ความคิดเห็นที่ 1 หลังจากยินยอมให้ปิดร้านในคืนวันศุกร์ ลูกค้า ก็ยังคงไม่รู้เรื่องว่าร้านปิด เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าให้ลูกค้าที่ทานอยู่ ทานให้หมดก่อนแต่ไม่ต้องรับมาเพิ่มอีก จำได้ว่า วันนั้นลูกค้า คนสุดท้ายออกร้านตอนเกือบสามทุ่ม (ร้านปิดสี่ทุ่ม) วันเสาร์ มีเจ้าหน้าที่ จาก Health Department ส่งคนเข้ามาขอเก็บ ตัวอย่าง ปัสสาวะ อุจจาระ จากพนักงานเสิร์ฟ และ คนทำงานในร้าน ทุกคน รวมถึงเจ้าของร้านด้วย (ซึ่งไม่ได้ทำงานในวันที่เกิดเรื่อง)  แต่เรายินดีให้ตรวจ วันอาทิตย์ เจ้าหน้าที่มาเก็บตัวอย่าง ไปตรวจ วันจันทร์- ยังไม่ได้รับผลตรวจ เพราะส่งไปอีกเมืองเป็นเมืองใหญ่กว่า วันอังคาร- ตอนเช้า สามี เปิดร้านเองเลยตามปกติไม่รอผลตรวจ                     และไม่รอเจ้าหน้าที่อนุญาตให้เปิด วันอังคาร- ตอนบ่าย เจ้าหน้าทีโทรมาบอกผลตรวจ ผลตรวจ บอกว่า พนักงานเสิร์ฟเรามีเชื้อ Stomach Virus สองคน คนในครัว หนึ่งคน ซึ่งคือ สามี และ สามคน ที่มีผลตรวจมีเชื้อนั้น ไม่ได้มีอาการท้องเสีย อาเจียน ไอจาม ใด ๆ ทั้งสิ้น แข็งแรงปกติ และเจ้าหน้าที่อนุญาต ให้เปิดร้านได้ตามปกติ แต่จะส่งคนไปอบรม วันพุธ - ทางเจ้าหน้าที่ ก็ส่งคนเข้ามาอบรม วิธีการล้างมือให้สะอาดก่อนทำงานเป็นเวลาครึ่งวัน และบอกอาการ ของคนที่เป็นไวรัส ซึ่ง ไม่ได้มีอาการตรงกับ บุคคลทั้งสาม ที่ตรวจเจอไวรัส ในตัวอย่างปัสสาวะ อุจจาระ เลย ทางเราได้สอบถาม ถึง ผลตรวจ ที่ทาง Health Department จะส่งให้ดู เจ้าหน้าที่ได้บ่ายเบี่ยงว่า จะส่งให้ในวันพรุ่งนี้ เนื่องจาก เอกสารยังไม่เรียบร้อย ทันทีที่ได้ ผลจากแลป ทั้งหมด จะส่งให้ทางร้านทันที วันจันทร์ ต่อมา ดิฉันได้ ทวงถามไปยัง เจ้าหน้าที่ Health Department แต่เจ้าหน้าที่ก็บ่ายเบี่ยงที่จะส่งเอกสารให้ ในใจก็คิดว่า เราโดนของแข็งเข้าซะแล้ววว เดี๋ยวมาต่ออีกคะ จากคุณ : I AM@TN เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 08:39:57

ความคิดเห็นที่ 2   เข้ามาอ่าน กำลังเพลินเลย เรื่องราวน่าสนใจ เพิ่งหายป่วยจาก Stomach Flu เหมือนกันค่ะ หยุดงานวันนี้เป็นวันที่ 2 แต่ไม่ได้ติดจากร้านอาหาร ติดจากที่ทำงานมากกว่า เพราะว่าทั้งเด็กๆ ที่โรงเรียนและครู ป่วยไล่ตามๆ กัน จากคุณ : nunampeung เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 08:45:13 A:75.42.238.98 X: TicketID:187330

ความคิดเห็นที่ 3 มาลงชื่อรอฟังค่ะ จากคุณ : มาม่าน้ำข้น เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 08:49:35

ความคิดเห็นที่ 4 มาเพิ่มเติมว่า ลูกค้ากลุ่มนี้ ได้พยายาม จะให้หนังสือพิมพ์ของเมืองลงข่าวว่า ทางร้าน ได้เป็นต้นเหตุ ของการ Spread Virus to Town แต่ เพื่อนของดิฉัน ที่ทำงานหนังสือพิมพ์นั้น ได้โทรมาบอกว่า ร้านดิฉันกำลังมีผู้ไม่หวังดีโทรมา บอกให้เค้าลงข่าว  แต่เพื่อนดิฉันได้ปฎิเสธไป เนื่องจากไม่มีหลักฐาน มายืนยันได้ และระหว่าง ช่วงที่ร้านปิด คืนวันอาทิตย์ ได้มีผู้ไม่หวังดี เอาสเปรย์ มาพ่นที่กระจกหน้าร้าน(หน้าร้าน เป็นกระจกใส ๆ ใหญ่มากก) ว่า ECOLI อีโคไล และมีบางส่วนได้ ส่งโพสข้อความทางอินเตอร์เน็ต ไว้มากมาย จากคุณ : I AM@TN เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 09:04:50

ความคิดเห็นที่ 5 ชั่วมาก จะกินฟรี กินฟรีไม่ได้ ก็แกล้งซะเลย จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 09:12:48

ความคิดเห็นที่ 6 จากนั้น ดิฉัน ก็ทำมาหากิน ตามปกติ ไปเรื่อย ๆ ทวงถาม เอกสาร ตามไป ก็ไม่ได้รับคำตอบใด ๆ โยนไปฝ่ายโน้นนี้นั้น จนเวลาผ่านไป ร้านก็เงียบลง ไปเรื่อย ๆ ไม่เหมือนปกติ มีหลายคนมีถาม(ลูกค้าที่สนิท) ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร้านยู ทำไม มีแต่คนว่าร้านอยู่ อาหารเป็นพิษ กินแล้วมีคนไม่สบายอาการหนัก เป็นร้อยยย ว่ากันไปนั้น -_-" เราก็อดทนช่างมัน ความจริง คือความจริง เรามีศัตรู แต่เราก็ยัง มีเพื่อน เพื่อน ๆ ลูกค้า ดี ๆ  คอยให้กำลังใจ บางกลุ่มมาทานเช้าเย็นทุกวัน พาคนมาทาน บอกว่า ไม่เคยเป็นอะไรเลย บางคนก็ไปแก้ต่างให้ ว่า ไวรัส มันมีทั่วไปในอากาศ  ไม่มีใครบอกได้ว่าใครเป็นต้นเหตุ ของไวรัส   บางคนในกลุ่มที่ ขอเงินคืนนั้น ออกมาขอโทษ แล้วบอกว่า ไอไม่ได้เป็นอะไรเลยนะ เค้าแค่บอกไอว่า จะไปเอาเงินยูคืน ไอบอกว่า ไอไม่เอาคืน ยูจะเอาก็เอาเอง บางคนมาบอกว่า เพื่อนเค้าในกลุ่มเป็นไวรัส แล้วเค้าทานอาหารด้วยกัน ในคืนนั้น เค้าติดกันเอง บางคน มาบอกว่า ยู เจอของแข็งแล้ว หนึ่งในกลุ่มนั้น เค้าเป็น ลูก เมเยอร์ของเมือง มาสามสมัย ตั้งแต่รุ่นปู่ (มิน่า แจ้งความเรื่องอะไรไว้เงียบหมด) บางคนบอกว่า เวลาจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น ขอขอบคุณ เพื่อน ๆ  ทุกคนที่ให้กำลังใจ ณ เวลานั้น จากคุณ : I AM@TN เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 09:12:49

ความคิดเห็นที่ 7 มกรา 2009 ผ่านไปหนึ่งปี ร้านได้ กลับมาคึกคัก อีกครั้ง เนื่องด้วย เทศกาล ทั้งหลาย ผู้คนมากมาย พากันมาเลี้ยงฉลอง เหตุการณ์ น่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าไม่นับรวมเศรษฐกิจ ของอเมริกา ที่ซ้ำเติม ทุกธุรกิจ ในปัจจุบัน ยอดขาย ณ เวลานี้ กับเหตุการณ์บ้านเมือง ณ วันนี้ ก็นับได้ว่าร้านดิฉัน ก็แข็งแกร่งพอสมควร ลูกค้า กลุ่มนั้น ได้กลับมาทานบ้างแล้ว เกินครึ่ง บางคนไม่ไปทานร้านญี่ปุ่น แต่ไปทานที่ร้านไทย ถ้าตัวดิฉันเจอ หรือน้องสาวเจอ ก็ทักทาย ถามไถ่ โอภาปราศรัย ตัวใหญ่ ๆ ต้นเรื่อง ป่านนี้ยังไม่กลับมาทาน (ทนายความ ลูกหลาน ตระกูลเมเยอร์) ใครดีมา เราดีตอบ ใครร้ายมา เราพยายาม ทำดีกับเขา ถ้าไม่หนักเกินไป นั้นคือ วิถีทาง การดำเนินชีวิต และ  การทำธุรกิจ ของดิฉัน และน้องสาว แต่สามีดิฉัน เป็นคน แข็ง และ ไม่ค่อยยอมใคร แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 52 09:23:49 จากคุณ : I AM@TN เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 09:22:14

ความคิดเห็นที่ 8 เวลาผ่านไป 1 ปี กับ 10 เดือน วันนี้ หนึ่งในกลุ่ม ลูกค้า ที่มีปัญหา ได้กลับมาทานที่ร้านญี่ปุ่นอีกครั้ง ซึ่ง ผู้หญิงคนนี้ เป็นต้นเรื่องในการ ฟ้อง Health Department (ดิฉันทราบ เพราะว่า เค้าเป็นคนมาบอกเองว่าเพื่อนเค้าและเค้าได้ไปแจ้งHealth Department และไม่อยากคุยกับดิฉัน หรือน้องสาว เพราะว่าดิฉัน และน้องสาว พูดภาษาอังกฤษ ไม่ได้เรื่อง " วันนี้ เป็นวันที่ดิฉันไม่ได้อยู่ที่ร้านญี่ปุ่น (ซึ่งเป็นปกติ เพราะสามีดูแลที่นั้น) วันนี้ เป็นวันที่ ผู้หญิงคนนั้น ไปทานอาหารกับสามี และ วันนี้ เป็นวันที่สามีชั้น เชิญ สองคนสามีภรรยา คู่นี้ ออกนอกร้าน โดยให้เหตุผล อะไรยังไม่ทราบ (เพราะว่ายังไม่ได้คุยกันละเอียด) เนื่องจากปรี๊ดด แตก มากกกกก โมโห สามี ว่าทำไม ไม่รู้จักให้อภัยกันไปซะ และ ไม่ได้เป็นคนไปเชิญด้วยตัวเอง ให้ เด็กเสิร์ฟไป บอกว่า ไม่ต้อนรับ ตรู อยากจะบ้า อยากจะถาม เหมือนหัวข้อกระทู้นะคะว่า "รู้สึกยังไง เกี่ยวกับการเชิญลูกค้าออกนอกร้านคะ" คือ ส่วนตัว ทำธุรกิจมา เจ็ดปี  ไม่เคย ทำอะไรแบบนี้กับลูกค้า และลูกค้าก็ขับรถมา ต่อว่า ดิฉัน กับน้องสาว ที่ร้านไทย ว่าโดนเชิญออกจากร้านจน รู้สึก อับอายขายขี้หน้าประชาชนคนในร้าน หลายแสน อยากทราบความคิดเห็นของหลาย ๆ ท่าน และ คำชี้แนะด้วยคะ ขอบคุณมากนะคะ จากคุณ : I AM@TN เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 09:39:33

ความคิดเห็นที่ 9   555+ ปกติมีแต่ลูกค้าออกเอง เป็นลูกค้าทีจิตรึเปล่าค่ะ จากคุณ : Nature Escape เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 09:49:17

ความคิดเห็นที่ 10 อยากจะแนะนำให้เจ้าของกระทู้เอา "ข้าวสารเสก" ผสมในอาหารให้พวกนั้นกิน จะได้ไปผุดไปเกิด! จากคุณ : ผัดไทยกุ้งสด เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 09:50:25

ความคิดเห็นที่ 11   สมควรแล้วค่ะ!! ให้เข้าร้านอีก เดี๋ยวอีก สามสี่วันก็มาขอเงินคืนอีก พอไม่ได้เดี๋ยวจะมากลั่นแกล้งกันอีก จากคุณ : Nunampeung เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 10:00:13 A:75.42.238.98 X: TicketID:187330

ความคิดเห็นที่ 12 เข้ามาทึ่งและอึ้ง ที่กล้าเชิญลูกค้าออกจากร้านดื้อๆ เราว่าแรงไปหน่อยนะคะ วิธีที่เราเคยทำ เวลาเจอลูกค้าที่เคยทำไม่ดีไว้ในร้านมาก่อน แล้วกล้ากลับมานั่งอีก คือ เวลาสั่งอาหารอะไร เราจะตอบว่า หมด สั่งผัดไทย  เราตอบว่า  Sorry!  We ran out of Pad Thai. สั่งอะไร เราก็ตอบแบบนี้ เดินหนี แล้วก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น เดี๋ยวก็ออกไปเองค่ะ แต่จะทำก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ และลูกค้าเคยก่อเรื่อง ทำให้เดือดร้อนมาก่อนนะคะ มีบางคนกินแล้วไม่จ่าย แล้วคิดว่าจำหน้าไม่ได้ กลับมาอีกก็มีค่ะ จากคุณ : McMullence เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 10:06:13

ความคิดเห็นที่ 13 I understand how your husband feel.  This is really interesting.  Of course, the restaurant have a right to refuse the service to anyone.  I would invite her out too. แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 52 10:48:59 จากคุณ : Kdorn75 เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 10:38:45

ความคิดเห็นที่ 14 ดิฉันว่าสมควรแล้ว ถ้าดิฉันเป็นสามีคุณ ดิฉันก็คงไม่ต้อนรับลูกค้าประเภทนี้เข้าร้่่านอีกเป็นแน่ เข้าใจว่าส่วนหนึ่งคุณคงเกรงว่าผู้หญิงคนนั้นจะมาหาเรื่องเล่นงานคุณอีก จากการที่สามีคุณไม่ต้อนรับเขา แต่ดิฉันมองว่าตัดไฟแต่ต้นลมดีกว่า เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหนอีก ที่ผ่านมาทั้งๆที่ไม่มีหลักฐาน เขายังเล่นซะจนธุรกิจของคุณย่ำแย่ไปหลายเดือน ดิฉันมองว่าเจ้าของธุรกิจก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกลูกค้าได้เช่นกัน แล้วก็คิดว่าสามีคุณมีเหตุผลที่ดีพอ และคงจะเชิญลูกค้าคู่นี้ออกจากร้านอย่างสุภาพ ไม่ได้ืืำทำกิริยาที่ไม่ดีใส่เขาหรอก ใช่ไหมคะ แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 52 11:15:41 จากคุณ : Northernlife เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 10:43:20

ความคิดเห็นที่ 15 แต่มันผ่านมา 1 ปีกับ 10 เดือนแล้วนะคะ คนเราอภัยให้กันไม่ได้เลยเหรอคะ สำหรับเรา เราว่ามันเกินไปหน่อยคะ ถ้าเราอยู่เราคงไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่เราอาจทะเลาะกับสามีแทน เพราะสามี ไม่เคยไว้หน้าใคร ไม่เคยคิดถึงใจใคร และคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำ ถูกเสมอ จากคุณ : I AM@TN เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 12:47:12

ความคิดเห็นที่ 16 เพิ่มเติมจากเหตุการณ์ หลังจากได้เรียก เด็กเสิร์ฟ ที่ร้าน( คนที่ไปบอกให้ลูกค้าออกไป) นั้น มาคุย เด็กเสิร์ฟที่ร้าน เป็นอเมริกัน ทำงานด้วยที่ร้านมา ห้าปีแล้ว ก็ได้ความเพิ่มเติมว่า -สองคนสามีภรรยาคู่นั้น เข้ามาทาน แบบลูกค้าทั่วไป -สามีดิฉันเห็น จากซูชิบาร์ซึ่งอยู่ กลางร้าน ก็บอกเด็กเสิร์ฟ ให้ไปบอกเค้าว่าร้านนี้ ไม่ต้อนรับ (You're not welcome in here) - ลูกค้า(ภรรยา) ถามว่า ทำไม -เด็กเสิร์ฟ บอกว่า เพราะว่าเค้ายังเสียใจในสิ่งที่พวกยู ทำไว้คราวก่อน (Because he still upset about you did last time) -ลูกค้า (ภรรยา) บอกว่า พวกชั้นซิควรจะเสียใจ ที่ ร้านยู ทำอาหารให้ทานแล้วพวกชั้นป่วย (We have to upset not him because he's cook bad food to us and we'er sick) -เด็กเสิร์ฟ บอกว่า เสียใจจริง ๆ เราเสิร์ฟยูไม่ได้ (I am so sorry that we can't serve you) -ลูกค้า (ภรรยา) บอกว่า งั้นคราวนี้ชั้นจะปิดร้านนี้อีก คอยดู (I will close this restaurant again ,will see) แล้วเค้าก็ออกไป และมาร้องเรียนที่ร้านไทย เจอดิฉันและน้องสาว ซึ่งดิฉันและน้องสาวได้ขอโทษไปแล้ว และเค้าก็บอกว่า เค้าจะไม่กลับมาทานอีกทั้งสองร้าน และจะไปบอกเพื่อน ๆ เค้าทุกคน สอบถามเด็กเสิร์ฟ เด็กเสิร์ฟ ยืนยันว่า ได้พูดกับ ลูกค้าด้วยความสุภาพอย่างแน่นอน ไม่ได้แสดงท่าทีให้ลูกค้า อับอายใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่มีลูกค้าโต๊ะอื่น ๆ สนใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ครั้งนี้เลย และยืนยันว่า ลูกค้าโกรธมาก และบอกว่า เราคงต้องเตรียมรับมือ กับ อะไรสักอย่างกันแล้วละ -_-" เฮ้อออออออออ  รู้สึกเหนื่อยหน่ายยยยยย เบื่อที่ต้องตามแก้ปัญหา เพราะเราคิดว่าสามีอารมณ์เหนือเหตุผลมากไป เหมือนกับ เรื่องไม่มีแล้ว ไปหาเรื่อง ยังไงอย่างนั้น เลยนะคะ มีใครคิดเห็น เหมือน หรือ แตกต่าง ช่วยแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณ ทุกความเห็นมากคะ จากคุณ : I AM@TN เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 13:05:22

ความคิดเห็นที่ 17 I will close this restaurant again ,will see ---> it is obviuosly that she is a troublemaker.  If it made her got sick last time, why did she come back here again and she even threaten to harass your business just because your husband didn't want her there?  It is his restaurant, he has a right.  I have to agree with your husband that I would not serve this customer too. จากคุณ : Kdorn75 เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 13:11:26

ความคิดเห็นที่ 18 แรงค่ะ เป็นดิฉันคงไม่กล้าทำ อย่างดีที่สุด ก็จะเป็นคนออกไปเสริฟเอง และย้ำถึงเหตุการณ์ครั้งก่อน พร้อมกับขอเก็บปัสสาวะกับอุจจาระลูกค้าคู่นี้ก่อนทานอาหาร.... 55555 ดิฉันแรงกว่าไหมคะ จากคุณ : sum1 (rptperfect) เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 13:59:32

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าเป็นเราเราก็คงปฏิเสธไม่รับค่ะ แต่ไม่ใช่เพราะเกลียดลูกค้าหรืออะไร แต่ไม่รับเพราะว่าไม่แน่ใจว่าลูกค้าจะแพ้อะไรในร้านจนป่วยอีกหรือเปล่า จากเหตุการณ์แรกลูกค้าเกิดอาการป่วยแต่ผลสรุปทางร้านยังไม่เห็นแน่ชัดว่าเกิดจากอะไร คงอธิบายลูกค้าไปตรงๆค่ะว่า ทางร้านรับไม่ได้เพราะไม่แน่ใจว่าลูกค้าแพ้อาหารใดในร้านหรือเปล้าและเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยต่อตัวลุกค้าเพราะเหตุการณ์ครั้งก่อนทางร้านไม่ได้รับผลสรุปจากทางลูกค้าและข้อสรุปที่ชัดเจนจากศูนย์ตรวจสอบสุขภาพว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกค้า ดังนั้นทางร้านจึงเป็นห่วงในสุขภาพของคุณซึ่งมีปัญหาเมื่อมาทานที่ร้านเรา คงอธิบายไปแบบนี้ค่ะ จากคุณ : jinjung เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 15:10:52

ความคิดเห็นที่ 20 เราคิดว่าสามีคุณทำถูกแล้วค่ะ ขอโทษนะคะ เราว่าคุณนั่นแหละที่ทำไม่ถูกที่ไปขอโทษเขา จริงอยู่คุณเป็นคนไทย เราจะมีนิสัยอะลุ้มอะหล่วยหยวน ๆ  แต่ถ้าสามีคุณตัดสินใจทำไปแล้ว และคุณไปแสดงตัวว่าคุณเข้าข้างฝ่ายตรงข้ามลับหลังสามีด้วยการขอโทษเขา (การที่คุณขอโทษ เท่ากับคุณบอกว่าคุณเป็นฝ่ายผิด) ถ้าเราเป็นคุณ ยายลูกค้าตัวแสบมาฟ้องเรา ต่อให้เรานึกว่าสามีในใจว่าโห...ทำเกินไปจริง ๆ ก็คงแค่เออ ๆ ออ ๆ รับฟังเฉย ๆ เพราะถ้าไปพูดให้ความเห็นใจอะไรยายนั่น เท่ากับว่าคุณไม่เคารพการตัดสินใจของสามีที่เป็นเจ้าของร้าน (ยืนยันว่า สามีคุณมีสิทธิ์บริการหรือไม่บริการลูกค้าได้ เท่า ๆ กับลูกค้ามีสิทธิ์เลือกเข้าร้านไหนก็ได้ เพราะสามีคุณไม่ได้เป็นข้าราชการอำเภอที่กินภาษีประชาชน และมีหน้าที่บริการประชาชนนี่คะ) ส่วนเรื่องที่คุณเห็นด้วยกะสามีหรือไม่ ค่อยไปเถียงกันสองคนที่บ้านค่ะ เรื่องมันแล้วไปแล้วช่างมันดีกว่า เราแค่อยากมาบอกว่า สามีคุณทำถูกค่ะ เป็นเรา ๆ ไม่ให้เข้าตั้งแต่ทีแรกแล้ว ไม่ฟ้องกลับก็บุญแล้ว โทษฐานที่ทำให้เราเสียเวลาทำมาหากิน เสียรายได้ หลักฐานอะไรก็ไม่มี ถ้าพวกนี้มีหลักฐานจริง ๆ ร้านคุณโดนปิดไปตั้งนานแล้ว จากคุณ : Schnuckiputz เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 15:50:25

ความคิดเห็นที่ 21 เจ้าของกระทู้มองโลกในแง่ดีเกินไปหรือเปล่า คนเราถ้ามันคิดจะหาเรื่อง ยังไงเรื่องแค่ขรี้เล็บ มันจะทำจนเป็นขรี้ช้างได้ ผมไม่อยากให้คุณต้องเสียใจเพราะเป็นคนมองโลกในแง่ดีเลยครับ สามีคุณทำถูกแล้วละครับ คุณสามารถรับฟังเขาได้ แต่กรุณาอย่าไปทะเลาะเบาะแ้ว้งกับสามีึคุณ มันเท่ากับคุณปกป้องคนที่ทำให้คุณกับสามีต้องเกือบธุรกิจจะเจ๊ง ทำไปเพื่ออะไรครับ จากคุณ : พัฒน์ เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 17:00:35

ความคิดเห็นที่ 22 ฝรั่งไม่ใช้ พระเจ้า เข้าใจว่า การทำธุระกิจ ลูกค้า คือพระเจ้า แต่ถ้าแบบนี้ ก็ไม่ไหวครับ จากคุณ : นักเรียนรากแก้ว เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 18:09:34

ความคิดเห็นที่ 23 อ่านแล้วก็ปวดหัวแทน ผมไม่เคยไล่ลูกค้าออกจากร้าน มีแต่ครั้งนึง ลูกค้ายืนยันจะนั่งกินในพื้นที่ที่ปิดแล้ว ผมก็ยืนยันไม่ให้นั่ง ลูกค้าขู่ว่าถ้าไม่ให้นั่งก็จะไม่กิน ผมก็บอกงั้นก็ตามใจ ถ้ากินโต๊ะอื่นไม่ได้มาใหม่วันหลังตอนยังไม่ปิดละกัน แล้วก็สะบัดแฮร์เชิดใส่ จากคุณ : ดอส เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 18:28:06

ความคิดเห็นที่ 24   คุณจขกท.คะ  เราคิดว่าคนอื่น(ลูกค้า)ก็คือคนอื่น ในกรณีอย่างนี้ สามีคุณได้ทำไปแล้ว เหตูการณ์ได้เกิดไปแล้ว ถ้าเป็นเรา เราจะไม่ตำหนิสามีค่ะ เหตุผลคือ เรารักสามีเรามากกว่าไอ้พวกนั้น เราคิดว่าต้องถามสามีว่าเค้าโอเครึเปล่า แล้วไปแล้วก็แล้วไป แต่ต่อไปคงต้องใช้วิธีแบบความเห็นบนๆน่ะค่ะ จะสั่งอะไร..ก็บอกว่าของหมด จะดีกว่า แล้วก็บอกสามีคุณว่า ไม่ว่ายังไงชั้นเคารพในการตัดสินใจของเธอ ชั้นอยู่ข้างเธอนะ จิตใจคู่ชีวิตสำคัญที่สุดค่ะ ชีวิตครอบครัวของเพื่อนสนิทเรา พ่อแม่เรา พังทลาย ก็เพราะการไม่ใส่ใจกัน ต่างฝ่ายต่างคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งต้องเข้าใจฉัน อยู่กันมาขนาดนี้ไม่รู้เหรอว่ารัก ห่วงใย จขกท.อาจจะมองว่านอกประเด็นนะคะ แต่ในฐานะคนไทยด้วยกัน อยากแชร์ประสบการณ์ค่ะ จากคุณ : จ้าวหยา เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 18:34:42

ความคิดเห็นที่ 25 ลูกค้าที่สร้างปัญหามาก ๆ เชิญออกไปก็ดีแล้วค่ะ จากสิ่งที่เธอทำไว้เป็นเรื่องราวใหญ่โต  เป็นดิฉัน ๆ ก็เชิญออกไปเหมือนกัน ใครจะรู้ว่าหล่อนจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ถ้าบริสุทธิ์ใจจริง ๆ  หลังจากเกิดเรื่องราวแล้วทำไมหายไปเลย กลับมาพูด มาคุย ปรับความเข้าใจกันก็ได้นี่ เท่าที่อ่าน ๆ ดูจากเหตุการณ์ที่คุณเล่ามาแล้ว  ไม่ได้รู้สึกว่าสามีคุณทำเกินไปเลย จากคุณ : Amber n the Gang เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 19:38:06

ความคิดเห็นที่ 26 เข้าใจ จขกท ค่ะ เคยทำงานร้านอาหารมีลูกค้าสั่งให้ไปส่งที่บ้าน คนส่งเอาไปส่งผิดบ้าน เค้าโทรมาบอกจะขอเงินคืน ทางร้านก็บอกขอโทษจะเอาอาหารใหม่ไปส่งให้ ทางลูกค้าบอกไม่เอาอยากได้เงินคืนอย่างเดียว พร้อมทั้งบอกเค้าไม่รู้ว่ามีอะไรในอาหารที่เค้าไม่ได้สั่งบ้าง ถ้าเกิดกินไปแล้วแพ้ขึ้นมาจะทำอย่างไร พร้อมกับบอกว่าเค้าเป็นทนายความ ประมาณว่าถ้าไม่คืนเงินก็ระวังได้ วันสองวันต่อมามีเจ้าหน้าที่จาก Health Department มาตรวจค่ะ บอกว่ามีคนโทรไปแจ้งว่ามีแมลงในข้าวเหนียวมะม่วง เลยขอตรวจร้าน แต่ตรวจแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร เรื่องอาหารนี่มีให้เห็นบ่อยมาก ทั้งๆ ที่รู้ว่าหลายครั้งคนตั้งใจจะกินฟรี ก็จำต้องให้ไป จากคุณ : ศรีธนา เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 20:16:05

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณ ทุกความเห็นมากนะคะ ดิฉัน โมโหสามี เพราะว่า ดิฉันคิดว่า เรื่องมันก็นานมาแล้ว แล้ว สามีเค้าก็เคยมาทานที่ร้าน แล้วกับเพื่อน ๆ เค้าก่อนหน้านี้ แล้ว เค้าก็ไม่ได้มาสร้างความเดือดร้อนอะไร ถ้าดิฉันอยู่ ก็จะปล่อยให้ทานไป  เพราะดิฉันทำอย่างนั้นจริง ๆ  กับพวกเค้าและเค้าก็เคย มาเจอดิฉันที่ร้านไทย และกลับมาทานที่ร้านไทย เหมือนเดิมเพราะเค้าเป็นลูกค้ามานาน ตั้งแต่เปิดร้าน ด้วยความเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาตลอด และ ปฏิบัติดีกับคนรอบข้าง บวกกับ นิสัยส่วนตัวของดิฉัน เป็นคน ที่ให้โอกาส คน จึง ให้อภัย และ ให้โอกาส  กับ คนต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆ แม้กระทั้งกับสามี  ที่นิสัย ตรงข้ามกับดิฉัน ดิฉัน ก็พยายามยอมรับ และให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไปแล้ว และพยายามให้โอกาส เพื่อแก้ไข อยุ่ด้วยกันมา สิบปี ไม่มีสักนิดที่ไม่รัก  แต่อยากให้เค้าคิดบวก ปล่อยวาง อภัย และ ชั่งใจ ก่อนจะลงมือทำอะไรทุกตรั้ง ไม่อยากให้เค้า ยึดติดกับการแก้แค้น รอคอย ว่าวันไหน จะกลับมาทาน เพื่อที่จะได้เชิญออกร้าน จนวันที่ได้แก้แค้นมาถึง ดิฉัน ก็คิดมาตลอดเวลาว่าเค้าคงจะพูดเล่น แต่เค้าก็ทำจริง ๆ มันก็เลย เสียใจบ้าง ที่เค้ามีนิสัย เจ้าคิดเจ้าแค้น เหลือเกิน (ไม่ใช่แค่ลูกค้า แต่กับทุกคนที่ทำให้เค้าแค้น เค้าไม่เคยขอโทษใคร ไม่เคยแคร์ใคร) ดิฉันเป็นคนไม่ค่อยอยากมีเรื่องมีราวอะไรเข้ามาในชีวิตมากมาย อยากดำเนินชีวิตแบบง่าย ๆ ทำมาหากินไปเรื่อย ๆ ไม่อยากให้มีเรื่องปวดหัว ตอนนี้ ก็คงทำอะไรไม่ได้ เพราะว่า สามีได้ทำไปแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ต้องยอมรับ กับสิ่งที่เค้าได้ทำลงไป เตรียมรับมือ แก้ไข ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ถ้าหากบังเอิญ สามีดิฉัน ได้เข้ามาอ่าน ดิฉันอยากฝากบอกว่า "บางเรื่องให้หลับตาทำเป็นไม่เห็นบ้างชีวิตจะเป็นสุข" "ความแค้น ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ถ้าอภัยได้ ก็อยากให้ทำ" คิดไว ทำไว เป็นเรื่องที่ดี แต่อยากให้ทบทวนก่อนทำ โดยเฉพาะเรื่องของจิตใจ บางครั้ง เรื่องเล็ก ๆ อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ หรือ ทำลายธุรกิจได้ทันที เพราะความแค้นของคนเรา มันสามารถ ทำได้ทุกอย่าง ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นมากนะคะ ขอบคุณมากคะ (แล้วจะแวะมาเล่าเรื่องราวให้ฟังอีกคะ นี้เป็นกระทู้แรกเลยนะคะที่เขียนยืดยาวขนาดนี้ ปกติ เป็นคนไม่ค่อย ทำอะไรแบบนี้ เข้ามาอ่านซะมากกว่า แต่อารมณ์ ปรี๊ดดดดด สติแตก มันทำให้ พิมพ์ออกมาได้มากขนาดนี้นะคะ) จากคุณ : I AM@TN เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 21:57:59

ความคิดเห็นที่ 28 สามีคุณอาจจะทำเพื่อแก้แค้นจริง แต่อีกแง่หนึ่ง ก็มองได้ว่าเป็นการป้องกันไว้ดีกว่าแก้ ถ้าเป็นดิฉัน ดิฉันจะอธิบายแบบเดียวกับที่คุณ jinjung ในความเห็นที่สิบเก้าแนะนำไว้ ว่าเนื่องจากเขาเคยมีปัญหาว่าเกิดป่วยหลังจากทานอาหารที่ร้านมาก่อน แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นหนาว่าอาหารของเราเป็นเหตุจริง แต่ฉะนั้นเพื่อเป็นการกันไว้ก่อน ก็ขอเชิญเขาไปทานร้านอื่น ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อความปลอดภัยของเขาเอง จากคุณ : Northernlife เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 22:37:35

ความคิดเห็นที่ 29   "Of course, the restaurant have a right to refuse the service to anyone." จากคุณ : Kdorn75 ...I do agree. ...If you let them eat again, you might be in trouble again. ...Real work is not an ideal world. จากคุณ : tan เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 00:29:33 A:78.20.213.17 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 30   เท่าที่อ่านมา........ สรุปได้ว่า คุณไม่ให้เกียรติสามีคุณเลยค่ะ คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาออกความเห็น เค้าก็เห็นด้วยกับสามีคุณ ตัวคุณเองยึดความเห็นของตัวเองเป็นใหญ่เกินไป การมองโลกในแง่ดี และรู้จักให้อภัย นั่นดีนะคะ แต่จะดีกว่าถ้ามองโลกในแง่จริง แบบสามีของคุณ จะได้หาทางป้องกันตัวเอง ไม่ตกเป็นเหยื่อของใครซ้ำแล้วซ้ำเล่า สงสารสามีคุณจัง จากคุณ : ผัวหาบเมียคอน เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 01:27:33 A:124.121.34.175 X: TicketID:239947

ความคิดเห็นที่ 31 I would like to give a heart to Comment #30. จากคุณ : Kdorn75 เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 01:30:16

ความคิดเห็นที่ 32 ถ้าเป็นเรา  เราคงทำแบบสามีคุณจขกทก็ได้ค่ะ เพราะเรายังไม่รุ้เลยว่าจะมาไม้ไหน  นี่ขนาดเชิญออกจากร้านแล้ว ยังมาบอกว่าจะสั่งปิดอีก  เกิดกินไปแล้วท้องเสียไม่สบายอีกล่ะค่ะ  ได้มีเจ้าหน้าที่มาตรวจกันอีกพอดี ตัดไฟแต่ต้นลมค่ะ คุณจขกทอย่าโมโหสามีเลยนะค่ะ หนูว่าสามีพี่  น่าจะโมโหพี่มากกว่าที่ไปขอโทษลูกค้าคนนั้น คนบางคนทำดีด้วยได้ค่ะ  แต่คนบางคนทำดีไปก็เท่านั้นค่ะ ..... ตอนเชิญลูกค้าลูกหลานคนใหญ่คนโตคนนั้นออกไป  แนะนำว่า   อย่าลืมถอนสายบัว แล้วบอกว่าอัญเชิญด้วยนะค่ะ ..... หนุหวังว่าคงไม่เกิดเรื่องร้ายแรงอะไรกับร้านพี่นะค่ะ ^____^ จากคุณ : IBeNes (IBeNes) เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 02:13:05

ความคิดเห็นที่ 33 สามีคุณทำถูกแล้ว คุณมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ ที่จะให้บริการกับลูกค้าที่เราคิดว่าเค้าจะสร้างปัญหาให้กับเราหรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ถ้าหากครั้งนี้สามีคุณยอมให้เค้าเข้ามาทานได้แล้วเค้าโทรมาบอกว่าเกิดอาการอย่างอื่นที่รุนแรงกว่าท้องเสียหละ คุณจะเสียหายเท่าไหร่ อย่าคิดมาก พวกคุณแค่ปกป้องสิทธิของคุณเอง ไม่ได้กระทำอะไรรุนแรงหรือล้างแค้นชะหน่อย จากคุณ : Green-apple เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 02:21:29

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณ ทุกความเห็นนะคะ ถึงแม้คนเราเป็นสามีภรรยากัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเห็นด้วยกับสามีทุกเรื่อง  และเรื่องนี้ดิฉันก็ ยังคงไม่เห็นด้วยกับสามี ไม่ได้เป็นเรื่องไม่ให้เกียรติ แต่เป็นเรื่องของธุรกิจ ในอีกมุมหนึ่ง การที่ดิฉัน ขอโทษ ลูกค้า ที่ สามีทำกริยา เช่นนั้นใส่ ดิฉัน ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ สามีอย่างใด แต่ดิฉันรู้สึกอยากขอโทษ จริง ๆ ในฐานะที่ดิฉันเป็นเจ้าของสถาณที่ และอยากขอโทษที่ลูกค้า ไม่ได้รับการบริการ และดิฉัน แค่อยากให้ ความรู้สึกของลูกค้าดีขึ้น จากที่เค้าโมโหมากกก ๆๆๆ อาจจะทำให้เค้ารู้สึกดีขึ้น จากคำขอโทษ ของดิฉัน จากที่มันควรจะหนัก มันอาจจะผ่อนคลายกลายเป็นเบาบางลงไปได้บ้าง ดิฉันไม่จำเป็นต้อง ทำตามในสิ่งที่ไม่ถูกต้องของสามีตลอดเวลา ดิฉันยังคงรักสามี และ คิดว่า การให้อภัย เป็นสิ่งที่ควรทำ ถ้าทำได้ ในความเป็นจริงของการทำธุรกิจ คงไม่มีใคร อยากสร้างศัตรูให้ธุรกิจแน่ ๆ ดิฉัน เข้ามาตั้งกระทู้ เพื่ออยากทราบว่า คนส่วนใหญ่รู้สึกอย่างไร ก็ได้รู้ว่า คนส่วนใหญ่ ไม่ได้คิดเหมือนดิฉัน  และเห็นด้วยกับสามี โดยส่วนตัว ยังคงทำธุรกิจ แบบถ้อยทีถ้อยอาศัย และไม่เห็นด้วยกับการโต้ตอบกลับแบบรุนแรง หากมีวิธีอื่น ที่ดีกว่านี้ คงจะดีไม่น้อย ไม่ได้ไม่ให้เกียรติ แต่ไม่เห็นด้วย กับสิ่งที่เค้าได้ทำไป คะ ขอบคุณทุกความเห็นมากนะคะ จากคุณ : I AM@TN เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 02:22:19

ความคิดเห็นที่ 35 เห็นด้วยกับ ความคิดเห็นที่ 34 จากคุณ : Birdysiam เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 08:36:03

ความคิดเห็นที่ 36 เข้ามาให้กำลังใจ จขกท นะคะ เห็นใจมากๆ ทำธุรกิจเกี่ยวกับบริการเนี่ย ต้องแก้สารพัดปัญหาเฉพาะ หน้า ไหนจะต้องเอาใจคนครัว เด็กเสริฟ์ขโมยทิป ลูกค้าก็จ้องจะเอาเปรียบกินฟรี ไหนจะรายจ่าย สารพัดเรื่องซ้ายขวา ไหนจะเรื่องคนในครอบครัวอีก ลงเรือลำเดียวกัน การตัดสินใจที่รุนแรง ย่อมมี ผลที่รุนแรงตามมา แต่จะยอมให้ ก็อาจไปเจอพวกได้คืบจะเอาศอก กะระยะไม่ถูก อยู่ที่เราเจอคน แบบไหนด้วยค่ะ ก็ขอให้ลูกค้าคนนั้นเลิกลา และหยุดที่จะกลับมาหาเรื่องคุณอีกนะคะ จากคุณ : McMullence เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 10:05:22

ความคิดเห็นที่ 37 จขกท.ยังคงรอบทเรียนราคาแพงอยู่  ก็เป็นสิทธิ์ของคุณเองครับ ก็ได้แต่เอาใจช่วยให้รอดพ้นปลอดภัย  และรู้สึกสงสารสามีคุณยิ่งนัก... จากคุณ : Uncle Tee เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 10:27:59

ความคิดเห็นที่ 38 อิตาทนายที่ว่าจะฟ้องเอาค่าเสียหายจากร้าน ว่าเขาต้องเสียรายได้ไปวันละตั้งเท่าไหร่ ทางร้านก็พูดได้นะว่าร้านก็เสียรายได้ไปเยอะเหมือนกัน กับการต้องปิดร้าน แล้วจริงๆน่ะ ร้านที่ไหนเขาก็อยากทำมาหากินให้ได้เงินเยอะอยู่แล้ว เรื่องที่จะทำให้คนไม่สบายแล้วต้องเสีย reputation นั้น ร้านดีๆที่ไหนก็ไม่อยากทำทั้งนั้นแหละ น่าเห็นใจสามีคุณที่เขาโมโห แค้นฝังหุ่นกับลูกค้าอย่างนั้น โผล่มาอีกทีเลยต้องเชิญออก น่าสงสารเด็กทำงานในร้านที่ต้องเป็น messenger ดิฉันคิดว่าคุณเองก็ดูท่าทางเป็นคน nice ใจดี ซึ่งก็เป็นลักษณะที่ดีของคนที่ run business แต่คุณอาจจะมี issue อะไรกับสามีของคุณอยู่ พอมีเรื่องอย่างนี้เลยได้ปรี๊ดแตก ขอด่าอิตาแมเนเจ้อร์นี่เสียหน่อย เรื่องล้างมือให้สะอาดนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะคนทำอาหารอาจเป็นพาหะนำเชื้อ เจ้าตัวไม่เป็นอะไรเลย สบายดีทุกอย่าง แต่เชื้อโรคในตัวจะผ่านไปสู่คนอื่น ทำให้ไม่สบายถึงตายได้ จากคุณ : PatPDX เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 10:43:09

ความคิดเห็นที่ 39 คุณ จขกท จะไปกลัวเขาทำไมคะ จะลูกใครก็ช่างอิเจ๊มันดิ เขาเป็นฝ่ายหาเรื่ิองเราก่อน ทำไมต้องยอมไปขอโทษขอโพยเขาขนาดนั้น ศักดิ์ศรีกินไม่ได้ก็จริง เเต่คนเราุึถึงท้องอิ่มเเต่ศักดิ์ศรีโดนย่ำยี ใจมันก็ไม่เป็นสุขหรอกค่ะ เหมือนความเป็นคนขาดหายไปไม่เต็มส่วน ส่วนตัวเชื่อว่าสามีของคุณเ้ชิญลูกค้าิิิิออก ไม่ใช่เเค่เพราะจะเเก้เเค้น แต่เป็นการกันไว้ดีกว่าเเก้เป็นเหตุผลประการหลักมากกว่า ก็เคยเห็นนิสัยกันมาก่อนซะเเล้วนี่ เห็นไหมล่ะพอไม่ถูกใจเเม่ก็ลายออกอีกจริงๆด้วย เเหม มีการขู่ว่าจะปิดร้าน ยิ่งใหญ่จริงๆเเม่เิอ๊ย กลัวตายล่ะ สรุป เห็นด้วยที่สามีของคุณตัดไฟเเต่ต้นลม ทำถูกเเล้วค่ะ คนพาลเเบบนี้ไปทำธุรกิจด้วยก็มีเเต่เสียกับเสียนะ วันนี้เเม่ถูกใจก็รอดไป อ้าว วันหน้าเกิดทำอะไรไม่ถูกใจหล่อนเข้า อิเจ๊ก็จะหาเรื่องข่มขู่เอาอีก ได้คืบจะเอาศอก ไม่มีจบหรอกค่ะ ตัดตัวก่อปัญหาทิ้งไปซะตอนนี้ดีกว่า เฮ้อ ยังไงก็ขออวยพรให้เคราะห์หามยามซวยทั้งหลาย หายลงชักโครกไปให้หมดก็เเล้วกัน ต่อไปนี้่ก็ขอให้ขายดี เซ็งลี้ฮ่อนะจ๊ะ ***Edit typo แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 52 19:35:40 จากคุณ : Jennifer Lowclass เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 19:34:19

ความคิดเห็นที่ 40 เราเข้าใจเจ้าของกระทู้นะ  เพราะถ้าลองสมมติว่าตัวเราเองเป็นเจ้าของธุรกิจ เราก็คงไม่อยากจะมีเรื่องมีราวให้มันยุ่งยาก โดยไม่จำเป็น แต่ถ้าลองมองในแง่ดีอีกอย่างคือ  การเชิญลูกค้าที่เคยมีปัญหาออกนอกร้าน ก็เป็นการป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งเหมือนกัน  เพราะเค้าอาจจะป่วยและสร้างปัญหาอีกก็ได้ เรามองว่าที่จขกท.รู้สึกแย่คือ วิธีการ และอารมณ์ ของคุณสามีที่ทำไปตอนนั้น (เพราะคุณบอกว่าเค้ารอจะเอาคืนอยู่แล้ว ) มากกว่า  หากคุณทั้งสองได้เคยนั่งพูดคุยตกลงกันมาก่อนว่า ถ้าลูกค้าที่สร้างปัญหากลับมาอีก จะจัดการกันอย่างไร คุณอาจจะตกลงปลงใจกับสามีว่า จะไม่ต้อนรับลูกค้ากลุ่มนี้ แต่อาจจะมีการพูดจา เหตุผลที่ดูดีกว่านี้  แต่เมื่อไม่เคยมีการพูดคุยกันมาก่อน เมื่อคุณมารู้ทีหลัง ประกอบกับ คุณรู้ว่านิสัยสามีเป็นอย่างไร คุณจึงปรี๊ดดดด อย่างที่บอกไว้ในคห.ที่ 27 ความใจเย็น และรู้จักการจัดการกับปัญหาโดยไม่เอาอารมณ์มาเกี่ยวข้อง เป็นลักษณะที่ดีของคนทำธุรกิจ เพราะคุณต้องเจอคนมากหน้าหลายตา ต่างจิตต่างใจ หลายปัญหา ไม่ใช่ทำอะไร เอาสะใจอย่างเดียว   ไม่ได้บอกว่าคุณจะต้องต้อนรับขับสู้คนที่นำความยุ่งยากมาให้คุณโดยไม่มีเหตุผล  แต่การจะเชิญลูกค้าออกนอกร้านควรจะมีวิธีการที่ดี และแนบเนียนกว่านี้ เช่น บอกว่าอาหารหมด (อย่างคห.ข้างบน) หรือ บอกไปตรงๆว่าทางร้านไม่แน่ใจว่า ลูกค้าจะป่วยอีกหรือเปล่า เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดปัญหา (อย่ากินเลยนะจ๊ะ ไปร้านอื่นเหอะ)   อย่างนี้คุณก็ไม่ต้องมาทนบริการลูกค้า และไม่ต้องมีเรื่องยุ่งยากใจตามมา win win ทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องมันเกิดไปแล้ว  ที่ทำได้อย่างเดียวคือ ทำใจ  และอาจจะต้องหันหน้ามาคุยกัน (ดีๆ ) กับสามี ว่าต่อไปจะมีมาตรการอย่างไร  (เพื่อให้เป็นไปในทางเดียวกัน ทั้งสองร้าน )    สงสัยนิดนึง  การที่เค้าบอกว่า จะปิดรานอีก   ถือเป็นการข่มขู่ได้มั้ย  เราสามารถแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนเพื่อป้องกันตนเองได้มั้ย  ลองเก็บประเด็นนี้ไปคิดดู เผื่อเค้าไปฟ้องร้องอะไรขึ้นมาอีก เราจะได้มีหลักฐานที่แสดงว่าเค้าอาจจะอคติกับร้านเรามาก่อน (ไม่แน่ใจว่าทำได้มั้ย ไม่มีความรู้เรื่องกฏหมายค่ะ) ใจเย็นๆ หันหน้าคุยกันค่ะ  เอาใจช่วยนะคะ จากคุณ : Dr.Suess เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 52 00:09:50

ความคิดเห็นที่ 41   ขอ comment อีกครั้ง จขกท คิดถูกทำถูก หากคุณอยู่เมืองไทย แต่ถ้าอยู่อเมริกา dealกับคนที่คิดแบบAmerican ต้องตัดไฟแต่ต้นลม อย่างที่สามีคุณทำ คุณให้เขามากิน เขาก็ปิดร้านคุณ คุณไม่ให้เขามากิน เขาก็ปิดร้านคุณอยู่ดี เลือกเอาค่ะว่าจะทำดีกับคนอย่างนั้นหรือเปล่า จากคุณ : ตาน เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 52 01:51:48 A:78.20.216.82 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 42 ู^ ^ ^ เห็นด้วย เราว่าสามีคุณทำถูกแล้ว ที่ตัดปัญหาตั้งแต่เริ่ม ไม่ได้เกี่ยวกับความเเค้นทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าเจ๊ลูกหลานเมเยอร์เนี่่ยถ้าเค้าป่วยจริงๆทำไมไม่เอาใบรับรองแพทย์มาคะ อยู่เฉยๆ บอกลอยๆว่าป่วยออกแนวไถเงินไปไหม แต่อยากให้หาวิธีเชิญออกเนียนๆกว่านี้ คือ บอกว่าของหมดทุกเมนู หรือ ไม่ก็ด้วยความเป็นห่วงสุขภาพจากทางร้านซึ่งเราผ่านมาตรฐานของ Health Department แต่เกรงว่าจะมมีปัญหากับลูกค้าในเรื่องสุขภาพของลูกค้าในอนาคตได้ เพื่อลดความเสี่ยง(ที่จะโดนไถตังและปิดร้านอีก)เราจึงขอไม่รับคุณลูกค้าเข้าร้าน บริการคนแบบนี้มีแต่ปัญหา ยอมโดนขู่จะปิดร้านดีกว่า ถึงเจ๊เอาไปป่าวประกาศคนรู้จักเจ๊นี้ก็คงมีสติพอจะรู้ว่านิสัยมันเป็นยังไง คราวที่แล้วลองได้กลั่นแกล้งขนาดนี้แล้วคุณยังไม่เข็ดเหรอคะ จากคุณ : drunk on the beach~* เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 06:14:19

ความคิดเห็นที่ 43 เป็นเรา คงเชิญออกตั้งแต่เข้าประตูมาแล้วล่ะคะ - -" ไม่มีหน่วยงานที่มีอำนาจเหนือกว่านั่นแล้วเหรอคะ? พวกใช้อำนาจเบ่งเนี่ย ไม่ชอบเลย จากคุณ : วิหคลม เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 10:43:02