ความคิดเห็นที่ 1 ดิฉันเคยเปิดร้านขายงานแฮนด์เมดที่อเมริกา เรื่องที่ถามนั้น คงต้องคุยรายละเอียดกันยาวมาก ข้อแรก ถามว่า ต้องทำอย่างไรบ้าง อย่างแรกเลย คุณต้องดูว่า เมืองที่คุณอยู่นั้นเป็นเมืองขนาดไหน เล็ก กลาง ใหญ่  พลเมืองค่อนไปทางอนุรักษ์นิยมหรือเปล่า หรือกำลังซื้อของคนในเมืองเป็นแบบไหน เช่น ถ้าเป็นเมืองโรงงานหรือเมืองที่ทำเกษตรกรรมเป็นหลัก โอกาสของการขายของจากบ้านเราค่อนข้างจะน้อย เพราะคนในเมืองแบบนี้จะใช้จ่ายประหยัด ถ้าเป็นเมืองมหาวิทยาลัย หรือเป็นเมืองใหญ่ จะมีโอกาสดีกว่า หากว่า ในเมืองมีตลาดอย่าง  Farmers market ลองถามดูว่า ค่าเช่าแผงเท่าไหร่ ดูว่าคุ้มกับการลงทุนของเราไหม ซึ่งคำว่าคุ้ม หมายถึง ราคาสินค้า บวกค่าแรงของคนทีเราจ้างส่งของมาที่นี่ บวกค่าแรงเราเอง บวกค่าเช่าแผง บวกค่าขนส่ง บวกค่าน้ำมัน ขั้นตอนแรกทำอย่างไร ศึกษากม ของเมืองนะคะ ว่า กมแต่ละแห่งเป็นอย่างไร แต่ถ้าคุณทำเล่นๆ แบบหาเงินเข้ากระเป๋า เป็นรายได้พิเศษ ดิฉันว่า ไม่ต้องทำอะไรมากมายค่ะ  แต่ปัญหาคือว่า "คุณจะขายอะไร" และขายคนกลุ่มไหน ถ้าเจาะไปว่า ขายกลุ่มวัยรุ่น ก็ต้องดูว่า กลุ่มวัยรุ่นสนใจอะไรแล้วในเมืองมีของที่คนกลุ่มนี้สนใจหรือยัง เพราะปัจจุบัน ร้านประเภทดอลล่าร์กับห้างใหญ่บางห้าง มักวางสินค้าจากโซนเอเซีย ซึ่งจะมีราคาถูกกว่าเราสั่งของมาเอง สินค้าเอเซียในห้างพวกนี้แหละ ที่จะกดราคาสินค้าเราลงมา ถ้าคุณหาคนที่ไว้ใจได้ ก็ให้ไปกว้านซื้อของมาจากสามสี่แหล่งใหญ่ๆ ที่เป็นแหล่งขายส่ง เช่น สำเพ็ง แพททินั่ม ประตูน้ำ จตุจักร แต่คุณต้องแน่ใจด้วยว่า คนที่ไปซื้อของให้คุณนั้นมีรสนิยมเลือกของให้ต้องใจฝรั่งอเมริกา ไม่งั้นสินค้าคุณจะค้างในสต๊อกค่ะ ขายไม่ได้ เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน ขายตามตลาดนัดหรือขายทางเนต อย่างไหนดีกว่า ขายทางตลาดนัดดีกว่านะคะ เพราะขายทางอีเบย์ คู่แข่งเยอะมาก หากสินค้าเราเป็นสินค้าที่วางขายกันทั่วไปในอีเบย์ เช่น ผ้าแคชเมียร์หรือผ้าไหมไทย หากเป็นไปได้ ก็ขายทั้งสองทางแหละค่ะ แต่ถ้าคุณเปิดร้านเอง ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมาอีก เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าฮีตเตอร์ ค่าเช่า ซึ่งค่อนข้างจะหนัก หากว่า ร้านที่เปิดอยู่ในโซนหนาว เพราะลูกค้าจะน้อย ถ้าเช่าแผง เราเลือกได้ว่า ช่วงไหนจะขาย ช่วงไหนจะหยุด  ส่วนมาก ลูกค้าจะเยอะช่วงหน้าร้อนค่ะ พอช่วงหน้าหนาว จะชะลอตัวลง อีกทางเลือกหนึ่งคือ รอช่วงที่เรียกว่า Festival ซึ่งแต่ละเมืองจะแตกต่างกันออกไป งานแบบนี้ ค่าเช่าจะแพง แต่บอกได้เลยว่า คุ้ม หากคุณทำร้านคนเดียว ก็คงต้องจ้างคนไปขายในงาน และต้องเป็นคนที่คุณไว้ใจได้เรื่องเงินทอง หรือถ้าคุณไม่ได้เปิดร้าน ก็ไปทำเองเลย คนเดียว   การส่งของจากไทย อย่างไหนถูกสุด ก็แล้วแต่ขนาดและจำนวนของสิ่งของที่คุณสั่งเข้ามา ถ้าเป็นของเล็กๆ พวกเครื่องประดับ เสื้อผ้า แนะให้ใช้บริการของ UPS แต่ถ้าเป็นของใหญ่ๆ อย่างเฟอร์นิเจอร์ คงต้องใช้บริการชิปปิ้ง ซึ่งร้านดิฉันใช้บริการทั้งสองแบบค่ะ แต่ถึงเป็นของเล็กๆ สิ่งสำคัญในการกรอกอินวอยซ์ในการนำเข้ามา ก็สำคัญ เพราะถ้าคนส่งของชุ่ย กรอกอินว๊อยซ์เรื่อยเปื่อยล่องลอย อาจจะโดนภาษีโหด เพราะศุลกากรเข้าใจผิดก็ได้ และอาจจะทำให้การส่งของล่าช้า ดังนั้น คนส่งของจะต้องกรอกละเอียดมากๆ เช่น เสื้อผ้าฝ้ายสีขาว หรือผ้าพันคอไหมจีน ผ้าพันคอไหมไทย อะไรแบบนี้ ต้องระบุด้วยว่า ทำมาจากวัสดุอะไร มีข้อสงสัย ถามได้หลังไมค์ค่ะ แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 52 22:08:03 แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 52 22:04:02 จากคุณ : Kala_mydog เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 21:59:29

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณ คุณ Kala_mydog มากค่ะ ที่หลังไมค์มาหาจะขออนุญาตโทรไปสอบถามข้อมูลนะค่ะ จากคุณ : henna เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 52 23:31:37