ กันอยู่ข้างไหน พวกเราๆ มาเขียนกันอย่างนี้ ดิฉันอ่านแล้ว ก็ขำนะ ว่า เหมือนคนแก่คุยกันเลยอะ ดิฉันนำทีม อยู่หัวแถวเลย... จากคุณ : พธูไทย เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 02:51:54

ความคิดเห็นที่ 35   ตะคริว...แรกๆจะเป็นอย่างนั้น กล้ามเนื้อส่วนที่ไม่เคยใช้ พอเอามาใช้งานจริงจัง จะงอแงหน่อย อย่าทำมากนะคะ เซ็ทละ 8 ครั้งพอ พัก แล้วค่อยทำใหม่ พรุ่งนี้คงจะป่องได้มากขึ้น กล้ามเนื้อคงเริ่มชิน และจะขยายตัวได้ดีขึ้น จากคุณ : ตาน เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 04:28:44 A:78.20.209.66 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 36 อยู่ ๆ ก็เพิ่งเป็นค่ะ พยายามหายใจ แต่เหมือนไม่สุด และจุก ๆ ที่ช่วงหน้าอก และให้บังเอิญมาเข้าห้องแม่บ้าน พอ ดี ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ จากคุณ : I-AM-KIM เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 20:54:11

ความคิดเห็นที่ 37 เคยเป็นค่ะ เฉพาะช่วงไหนที่มีเรื่องกังวล เช่น ช่วงที่ลูกสะใภ้สามีชักแล้วเข้า ไอซียู พบว่าเป็นมะเร็งสมอง ตอนนั้นหายใจไม่ทั่วท้อง มีอาการอื่นแทรก และทับถม(โรคปวดไหล่ ปวดคอ) แม้ว่าจะมีพื้นฐานทางโยคะมาจากเมืองไทย รวมถึงพื้นฐานการฝึกสมาธิแนวเต๋า แต่ก็ยังหลุด พอจับอารมณ์ตัวเองได้ก็เริ่มหายใจตามหลักที่ได้ฝึกมา คือหายใจให้ทั่วท้อง ตามจับลมหายใจเข้าท้องป่อง ออกท้องยุบ และปิดรูจมูกเพื่อหายใจสลับกันเพื่อให้อากาศเข้าไปทำให้สมองสองซีกทำงานสมดุลย์มากขึ้น การหายใจออกต้องใช้เวลาเป็นสองเท่าของการหายใจเข้า พร้อมงดเครื่องดื่มและอาหารบางชนิดที่ไปส่งเสริมให้อาการนี้เป็นง่ายขึ้น ได้แก่ ๐ น้ำชา กาแฟ ๐ ช๊อคโกแลต และของขบเคี้ยวทั่วไป ช่วงนี้ให้ลองงดอาหารที่ใช้เครื่องเทศในการปรุงรส อาหารรสขม เปรี้ยว และเค็ม กลุ่มนี้เป็นอาหารประเภท Rajasic พลังงานจากอาหารจะทำให้ร่างกายฟุ้งซ่านได้ง่าย นอกจากนี้ ขอเวลาเพียง 3 นาที เพื่อให้คุณอยู่กับจิตตัวเอง เป็นการทำสมาธิระยะสั้นที่ได้ผล 3 นาทีนี้คุณจะพบว่าจิตคุณวิ่งไปไกลคิดไปถึงเรื่องต่างๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ต้องกังวลว่าตนจะฟุ้งซ่าน ให้ตามจิตนั้นไปตลอดเวลา จะคิดถึงเรื่องอะไรก็ตามจับไปตลอด แล้วคุณจะพบว่าในที่สุดจะกลับมาตรงที่คุณกำลังนั่งอยู่กับตัวคุณเอง ลองให้เวลากับธรรมชาติบำบัด น่าจะให้ผลในระยะยาวมากกว่าการทานยา เพราะคุณอาจจะรู้สึกสบายขึ้นกับยาที่ทานไปและอาจจะติดได้ ขอให้หายไวไวนะคะ จากคุณ : Panissar เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 23:04:32

ความคิดเห็นที่ 38 คนเดียวดูลูกสองคนนี่เหนื่อยเอาเรื่องคะ  ของเราสามีต้องไปทำงานต่างเมือง แต่เราขอว่า วันเสาร์ อาทิตย์ให้กลับมา ส่วนวันทำงาน เราต้องดูลูกคนเดียว เช้าต้องตื่นมาต้มโจ๊กให้ลูกสาว เอาลูกอาบน้ำ ลงมากินอาหารเช้า ส่งลูกชายไปโรงเรียน ส่งลูกสาวไปบ้านพี่เลี้ยง แล้วก็ไปทำงาน ตอนเย็นก็ไปรับลูกชาย กลับบ้านมาจัดการล้างถ้วย ชาม อาบน้ำแล้วก็ไปรับลูกสาว บางทีรีบๆ แบบกลัวว่าจะเลท ไหนบางวันฝนตกอีก ของเราไม่ได้มีอาการแบบคุณพธู มีแต่น้ำหนักลดจนมีคนทักหลายคนมากๆ อีกอย่างคือ มีสั่น แล้วบางทีก็ใจเต้นเร็ว  มาสังเกตตัวเองว่าอะไรที่ทำให้เราเป็นแบบนี้ จะว่าให้นมลูกก็ไม่น่าจะใช่ เพราะตอนลูกชายคนโตก็ให้นมเหมือนกัน ไม่เห็นน้ำหนักจะลดเลย จะว่าเครียดก็น่าจะเป็นได้ นี่นัดหมอตรวจสุขภาพประจำปีแล้วคะ จากคุณ : ลิตเติ้ลเกิร์ล เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 17:04:02

ความคิดเห็นที่ 39   อาการของ panic attack มีหลากหลายค่ะ ถ้าเริ่มสั่น ใจเต้นเร็ว ควรเริ่มทำ breathing exercise แล้วค่ะ เพราะอาการต่อไป จะเริ่มจุก หายใจไม่ทั่ว เหนื่อยไม่มีสาเหตุ ชอบนอน จากคุณ : ตาน เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 18:29:13 A:78.20.214.164 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 40 แวะมาส่งข่าวว่าแม่บ้านอินโดกลับมาแล้วตอนเที่ยงของวันนี้....ขอให้คุณพธูไทยหาทางออกให้หายเครียดไวไวนะค่ะ แต่เรากลับไปทำงานที่สนามบินตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมาแล้วค่ะ จากคุณ : Th( SG ) เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 17:36:47

ความคิดเห็นที่ 41 เพิ่งได้มาอ่านกระทู้นี้ แล้วเพิ่งสังเกตุว่าตัวเองก็หายใจไม่ถูก หายใจเข้าพุงไม่ป่อง หายใจออกพุงไม่แฟ่บทำยังไงดีค่ะ แต่ว่าไม่เคยเป็นนะ panic attack เนี่ย ไม่เครียดไม่มีลูก :P ไป Search มามี VDO สอนเรื่องหายใจด้วยค่ะ แต่ยังไม่มีเวลาดู เอา link มาแปะไว้ก่อน http://video.google.com/videosearch?sourceid=navclient&rlz=1T4ADBF_enUS283US284&q=breath+exercise&um=1&ie=UTF-8&ei=9Oy7SvWmBpKMswPdpancBQ&sa=X&oi=video_result_group&ct=title&resnum=4# แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 52 06:30:41 จากคุณ : pixp เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 52 04:52:46

ความคิดเห็นที่ 42   agree with comment 33 and 37. จากคุณ : tan เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 52 15:13:50 A:78.20.209.222 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 43 เคยเป็นเมื่อปีที่แล้วค่ะ เป็นนานด้วย อยู่ๆเริ่มจากเป็นบนเครื่องบิน นั่งริมหน้าต่างนอนไปสักสี่ชม ขาเริ่มเมื่อยๆ ขยับไปมา แล้วก็เริ่มหายใจไม่ค่อยได้ ต้องลุกออก เข้าๆออกๆอยู่นานเลยค่ะแล้วก็แย่เลย ต้องนั่งกะพื้นเหมือนเป็นลม แต่ไม่ใช่ แอร์ก็บังคับให้กลับไปนั่งที่เดิม แต่พอกลับไปนั่งได้ไม่เกินสองนาทีก็เป็นอีก กลายเป็นเหมือนคนกลัวที่แคบ จากนั้นก็เป็นมาเรื่อยแล้วเริ่มแย่ลง คือแม้แต่ไปหาหมอฟัน นอนปิดหน้านานเกินครึ่งชม ขยับไม่ได้ ก็เริ่มหายใจไม่ออก บางครั้งที่ทำงานเพดานเตี้ยๆก็เป็น เลยไปหาหมอ หมอยิ้มๆบอกว่าเป็น panic attack เกิดจากเครียดมาก ไม่ต้องตกใจ เป็นเรือ่งธรรมดา คนเป็นกันเยอะ ให้กระดาษมาสองแผ่น อ่านเอาเอง ไม่มียาใดๆ ก็ให้หายใจเข้าออกช้าๆ หรือเอาถุงกระดาษมาสูดเวลาหายใจไม่ได้จริงๆ หลังจากนั้นก็เป็นน้อยลง แต่เหมือนตัวเองเริ่มกลัวว่า เอ๊ะหรือเราเป็นโรคกลัวที่แคบไปแล้วหว่า หรือเราจิตตกจัดๆหว่า ก็กลับเมืองไทยไปที่ปฎิบัติธรรม เจอแม่ชี บอกว่าให้ หายใจเข้าช้าๆ นึกคำว่า อ่อนโยน หายใจออกช้าๆ นึกคำว่า ผ่อนคลาย ทำตัวเองให้เดินช้าๆลง อ่านหนังสือเยอะแยะเลย ก็ดีขึ้นเยอะนะคะ แต่นานๆยังเป็นบ้าง ขอบคุณคุณตาน(จ๋า)สำหรับวิธีฝึกหายใจ เรายังหายใจผิดอยู่ดี จากคุณ : i_TONZz เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 52 19:27:53

ความคิดเห็นที่ 44   เคยเป็นเมื่อปีที่แล้วค่ะ เป็นนานด้วย อยู่ๆเริ่มจากเป็นบนเครื่องบิน ...many people have it the first time in a plane. กลายเป็นเหมือนคนกลัวที่แคบ จากนั้นก็เป็นมาเรื่อยแล้วเริ่มแย่ลง คือแม้แต่ไปหาหมอฟัน นอนปิดหน้านานเกินครึ่งชม ขยับไม่ได้ ก็เริ่มหายใจไม่ออก บางครั้งที่ทำงานเพดานเตี้ยๆก็เป็น เลยไปหาหมอ หมอยิ้มๆบอกว่าเป็น panic attack ...it is a panic attack that come from โรคกลัวที่แคบ เกิดจากเครียดมาก ไม่ต้องตกใจ เป็นเรือ่งธรรมดา คนเป็นกันเยอะ ...yes, many people have it, but it doesn't come from stress, it comes from too sensitive. ไม่มียาใดๆ ก็ให้หายใจเข้าออกช้าๆ หรือเอาถุงกระดาษมาสูดเวลาหายใจไม่ได้จริงๆ หลังจากนั้นก็เป็นน้อยลง แต่เหมือนตัวเองเริ่มกลัวว่า เอ๊ะหรือเราเป็นโรคกลัวที่แคบไปแล้วหว่า ...it can be better by taking a pill to make you relax, so you will be less sensitive. When you are less sensitive, you will not aware that you are in a tight place. หายใจเข้าช้าๆ นึกคำว่า อ่อนโยน หายใจออกช้าๆ นึกคำว่า ผ่อนคลาย ทำตัวเองให้เดินช้าๆลง อ่านหนังสือเยอะแยะเลย ก็ดีขึ้นเยอะนะคะ แต่นานๆยังเป็นบ้าง ...to heal it, not only do slow breathing, but you have to do deep breath. It doesn't come automatically for most female, you need to be trained. ขอบคุณคุณตาน(จ๋า)สำหรับวิธีฝึกหายใจ เรายังหายใจผิดอยู่ดี ...you may call me at any time. I can explain to you. I live in Belgium. The phone numbers are above. I have both BE and TH numbers. จากคุณ : tan เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 52 19:48:25 A:78.20.210.144 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณมากค่ะคุณจ๋า จากคุณ : i_TONZz เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 52 20:16:55

ความคิดเห็นที่ 46   one way to make you feel better...think that every thing is just temporary. You don't sit in a plane forever, you will be arrived TH soon. whenever you are in a tight situation, just breath out first, and you will breath in automatically, concentrate on breathing out, not in. Remember that you will get panic attack when you breath in too much and too fast. in a plane, choose to sit on an aisle seat, so you can take a short walk to a back of a plane or going to toilet as often as you like. จากคุณ : tan เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 52 20:26:14 A:78.20.210.144 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 47 ดิฉันมาอ่านค่ะ แต่ไม่มีเวลาเขียน ลูกสาวซนมากๆ ถึงมากที่สุด ก็ทำตามคำแนะนำนะคะ คิดว่าดีขึ้นค่ะ คือหลังจากนั้น 1 วันก็อาการลดน้อยลง อย่างตอนนี้คือไม่มีอาการอะไรแล้ว คือไม่เหนื่อย หอบแล้ว หรือว่าหายใจไม่อิ่ม เพียงแค่รู้ว่า บางทีหายใจไม่เต็มที่ แต่ไม่ใช่ panic ซึ่งตอนนี้เข้าใจเลยว่า แต่ก่อนรู้สึกเหนื่อยง่าย เป็นเพราะหายใจไม่ถูกนี่เอง และอย่างที่คุณจ๋าอธิบายทางโทรศัพท์ว่า ในเด็กเล็ก อย่างเช่นลูกสาวตัวเองนี่ จะหายใจถูก ดิฉันก็มองเวลาเขาหายใจ ท้องป่องๆ กระเพื่อมๆ แต่พอโตขึ้นมา ด้วยสรีระ ด้วยอะไรหลายๆ ด้วยเป็นสาวที่ชอบแขม่วท้อง ฯลฯ ด้วยการท้อง ทำไปทำมา ทำให้เก็บเจ้าการหายใจไม่ถูกต้องมาเป็นธรรมชาติของตัวเองไปเสีย ข้อดีของการมีอาการ panic attack ครั้งนี้ ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายตัวเองดีขึ้น แล้วก็การพยายามทำให้ตัวเองผ่อนคลาย ช้าๆ หน่อยก็ได้ ไม่ต้องรีบ ไปแล้วค่ะ ลูกซนจริงๆ จากคุณ : พธูไทย เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 52 21:24:30

ความคิดเห็นที่ 48 แวะมาอ่านค่ะ panic เหมือนกัน แต่ไม่ได้มีอาการนี้ ฝากขอบคุณคุณตานสำหรับคำแนะนำดีๆ ด้วยค่ะ จากคุณ : ตรีนุช3903 เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 52 03:01:48

ความคิดเห็นที่ 49   ยินดีค่ะ จากคุณ : ตาน เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 52 03:45:06 A:78.20.210.226 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 50   เนื่องจากมีคนติดต่อสอบถามมากันเยอะ เลยอยากจะพิมพ์ลงที่นี่เพื่อหลายๆคนที่มีปัญหา จะได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลร่วมกัน เมื่อเกิดความกลัว ความกังวล จนถึงจุดหนึ่งที่ทำให้สารเคมีในสมอง imbalance จะเริ่มมีอาการมือเย็นเท้าเย็น มือจับจีบ ใจสั่น หายใจลำบาก ร้องไห้ มีอาการเหมือนจะขาดใจ แต่บอกตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงกลัว เพราะสิ่งที่กลัวมันไม่มีเหตุผลจริงๆที่ต้องกลัว...เมื่อรู้ตัวว่าตกอยู่ในภาวะนี้ ให้ทำดังนี้ 1. หลับตา เพื่อตัดสิ่งเร้าส่วนใหญ่ออก 2. หายใจออกทางปาก ให้ช้าและยาวที่สุด จนท้องแขม่ว เราต้องหายใจออกก่อนหายใจเข้านะคะ 3. จากนั้นค่อยหายใจเข้าทางจมูก ช้าๆ ลึกๆ จนท้องป่อง 4. ทำอย่างนี้ 8 เซ็ท อาจจะเวียนหัวเล็กน้อย ไม่ต้องกังวล มันจะหายไปเอง 5. วิธีคิด คิดตามหลักพุทธได้เลย ว่าไม่มีอะไรจีรัง สภาพที่อึดอัด กดดัน มันจะอยู่แค่ชั่วคราวเท่านั้น เดี๋ยวมันก็จะหายไปเอง เพียงแต่อย่าไปเร่งให้มันจบลงตามเวลาที่ใจต้องการ เพราะมันอาจไม่เป็นอย่างนั้น ก็จะยิ่ง panic เข้าไปใหญ่ 6. ออกกำลังกายด้วยการเดิน หรือวิ่งหลังอาหาร โดยให้แกว่งแขนด้วย เพื่อการไหลเวียนของเลือดจะได้ดีขึ้น 7. อย่าคิดว่าเงินสำคัญที่สุด เพราะเงินนี่แหละทำให้คนป่วย เงินนี่แหละทำให้คนส่วนใหญ่ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ควรเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองภูมิใจ 8. หางานอดิเรกทำ เข้าสังคมกับคนอื่นบ้าง อย่าอยู่แต่กับคนในครอบครัวเท่านั้น จากคุณ : ตาน เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 52 16:48:53 A:78.20.210.226 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 51   ส่วนผู้ที่ท้องอืดเรือ้รัง กินยาธาตุตรากระต่ายบินแล้วยังไม่หาย ทำให้หายใจลำบาก (โดยที่ไม่มีอาการปวดแสบที่ช่องอก) ทางแก้ที่เราคิดว่าได้ผลคือ 1. ลดข้าวขาวลง ให้กิน brown rice ผสม ข้าวของชาติไหนก็ได้ ในอัตราส่วน 1:1 2. กินอาหารไทยแบบใส่เครื่องเทศให้ครบสูตร โดยเฉพาะ ขิง พริกไทยสด และกระชาย 3. งดของหวานชั่วคราวนะคะ 4. กินเสร็จแล้วอย่านั่ง อย่าอยู่กับที่ ให้ออกเดิน หลังอาหารเย็น สักครึ่งชม. 5. แกว่งแขนโดยยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ แล้ววาดลงทางด้านข้าง ลองดูค่ะ จากคุณ : ตาน เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 52 17:09:33 A:78.20.210.226 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณคุณตาน สำหรับคำแนะนำนะคะ เรื่องหายใจเนี่ยเคยฝึกตอนอยู่ในคณะนักร้องที่โบสถ์ ฝึกยากมาก พอทำไปสักพัก ก็กลับมาหายใจแบบผิดๆ อีก เคยสังเกตลูกสาวเบบี้อยู่เนี่ยเค้าหายใจถูก พอสังเกตลูกชาย สี่ขวบกว่าแล้วเหมือนกับว่าเค้าหายใจเข้าพุงแฟบไปแล้ว ทั้งๆ ที่ตอนเค้าเด็กๆ ก็หายใจเข้าพุงป่องนะคะ "เมื่อเกิดความกลัว ความกังวล จนถึงจุดหนึ่งที่ทำให้สารเคมีในสมอง imbalance จะเริ่มมีอาการมือเย็นเท้าเย็น มือจับจีบ ใจสั่น หายใจลำบาก ร้องไห้ มีอาการเหมือนจะขาดใจ" อ่านประโยคนี้แล้วให้นึกถึงตัวเอง จำได้แม่นๆ เลย ว่าตอนสามีไม่อยู่แล้วต้องดูลูกสองคนเอง ตอนจะออกไปรับลูกสาวเนี่ย อาการนี้เลย มือเท้้าเย็น ใจสั่น แบบว่าเหมือนคนเหนื่อย กังวลไปหมด กลัวไม่ทันเวลา กลัวฝนตก โน่นนี่สารพัด พอมีอาการเราก็ทำให้ใจเย็นหน่อย สายก็ช่างมัน ก็ดีขึ้น คงต้องปล่อยวางให้มากขึ้น ทำเท่าที่ทำได้ จากคุณ : ลิตเติ้ลเกิร์ล (ลิตเติ้ลเกิร์ล) เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 52 17:29:14

ความคิดเห็นที่ 53   พอมีอาการเราก็ทำให้ใจเย็นหน่อย สายก็ช่างมัน ก็ดีขึ้น คงต้องปล่อยวางให้มากขึ้น ทำเท่าที่ทำได้ จากคุณ : ลิตเติ้ลเกิร์ล (ลิตเติ้ลเกิร์ล) ...ใช่ค่ะ ทางออกคือปรับวิธีคิด ไม่มีอะไรน่ากลัวจริงๆหรอกค่ะ ใจเราคิดไปเองทั้งนั้น ...คุณ ลิตเติ้ลเกิร์ล ลองฝึกหายใจตามข้างบนดู ถ้าคุณทำได้ 9 วันติดต่อกัน คุณจะทำได้ไปตลอดชีวิตเลยค่ะ จากคุณ : ตาน เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 52 17:34:59 A:78.20.210.226 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 54 ดิฉันทำอยู่ตลอดตอนที่นึกขึ้นมาได้เลยค่ะ อย่างเวลาเดินเฉยๆ ตอนนี้ นี่คือ พยายามหายใจเข้าออกแบบถูกวิธีนะ คือรู้สึกตัวมากขึ้น หมายถึง ระวังมากขึ้นว่าต้องรู้สึกน่ะ แต่ก่อนเคยบอกตัวเองเสมอว่า ทำอะไร คิดอะไร ต้องรู้สึกตัวทั่วพร้อม ในด้านการมี consciousness แท้จริงแล้ว กลับละเลยเรื่องการรู้ตัวที่พื้นฐานสำคัญที่สุด คือการหายใจ เอาไว้ผ่านไปอีกสัก 1 อาทิตย์ แล้วดิฉันจะโทรไปหาคุณตานอีกทีเลยนะคะ อาทิตย์นี้ดิฉันต้องดูแลงานสำคัญงานนึง พูดถึงงานที่ทำให้ภูมิใจ ดิฉันกำลังเบื่องานที่ทำอยู่มากๆ ขนาดว่า delegate แล้วก็ยังไม่หายเบื่อ คือเหมือนกับกำลังทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำแล้วน่ะ แต่จำเป็นต้องทำ ทั้งๆ ที่พยายามหาสิ่งแปลกใหม่ ให้งานมันน่าทำมากขึ้น แต่ก็ไม่ดีขึ้นเท่าไร ก็ปล่อยวางหลายๆ อย่างมากขึ้น ปรากฎ พอปล่อยวาง อ้าว คนรอบข้างที่ทำงาน กลับมาให้ความสำคัญกับสิ่งที่ดิฉันทำ และอยากช่วยเหลือ พร้อมอยากให้รับผิดชอบมากขึ้น นี่เลย ได้มาเลย ความรู้สึกภูมิใจ ดิฉันทำงานพิเศษเป็นโค้ช หรือที่ปรึกษาด้าน scientific communication ก็ทำไป เพราะมีคนติดต่อมา ช่วงเสาร์-อาทิตย์นี้ ดิฉันได้รับอีเมล์ 2 ฉบับในเวลาห่างกันเพียง 15 นาที ราวกับว่าพวกเขานัดกันเขียนถึงดิฉัน คนแรกเล่าว่า สิ่งที่ดิฉันได้ทำช่วยเขานั้น ภายหลังการพรีเซนต์งานของเขา เขาได้รับการ Standing Ovation เป็นครั้งแรกในชีวิตของการเป็น speaker ของเขา และตอนนี้เขาได้รับเชิญไปอีก 3 ประเทศ จึงขอบคุณดิฉันมาก อ่านแล้ว ก็ดีใจ ตอบเขาไปแค่ว่า You deserved it. ส่วนอีกเมล์นึงนั้น เป็นคนที่เคยโค้ชเมื่อ 2 ปีก่อน อยู่ดีๆ อีเมล์มาบอกว่า ส่งของมาให้ แต่คนส่งหาบ้านไม่เจอ คนนี้เขาบอกว่า เขาไม่รู้จะตอบแทนสิ่งที่ดิฉันได้ช่วยเขาอย่างไร เพราะมีบริษัทเป็นคนจ้างให้โค้ชเขา เขาจึงไม่ได้จ่ายให้โดยตรง เขาจึงรู้สึกว่า ต้องขอบคุณเรามากๆ บางทีการมี positive response บ้าง มันก็ทำให้เราภูมิใจ คือมันอยู่เหนือค่าตอบแทนเป็นเงินที่ได้มาแล้วนะ มันมากกว่านั้นจริงๆ อยากบอกคุณตานว่า ต้องขอบคุณมากๆ สำหรับ Breathing exercise ค่ะ และขอบคุณแทนสำหรับหลายๆ คนที่กำลังมีปัญหาเดียวกันนี้ และกำลังพยายามฝึกอยู่ด้วย คือ คำขอบคุณที่ให้นี่ มันมาจากความรู้สึกจริงๆ เลยนะ จริงอย่างที่คุณบอกนะ ว่า มันจะเปลี่ยนชีวิตเราได้เลยนะเนี่ย จากหายใจผิดมาเป็นการหายใจถูก คือถึงจะยังทำได้ไม่ธรรมชาติ แต่ว่าไม่มีทางแล้วที่จะบอกตัวเองว่า เอาเถอะ หายใจผิดก็ได้ คือตอนนี้จะตั้งใจให้หายใจผิดน่ะ ทำไมได้แล้ว เพราะรุ้แล้วว่า จะทำให้ถูก ทำยังไง ดังนั้น ก็จะทำให้ถูก แต่ที่ยังอาจทำผิดอยู่บ้าง ก็จะเป็นตอนที่เราไม่ได้คิดถึงมัน และปล่อยให้ที่ติดนิสัยผิดๆ มา นำสิ่งที่ควรจะถูก จากคุณ : พธูไทย เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 52 21:40:25

ความคิดเห็นที่ 55   ยินดีด้วยค่ะคุณพธูไทย ความภาคภูมิใจนี่เป็นพลังแห่งชีวิตจริงๆ วกมาถึงการหายใจอีกนิด ที่บอกว่าเวลาหายใจเข้ายังรู้สึกว่าเข้าไม่สุด แก้โดย หายใจออกให้สุดก่อน โดยใช้มือช่วยกดช่องท้องในยิ่งแฟบเข้าไปอีก ทั้งที่แขม่วอยู่แล้ว เหมือนคุณไล่ลมเก่าออกให้หมด ลมใหม่ที่เข้ามาจะเข้ามาใหม่เต็มๆ เพราะลมเก่าออกหมดแล้ว ส่วนการเดินในช่วงที่อากาศเย็น อย่าเดินกอดอก อย่าเดินล้วงกระเป๋า เพราะเส้นเลือดใหญ่ใต้รักแร้จะถูกพับงออยู่ ทำให้เลือดไหลไม่สะดวก พอเลือดไหลเวียนไม่ดี จะหนาว จะเกิดอาการมือเย็นเหมือนที่ฝรั่งชอบเป็นกัน เดินแกว่งแขนนี้แหละค่ะ อุณหภูมิ -2 ไม่ใส่ถุงมือ ยังไม่หนาวเลย จากคุณ : ตาน เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 14:48:54 A:78.20.210.34 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 56 สวัดดีค่ะพี่พธู ไม่ได้เข้ามานาน พอดีก็มาเจอกระทู้เลยค่ะ ซันเคยมีอาการปวดขาเรื่อยมาถึงสะโพก บางทีก็ปวดหลังขึ้นไปถึงหัวไหล่ หาหมอไปทำกายภาพบำบัดด้วยคลื่นแม่เหล็กแล้วดีขึ้น แต่ก็กลับมาเป็นอีก หมอลงความเห็นว่าเป็นเพราะว่าเครียด แล้วก็จริงๆ ทุกครั้งที่พักผ่อนไม่เพียงพอแล้วก็คิดมากหรือวิตกกังวล รวมถึงหงุดหงิดมากๆ แล้วเก็บไว้คนเดียวก็จะปวดหลังปวดขา ทีนี้กายภาพบำบัดแบบเดิมก็ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล บ่อยๆ เข้าก็ชักไม่อยากไปก็พอดีเริ่มหันไปสนใจออกกำลังด้วยตัวเองแต่ว่าหลังคลอดไม่สะดวกออกจากบ้านเลย อีกอย่างเหนื่อยมากเวลาที่เลี้ยงลูกไม่รู้จะทำยังไง วันนึงลื้อกระเป๋าในห้องเก็บของก็ไปเจอซีดีฝึกโยคะที่เคยทำเมื่อก่อนค่ะ ตอนนี้หันมาฝึกวันละครึ่งชั่วโมง อากาศเครียดและปวดหลังเนี่ยหายเป็นปลิดทิ้ง แถมรู้สึกสดชื่นขึ้นมากเพราะการฝึกโยคะเป็นการฝึกยืดเส้นและฝึกหายใจไปด้วยในตัว ทำให้ปอดเราขยายเลือดลมเดินดีสูดอากาศเข้าเต็มปอดเรื่อยไปถึงท้องน้อยเลยค่ะ การฝึกโยคะท่วงท่าต่างๆ จะต้องสอดคล้องกับการหายใจที่ถูกต้องและการขยับตัวในแต่ละท่านั้นก็จะเอื้ออำนวยช่วยให้เราหายใจได้ลึกและยาวผลก็คือได้ออกซิเจนเข้าสู่ปอดอย่างเต็มที อยากให้พี่พธูลองฝึกดูนะคะ ถ้ามีเวลาเพราะได้ผลเกินคาดจริงๆ ค่ะ ส่วนเรื่อง panic attack นั้นเคยเป็นครั้งเดียวเหมือนกับที่พธูอธิบายทุกอย่าง แต่ว่าตอนที่เป็นนั้นกำลังอยู่ในห้องผ่าคลอดหลังจากฉีดยาบล๊อคหลังก็เกิดอาการกลัวมากๆ เลยหายใจไม่ออกคิดว่ามันก็น่าจะเป็นเพราะเครียดเหมือนกันค่ะ ยังไงก็ขอให้พี่พธูหายไวๆ นะคะพักผ่อนเยอะๆ ค่ะ แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 52 20:51:13 จากคุณ : Cobie เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 20:28:56