เรื่องเงินในบัญชีที่จะต้องแสดงเพื่อขอวีซ่า ทำไมจะต้องมีด้วย ในเมื่อ.........
|
|
ไม่รู้ว่าจะทำให้พี่ ๆ เพื่อน ๆ ในห้องนี้ขำหรือเปล่า ถ้าจะขอตั้งกระทู้ที่สงสัยมานาน เรื่อง เงินในบัญชีที่จะต้องแสดงในการขอวีซ่า
ทำไมจะต้องมีด้วย เพราะในเมื่อคนที่มาขอวีซ่าไปประเทศต่าง ๆ ก็ต้องมั่นใจแล้วว่าจะต้องอยู่ หรือเที่ยว แบบมีเงินพอที่จะไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน หรือจะต้องไปเป็นขอทาน (แรงไปขอโทษด้วย) ที่ต่างประเทศ ใครจะอยากไปทำแบบนั้น จริงมั้ยคะ
ทำไมสถานทูตไม่ดูแค่เอกสารประกอบ เช่น เอกสารประกอบจากมหาวิทยาลัยที่จะไปเรียน หรือ เอกสารจากผู้สปอนเซอร์ หรือ จดหมายเชิญจากญาติ เพื่อน พี่น้อง เอกสารรับรองการทำงานในประเทศ หรือ ต่างประเทศ และ อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ตัวเลขในบัญชีเงินฝาก
เพราะอะไรน่ะหรือคะ ที่ จขกท สงสัย เพราะ เราคิดว่าคนที่มาต่างประเทศ อาจจะไปยืม ไปกู้ มาใส่เพื่อทำให้บัญชีในธนาคารดูสวย และเป็นไปตามที่กำหนดของการขอวีซ่าแต่ละประเทศ
เช่น (ไม่ต้องดูอื่นไกลค่ะ ขอยกตัวอย่างเราละกัน) เพราะเราขอวีซ่ามาฝึกงานที่ท่าเรือที่โคเปนเฮเก้น ตอนที่เรายังเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เราก็มี
1. เอกสารจากสถานบันที่เราแจ้งความจำนงมาฝึก 2. เอกสารรับรองสถานะการเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยว่าเราเป็นนักศึกษา 3. จดหมายจากโฮสต์ที่รับรองที่พัก
ส่วนสเตรทเม้นท์บัญชีเงินฝาก + ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ สถานทูตบอกว่าให้เราเอามายื่นเมื่อวีซ่าผ่านแล้ว ........ เออ...งงมั้ยคะ ก็ในเมื่อวีซ่าผ่านแล้ว จะให้เอาบัญชีไปโชว์ทำไมกันนะ (สงสัยมากค่ะ) แต่ก็คิดว่า อาจจะเป็นเพราะเรายังเป็นนักศึกษา ยังไงก็ต้องกลับมาเรียนให้จบ ยิ่งเป็นปีสุดท้าย สถานทูตเลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องดูเงินในบัญชีเป็นการประกอบการขอวีซ่าก็ได้ ....(แล้วจะให้เอาไปโชว์ทำไมตอนได้วีซ่าแล้วล่ะ...ยังแอบงงค่ะ)
ทีนี้ วีซ่าก็อนุมัติ ซึ่งรอเพียง 5 สัปดาห์ (วีซ่าประเทศเดนมาร์กจะอนุมัติภายใน 5-7 สัปดาห์ ไม่รู้ว่าตอนนี้เปลี่ยนแปลงหรือยัง) และเมื่อเราได้วีซ่า ทางวีซ่าก็บอกให้ถ่ายสเตรทเม้นท์หน้าสุดท้ายและสมุดจริง มีเงินไม่ต่ำกว่า 40.000 บาท ไปโชว์ด้วย (จะโชว์ไปทำไมนี่....ก็ผ่านแล้วนี่นา)
และแล้วเราก็ได้เดินทางฝึกงานที่ท่าเรือโคเปนเฮเก้น 3 เดือน ตามที่ขอมา และก็ผ่านไปด้วยดี
วีซ่าไปฝึกงาน ก็ ผ่านไปด้วยดี แต่แอบสงสัยนิดหน่อยเรื่องเงินในบัญชี แต่ก็คิดว่าคงเพราะเรามาฝึกงาน เค้าเลยไม่เคร่งครัดเรื่องเงินในบัญชีก็ได้ เพราะเอกสารทุกอย่างที่แสดงตอนขอวีซ่า ก็น่าจะเพียงพอ
จบเรื่องวีซ่าขอฝึกงาน ทีนี้มีต่อค่ะ เพราะเรามาฝึกงาน ก็เลยปิ๊งกับฝรั่งที่นี่ เป็นหัวหน้าแผนกที่ท่าเรือโคเปนเฮเก้นนี่แหละค่ะ (ปัจจุบันกลายเป็นลูกไก่ในกำมือเราแล้วค่ะ อิอิ...เสร็จเรา)
เมื่อเรากลับไปเมืองไทย ทำเรื่องเรียนจบเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้น 3 เดือน เราขอวีซ่ามาท่องเที่ยวที่เดนมาร์กอีกครั้ง เอกสารที่ประกอบการขอวีซ่าท่องเที่ยวที่เรายื่นไป คือ 1.สำเนาวีซ่าการเดินทางล่าสุด (วีซ่าฝึกงาน) 1 ชุด 2.จดหมายเชิญพร้อมรับรองที่พัก (จากแฟนที่เดนมาร์ก) 3.สเตรทเม้นเงินในบัญชี ที่เรามีอยู่ตอนนั้น ประมาณแค่ 5 หมื่นกว่าบาท .....
แต่.....................
ข้อ 3 (สเตรทเม้นท์เงินในบัญชี) เจ้าหน้าที่สถานทูตเดนมาร์ก ยื่นกลับมาให้เรา บอกว่าให้เรายื่นตอนวีซ่าผ่านเท่านั้น ............เออ.... งงค่ะ เอาไปแค่ 2 อย่างเองหรือ แล้วจะผ่านหรือนี่เรา.......แล้วเราก็กลับมารอที่บ้าน (ตกงานด้วยค่ะ หลังเรียนจบ) พร้อมกับมีคำถามคาใจ และ พร้อมกับตื่นเต้นกั่บการขอวีซ่าท่องเที่ยวครั้งแรกของเรา
โห....ตื่นเต้นกว่าขอวีซ่าครั้งแรกอีกค่ะ เพราะอะไรน่ะหรือคะ เพราะกลัวสถานทูตไม่ให้วีซ่าท่องเที่ยวกับเรา เพราะในแบบฟอร์มเค้าถามว่า คนที่เราจะไปพักด้วย เป็นญาติ หรือเป็นแฟน หรือ คนรู้จัก .........และนานเท่าไรที่รู้จักกัน เราก็ตอบไปตามความจริง คือ 4 เดือน เท่านั้น และแน่ล่ะ จะแน่ใจได้ไงว่าวีซ่าเราจะผ่าน จริงมั้ยคะ ด้วยความที่รู้จักเพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น ก็จะไปเที่ยวบ้านเค้าและพักกับเค้าเลย ......รวมทั้ง สเตรทเม้นเงินในบัญชี เค้าก็ยังไม่เอาไปดู ซึ่งดูจริง ๆ ก็น้อยมากจริง ๆ แหละ ( ว่ามั้ยคะ ) นี่แหละค่ะที่ทำให้เราลุ้นแบบยิ่งกว่าลุ้นหวยรางวัล 2 ตัวท้ายอีก ..........
ผ่านไป 6 สัปดาห์ สถานทูตก็ยังไม่ติดต่อมา เราก็คิดว่า สงสัย ชวดแน่เราคราวนี้ โทรไปหาแฟน แฟนบอกว่า ไม่เป็นไร ถ้าไม่ผ่านเค้าจะมาเมืองไทยและทำเรื่องด้วยตัวเองให้เราได้ไปเที่ยวเดนมาร์ก
ตอนนั้นก็ปลงนะคะ และเริ่มหางานทำ เพราะคิดว่าวีซ่าคงจะไม่ผ่านแน่ หางานทำดีกว่าอยู่รอเฉย ๆ และแล้วโชคชะตาฟ้าลิขิต ก็เกิดขึ้น เข้าสัปดาห์ที่ 7 สถานทูตโทรมา ......."วีซ่าคุณผ่านแล้วค่ะ ให้ไปรับได้วันที่ ........." พร้อมกับให้นำตั๋วเครื่องบินไป-กลับ และ สเตรทเม้นท์เงินฝากในบัญชีไปยื่นด้วยไม่ต่ำกว่า 40.000 บาท .........
เหมือนกับวีซ่าที่เราขอตอนแรกเลยค่ะ ให้เอาเงินฝากไปให้ดูหลังจากที่วีซ่าผ่านแล้ว .........เราก็ เออ...งงอ่ะ ทำไมจะต้องให้ไปยื่นหลังวีซ่าผ่านด้วย ในเมื่อก็วีซ่าผ่านแล้วน่ะ เงินฝากจะมีประโยชน์อะไร ............. และอีกอย่าง ตอนแรกเราคิดว่าวีซ่าเราคงไม่ผ่าน เราเลยเอาเงินจำนวนนั้นในบัญชีออกมาใช้จ่ายและให้แม่ แล้วด้วย จนเงินในบัญชีเกือบหมด ...........ทีนี้เราก็เลยสับสนมาก จะไปเอาเงินที่ไหนมาโชว์ล่ะนี่ ก็เลยปรึกษาแฟน แฟนโอนเงินมาให้เราเป็นค่าเครื่องบิน 40.000 บาท หลังจากที่วีซ่าผ่านแล้ว
และบังเอิญที่แฟนโอนเงินให้เราก่อนวันนัดรับวีซ่า 1 วัน และ เราจะต้องไปรับตั๋วเครื่องบินที่การบินไทยวันเดียวกับไปรับวีซ่าที่สถาทูต เช่นกัน ดังนั้นเราเลยนำเงินเข้าบัญชีของเรา ซึ่งเป็นบัญชีเดียวกับที่เราจะไปยื่นที่สถาทูตวันนั้น และแน่นอน สมุดบัญชีของเรา ก็อัพเดทวันนั้น มีเงินจำนวน 48.000 บาท
แต่ เราจะต้องนำเงินจำนวนนั้นไปจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินในวันรุ่งขึ้น และนำตั๋วเครื่องบินไปแสดงกับสถานทูตด้วย เอาล่ะสิ.... งานเข้า....... ถ้าจ่ายค่าตั๋วเงินในบัญชีก็จะไม่พอไปแสดง ถ้าเอาบัญชีเงินฝากไปแสดง ตั๋วเครื่องบินก็ไม่มีไปให้สถานทูตดู...........
........ทำไมรักขอเราต้องมีอุปสรรคด้วยนะ นายหัวล้าน (แอบจิก 555+++)
และด้วยความที่เราหมดหนทางไม่รู้จะไปพึ่งใคร และด้วยความที่ต้องตัดสินใจทำอะไรซักอย่างในระยะเวลาจำกัดเช่นนี้ เราก็เลยซิกแซ๊ก (ซึ่งไม่ควรทำตามเลยค่ะ คุณผู้อ่าน).........โดยการ
ตอนเช้ากดเงินจากเอทีเอ็มไปจ่ายค่าตั๋ว และได้ตั๋วมา แต่สมุดบัญชีของเราซึ่งอัพเดทเมื่อวานเรียบร้อยแล้ว มีเงินครบตามจำนวน แต่เมื่อจ่ายค่าตั๋วแล้วเงินก็ต้องลดลง แน่นอนถ้าอัพเดทหลังจ่ายค่าตั๋วตัวเลขจะไม่ครบตามจำนวนที่สถานทูตกำหนด เราเลยเอาสมุดบัญชีเล่มนั้นแหละ ที่อัพเดทล่าสุดเมื่อวาน (ตัวเลขครบจำนวน) + ตั๋วเครื่องบิน ไปยื่นให้สถานทูต พร้อมกับรับวีซ่า ซึ่งก็ผ่านไปด้วยดี เพราะสมุดบัญชีเราอัพเดทก่อนไปรับแค่ 1 วัน ซึ่งไม่ห่างจากวันไปรับวีซ่า
วิธีนี้ไม่แนะนำให้ทำตาม เพราะตอนไปรับวีซ่า ใจเราเต้นตึ๊ก ๆ ๆ ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ไม่มีทางเลือกน่ะ แต่ก็โชคดีวีซ่าผ่านไปด้วยดี และเจ้าหน้าที่ก็เพียงแค่ดูเงินในบัญชีแค่ผ่าน ๆ ตา ไม่ได้ดูอะไรมากมายเลย ไม่ต้องถ่ายเอกสารบัญชีด้วย ขอย้ำว่า ดูผ่าน ๆ จริง ๆ ค่ะ แค่แว๊ปเดียวเอง ไม่ถึง 0.02 วิ
ผ่านไป 3 ปีแล้ว หลังจากที่เรามาด้วยวีซ่าท่องเที่ยวอีก 2 ครั้ง ต่อมา เราก็ทำเรื่องแต่งงาน และอยู่ที่นี่จนถึงปัจจุบันนี้แหละค่ะ
.................นี่ก็คือเรื่องของเรา......................ที่ขอวีซ่ามายุโรป (เดนมาร์ก)
ยังค่ะ ยังไม่จบ เราขอโชว์ตัวอย่างของเพื่อนที่ขอวีซ่าไป Internship ที่อเมริกา ซึ่งเป็นกรณีไม่ต่างจากเรา คือเรื่องเงินในบัญชีเช่นกัน
................ผู้ที่กำลังอ่านอยู่อย่าเพิ่งตาลายนะคะ มาอ่านให้จบก่อน..............
คือเพื่อนซึ่งเรียนจบมาพร้อมกัน ตอนเพิ่งจบใหม่ ๆ ปี 2008 ไปอเมริกาด้วย work & travel มีเงินในบัญชี 200.000 บาท เค้าขอกู้ยืมจากญาติพี่น้องมาใส่ในบัญชี ซึ่งก็ผ่านไปด้วยดี 4 เดือนที่ไปโครงการ เราก็ไม่รู้วิธีการขอวีซ่าไปอเมริกาเท่าไรนัก เค้าบอกว่าบริษัทโครงการทำให้ทุกอย่าง เพียงแค่นำเอกสารต่าง ๆ รวมทั้งสมุดบัญชีไปให้โครงการเท่านั้น และหลังจากนั้นก็เพียงแค่ไปสัมภาษณ์ที่สถาทูตเท่านั้น
ปีนี้ 2009 เค้าไปด้วยด้วยวีซ่า Internship ทีนี้เค้าต้องไป 1 ปี เงินในวีซ่าจึงต้องมีมากกว่า 2 แสน เค้าทำงานไปด้วยและทำเรื่องขอวีซ่านี้ไปด้วย จึงไม่น่าจะมีปัญหา แต่โครงการบอกว่า ต้องมีเงินในบัญชีไม่ต่ำกว่า 500.000 บาท จึงจะผ่านอย่างแน่นอน เค้าเลยไปยืมเงินจากหัวหน้ามาใส่ในบัญชีก่อนที่จะไปสัมภาษณ์วีซ่า ซึ่งวีซ่า Internship นี้ต้องยื่นด้วยตัวเอง
หัวหน้าเค้าใจดีมาก ให้เค้ายืมเงินใส่ในบัญชี 1 ล้านบาท นั่นคือเค้ามีเงินในบัญชีก่อนไปสัมภาษณ์ เพียงแค่ 1 อาทิตย์ 1 ล้าน สองแสนบาท (ของเค้ามีแต่เดิม 2 แสนบาทที่ยืมญาติมา)
เมื่อเค้าไปยื่นวีซ่า และสัมภาษณ์ที่สถาทูตแล้ว ก็ผ่านไปด้วยดี วีซ่าผ่านวันเดียวกับที่ยื่น เมื่อวีซ่าผ่านแล้ว เค้าก็โอนเงิน 1 ล้านบาทคืนให้กับหัวหน้าเค้าในวันเดียวกันนั่นเอง ........และ 2 แสน เค้าก็โอนคืนให้กับญาติของเค้าไป มีเงินติดตัวเพียง 2-3 หมื่นบาทไปอเมริกาเท่านั้น...............
......................................................
จากตัวอย่างเรื่องจริงทั้งของเราและของเพื่อน นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราสงสัยมานานว่า ทำไมการขอวีซ่าต้องใช้เงินในบัญชีมาประกอบด้วย ในเมื่อมีทางที่ซิกแซ็กให้ผ่าน ๆ ไป มากมายหลายวิธี ซึ่งเมื่อเดินทางจริง ๆ บางคนอาจจะไม่มีเงินเลยด้วยซ้ำไป .............แต่นั่นก็ไม่ใช่เป็นการตัดสินว่าเค้าคนนั้นจะไม่เงินใช้จ่าย เพราะแน่นอนญาติพี่น้องที่เมืองนอก หรือเมืองไทย ยังไงเค้าก็ไม่ทิ้งให้เค้าอดตายแน่นอน ต้องมีที่พักให้เค้าหรือไม่ก็ต้องโอนเงินหรือ ให้ความช่วยเหลือจนหมดวีซ่าหรือเค้ากลับมาเมืองไทยนั่นแหละ ......(เรื่องกลับมาเมืองไทยอันนี้ไม่รวมโรบินฮูดนะคะ).......หรือถ้าไปเที่ยวก็มีโรงแรมที่เค้าจองไว้เรียบร้อยแล้ว เค้าก็มีที่พักแน่นอน และมีเงินจ่ายค่าที่พัก เค้าคงไม่อยากไปนอนตามใต้สะพานหรือ สถานีรถไฟหรอก เพราะเมื่อไปเที่ยวก็ต้องอยากอยู่ในที่สบาย ๆ มีความสุข จริงมั้ยคะ
............................จบ ค่ะ ...............................
นี่แหละค่ะ สาเหตุทั้งหมดที่เราสงสัยว่าทำไม...............
เรื่องที่ยกมาอาจจะขัดใจผู้รู้บางคน แต่เป็นเรื่องจริง อย่าเพิ่งอารมณ์เสียนะคะ ช่วยตอบให้เราได้กระจ่างกับข้อสงสัยนี้ด้วยเถอะค่ะ
...มาแก้ไขคำผิดค่ะ......... ถ้ายังมีคำผิดที่ผ่านตา จขกท ไป ต้องขออภัยด้วยค่ะ
แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 52 03:25:40
แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 52 20:40:25
จากคุณ |
:
pinpare
|
เขียนเมื่อ |
:
8 พ.ย. 52 20:25:57
|
|
|
|