ความคิดเห็นที่ 1   ผมเป็นคนนอกและไม่ได้เรียนหนังสือมากมายขนาดนั้น ขออนุญาตตอบนะครับ เรื่อง Culture Shock ผมไม่ทราบ แต่เรื่องอื่นน่าจะมีจริง เพราะว่า 1. หัวหน้าเขาต้องการฝึกคนให้เป็นเจ้าคนนายคน (On the job training) 2. หัวหน้าอาจจะต้องการให้ทราบถึงสัจธรรมว่าแม้ท่านจะจบปริญญาเอกมาแล้ว ท่านยังไม่ได้เป็นเทวดาเหนือมนุษย์ ยังต้องเรียนรู้วิธีการทำงานและอยู่กับคนอื่นอีกมาก (น้องสาวผมตะเพิดลูกสาวมาแล้ว แต่ไม่ได้ตะเพิดลูกเขย เพราะลูกเขยไม่พูดมาก) พูดจริงๆนะนี่ ไม่ได้หาเรื่อง กรุณาอย่าเข้าใจผิด จากคุณ : อิสวาสุ เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 13:45:16 A:71.114.54.31 X: TicketID:146114

ความคิดเห็นที่ 2 เข้ามารอฟังค่ะ ไม่ได้จบเอก เพราะทุนให้เเค่ตรีโท ตอนนี้กำลังรอตำเเหน่งงานอยู่ค่ะ จากคุณ : gEiL giRL เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 14:15:54

ความคิดเห็นที่ 3 แหม... เดี๋ยวคงได้เกิดแรงบันดาลใจให้หนีทุนกันเป็นแถวเลยนะครับ มาอ่านเจอแบบนี้ จากคุณ : เอเควียส เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 14:38:48

ความคิดเห็นที่ 4 พี่ชายจบป.เอกมาค่ะ กลับไปรับราชการกระทรวงวิทยาศาสตร์ แต่ท้ายที่สุดรับเจ้านายไม่ได้ (ตัวพี่เรามันก็ไม่ค่อยยอมใครเหมือนกัน) ตำแหน่งมันก็เลยไม่ไปไหนเลย เพราะว่าไม่ได้เลียแข้งเลียขาเจ้านาย เลยต้องลาออกมาเป็นอาจารย์แทน จากคุณ : Lilac Girl เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 16:29:11

ความคิดเห็นที่ 5   ก็ทำ powerpoint แล้วก็ทำ report ผลการศึกษา/วิจัยแหละงานหลัก powerpoint เนียะ ป.เอกหลายคนทำสู้ป.ตรีไม่ได้นะเออ ทั้งลูกเล่น ความน่าสนใจ และที่สำคัญ การสรุปสาระ!! ส่วนชงกาแฟ น่ะ ไม่ได้ชงไปตลอดชีวิตซักหน่อย ใช้แม่บ้านชงก็ได้ แล้วค่อยถือเข้าไปเอาหน้า!! ยังไงพวกนายๆน่ะ ยังไงเค้าก็เป็นผู้ใหญ่ คือ มีอายุมากกว่าเรา รุ่นพ่อ รุ่นแม่กันทั้งนั้น บริการนิดๆหน่อยๆไม่ได้เหรอ? มันเป็นเสน่ห์ของเด็กนะคุณ .. ตอนเด็กๆ เรียนหนังสือไม่เคยซื้อกาแฟ หรือช่วยคุณครูถือของเลยเหรอ? บอกตรงๆนะ ว่าจบป.เอก ไม่ได้เป็นเทวดา ก็แค่เด็กคนนึงนั่นแหละ (สามสิบก็ถือว่าเด็ก ในสายตาคนอายุ 50) ดร. ทุนส่วนตัว ก็ไม่เห็นบ่นกันเลย เปลี่ยนทัศนคติหน่อยเถอะพวก ดร. นร.ทุนทั้งหลาย ถ้าคิดว่ารับตรงนี้ไม่ได้ ก็ใช้ทุน หรือไปหาบ.เอกชนให้เค้าซื้อตัวไปซะ จะได้หันไปประจบนายฝรั่งกันแทน สบายใจจังแฮ จากคุณ : ปริญญาใจ เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 16:57:03 A:203.159.89.29 X:203.159.12.201 TicketID:241282

ความคิดเห็นที่ 6   ชอบคำตอบ คห.1 ครับ เพราะมีเหตุผลดีครับ แต่เหตุผลดีๆบางทีคนก็มักละเลยไป จากคุณ : GG เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 17:33:19 A:220.233.39.236 X: TicketID:220212

ความคิดเห็นที่ 7   มีพี่ที่เคยเจอ    จบ ป ตรี โท เอก มาจาก ตปท แล้วกลับมารับราชการ เจอเจ้านายที่แย่จริงๆ       ทำเรื่องย้ายหน่วยงานอยู่หลายปีเลย   สุดท้ายย้ายได้  ตอนนี้มีความสุขดี สำหรับน้องๆที่เผลอเข้ามาอ่าน     ผมว่าจริงๆน่าคิดไว้ตั้งแต่ก่อนตัดสินใจรับทุนเลยครับ จากคุณ : Pier Gerlofs Donia เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 18:15:38

ความคิดเห็นที่ 8   ประเทศไทยมันยังดักดานอยู่ครับ เจ้านายรุ่นเก่าโตมาได้ก็ใช้ลิ้นเยอะ ไม่ค่อยได้ใช้สมองเท่าไหร่ ใช้จำเอามาจากรุ่นก่อนๆ ก็เลยจำมาใช้ต่อๆไป อีกหน่อยเราจะมีคู่แข่งทีสูสีอย่างลาวและเขมรแล้วครับ ไม่ต้องไปมองเวียตนาม เขามีวิธีดูแลคนของเขาอีกแบบ ยิ่งเกาหลีไม่ต้องพูดถึง เขามีนักวิจัยที่ทำงานจริงจังหลายหมื่นคน ท่องคาถาไว้เรายังดักดานอยู่ และจะดักดานไปอีกนาน ตราบเท่าที่เรายังเรียนแบบท่องจำ เพราะวิธีนี้มันจะยังติดตัวติดความคิดไปนาน จากคุณ : เมื่อไหร่จะถึงเวลาเปลี่ยน เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 18:17:31 A:124.121.143.222 X: TicketID:068526

ความคิดเห็นที่ 9   เชื่อว่า ความคิดเห็นที่ 8 เรียนมาสูง มีความเชื่อมั่นสูง และตั้งใจดี คล้ายๆกับลูกของน้องสาวของผม แต่เป็นการสรุปแบบเด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ท่องคาถาไว้เสมอว่า ยังมีอะไรอีกมากที่เราต้องเรียนรู้ในชีวิต แม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้เสมอไป อย่าถือสานะ เล่าให้ฟัง ผมเองยอมรับเสมอ ว่าอะไรก็ว่ามา จากคุณ : อิสวาสุ เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 20:55:24 A:71.114.54.31 X: TicketID:146114

ความคิดเห็นที่ 10 รู้จักเพื่อนหลายคนที่จบเอกจากอังกฤษ มีมุมมองเหมือน คคห. ๘ และมุ่งมั่นจะเปลี่ยนแปลง ปีสองปีต่อมากลายเป็นว่าตัวเองต้องเปลี่ยนให้สอดคล้องกับการทำงาน ในหน่วยงานทีทำอยู่ คุยเป็นเชิงปรารภนะครับ เพราะผมเองก็รู้ตัวว่าคงทำดีกว่านั้นไม่ได้ จึงระเห็ดตัวเองมาอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ จากคุณ : นายคลิค เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 21:07:19

ความคิดเห็นที่ 11 อันนี้จากเพื่อนสนิทแล้วกันนะ เพราะเราเอง ยังไม่ได้กลับค่ะ เพื่อนกลับไปทำงาน เห็นมันบอกว่า ได้ไปฝึกงานต่างประเทศตลอดทั้งๆที่ไม่อยากไป เจ้านายก็งง..ว่าทำไมไม่อยาก มันบอกว่า จะไปทำไมวะ ไม่ได้ไปเที่ยว ไปฝึกงานก็ไม่ได้เอากลับมาทำให้ประเทศชาติเจริญขึ้นหรอก เพราะเราไม่มี facility ที่จะรองรับเทคโนโลยีได้ขนาดนั้น เสียเวลาทำงานปกติอีก ล่าสุด..เด็ดมาก ต้องทำงานให้ลูกสาวเจ้านาย (ไม่ใช่เจ้านายโดยตรงด้วยนะ) แบบว่าร่อน e-mail ทั่วสำนักงานเลย ..ไม่รู้จักอายบ้าง ลูกสาวเค้าเรียนเมืองนอก ต้องเขียน essay 500 words ลูกสาวเจ้านายบอกว่า..คุณพ่อต้องทำได้แน่ๆเลยค่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ blah blah คุณพ่อทำให้หนูนะคะ..หนูจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น เวรรรรรรรร... อค่มันเขียน email มาบอกพ่อ ก็เกิน 500 words แล้ว แล้วเจ้านายเค้าก็ร่อน e-mail มาสั่งงานแบบข้ามองค์กรเลยนะ ความซวยมาตกที่เพื่อนเรา เพื่อนเราบอกว่า...มันเองยังเสียดายภาษีตัวเองที่จ่ายให้กับที่ทำงานตัวมันเลย จากคุณ : prinda (prinda) เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 22:47:22

ความคิดเห็นที่ 12 มีอย่างนี้ด้วยหรือ?? จากคุณ : . (วัชรานนท์) เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 01:08:10

ความคิดเห็นที่ 13 There is a saying "the higher you go, the lower you bend" can be applied in many instances. Humbleness does not hurt but can propel you in the long run. Seniority is still taken seriously in Thailand especially in public sector arenas. There is nothing wrong with that all you have to do is play along. If you do it right, thing will change drastically in your favor. Adaptability is the key to success, that is the mantra for survival. จากคุณ : Thai Texan เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 01:45:52

ความคิดเห็นที่ 14   มีจริงสิ คุณวัชรานนท์ ที่รู้ก็มีลูกหลานคนใหญ่โตไปเรียนเมืองนอก เขาก็ส่งพวกข้าราชการที่เป็น ดร. ไปช่วยเรียน จดเล๊กเชอร์ ทำการบ้านให้ก็มีมาแล้ว แต่ก็ยังดีนะงานไม่น่าเบื่อ อย่างน้อยก้ได้ใช้ความรู้บ้าง พวกแบบช่วยลูกหลานหัวหน้า (หรือเจ้านายของหัวหน้าอีกที) ทำการบ้าน หาข้อมูล ช่วยทำวิทยานิพนธ์ เป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ ที่ได้ยินมาแย่กว่านั้นก็เช่น ไปทำงานแบบไม่ต้องเสียเวลาเรียน ป.เอก ก็ทำได้ หรือว่าทำงานให้เจ้านาย(แต่ก็โดนเอาเครคิตไปหมด เช่นเขียนเปเปอร์ส่งไปพิมพ์ แต่ไม่ได้ใส่ชื่อคนทำเลย เอาชื่อเจ้านายไปใส่) แต่ก็อาจจะขึ้นกับหน่วยงานด้วยแหละ บางแห่งก็ถือว่าใช้ได้เริ่มปฏิรูป แต่หลาย ๆ แห่งก็ยังเป็นราชการ ๆ แบบยุคเก่าอยู่ บางหน่วยงานที่มี ดร.เยอะ ๆ มีคนรุ่นใหม่ ๆ อยู่เยอะ ก็อาจจะเป็นบรรยากาศที่น่าทำงานมากกว่า หลาย ๆ หน่วยงานก็คงมีประสบการณ์ที่ต่างกัน จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 03:51:45 A:67.180.87.99 X: TicketID:199968

ความคิดเห็นที่ 15 มาเล่าต่อ อันนี้ของน้องที่เรียนจบ แล้วกลับไปสมัครเป็นอาจารย์มหาลัยเปิดแห่งหนึ่ง ( ที่เข้าไปสอนได้ ก็มาจากความช่วยเหลือของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง) ผู้ใหญ่ท่านนี้ ปัจจุบัน กำลังเรียน ปริญญาเอกใบที่ 3 อยู่ แต่งานทุกอย่าง ส่งมาให้น้องคนนี้ทำให้ ใช้ให้แปลหนังสือหนาประมาณ 2 นิ้วภายใน 1 อาทิตย์ เพื่อที่จะเอาไปปะติดลง thesis ของเธอ (เน้นย้ำว่า ขโมยฝรั่งให้คนอื่นแปล แล้วเอามาปะติดปะต่ออีกทีเป็นผลงานหล่อน) ตัวเธอเอง ไม่กระดิกภาษาอังกฤษเลย งานหลังจากเอาที่แปลมาแล้ว ก็ให้เลขาทำต่อให้ ไม่รู้ว่าหล่อนรู้ชื่อ thesis ของตัวหรือเปล่า (เปลี่ยนเลขาเป็นว่าเล่น เพราะหาว่าเลขาโง่ ทำไม่ได้อย่างใจ) เราก็ไม่รู้ว่าท่านคนนั้น จะเรียนเอาถ้วยไปทำไม แก่ๆก็แก่แล้ว เป็น doctor ไปตั้ง 2 ใบแล้ว ไม่รู้จะรบกวนคนอื่นทำไม...ประเทศชาติ จากคุณ : prinda (prinda) เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 04:42:27

ความคิดเห็นที่ 16 ผมจะกดโหวตกระทู้ครับ    ถ้ามีร้อยเสียงก็อยากจะกดโหวตร้อยเสียงให้เป็นกระทู้แนะนำ   เผื่อจะได้เป็นที่ระบายของ บรรดาดอกเตอร์ปริญญาเอก  ประจานพวกเรียนลัดในทางอ้อม อ้าว!  กระทู้โหวตไม่ได้   เสียดายจัง แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 05:13:41 จากคุณ : วัชรานนท์ เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 05:12:35

ความคิดเห็นที่ 17 เรื่องการอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้อาวุโสในหน่วยงานก็เรื่องนึง ซึ่งถือเป็นคุณลักษณะที่ดี ของผู้น้อย  ไม่ว่าจะเป็นด็อกเตอร์หรือไม่ก็ตาม  ยกกระเป๋า ชงกาแฟ  ถือเป็นเรื่องมารยาททางสังคมแบบหนึ่ง เรื่องที่ถูกใช้ให้ทำงานง่ายเกินไป ไม่สมกับที่เล่าเรียนมา  อย่างถ่ายเอกสาร หรือ powerpoint ที่เกี่ยวข้องกับงานก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ดีเหรอที่ไม่ต้องใช้สมองมากมายให้ปวดหัว เงินเดือนก็ได้เท่ากัน จะร้อนวิชาไปใย คุณคนเดียวเปลี่ยนแปลงอะไรๆในประเทศนี้ไม่ได้หรอก (แต่อย่าให้รู้ถึงหูประชาชนคนเสียภาษีส่งนร.ทุนจนจบด็อกเตอร์ก็แล้วกัน ว่าคุณคิดแบบนี้) อีกอย่างจะว่าไปก็งานถ่ายเอกสารก็เป็นงานถนัด  เพราะกว่าจะจบด็อกเตอร๋เมืองนอกกันมา (โดยเฉพาะสายสังคมศาสตร์) อย่างน้อยๆ ก็ต้องเชียวชาญเรื่องถ่ายเอกสารด้วยตัวเองอย่างดี ถ่ายมาเล้วกันเป็นหมึ่นแผ่น ทั้งย่อ ขยาย ถ่ายหน้าหลัง ถ่ายกันเป็นเล่มๆ เพราะไม่มีบริการถ่ายให้แบบเมืองไทย  บางทีอาจเชี่ยวชาญการจัดการซ่อมเครื่องเบื้องต้นด้วยตนเองอีกด้วยนะนะ แต่เรื่องเอางานราษฏร์ มาปนงานหลวง  ใช้ลูกน้องทำงานส่วนตัว เนี่ย...อย่าบอกนะว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของ "humbleness"   แล้วมันใช่เรื่องที่ควรจะประณามเค้าไม๊ถ้าคนเหล่าเค้าเลือกที่จะไม่"adapt"ตัวเองเข้ากับสถานการณ์แบบนี้ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 07:01:19 จากคุณ : KIURIS เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 06:18:01

ความคิดเห็นที่ 18   ที่หลัง ถ้ากลัวได้ทำแบบที่เขาเล่า ก็สละทุนซะนะ เสียดายเงินภาษีของประชาชน ตัวเองได้ไปเมืองนอกเมืองนา จบสูงๆๆมาได้ ก้อเพราะเงินภาษีของคนหลายคนที่ไม่เคยไปเมืองนอกด้วยซ้ำ จบด๊อกเตอร์ไม่ไช่เทวดานะครับ ดังนั้นเขาเมืองตาลิ่วก้อต้องลิ๋วตาตาม จากคุณ : Armania เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 09:40:03

ความคิดเห็นที่ 19 อืม... ทำไมกลายเป็นประเด็น "ยังมีอะไรอีกมากที่เราต้องเรียนรู้ในชีวิต" "จบด๊อกเตอร์ไม่ไช่เทวดา" "การอ่อนน้อมถ่อมตน" ซะงั้นล่ะครับ เรื่องของเรื่องคือทำไมปล่อยให้หน่วยงานส่งคนไปเรียนจนจบเอก ซึ่งใช้เงินมิใช่น้อย แล้วให้กลับมาทำงานแบบที่คนจบ ป.ว.ช. ก็ทำได้ ตอนแรกคิดว่าจะถกกันที่ประเด็นนี้ซะอีกว่า บริหารงบประมาณและยุทธศาสตร์การใช้ทรัพยากรบุคคลกันประสาอะไร จากคุณ : Seth Cohen เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 13:04:40

ความคิดเห็นที่ 20   "... เรื่องของเรื่องคือทำไมปล่อยให้หน่วยงานส่งคนไปเรียนจนจบเอก ซึ่งใช้เงินมิใช่น้อย แล้วให้กลับมาทำงานแบบที่คนจบ ป.ว.ช. ก็ทำได้ ตอนแรกคิดว่าจะถกกันที่ประเด็นนี้ซะอีกว่า บริหารงบประมาณและยุทธศาสตร์การใช้ทรัพยากรบุคคลกันประสาอะไร" เค้าไม่ได้ให้ไปยืนซีรอค ตลอดชีวิตซักหน่อย งานส่วนมากที่ทำน่ะ ได้ใช้ความรู้ทั้งนั้นแหละ ทั้งสรุปผลการดำเนินการ ติดตามผล ประสานงาน วิเคราะห์แผน วิเคราะห์เศรษฐกิจ เป็นตัวแทน หรือตามกลุ่มไปประชุมตปท. ขึ้นอยู่กับหน่วยงานอ่ะนะ ไอ้โดนใช้งานเบ๊ๆ น่ะ มันเป็นแค่นิดๆ หน่อยๆ ให้เป็นสีสัน ให้กับชีวิต (หรือถ้าซวยก็โดนเยอะ) .. จริงๆแล้ว ถ้าคุณมีทักษะพอ คุณทำแค่หน้าที่ประสานงานและตามก็ได้ งานเบ๊ๆ ถ้าไม่อยากทำ ก็ใช้ คนที่เป็นเบ๊ กว่าเรา .. หน้าที่เค้าอยู่แล้ว .. ใช้ไปเถอะ ต้องรู้จักใช้คนให้เป็น จบถึงป.เอกมา แต่หลายคนนะ .. บริหารคนไม่เป็น .. แล้วก็มา บ่นกันเหลือเกิน ว่าอุตส่าห์เรียนเมืองนอกมา ต้องกลับมาซีรอค .. เฮ้ออ!! เคยดูเรื่อง the devil wears prada มั๊ย? นางเอกของเรื่องโดนใช้สารพัด ตั้งแต่ซื้ออาหาร ยันทำการบ้านให้ลูกนาย .. แต่สุดท้ายนางเอกก็ทำได้ และได้เลื่อนต่ำแหน่งไปรับงานที่ต้องใช้ความสามารถสูงกว่า .. มันเป็นขั้นตอนของชีวิตน่ะ .. ต้องเรียนรู้นะ ปล. เรื่องงานราษฏร์ ขอไม่เอ่ยละกันนะ .. ส่วนตัวยังไม่เคยโดน แต่เคยได้ยินมา .. ถือว่ามันเป็นด้านมืด ของวงการละกัน จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 13:47:02 A:203.159.89.29 X:203.159.12.201 TicketID:241282

ความคิดเห็นที่ 21 ไม่ได้มีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับกระทู้ แ่ต่อยากแสดงความคิดเห็นค่ะ คนไทยส่วนใหญ่น่าจะเข้าใจระบบราชการของประเทศเรากันอยู่ไม่มากก้อน้อย แต่เราก้อเชื่อว่าหลายๆส่วนงาน กำลังพยายามปรับปรุงอยู่ ดูได้จากงานบริการของหน่วยราชการหลายๆแห่งปรับปรุงไปในทางที่ดี ส่วนที่ไม่ดีก้อยังมีอยู่ค่ะ แต่บ้านไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว ฉันใดก้อฉันนั้นประเทศไม่ได้สร้างได้ดังเนรมิตร อีกอย่างต้องอาศัยคนในประเทศช่วยกัน ทั้งทัศนคติและความสามารถ คิด บวก ไว้ค่ะ ไม่ว่าคุณจะเจอสถานการณ์แบบไหน คุณจะเรียนสูงเรียนต่ำ ยากดีมีจน เจ้านายลูกน้อง ยิ่งถ้าเรียนจบ ป เอก นี่ แปลว่าน่าจะมีพื้นฐานของความเป็นคนคิดเป็นอยู่แล้วค่ะ (ถ้าจบมาด้วยตัวเองอ่ะนะ) ในการทำงาน ไม่ว่า เจ้านายจะแย่แค่ไหน คุณก้อถือว่ากำลังเรียนรู้การเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดี อีกอย่างคือ เราเปลี่ยนการกระทำคนอื่นไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนความคิดและการกระทำของเราได้ค่ะ ถ้าคุณเห็นว่าสิ่งแย่ๆ เหล่านั้นคือสิ่งแย่ๆ มันก้อจะแย่ตลอดไปค่ะ แต่ถ้าคุณเห็นสิ่งเหล่านั้น เป็นโอกาสอันดีที่จะฝึกตัวเอง ทุกอย่างมันก้อจะดีตามค่ะ การทำงานทุกที่ล้วนทีปัญหาค่ะ ขึ้นอยู่ว่าปัญหานั้นจะเป็นอะไร และคุณจะรับมือกับมันอย่างไร จากคุณ : ดาวสีน้ำ เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 14:39:00

ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 40 กว่าที่แล้วญาติเราจบเอกทุนกพ. ได้รับอณุญาตสอนเด็กนักเรียนชั้นป.6 โรงเรียนราชวินิต  หลวงบอกว่าสอนไปก่อนเดี๋ยวหาตำแหน่งใหม่ลงให้ สอนอยู่สองปี ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แบงค์ชาติมาประมูลตัวไปและใช้ทุนให้ เมื่อ10 กว่าที่แล้วญาติอีกคนจบเอกทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์ กลับมาเข้ากระทรวง ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ เห็นบอกว่ามี่ความสุขดีกับการทำงาน เสียแต่ยังโสด บอกว่าในกระทรวงไม่มีสาววัยเจริญพันธุ์ หรือที่เป็นดร.ด้วยกันก็เก่งแต่ทางวิชาการ ขอเพิ่ม ที่ทำงานเราปัจจุบันนี้ก็มีดร.เดือนกันเกลื่อน ก็ดูธรรมดา ทำทุกอย่างได้ตามปกติ ไม่เกี่ยงงาน จากคุณ : frechdachs เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 15:57:52

ความคิดเห็นที่ 23 คุณ Frechdachs คห 22 วานบอกญาติคุณทีนะคะ ดิฉันยังโสด กำลังจะจบ ดร และยังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ค่ะ หลังแมว e-mail ญาติคุณมาเลยนะคะ รออยู่ค่ะ อิ อิ อิ จากคุณ : Meawism เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 16:10:21

ความคิดเห็นที่ 24   คนไทยบ้าเห่อกับคนจบปริญญาเอกมากเกิน คนจบปริญญาเอกคือคนที่รู้เฉพาะทางในเรื่องหนึ่งๆ แต่ไม่ได้แปลว่าเป็นเขาคนเก่งในทุกๆเรื่อง และบางสาขาก็ไม่มีป.เอก มีแค่ ป.โท จากคุณ : ตาน เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 17:51:18 A:78.20.210.241 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 25 ห่วยจริงๆ จากคุณ : ฮักเมาน้องหล้า เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 19:05:29

ความคิดเห็นที่ 26 ผมตั้งกระทู้ใหม่ที่เกี่ยวเนื่อง http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H8533461/H8533461.html  เพราะอยากให้กระทู้ทำนองนี้เป็นกระทู้โหวต   เนื่องเพราะเจ้าของกระทู้ไม่มีล็อคอิน  จึงโหวตกระทู้ไม่  หากอยาก เรียนเชิญครับ จากคุณ : วัชรานนท์ เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 19:12:15

ความคิดเห็นที่ 27 *แก้ไขเพิ่มเติม แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 22:04:42 จากคุณ : PAPA BUENO เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 19:13:33

ความคิดเห็นที่ 28 ใครได้ทุนก็ต้องทำใจนะคะ ก็เข้าใจอยู่ว่าราชการเมืองนอกกะเมืองไทยมันต่างกัน ราวฟ้ากะเหว (แค่เงินเดือนก็ต่างแล้ว) แต่ทำไงได้ล่ะคะ ปทท. เป็นประเทศใช้ระบบอาวุโส+อุปถัมภ์ เพราะฉะนั้น โดยส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่เด็กทุนก็ทำใจรับไม่ได้หรอกค่ะ เพราะถ้าเรียนไม่ใช้ทุนก็แสดงว่าทางบ้านมีทุนทรัพย์สนับสนุนพอควร คงจะทนยากนะคะที่ต้องไปเลียแข้งขาของใคร (ไม่ดูที่ผลงาน แต่ดูว่าเป็นคนของใคร) ส่วนนักเรียนที่ได้ทุนก็ต้องรับชะตานะคะยังไงก็ภาวนาว่าให้หานายที่มีpowerหน่วยละกัน ตามภาษิตเลยค่ะ (ตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด) ตามนายดี ก็ดีไป ตามไม่ดีก็ตัวใครตัวเผือกนะคะ จากคุณ : bvc เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 20:04:55

ความคิดเห็นที่ 29 ประเด็นหน้าสนใจดีนะคะ สำหรับตนเองนั้นมีความเห์นที่แตกต่างจากหลายๆท่านในที่นี้ค่ะ โดยขอพุ่งประเด็นไปในเรื่องของการชงกาแฟประเด็นแรกค่ะ สำหรับตนเองนั้นตั้งแต่เกิดมาได้ทำงานทั้งหลังการเรียนจบตรี โท เอก ไม่เคยชงกาแฟให้ใครในสถานที่ทำงาน และก็ไม่เคยมีใครใช้ให้ชง ยังสามารถเป้นหัวหน้าคนได้และสามารถเรียนรู้การทำงานกับคนอื่นจนประสบความสำเร็จได้ โดยที่ไม่ต้องไปชงกาแฟ สำหรับตนเองนั้นไม่เห็นด้วยที่ผู้ดื่มกาแฟไร้ความสามารถในการที่จะชงกาแฟเอง ในระบบการทำงาน คนทำงานไม่ว่าจะเป้นระดับใหญ่โต หรือเป็นผู้บริหารที่ดีควรให้ความเคารพต่อผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นกันค่ะ ควรเอาใจเขามาใส่ใจเราและมีวิจารณญาณในการมอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบังชาทำให้ถุกทาง  ไม่ใช่ในอดีตถูกปฏิบัติมาอย่างไร ก็นำสิ่งที่ตนเคยถูกปฏิบัติมาก่อนมาใช้กับคนรุ่นหลังเมื่อตนเองมีโอกาสเป็นใหญ่ สถานที่ทำงานไม่ใช่บ้าน ที่คนใหญ่คนโตอาจจะมีคนใช้ มีลูกหลาน เรียกใช้ได้ตลอดเวลา แต่ที่ทำงานก็คือที่ทำงาน หากอยากดื่มกาแฟสละเวลาเดินมาชงเองก็ได้ค่ะ การชงกาแฟดื่่มด้วยตนเองมันไม่ใช่เป็นเรื่องน่าละอายหรือจะทำให้อำนาจที่มีอยู่ลดลงแต่อย่างใด แต่กลับพึงแต่จะสร้างความนิยมและความชื่นชมจากผู้ใต้บังคับบัญชาว่าหัวหน้ามีความเคารพและรู้ว่าอะไรควรไม่ควรต่อการสั่งการในการทำงานค่ะ ปัจจุบันบ้านเราในหน่วยงานราชการคนรุ่นเก่ามากมายที่มีจิตใจดี รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร คนรุ่นใหม่หลายๆกลุ่มๆก็พยายามปรับปรุงระบบ ขอให้นักเรียนทุนราชการกลับมาทำงานด้วยความที่มุ่งมั่่นของเรา บางครั้งอาจจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แย่ ขอให้ยึดหลักความดีความตั้งใจของตนเองเอาไว้ค่ะ อย่าให้สิ่งแวดลอ้มแย่ๆต้องมากลืนเรา หากหมดหนทางเกินเยียวยาที่จะคงอยู่ต่อไปได้ การปลีกตัวออกมาเพื่อดำเนินความตั้งใจที่ดีของตนเอง ก้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรค่ะ จากคุณ : jinjung เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 20:05:08

ความคิดเห็นที่ 30 วาว    สาวๆสนใจญาติเราแฮะ เล่นเปียนโนเก่งด้วยนะคะ ออกคอนเสริตมาแล้ว จากคุณ : frechdachs เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 20:06:28

ความคิดเห็นที่ 31 (หลุดประเด็น) เอาเงินทุนที่ให้ ป.เอก มาให้เด็กด้อยโอกาสมีปัญญาเรียนให้จบ ป.6 หรืออย่างน้อยก็เอาเงินมา Develop (คีย์บอร์ดไม่มีภาษาไทยหา ท ผู้ เท่า ไม่เจอ) ระบบการเรียนให้ดีขึ้นดีกว่ามั๊ย ความคิดเห็นส่วนตัว ผมว่าคนไทยส่วนมากสักแต่จะเรียน เรียนเพื่อเรียน เรียนเพื่อเงินเดือน ... เรียนเพื่อทุกอย่าง แต่ส่วนน้อย ที่เรียนเพราะฉันอยากรู้ ฉันสนใจ .... สุดท้าย Dr. ที่จบๆออกมา ได้ Dr. ที่รู้แจ้งแต่ไม่เคยเห็นจริงและก็ไม่ได้มีเป้าหมายที่แน่นอนว่าจะเอาความรู้เป็นทำอะไร การให้ทุน ขึ้นชื่อว่าทุนแล้ว ยังไงเงินมันก็ไม่ใช่ของเรา เขาจะใช้ จะต้องเจอกับระบบเน่าๆแค่ไหน ... จะบ่นเพื่อ ก็คุณเลือกเอง รู้ทั้งรู้อยู่แล้ว เกิดมาในระบบแบบนี้ ... ก่อนรับทุน ควรคิดให้ดีก่อน ว่าเรายอมรับกับผลที่จะตามมาได้มั๊ย ไม่ใช่พอใช้ทุนเขาแล้วผลออกมาก็มานั่งรับไม่ได้ ... ไม่ใช่ผมไม่ศรัทธาในระบบการศึกษานะ แต่ผมไม่ศรัทธาในทัศนะคติเกี่ยวกับการศึกษาของคน(ส่วนใหญ่) เชิญต่อว่าได้ตามอัธยาศัย . จากคุณ : Onlyoneshot เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 21:45:15

ความคิดเห็นที่ 32 ตอนรับทุน -- "รับทุนรัฐบาลไปแล้ว คุณต้องตั้งใจศึกษาหาความรู้ เพื่อกลับมาพัฒนาบ้านเมือง เป็นกำลังสำคัญของประเทศ เพื่อตอบแทนบุญคุณประเทศชาติและประชาชนให้สาสม" ........หลายปีผ่านไป นักเรียนทุนคนนั้น กลับมาเมืองไทยด้วยความมุ่งมั่นที่จะใช้ความรู้ที่ตั้งใจเก็บเกี่ยวมาให้เป็นประโยชน์ .............................. ตอนใช้ทุน   -- "เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม" ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับนักเรียนทุน เพราะคุณไม่ใช่เทวดามาจากไหน แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 22:26:43 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 22:20:24 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 22:08:41 จากคุณ : KIURIS เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 22:04:48

ความคิดเห็นที่ 33 เย้ นานๆ กระทู้ในไกลบ้าน จะมีกระทู้ดีๆ มีสาระ แบบนี้เสียที รออ่านอยู่นะคับ จากคุณ : pittboy2603 เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 00:24:06

ความคิดเห็นที่ 34   There are two issues; How people with PhD work on their regular task, hope they wisely work hard and effective. But, if their regular task is to make coffee and do homework for the boss, all day or most of the time..that's sad. Normally, we do those, I mean making coffee for friends, helping with homework,  as part of our social life. My university Chancellor got coffee or drink for me, a student, many times. แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 01:57:55 จากคุณ : StandStone เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 00:34:12

ความคิดเห็นที่ 35 เอ่อ... หนูจบแค่ปวช. มะก่อนหนูก็เป็นอย่างที่คุณคนนี้ว่าจริงๆ ค่ะ ขออนุญาตยกมาประกอบ "ความคิดเห็นส่วนตัว ผมว่าคนไทยส่วนมากสักแต่จะเรียน เรียนเพื่อเรียน เรียนเพื่อเงินเดือน ... เรียนเพื่อทุกอย่าง แต่ส่วนน้อย ที่เรียนเพราะฉันอยากรู้ ฉันสนใจ .... สุดท้าย Dr. ที่จบๆออกมา ได้ Dr. ที่รู้แจ้งแต่ไม่เคยเห็นจริงและก็ไม่ได้มีเป้าหมายที่แน่นอนว่าจะเอาความรู้เป็นทำอะไร" หนูจบแค่ปวช. ไม่เกี่ยวไรกะปริญญาเลยค่ะ  แต่หนู่ก็เป็นคนนึงที่มีส่วนได้เสียกับเงินทุนที่ว่า ใช่หรือเปล่าคะ  คิดผิดขออภัย ^ ^' หนูเองก็รู้ถึงความด้อยเชิงปัญญาของตัวเองดี   พอมีคนมีปัญญาดีแต่ขาดทุน ไอ้คนปัญญาไม่ถึงอย่างเราก็หวังให้ทุนเขาไปเอาความรู้กลับมาพัฒนา   รอมานานการศึกษารุ่นลูกหลานก็ยังอยู่อย่างเก่าๆ  ท่องจำกันเป็นขุนทอง  รุ่นแล้วรุ่นเล่า  เพิ่งมารู้นี่แหล่ะว่าไอ้ที่พัฒนากันไม่ได้ เพราะมัวคอยชงกาแฟ กับต้องคอยนอบน้อม ถ่อมตน วิ่งรอกพะเน้าพนอเป็นเบ๊ให้นาย??? เอ่อ   แล้วไอ้นายที่ว่าเนียะ มันเป็นคนให้ทุนโดยตรงหรือคะ????   นักเรียนทุนถึงต้องกลับมารับใช้นาย  นึกว่าเค้าเอาภาษีประชาชนไปให้ทุน แล้วนักเรียนทุนก็ต้องกลับมารับใช้ประชาชนซะอีก เอ่อ  พูดอะไร หรือหนูเข้าใจอะไรผิดไปขอโทษด้วยนะคะ  พอดีหนู่ก็ความรู้ไม่ถึง วิเคราะห์อะไรไม่ได้  มองภาพรวมไม่ออก ทัศนคติอะไรก็ไม่มี ไม่รู้ ไม่เข้าใจ หนูเซ่อค่ะ เข้าถามต่อนิดนึงค่ะ  (กระท่อนกระแท่นเพราะวิ่งไปวิ่งมาค่ะ)    แล้วคุณ คห. ๓๑  เรียนมาเพื่อไรคะ  ขอถามพอเป็นวิทยาทานค่ะ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 03:33:40 จากคุณ : คนสองภาค เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 02:23:16

ความคิดเห็นที่ 36 ดิชั้นไม่ได้ดูถูกระบบราชการไทย เพราะครอบครัวดิชั้นเกือบ 80% ก็รับราชการ เกี่ยวกับด้านการศึกษาทั้งนั้น เรื่องตัวบุคคลที่ขับเคลื่อนองค์กรต่างหากค่ะที่ดิชั้นอยากให้ปรับปรุงตัว และอยากให้มองถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ ดิชั้นเคารพผู้ใหญ่เพราะคนเก่าๆที่บริหารองค์กรนั้น ดิชั้นเชื่อว่าเค้าก็คงมีคุณงามความดีกับประเทศชาติเราบ้าง เพียงแต่ว่า เค้าน่าจะใช้คนรุ่นหลังให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติได้ดีกว่านี้ เพียงแค่คุณไม่ใช้เค้าทำในเรื่องส่วนตัวของคุณ นั่นก็เพียงพอแล้วค่ะ อย่างเพื่อนดิชั้น..มันเป็นคนไม่กระตือรือร้นอะไร มันยังบอกเลยว่า...องค์กรมันอืดเกินไป หาสาระได้น้อยมาก งานที่ทำอยู่คือ..ขอความช่วยเหลือจากประเทศโน้นประเทศนี้ ไปฝึกงานที่ประเทศโน้นนี้ ปีละ 2-3 ครั้ง (ครั้งละ 1-3 เดือน) กลับมาไม่ได้ทำอะไร เดี๋ยวก็ไปฝึกงานอีก มันบอกว่า...ไปจนอาย..เพราะประเทศเจ้าของเงินเค้าบอกว่า ปกติจะให้ทุนฝึกงานประมาณ 4 ปี แล้วที่เหลือ ประเทศที่ได้รับทุนจะถ่ายทอดความรู้กันเอง นี่ประเทศไทย ล่อเข้าไปปีที่ 6 ยังจะขอมาอีกเหรอ เพื่อนเลยต้องตอบไปว่า...คนเก่าลาออกไปหมดแล้วมั้งครับ เค้าเลยต้องส่งผมมาอีก...แล้วมันก็คิดในใจว่า..อายอิ๊บหาย เพื่อนๆที่เค้าจบ ป.เอกกัน เค้าก็บอกว่า ไม่คิดดูถูกคนที่เรียนน้อยกว่า หรือผู้ใหญ่แบบแก่แล้วแก่เลยหรอก เพราะเพื่อนๆก็บอกว่า...ตรูจบ ป. เอก ก็ใช่ว่ากูจะรู้ทุกอย่าง..ตรูไม่ใช่เทวดานะ ตรูไม่เกี่ยงงานง่าย ...แต่อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาให้ตรูทำ และอย่าแกล้งกันก็พอ จากคุณ : prinda (prinda) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 03:04:31

ความคิดเห็นที่ 37 สวัสดีค่ะขอแวะเข้ามาถกประเด็นกับคุณ Onlyoneshot ค่ะ เงินเป้นปัจจัยสำคัญที่คนเราทั่วโลกต้องใช้เพื่อกินเพื่ออยู่คนที่เรียนแน่นอนค่ะเรียนเพื่อความรู้ และต้องเรียนเพื่อนำเอาความรู้ไปสร้างเงินเดือน ในแง่ของนักเรียนทุนที่เรียนได้ถึงระดับ ป เอก ตนเองเชื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นมีความสนใจถึงเรื่องที่เขาจะเรียนพอสมควรค่ะ เพราะการเรียน ป เอก ในสถาบันที่ได้มาตรฐานในการฝึกคน นั้นคนที่จะเรียนได้ต้องมีความสนใจเรื่องนั้นๆพอสมควร เพราะชีวิต  ป เอก นั้น ลำบากพอควร ไม่ใช่ว่าได้เงินมาแล้วก้เรียนได้ หากบุคคลนั้นต้องการปริญยาและความรู้จากสถาบันที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ไม่ใช่การเอาเงินไปซื้อใบปริญญาที่่มีการลักลอบทำกันอยู่ จากที่คุณ Onlyoneshot กล่าวว่า...... "การให้ทุน ขึ้นชื่อว่าทุนแล้ว ยังไงเงินมันก็ไม่ใช่ของเรา เขาจะใช้ จะต้องเจอกับระบบเน่าๆแค่ไหน ... จะบ่นเพื่อ ก็คุณเลือกเอง รู้ทั้งรู้อยู่แล้ว เกิดมาในระบบแบบนี้ ... ก่อนรับทุน ควรคิดให้ดีก่อน ว่าเรายอมรับกับผลที่จะตามมาได้มั๊ย ไม่ใช่พอใช้ทุนเขาแล้วผลออกมาก็มานั่งรับไม่ได้ ... " ไม่เห้นด้วยกับความคิดเห้นตรงนี้ค่ะ การได้รับทุนนั้นเป็นโอกาสที่ดีค่ะ ดีมากมายโดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการทุนจริงๆ แต่การที่ให้ผู้รับทุนต้องมาดักดานทนกับสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าไม่ใช่ ไม่ถุกต้อง ให้ยึดหลักทำๆไปเพราะรับทุนมาแล้วนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะในระบบการทำงาน หากเราพึงแต่ก้มหน้าก้มตาทำดังหุ่นยนต์ที่ถุกบรรจุโปรแกรมชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ การพัฒนาในหน่วยงานนั้นคงไม่เกิดขึ้น ปัญหาที่ตามมาคือเหตุใดประเทศไทยส่งคนไปเรียนเอกมากมายแต่เรายังไปช้าเหลือเกิน  อย่าลืมนะคะว่าคนใหญ่คนโต คนเป็นหัวหน้าไม่ได้ฉลาดรอบรู้ไปทุกเรื่อง บุคคลเหล่านั้นต้องพึงพาผู้น้อยเสมอเพื่อให้งานเดินไปได้ สำหรับตนเองนั้นอยากให้หน่วยงานรัฐต่างๆในบ้านเราสนับสนุนเต็มที่และเปิดรับฟังปํญหาที่เกี่ยวกับงานจากผู้ทำงานไม่ใช่แต่เฉพาะนักเรียนทุน ไม่ว่าผู้ทำงานจะอยู่ระดับไหน การเปิดรับฟังปัญหาอย่างมีขอบเขตและนำมาปรับปรุงพัฒนาพร้อมทั้งการขอความคิดเห้นจากผู้ร่วมงานเป้นเรื่องที่ดี ที่จะนำพาองค์กรให้ก้าวไปได้ด้วยดีค่ะ ปัจจุบันดุเหมือนว่าทาง กพ ได้จัดกิจกรรมหลายๆอย่างเพื่อพบปะนักเรียนทุน ถือว่าเป้นจุดเริ่มที่ดีที่ที่  กพ ทำตรงนี้ขึ้นมา หากนักเรียนทุน หรือใครตามที่ทำงานแล้วมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานอย่างรุนแรงจนรับไม่ไหว สนับสนุนเต็มที่ให้พูดให้บอกให้กล่าวมากกว่าที่จะมาทนรับว่า ฉันเลือกระบบแบบนี้ก้ต้องมายอมรับชะตากรรมแบบนี้ เพราะหากคุณทำเช่นนั้นคุณจะทำงานไปแบบไร้ความสุข และแน่นอนค่ะผลกระทบรยะยาวย่อมตามมาต่อองค์กร ขอให้แยกแยะให้ออกค่ะว่านักเรียนทุนกับนักเรียนทาสมันคนละเรื่องกัน จากคุณ : Jinjiung (jinjung) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 05:08:29

ความคิดเห็นที่ 38   ขอหลุดประเด็น แต่ผมสงสัยเพราะผมก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เลยอยากขอระบาย ผสมสงสัยเล็กๆ อยากรู้จริงๆครับว่า เด็กป.เอก(ทุน)นั้น คิดยังไงกันแน่ถึงเอาทุน.... ระหว่าง 1) เรียนป.เอก ชีวิตตัวเราเองต้องดีขึ้นแน่ๆ มากด้วยเงินทองและชื่อเสียง 2) อยากศึกษาในสายนั้นๆแล้วได้กลับมาช่วยประเทศเพราะประเทศไทยขาดแคลนตำแหน่งนั้นจริงๆ.... ผมว่าอันนี้คือจุดเริ่มของปัญหาทั้งหมดเลยนะครับ เพราะมนุษย์คนเรา ส่วนใหญ่ก็ต้องเลือกข้อ 1.. ส่วนข้อ 2 เหมือนเป็น optional มันไม่ผิดครับที่คนเราจะทำเพื่อตัวเองไว้ก่อนเมื่อมีโอกาส แต่ที่ผิดคือระบบคัดเลือก ที่มุ่งเป้าไปที่คนเก่งก่อน แต่ไม่เน้นที่คนที่ต้องการจะกลับมาทำเพื่อชาติจริงๆก่อน... บางคนอาจจะเถียงว่า ทุกคนก็อยากทำเพื่อชาติทั้งนั้นแหละ แต่ชาติเรามันไม่พัฒนาแล้วจะทำอะไรกันได้....(รวมถึงต้องมาชงกาแฟ จิปาถะ) ผมขอยกคำท่าน พล.ต.อ. ธานีครับว่า "ในเมื่อเราเห็นว่าองค์กรไม่ดี เราก็ต้องเข้ามาปรับปรุงแก้ไข ไม่ใช่ว่าเราจะเดินหนี แล้วถ้าคนดีคนเก่งไม่ทำ แล้วใครจะทำให้องค์กรนั้นๆดีได้" ในเมื่อชาติไทยก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ก่อนที่ท่านจะได้รับทุนไปเรียนเอก ท่านก็รู้ซึ้งแจ่มแจ้งปัญหาอยู่ พอท่านได้ทุนเรียนเอกกลับมา ใช่ว่าประเทศชาติจะเปลี่ยนไปได้เร็วขนาดนั้น สิ่งที่เปลี่ยนไปก็แค่ตัวท่าน ส่วนชาติก็รอท่านๆนั้นแหละครับ มาช่วยกันแก้ไข เปลี่ยนแปลง.... ผมไม่ได้อคติกับคนได้ทุนนะครับ แต่ผมแค่เป็นพวกชาตินิยมรุนแรง.... :) ...... สำหรับผม ผมก็มานั่งคิดเหมือนกัน ที่บ้านก็อยากให้ผมต่อเอก(ถึงแม้เป็นทุนส่วนตัว) ผมก็ต้องถามที่บ้านและถามตัวเองเช่นกัน ว่า ที่พวกท่านอยากให้ผมได้เอกเพราะ ข้อ 1 หรือ ข้อ 2 คนไทยส่วนใหญ่ก็คิดว่าได้เอกกลับมาแล้วต้องรวย มีหน้ามีตา...(บ้านผมก็คิดเช่นนั้น) แต่ถามจริงๆเถอะว่า ในเมืองไทยมีที่ให้คนจบเอกยืนซะเท่าไหร่... ผมว่าไม่ใช่แค่คนได้ทุนแล้วต้องไปรับใช้คนใหญ่คนโต คนที่ใช้ทุนตัวเองพอกลับมาก็ต้องไปรับใช้นักธุรกิจรวยๆเช่นกัน (ต่างกันแค่ว่า พวกหลังยังได้เงินมาปลอบใจ) สำหรับผม ผมเลือกข้อ 2 มาก่อน.... ผมอยากทำอะไรก็ได้ที่ได้ใช้คุณค่าของตัวผมในการทำอะไรดีๆในสิ่งที่ผมชอบและเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น (แม้จะเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตาม) แต่ถ้าผมใช้ทุนพ่อแม่เรียน หมดเงินหลักหลายๆล้าน แล้วผมจะเป็นตัวของตัวเองได้อีกหรอ.... (ถ้าที่บ้านผมเห็นด้วยกับข้อ 2 ของผม ผมก็คงไม่มีปัญหา) สำหรับผม คงไม่เก่งขนาดไปชิงทุนกับใคร... แต่ผมชอบศึกษาไปเรื่อยๆ ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ที่สำคัญคือ ไม่สร้างภาระให้ตัวเอง เช่นต้องหรูหรา ต้องทำงานดี ต้องรวย ยิ่งมีภาระเหล่านี้เยอะ เราก็คงทำหน้าที่ของเราได้ยากด้วย สุดท้าย ผมอยากขอบคุณ ท่านที่ได้ทุนแล้วก็กลับมาทำหน้าที่ของพวกท่านอย่างเต็มที่มากๆเลยครับ ผมรู้ว่าท่านภาระหนักหนากว่าผมเยอะ ท่านได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วครับ ประเทศต้องการคนอย่างท่านมากๆครับ ขอบคุณครับ :) จากคุณ : GG เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 05:14:40 A:220.233.39.236 X: TicketID:220212

ความคิดเห็นที่ 39 บางองค์กร...ห่วยจริง ... แต่ ดร. ที่เราเจอมา ไม่มีเลียแข้งเลียขา แบบที่ในกระทู้นี้พูด ...คงอยู่ที่คน และองค์กร จากคุณ : Halimeda Lover เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 05:20:25

ความคิดเห็นที่ 40 ที่ทำงาน ของเรา มีแต่ ป เอก เป็นส่วนใหญ่ค่ะ (มหาวิทยาลัย) เพื่อนที่ทำงานกรม กอง กรมเค้าก็ ป เอกเยอะนะคะ ตอนนี้ จบ ป เอก ธรรมดาค่ะ มีเยอะ เราก็จบเอก เป็นอาจารย์ ม รัฐ ยังล้างจานให้ธุรการบ้าง (ผลัดกัน) เดินถ่ายเอกสารเอง พิมพ์หนังสือเองบางครั้ง  บางวันพี่ธุรการไม่อยู่ ไปตลาดนัด ไปรับลูก ฝากให้เราเป็นโอเปอเรเตอร์รับโทรศัพท์ให้ก็มี  ไม่ซีเรียสค่ะ ถือว่าช่วยๆกัน ประเด็นที่คุณ จขกท ถาม ก็เข้าใจนะว่า ถ้าถูกใช้ให้ชงกาแฟ ถ่ายเอกสารบ่อยๆ แต่งานที่ตรงกับวุฒิที่จบมาไม่ได้ทำมันน่าเคือง หรือใช้ในงานส่วนตัวบ่อยๆ มันน่าโมโห ต่อให้ไม่จบเอกก็เถอะ  มันก็ไม่ถูกหรอกที่ผู้ใหญ่มาทำกับเราแบบนั้น  เราก็โดนอาจารย์ผู้ใหญ่บางคนใช้ให้ทำงานส่วนตัวบ่อยๆ งานเร่งด้วย ก็แอบเคืองนะ คือให้ช่วยน่ะได้ แต่บ่อยๆก็ไม่ไหว แต่บางคนนี่ถือว่า จบ ดร นะ จะเดินไปถ่ายเอกสารให้ตัวเองยังไม่ยอมทำ ต่อให้เครื่องถ่ายเอกสารอยู่ตรงหน้า ใครอย่ามาไหว้วานให้ชงกาแฟแม้แต่ครั้งสองครั้งในรอบปีก็ไม่ทำ ปรี๊ดทันที หาว่าบังอาจใช้ ดร   อันนี่ อีโก้เว่อร์เกิน พ่อเราเป็นข้าราชการ ก็เป็นระดับผู้บริหารแล้ว เคยวานลูกน้องที่จบ ดร ช่วยชงกาแฟให้หน่อย  ปกติเลขาหรือธุรการชงให้ แต่ช่วงเวลานั้นหาใครไม่เจอและพ่อก็กำลังประชุม แกก็เลยวานลูกน้องดีกรี ดร เห็นกำลังนั่งเติมลิปสติกอยู่ เขาก็ทำให้นะแต่หน้าหงิกเป็นม้าเลย พ่อบอกว่านานๆวานมันที ซึ้ง... เพราะฉะนั้น ประเด็นมันคงอยู่ ความเหมาะสม ความพอดี กาละเทศะ น้ำใจของทั้งผู้ใหญ่และลูกน้องมากกว่า จากคุณ : นานๆออกความเห็นซะที (ตะละแม่กุสุมา2006) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 08:07:47

ความคิดเห็นที่ 41 รออ่านอยู่เพื่อเพิ่มประสบการณ์ค่ะ จากคุณ : ศรีธนา เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 08:38:46

ความคิดเห็นที่ 42 ตอบ คห. ที่ 35,37 ให้ผมตอบแบบตรงๆนะ จริงอยู่ ว่าตอนนี้ผมกลับมาเรียนอีกครั้ง แต่ก่อนหน้านี้ผมเคยเข้าเรียนที่ ม.เกษตร ได้สามปีกว่า แล้วก็ออกมาก่อนที่จะเรียนจบ เพื่อมาทำบริษัทกับเพื่อน(ไม่ใช่ของที่บ้าน) ... ในการเรียนตอนแรกๆ โดยส่วนตัวผมไม่เคยคิดว่าจะเรียนมาเพื่ออะไรเลยแต่ก็ผ่านมาได้ ที่บ้านก็ไม่ได้ขวนขวายบังคับให้เรียน แล้วก็ไม่ได้ซีเรียสด้วย เพราะที่บ้านก็มีธุรกิจส่วนตัวที่ต้องบริหารอยู่แล้ว แล้วส่วนตัวผม ผมเชื่อว่าการที่จะเรียนรู้อะไรสักอย่างไม่ได้มีแค่สถาบันการศึกษาอย่างเดียว เพียงแค่อยากรู้อยากเข้าใจ ก็หาเอาความรู้เข้าตัวได้ ไม่จำเป็นต้องไปเรียนที่มหาลัยอย่างเดียว เพราะฉะนั้น คำถามที่ว่า ผมเรียนไปเพื่ออะไร ขอตอบง่ายๆว่า "เรียนเพื่อเอาความรู้มาดูแลบริษัทที่บ้าน" ถึงมันจะไม่ใช่เหตุผลที่จะให้ความรู้สึกที่เป็น "คนของประชาชน เพื่อประชาชน "ก็เหอะ ... ผมไม่ได้คิดว่าการเรียนจะให้อะไร นอกจากพื้นฐานความรู้ในระดับนึงที่สมควรจะมีเป็นสามัญ นอกเหนือจากนั้น ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าอยากจะศึกษาหาความรู้ เหล่านั้นไปทำอะไร ไม่ใช่สักแต่จะต่อยอด เรียนให้มันสูงๆ ต่อให้จบป.เอกมาด้วยเหตุผลที่ว่า "ฉันจะกลับมา Develop(ท ผู้ เท่า อยู่ไหน) ประเทศชาติ" ผมถามคำหนึ่ง .... ทำไมไม่มองย้อนกลับไปดูบ้าง ว่าการทำงานในองค์กรณ์เหล่านี้ มีส่วนประกอบเช่นใดบ้าง การกดขี่ การใช้ทรัพยากรบุคคลอย่างไม่มีประสิทธิภาพ สิ่งเหล่านี้ล้วน แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของประเทศทั้งสิ้น ผมว่ามันเป็นโอกาสเริ่มที่ดี ที่ต้องมาเจอสภาพแบบนี้ ก่อนที่คุณๆ Dr. จะได้ขึ้นไปบริหารหรือก่อนที่่จะได้ไปทำการอะไร เพราะโลกนี้มันไม่ได้อยู่แค่ในหนังสือ นี่คือโลกแห่งความจริง จบป.เอกมาทำไมไม่ศึกษาสิ่งเหล่านี้แล้วรู้จักเอาไปวิเคราะห์ วิจัยเพื่อที่จะช่วยกันหาสาเหตุ แก้ไข ไม่ใช่มานั่งบ่นแล้วก็ไม่พอใจ  อีกอย่างคนที่เขาขึ้นมาโดยไม่มีปัญญาดีอย่างพวกคุณที่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากเรียน เขาใช้เวลาเป็นสิบๆปีเพื่อจะขึ้นมาหนึ่งขั้น คนดีๆที่ไม่มีโอกาสก็มี ....ผมเห็นมาเยอะนะคนที่จบป.เอกแล้วไร้คุณภาพเนี่ย ... ก่อนที่คุณๆ Dr. จะไปทำอะไรได้ สมควรจะฝ่าด่านความอดทนตรงนี้ให้ได้ก่อนมั๊ย ไม่ใช่สักแต่จะ "ลงไม่ได้" ถึงคุณๆจะเถียงว่าไม่เกี่ยว แต่ถามหน่อยเหอะเวลาคุณชงกาแฟ หรือเวลาถ่ายซีร๊อกให้ นายๆคุณเนี่ย เขาบังคับไม่ให้คุณๆ "คิด" เหรอ สมอง Dr. ก็ออกจะมีเยอะทำไมไม่รู้จัก วิเคราะห์ไป คิดไป หาทางแก้ไขไปไม่ใช่มัวแต่ไปโทษนู่นโทษนี่ ผมว่าอันที่จริง คนที่มีคุณภาพเนี่ยอยู่ตรงไหน ก็คิดต่างได้ หรือ Develop สิ่งต่างๆได้ไม่ว่าจะเล็กจะน้อยแค่ไหน จริงมั๊ย หรือว่า? แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 11:07:44 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 09:27:59 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 09:24:40 จากคุณ : Onlyoneshot เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 09:19:50

ความคิดเห็นที่ 43 .... ซ้ำฮะ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 09:25:06 จากคุณ : Onlyoneshot เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 09:21:09

ความคิดเห็นที่ 44 ดิฉันเข้าใจเเละเห็นใจเจ้าของกระทู้นะคะ เพราะว่าก็หัวอกเดียวกัน ดิฉันเคยเห็นพี่ที่ กพ คิดว่าเค้าก็เป็นนักเรียนทุนเหมือนกัน เเล้วจบออกมาก็ทำงานต่อที่ กพ ดิฉันเคยถามตัวเองว่าไปร่ำไปเรียนมาตั้งเยอะตั้งเมืองนอก จบออกมาทำงานนั่งโต๊ะ อยู่กับเเฟ้มเอกสารเเบบนี้เนี่ยหรอ ดูเป็นงานง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้ ไม่ต้องจบนอกก็ทำได้ เเละดิฉันก็เริ่มหวาดกลัวในอนาคตของตัวเอง ว่าวันนึง ถ้าดิฉันต้องกลับมาใช้ทุนจะเป็นเเบบนี้มั๊ย อาทิตย์ที่กลับมาถึงเมืองไทยอาทิตย์เเรก ดิฉันได้เเต่ร้องไห้ เครียดเเละกลัว กลัวว่าจะได้ทำงานที่ไหน กลัวว่าจะได้ไปทำงานที่เราไม่ชอบ กลัวระบบราชการไทย กลัวคนในองค์กร เเล้วก็กลัวตัวเองจะไม่ชอบงานที่ทำ นี่ยังไม่รวมความกลัวอื่นๆ กลัวว่าจะอยู่ในกรุงเทพได้มั๊ย คือให้ดิฉันย้ายบ้านย้ายเมืองในเยอรมัน ยังน่าจะง่ายกว่าย้ายมาอยู่กรุงเทพ ดิฉันไม่รู้ด้วยซ้ำจะเริ่มต้นชีวิตยังไง กลัวเงินเดือนจะไม่พอใช้ เพราะใครๆก็รู้ ค่าครองชีพกรุงเทพไม่ใช่ถูกๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด เเต่ตอนนี้ดิฉันก็ยังไม่รู้อนาคตตัวเองว่าจะออกหัวออกก้อย ก็รอคำตอบจาก กพ อยู่ค่ะ ว่าจะได้ไปทำงานที่ไหน ช่วงนี้ดิฉันก็เลยข้อมูลองค์กรต่างๆไป คือถ้าเเปีกมาที่เราเลือกไปเเล้วมันไม่ได้ จะได้มีเเผนบีไว้รองรับ เเละดิฉันได้เเลกเปลี่ยนประสบการณ์กับรุ่นพี่ที่เข้าไปใช้ทุนกันเเล้ว ต่างคนก็ได้รับประสบการณ์ที่ต่างกันออกไป บางคนบอกว่าเจ้านายดี๊ดี ให้โอกาสให้ใช้ความสามารถอย่างจริงจัง ได้ทำโน่นทำนี่ ได้เรียนรู้อะไรเยอะเเยะไปหมด ส่วนบางคนก็บอกว่า ก็มีความสุขดี งานไม่ท้าท้ายอะไรมาก วันๆอยู่กับกองกระดาษเเละเอกสาร บางคนก็บอกเข้าไปเเล้ว ยังไม่รู้เลยว่าไอ้งานที่ต้องทำจริงๆมันคืออะไร  สรุปก็คือ คุณต้องเข้าไปเจอกับมันเองนั่นเอง เพราะเเต่ละองค์กร เเต่ละเจ้านายมันก้ไม่เหมือนกัน การจะไปเปลี่ยนเเปลงทั้งระบบ มันคงทำไม่ได้ง่ายๆ นักเรียนทุนไฟเเรงหลายคน กลับมาก็อาจจะท้อ ว่าท้ายที่สุดพวกเราก็เป็นเเค่มดตัวเล็กๆ เเต่อย่าเพิ่งหมดหวังค่ะ เพราะวันนึงพวกคนรุ่นเเก่ๆก็จะเกษียณล้มหายตายจากกันไป รุ่นเราก็จะขึ้นมาเเทนที่ เก็บไอเดียของคุณไว้ พัฒนามันไว้ในสมอง เเล้วค่อยงัดมันออกมาอีกที เมื่อมีโอกาส change ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ไม่ได้เกิดเพราะคนๆเดียว มิงั๊นป่านนี้โอบาม่าก็รีฟอร์มเรื่องระบบประกันสุขภาพในอเมริกาไปได้เเล้ว เเละอีกอย่าง การเริ่มต้น มันอาจจะไม่ต้องเริ่มต้นเเบบยิ่งใหญ่เสมอไป คุณยังต้องใช้ทุนอีกหลายปี ดิฉันเรียนตรีโท นับๆเเล้วก็คงใช้ทุนไม่ต่ำกว่าสิบหกปี คุณอาจจะไม่ได้เป็นนายคนตั้งเเต่ปีเเรก เเต่ต่อๆไปก็ไม่เเน่ คุณยังมีเวลาอีกเยอะ ที่จะพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง เเละทำปณิธานของคุณให้เป็นจริง เเค่อันดับเเรก คุณต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับเมืองไทย สถานการณ์เเละสังคมคนไทยให้ได้ก่อนเท่านั้นเองค่ะ จากคุณ : gEiL giRL เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 09:56:44

ความคิดเห็นที่ 45 ไม่เกี่ยวกับกระทู้เท่าไร แต่มาแชร์ประสบการณ์ว่า ก่อนจะสมัครทุน หาข้อมูล คิดแล้วคิดอีกตั้งนานค่ะ ในแต่ละสาขา แต่ละปี มีตั้งหลายทุนให้ได้เลือก แต่สุดท้ายก็เลือกสมัครไปแค่ทุนเดียว เพราะคิดแล้วว่ามีสาขานี้สาขาเดียว และสังกัดนี้สังกัดเดียว ที่จบแล้วอยากกลับไปทำงานด้วย แต่ถ้าถึงเวลากลับไปจริงๆ จะดีหรือแย่กว่าที่คิดไว้ก็ไม่รู้ แต่ยังไม่ถึงเวลา ก็ไม่ใช่เวลามากลุ้มใจ คิดไว้แล้วว่าเสี่ยงจะลอง ผลที่ได้มันน่าจะคุ้ม ก็เดินหน้าต่อไป ส่วนตัวคิดว่า ทางใครทางมัน แต่ละคนก็มีเหตุผลและความความหวังต่างๆกันไปในทางที่ตัวเองเลือก แต่ประเด็นการจบป.เอกแล้วไปเจองานที่ไม่สมกับความรู้ที่ร่ำเรียนมา ส่วนตัวคิดว่า ต่อให้จบป.เอกสี่ห้าใบ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีความรู้ความชำนาญในตำแหน่งงานมากมาย เรื่องนี้มันความรู้ส่วนหนึ่ง ประสบการณ์ส่วนหนึ่ง และทักษะการเอาความรู้ออกมาใช้ด้วย เพิ่งมารู้ตัวว่าจริงๆแล้ว การเรียนป.เอก มันไม่ได้มีใครมาสอนอะไรเราเพิ่มเติมเลย มันเป็นการฝึกเราให้พัฒนาตัวเอง และเรียนรู้ที่จะหาความรู้และใช้ความรู้ของตัวเองให้มากที่สุดมากกว่า เรื่องอย่างนี้ มันแล้วแต่คนว่าใครจะดึงความสามารถออกมาและเรียนรู้ได้มากกว่ากัน เพราะฉะนั้น การจบปริญญาเอกก็ไม่ได้เป็นเครื่องหมายการันตีความรู้ความสามารถอะไรได้เลย จะเจองานอะไรก็ต้องค่อยๆเรียนรู้ที่จะดึงเอาความรู้ของตัวเองออกมาใช้ให้ได้แหละค่ะ ป.ล. ด้วยประสบการณ์ที่ยังไม่มาก ก็เลยแชร์ประสบการณ์ไปตามที่คิดค่ะ บางทีถ้าเรียนจนจบแล้ว กลับมาคิดประเด็นเดิม อาจจะมองเปลี่ยนไปก็ได้นะ จากคุณ : LittleCancer เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 10:55:42

ความคิดเห็นที่ 46 ยังตามติด ขอสนับสนุน #45 ค่ะ ดิชั้นขอขอบคุณผู้ที่จบ ดร. และกำลังจะจบทุกท่าน ที่อยากจะกลับไปใช้ทุน สามีและดิชั้น รับทุนมาก็อยากกลับไปตอบแทนประเทศชาติ ไม่ว่าจะกลับไปเจอองค์กรอย่างไร เพื่อนร่วมงานแบบไหน (อาจจะไม่เกี๋ยวกะกระทู้โดยตรง เพราะ กลับไปเป็นอาจารย์) เพราะดิชั้นตระหนักเสมอว่า เรารู้อยู่แล้วว่าจะกลับไปทำอะไร ที่ไหน เงินเดือนเท่าไหร่ ไม่ได้ไฟแรง แต่อยากจะทำให้ดีที่สุด และพร้อมปรับตัวเสมอ โชคดีที่สถาบันที่สังกัดดีมากๆ วิศัยทรรศน์กว้าง ดิชั้นรังเกียจผู้ที่รับทุนมาแล้ว พยามยามหาทางหลบเลี่ยงการกลับไปใช้ทุน ที่อยู่กันนี่ก็มีเยอะ..ดิชั้นมองว่าพวกนี้โลภมากและเห็นแก่เงินและตัวเองเป็นหลัก แม้แต่ญาติดิชั้นเอง...ก็หาทางหลบเลี่ยงอยู่หลายปี ดิชั้นเองก็เลยแจ้ง กพ.ซะเลยว่าเค้าไปหลบอยู่ที่ไหน ขอย้ำว่าไม่ได้ไฟแรงและเป็นคนแรงค่ะ เพราะพ่อแม่ดิชั้นก็หัวหงอกหัวดำอยู่ในวงการการศึกษาเช่นกัน ขอบพระคุณนักเรียนทุนรุ่นใหม่ทุกท่าน อย่าเพิ่งไฟหมดนะคะ วันนึง..ก็จะถึงเวลาของเราค่ะ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 12:01:54 จากคุณ : prinda (prinda) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 12:00:29

ความคิดเห็นที่ 47 ขอกลับมาตอบอีกรอบนะคะ คือเรื่องการรับทุนเนี่ย อย่างตอนที่ดิฉันได้รับทุนไป จะว่าเด็กก็ไม่เด็ก เเต่ก็ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ซะทีเดียว เพราะเพิ่งจบมอหก ณ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดอะไรมากหรอก รู้เเต่ว่าเค้าส่งไปเรียน เเล้วเรียนจบก็กลับมาทำงาน เเต่ยังไม่รู้ที่ไหนเพราะเป็นทุนกลาง เเถมดีซะอีก ไม่ต้องมาวิ่งหางานให้เหนื่อยเหมือนคนอื่น พอเรียนๆไปช่วงนึง จะเริ่มรู้สึกกลัวละ ว่าชั้นจะต้องกลับมารับราชการจริงๆหรอเนี่ย เเล้วสังคม องค์กร ชีวิตในเมืองไทยมันจะเป็นยังไงนะ เเต่ก่อนเคยอยู่อย่างอิสระ ระบบอาวุโสมีบทบาทน้อยมากในชีวิต เเต่มาเมืองไทยเนี่ย ชีวิตเปลีย่นจากหน้ามือเป็นหลังมือเเน่ๆ เเต่นักเรียนทุนหลายคนต่างก็รู้กัน ว่าถ้าเราเดินมาไกลขนาดนี้ มันมีโอกาสน้อยมากที่หันหลังกลับ เพราะเงินที่เราได้รับมาเดือนนึงไม่ใช่น้อยๆ ไหนจะค่าปรับสามเท่านั้นอีก จะหนีไปเลย คนค้ำประกันเราจะเป็นยังไง จะทำบาปกะพ่อเเม่ ญาติพี่น้องที่ค้ำประกันให้หรอ เเล้วอีกอย่างเค้าก็อุตส่าห์ส่งไปเรียนเเล้ว จะหนีไปดื้อๆอย่างนั้นหรอ สรุปว่าก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป คือเรียนให้จบเเล้วก็กลับมาใช้ทุน เเต่ในทางกลับกัน ชั้นกลับมาเมืองไทย โดนคำถามจากประชาชนคนรู้จักมากมาย ทำไมไม่อยู่ต่อที่นั่นล่ะ หาการหางานทำ เงินเดือนเยอะกว่า ยอมใช้ทุนคืน เหมือนที่ลูกสาวเค้าทำ ชั้นพยายามไม่ถือสาในสิ่งที่เค้าพูด เพราะเค้าไม่รู้หรอกว่า จำนวนเงินที่ต้องใช้คืนมันมากมายขนาดไหน คือถ้าเทียบกับลูกสาวเค้า ที่ต้องใช้ทุนคืนเเค่สามเเสนห้าสำหรับนักเรียนเเพทย์ที่จบออกมาเเล้วไม่อยากไปทำงานในชนบท หรือไปทำได้สองสามเดือนเเล้วบอกว่างานหนัก คนไข้เยอะ ใช้ทุนคืนเเล้วไปทำงานโรงพยาบาลเอกชนดีกว่า ชั้นกลับมานั่งคิดดู เเละเปรียบเทียบกับเคสของบรรดานักเรียนทุนในต่างประเทศ หลายคนมักจะว่าพวกเราว่า รับเงินทุนไปก็ต้องรู้สิ ว่ากลับมาต้องทำอะไร ต้องใช้ทุน ต้องเป็นข้าราชการ เเล้วพวกหมอพวกนี้ล่ะ เค้าไม่รู้หรอ ว่าเรียนหมอจบมา เเล้วต้องรักษาคนไข้ เเล้วกับการไปอยู่โรงพยาบาลประจำอำเภอเเค่ไม่ถึงสามปี หลายคนทนไม่ได้เพราะงานหนักค่าตอบเเทนน้อย เเละเงินที่พวกคุณต้องใช้คืนก็น้อยนิด ทำงานไม่กี่เดือนก็หาคืนได้ เเต่ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่หมอทุกคนที่คิดอย่างนั้น นับว่าเป็นโชคดีของประเทศชาติ เเละก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่นักเรียนทุนทุกคน ที่่คิดจะหนีทุน เพราะมันไม่ได้หนีกันง่ายๆอย่างที่คุณคิด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวค่ะ ว่าภาษีของพวกคุณที่ส่งเสียให้พวกเราเรียนจะไม่เกิดประโยชน์ จากคุณ : gEiL giRL เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 12:36:56

ความคิดเห็นที่ 48 ชีวิตนักเรียนทุนแสนจะสบายครับ เมื่อเทียบกับหลายๆ คนที่เรียน อยู่ต่างประเทศ ห่วงแต่เรื่องเรียนอย่างเดียว คนอื่นๆ เขาต้องห่วง เรื่องเงินที่ทางบ้านให้มา ต้องจำกัดจำเขี่ยไม่ใช้อย่างสิ้นเปลือง กลับมาทำงานก็ได้งานนั่งโต๊ะกันทั้งนั้น มีไปชงกาแฟนั่นนี่บ้าง ก็ไม่ใช่ต้องทำอยู่ตลอดเวลาทั้งวัน จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 13:01:04

ความคิดเห็นที่ 49 suck บอกได้คำเดียว ทำงานใช้ทุนมาจนครบแล้ว ตอนแรกไฟแรงมาก ตอนนี้ไฟมอดหมดแล้ว ถูกระบบกลืนหมด หลายครั้งที่คิดว่า ชีวิตอาจจะดีกว่านี้ถ้าเลือกไม่รับทุนรัฐบาล จากคุณ : Queen of hearts เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 14:51:06

ความคิดเห็นที่ 50 ญาติใกล้ตัวดิฉัน จบแล้วกลับมาทำงานแบบไม่คิดเหน็ดเหนื่อย  ทั้ง ๆ ที่ตอนเรียนจบสามารถทำงานที่อเมริกาได้มากมายเพราะเขาจบยู ทอป 5 ของอเมริกา จบทางด้านวิศวกรรม  มีบริษัทชั้นนำจะมาซื้อตัวไป เขากลับมาทำงานใช้ทุนที่ประเทศไทย ไม่อู้งาน ทำงานตามที่รับมอบหมายอย่างดีที่สุด     ปากเขาไม่ค่อยดีเท่าไหร่  พูดตรงมาก และประกาศไว้ด้วยว่า เขาเป็นนักเรียนทุน เขาต้องใช้ทุนใช้ภาษีราษฎรให้ครบถ้วนและคุ้มค่า เขาสำนึกในบุญคุณรัฐบาล  ไม่ไปทำงานสาย ไม่กลับก่อน ไม่กินข้าวเที่ยง 3 ชั่วโมง ไม่เป็นคน Nerd  ทำงานดีและเจ้านายให้ความไว้วางใจ  เจ้านายรักหรือไม่เขาไม่ได้บอก 20 ปีผ่านไป การงานเขาก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ และเดี๋ยวนี้เขาเป็นนักบริหารระดับสูง มีชื่อเสียงพอสมควร เขามีเงินทองพอใช้จ่ายอย่างสบาย จากสัมมาอาชีพ ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง  ประหยัดและใช้แต่สิ่งจำเป็นในชีวิต เรื่องที่เล่ามาเป็นเรื่องจริง อยากให้นักเรียนทุน มีึสำนึกและกลับมารับใช้ชาติ และพัฒนาบ้านเมืองกันมาก ๆ จากคุณ : น้านก (Aunti-นก) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 15:27:44

ความคิดเห็นที่ 51 กลายเป็นกระทู้เหยียดหยามปริญญาเอกไปซะงั้น งั้นผมขอพูดถึงคนจบปริญญาเอกบ้างแล้วกัน คนจบปริญญาเอกในสายตาของผมไม่ใช่เทวดาครับ แต่บางคนเป็นยิ่งกว่าเทวดา นักฟิสิกส์ นักเคมีที่ได้รางวัลโนเบลมาตลอดศตวรรษที่ผ่านมานับร้อยคนจบปริญญาเอกซะส่วนใหญ่ มีปริญญาโทประมาณสองถึงสามคน ปริญญาตรีก็เพิ่งมีคนเดียวมั้ง เมื่อไม่เกินสิบปีมานี้ จบตรีวิศวกรรมไฟฟ้าวัดคุม งานที่คนเหล่านี้ทำเปลี่ยนแปลงโลกไปเยอะมาก คงไม่ต้องร่ายกันตรงนี้ว่าพวก "nerd"  เหล่านี้ทำประโยชน์มากมายมหาศาลแค่ไหน เขาเหล่านี้ทำงานหามรุ่งหามค่ำโดยไม่หวังผลตอบแทนอะไรมากมายนอกจากประโยชน์ของมนุษย์ทุกคนและฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ตลอดกาล คนเรียนปริญญาเอกถูกฝึกให้คิดอะไรแตกต่างจากคนอื่นเสมอ และที่สำคัญต้องป้องกันความคิดตัวเอง บางครั้งอาจจะต้องถกกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่อาวุโสกว่ามาก แบบตาจ้องตาไม่กระพริบ  ไม่สามารถจะคุยกันแบบนอบน้อมถ่อมตนได้ ก็จำเป็นต้องทำ บุคลิกแบบนี้อาจจะไม่ประสบความสำเร็จในประเทศเล็กๆบางประเทศ ไม่ถูกใจพ่อแม่ที่ส่งเสียให้เรียน แต่ในประเทศที่มีการแข่งขันสูงและมีธรรมาภิบาลประกอบ คนจบปริญญาเอกจะอยู่ได้อย่างภาคภูมิครับ ไม่ว่าจะเป็นด้ื่านธุรกิจหรือวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยที่อเมริกาชอบลางานสองสามปีเพื่อไปตั้งบริษัทแล้วก็ cash out ทีละหลายสิบล้านเหรียญ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่เงิน แต่เค้าต้องการพิสูจน์ความคิดของเค้าว่ามันถูก พอไม่มีใครยอมเอาไอเดียเค้าไปใช้เค้าก็ต้องทำเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนจบปริญญาเอกไม่ได้ถูกฝึกมาให้เป็นเจ้าคนนายคน ไม่ได้ถูกฝึกมาเพื่อให้ประสบความสำเร็จทางด้านการเงิน ถ้าจะไต่เต้าเป็นเจ้านายบริหารระดับสูงไม่ได้ ถ้าจะเงินไม่พอใช้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คนที่กลัวจะต้องทำงานตัวเป็นเกลียวให้เจ้านาย หรือ กลัวเงินไม่พอใช้อาจต้องระวังจุดนี้ เข้าเรื่องที่เจ้าของกระทู้ถามนะ ผมไม่มีสิทธิ์ตอบเพราะไม่ได้อยู่ในกระทรวง แต่คนในบ้านจบเอกอีกสองคนอยู่ คนนึงอยู่กระทรวงเกรดเอ ประสบความสำเร็จด้านเงินทองพอควร อาจไม่อู้ฟู่เพราะเ็ป็นเงินสุจริต แต่ก็ไม่น้อยกว่าทำงานต่างประเทศเท่าไหร่นัก อีกคนอยู่กระทรวงเกรดซี ลำบากเรื่องเงินเรื่องทองพอควร งานที่ทำก็ไม่ต้องห่วง ต้องแก้ปัญหาระดับชาติ เค้นสมองกันน่าดู ทั้งกรมก็มีเอกอยู่ไม่กี่คน ผมว่าไม่ค่อยมีหรอกครับ ให้มานั่งชงกาแฟ เพราะผู้หลักผูใหญ่เค้าคงอยากได้สาวๆมาชงให้มากกว่า หนุ่มๆอายุสามสิบกลางๆชงให้คงขมน่าดู เรื่องการทำ power point ก็อย่าดูถูกคนจบเอกเลยครับ ผมกว่าจะจบมาทำ present ตั้งแต่ตรีถึงเอกไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง อาจจะถึงสองร้อยถ้ารวมรายงานความคืบหน้าประจำสัปดาห์ ประจำเดือน เทอมโปรเจคของวิชาหลายวิชา สไลด์แต่ละแผ่นผมใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง เพราะต้องพยายามอธิบายความคิดด้วยกราฟฟิคให้มากที่สุด ลูกเล่นต่างๆห้าม  ไฟล์แต่ละไฟล์จะมีอัพเกรดประมาณสี่ถึงห้าเวอร์ชั่น ถ้ามาดูโฟลเดอร์ที่ผมเก็บไว้มีไฟล์นับพันไฟล์ ไม่จบมาได้ง่ายๆนะครับ ถ้าพรีเซ็นต์ไม่เป็นอย่างที่บางคนว่า แต่คนจบปริญญาเอกในไทยเริ่มเยอะขึ้น อาจมีประเภทอย่างที่ว่ามามากเดินชนกันเกลื่อนอย่างที่ระบุจริง ผมก็เห็นเยอะ แต่นั่นเป็นเพราะคนไทยนิยมเรียนปริญญาแบบซื้อทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศสังเกตุเห็นเยอะขึ้น แต่นั่นก็เป็นปัญหาของคนไทยครับ ไม่ใช่ปัญหาของคนจบปริญญาเอก แต่เป็นที่น่าดีใจที่กรมสำคัญในกระทรวงที่มีลักษณะเป็น think tank ของประเทศไทยวันนี้ ส่วนใหญ่มีอธิบดีจบปริญญาเอกกันทั้งนั้น นั่นคือ เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมวันนี้ วันหน้าเค้าก็จะอาจจะกลายเป็นอธิบดี กลายเป็นปลัดกระทรวงต่อไปในภายภาคหน้า เหลือกระทรวงไม่กี่แห่งหรอกครับที่ชะตากรรมของคนทำงานยังถูกผูกติดกับนักเลือกตั้ง ที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์มากกว่า กระทรวงพวกนี้ คนจบปริญญาเอกก็ไม่ค่อยเข้าไปยุ่ง คือ เค้าก็ไม่เอาคนเรียนสูงอยู่แล้ว จากคุณ : แวมไพร์ที่ราบสูง เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 15:35:22

ความคิดเห็นที่ 52 อยากขอร่วมออกความคิดเห็นด้วย ถึงแม้จะไม่ได้เข้าข่ายของการเป็นนักเรียนทุนจากประเทศไทยแต่อย่างใด แต่ขอออกความคิดเห็นในอีกแง่นึง ของคนที่จบปริญญาเอก ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่ง - มีคนที่จบปริญญาเอกเยอะมากต่อปี - คนที่จบปริญญาเอกเหล่านี้ตกงานเยอะมากๆ และตกนาน ประมาณว่าระยะเวลาเฉลี่ยของการตกงานคือ 2 ปี - ทุนที่คนที่จบปริญญาเอกได้ระหว่างที่เรียน มันเหมือนกับการต่อยอดช่วงการหางานจริงๆ ไม่ต้องคิดว่าจะต้องทำอะไร หลายๆ เหตุผลที่ทำให้คนจบปริญญาเอกตกงาน ในความคิดเห็นของผู้จ้างงาน คือ ความไม่ operational หรือง่ายๆ คือ รูปแบบการเทรนในระดับปริญญาเอก (ให้รู้ลึก) มันทำให้ไม่ค่อยเหมาะสมกับวัฒนธรรมของบริษัท ตอนนี้มหาวิทยาลัยพยายามแก้ไขปัญหาการตกงานของเด็กปริญญาเอก พยายามที่จะบอกว่าคนที่จบปริญญาเอกเนี่ย มี added value นะ ที่จะพัฒนาองค์กรได้ดี หาก... ต้องมีคำว่าหาก... หากว่าสามารถที่จะ integrate ได้ดีให้เข้ากับองค์กรได้แล้ว ส่วนตัวเอง ในช่วงที่ตกงานนั้น คิดเสมอว่า นี่ถ้าเราอยู่ประเทศไทย เราจะมีงานทำ ไม่ต้องตกงาน อย่างน้อยเราน่าจะได้ใช้ความสามารถที่เราเรียนมาบ้าง ไม่มากก็น้อย แต่พอในที่สุดได้งาน ก็ดีใจ ทำไปปีแรก ยังดีใจอยู่ ปีที่สองชักดีใจน้อยลง ปีที่สามและสี่ คือปัจจุบันนี้ เบื่อสุดๆ เพราะว่า (หลังจากวิเคราะห์แล้ว) - งานที่ทำ ไม่ได้ต้องการใช้ความสามารถที่มีอยู่เลย ไม่จำเป็นต้องจบเอกก็ทำได้ - ที่สำคัญ หลังจากที่ได้สอนงานให้กับเลขาฯ และผู้ช่วยทำแล้ว เขาก็ทำได้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่า นี่เรากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย สิ่งที่ทำไม่ได้สอดคล้องกับที่เราน่าจะทำได้เลย ก็เลย frustrate เป็นระยะๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ตัวเองมักลืม และมักจะบอกกับตัวเองว่า นี่เราไม่ได้ใช้สิ่งที่เรียนมาเลย ก็คือ ความสามารถที่เราวิเคราะห์การทำงาน ทำอย่างไรให้มันปรับปรุงให้ดีขึ้น ทำอย่างไรที่จะเพิ่มความสามารถให้กับผู้ร่วมงานที่ทำงานด้วยกัน เจ้าความสามารถในการ analyse, การหาทางแก้ปัญหา หรือ problem-solving ตลอดจนการพยายามดูแลสิ่งที่ทำ (ไม่ว่าจะเล็กน้อย หรือโหญ่โตเพียงใด) ให้มันเสร็จลุล่วงไปด้วยดี หรือง่ายๆ คือ การจัดการโครงการ (project management) สิ่งเหล่านี้คือทักษะที่ได้มาระหว่างการเรียนปริญญาเอก นอกเหนือไปจากหัวข้อการงานวิจัยที่ทำซึ่งมักไม่ได้ถูกใช้โดยตรง ทักษะและประสบการณ์ต่างๆ ระหว่างการเรียนปริญญาเอก เป็นทักษะที่สำคัญที่ต้องนำมาใช้ในการทำงานในชีวิตจริง และเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กปริญญาเอกแตกต่างไปจากเด็กที่ไม่ได้ผ่านการเทรนในระดับนี้ แต่ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่า หากเด็กที่ไม่ได้ผ่านการเทรนระดับนี้ แต่ถ้าได้มีโอกาสในการทำงานหรือมี direct experience กับงานจริงๆที่ต้องการทักษะเหล่านี้ เขาก็จะทำได้ ดังเช่นในอดีตที่ระบบการศึกษายังไม่มีระดับปริญญาเอกมากมายเหมือนในปัจจุบัน ดังนั้นหากคนที่จบปริญญาเอก แต่ไม่ apply ทักษะและประสบการณ์ที่ acquire มาใช้ได้ในการทำงานจริง ก็ค่อนข้างจะดูเหมือนว่าคงไม่ได้เป็น added value ให้กับองค์กร ไม่แตกต่างจากคนที่ไม่มีปริญญาเอก ถ้าเอาจากประสบการณ์ตัวเองเป็นตัวตั้ง ก็เข้าใจว่าคนอื่นๆ ก็น่าจะต้องมีประสบการณ์คล้ายๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น frustration ระหว่างเรียน การมีปัญหากับอาจารย์ การจะต้อง convince ผู้ร่วมงาน บางคนมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์จากการทำงาน (เช่น จำต้องทำงานให้อาจารย์เพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ในการเรียน หรือ อื่นๆ) พอมาทำงานในชีวิตจริงๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันมี มันอยู่ที่ว่าทำอย่างไร เราจะผ่านมันไปให้ได้ โดยที่เป็นประโยชน์กับทุกๆ ฝ่าย แน่นอนว่าเราอาจไม่สามารถคาดหวังผลสูงสุด เพราะว่าการทำงานจริง มันมีองค์ประกอบหลายอย่าง ดังเช่น project management มันก็ต้องมี risk factors ไม่จำเป็นต้องเป็นที่ไทย และไม่จำเป็นต้องว่า เป็นปัญหาของเด็กที่จบปริญญาเอกแล้วไปใช้ทุนที่ไทยหรอก ที่ไหนๆ ก็มี คือ ในระดับความรับผิดชอบที่สูงขึ้นมาน่ะ มันมีทั้งนั้น ไม่ว่าจะความอิจฉา (อันนี้มีจริง ถ้าหากผู้ใต้บังคับบัญชามีความสามารถสูงกว่า) คือไงล่ะ การจะโดดเด่นมันก็ต้องทำอย่างระวัง อย่าให้เกินหน้าหัวหน้าตนเอง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรู้ว่า ทำอย่างไรให้คนรู้ว่านี่เป็นเราทำนะ แต่ว่าให้หัวหน้าได้หน้าน่ะ มันก็เป็นศาสตร์และศิลป์ทั้งนั้น คือ เราต้องไม่ทำให้หัวหน้าของเรารู้สึกไม่ secure เพราะถ้าเขาไม่ secure เราก็จะถูกกำจัดด้วยวิธีการต่างๆ แต่ว่าไม่ใช่ว่าการไม่ไว้วางใจมันมีจะตลอด เพราะด้วยเวลาที่ผ่านไป การได้ทำงานร่วมกัน ได้ศึกษาซึ่งกันและกัน ความไว้วางใจมันจะเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลานั้น เราก็จะได้มอบหมายสิ่งที่ทำให้เราได้ใช้ทักษะของเรามากขึ้น แต่ถ้าเรารอให้ถึงเวลานั้นไม่ได้ เราก็อาจจะต้องหาที่ๆ อื่น ที่เราจะได้ใช้ทักษะและความสามารถของเรา เราคงไม่สามารถทน frustration ไปได้เป็นสิบๆ ปีหรอก ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ถ้าเป็นนักเรียนทุน มันมีเรื่องของการติดทุนอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าเข้าประเด็นไหม แต่ว่าอยากออกความคิดเห็นน่ะนะ กำลังคิดว่า อีกประเด็นที่น่าจะมีคนให้ความคิดเห็นได้เยอะ คือ ทำอย่างไร คนที่จบปริญญาเอกไปแล้ว จะทำงานได้อย่างมีความสุข ในสิ่งที่แวดล้อมที่คุณไปใช้ทุน มันต้องมีวิธีการสิน่า ถ้าเรามองแบบเป็นธรรมกับองค์กรนะ มันคงไม่มีอะไรที่แย่ขนาดมากๆ จนแก้ไม่ได้หรอก จากคุณ : พธูไทย เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 17:32:23

ความคิดเห็นที่ 53 คนเราควรจะมีความรับผิดชอบ ควรจะทำตามเงื่อนไขที่ตัวเองทำไว้ให้ถูกต้อง คนเราถ้าไม่มีความรับผิดชอบ ทำอะไรก็ไม่เจริญหรอกครับ คนเก่งจริงควรจะมีทั้งไอคิวและอีคิว ไม่ว่าจะอยู่หน่วยงานไหนก็เจริญได้ ไม่จำเป็นต้องทำให้ตรงสาขาที่เรียนมาโดยตรง การศึกษาทำให้คนมีวิสัยทัศน์กว้างขึ้น แต่ประสบการณ์ที่ดีนำมาเพื่อความสำเร็จในชีวิต แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 18:20:19 จากคุณ : BenzSiam เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 18:16:14

ความคิดเห็นที่ 54 กระทู้เตะตาดีจัง เราไม่เคยตอบกระทู้แนะนำเลยซักครั้ง แต่หนนี้สนใจจริงๆ สนใจอ่าน ความมุมมองของคนหลากหลายที่มีต่อ คนเรียนเอกหรือ จบเอก ส่วนใหญ่ก้อพบว่า หลายๆคนยกเอาประสบการณ์ที่ได้สัมผัสกะคนเรียนจบเอกมาบอกเล่า ละก้อค่อนข้างติดลบด้วยซี เราว่าปริญญาสูงมันไม่ได้ทำให้คนง่อยเปลี่้ยเสียขา ทำงานใช้แรงงานไม่ได้นี่นะ เราว่ามันอยู่ที่ทัศนคติที่แต่ละคนมีต่อเจ้านายตัวเองรึเปล่าอ่ะคะ เพราะแนวคิดบอกต่อๆกันมาแบบนี้รึเปล่า ทำให้คนที่จบแล้วกำลังจะกลับไทยเกลียดและอคติเจ้านายตัวเองตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำงานด้วยกันเลยด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างว่าถ้าไม่ใช่ในไทย แต่เป็นเมืองนอก ดร.ที่ชงกาแฟ ถ่ายเอกสาร ทำงานนอกเหนือหน้าที่ต่างๆให้เจ้านายด้วยความเต็มใจ มีออกเยอะแยะไป... ที่ทำงานเราถึงไม่ใช่ที่ไทย แต่ก้อเป็นหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ประกอบด้วย ดร. 80% แต่ละวันเราก้อจะเห็น ด็อกเตอร์ ล้างจาน ด็อกเตอร์ ถูพื้น เช็ดหน้าต่าง ด็อกเตอร์ กำจัดขยะ ด็อกเตอร์ ต่อตู้ ต่อชั้นวางหนังสือ ด็อกเตอร์ ชงชา ชงกาแฟ (+ชงเหล้า)ให้เจ้านาย ด็อกเตอร์ ซ่อมเครื่องถ่ายเอกสาร ด็อกเตอร์ ซักผ้าเช็ดมือ ด็อกเตอร์ ซ่อมก๊อกน้ำ ด็อกเตอร์ เดินตามรุ่นพี่ ด็อกเตอร์ เดินห้อยหลังเจ้านาย ด็อกเตอร์ เปิดประตูให้เลขา ด็อกเตอร์ โค้งให้คนส่งของ ด็อกเตอร์ที่ว่าเหล่านี้ ไม่สนใจคิดด้วยซ้ำว่างานพวกนี้ไม่ใช่งานตัวเอง งานอะไรก้อตามแต่เถอะ ถ้าทำแล้วมันเกิดคุณค่า ไม่ว่าจะทางวิชาการ ทางจิตใจ ทางทรัพยากร ประหยัดเวลาโดยรวมของหน่วยงาน ฯลฯ กว่าจะทันคิดว่าเป็นหน้าที่ใคร เมื่อมันอยู่ตรงหน้า ก้อลงมือทำไปก่อนซะแล้วล่ะค่ะ จากคุณ : enjoymiracle เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 19:01:20

ความคิดเห็นที่ 55 ทำไมจะต้องลงทุนปีละเป็นล้านๆ เพื่อให้คนกลับมาทำตำแหน่งที่ใช้ความรู้ไม่ตรงงานด้วยคะ? สิ้นเปลืองทรัพยากรมนุษย์ เพราะระบบราชการมีปัญหาเรื้อรัง เอาง่ายๆ ส่งคนไปเรียนด้าน polymer เพื่อที่จะได้พัฒนาเรื่องยางพารา จบกลับไทยมาก็ถูกผู้ใหญ่กีดกันเรื่องงานวิจัย เสนออะไรไปก็ถูกตีกลับ ขอทุนวิจัยก็ไม่อนุมัติ อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนี้ไป 1-2 ปี ก็หมดใจแล้ว ไม่รู้ว่าที่ร่ำเรียนมานี่เพื่ออะไร สำหรับคนที่เข้ามาตอบกระทู้ในเชิงตำหนิคนรับทุนด็อกเตอร์ ก็ไม่รู้ว่าหลงประเด็นหรืออ่านกระทู้ไม่แตก คนไทยเห็นคนไม่เรียนหนังสือ ก็ไปดูถูกเค้าว่าไม่มีความรู้ พอเค้าเรียนหนังสือมาก ก็ไปดูถูกเค้าว่าอ่อนด้อยประสบการณ์ชีวิต ก็เป็นซะแบบนี้มั๊งคะ ประเทศไทยถึงได้แจกรางวัลแม่ดีเด่นให้กับหมีแพนด้า จากคุณ : Candy Wrapper เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 22:50:29

ความคิดเห็นที่ 56   ผมขอถามหน่อยครับว่ารัฐยอมเสียเงินภาษีจากประชาชนมากมายเพื่ออะไร ผมอยากยกตัวอย่างสมมุตินะครับ ว่ามีพ่อบ้านคนหนึ่งเลี้ยงไก่ไข่ก็เพื่อให้มันไข่นะครับจะได้เอาไข่ไปขาย และถ้ามีคนงานในไร่เอามันไปเล่นสนุกสนานแบบหมาแมวในบ้านจนมันไม่ยอมไข่ ใครเสียผลประโยชน์ครับ ผมไม่ได้พูดถึงเงินหรือตำแหน่ง แต่พูดถึงประโยชน์ของชาติในฐานะผู้เสียภาษี เพราะผมอยู่เมืองไทย การส่งคนไปเรียนเอกส่วนใหญ่รัฐบาลส่งสายวิทย์ซะส่วนมากเพื่อให้เรียนรู้การทำวิจัย ซึ่งงานวิจัยนี่หละที่จะนำกลับมาพัฒนาประเทศ แต่นี่กลับเอาไปทำงานส่วนตัว แล้วภาษีผมหละ อนาคตประเทศหละ ไม่ลองมองดูเกาหลีบ้างเหรอว่าเขาพัฒนาได้เพราะมีคนทำวิจัยอย่างจริงจังจำนวนมาก เวียตนามผมไม่รู้ว่ามีนักวิจัยเท่าไหร่ แต่เขาให้เงินเดือนคนที่เป็นครูสูงมาก ดังนั้นผมสรุปเอาว่าถ้ามีคนจบเอกจากนอกมาเขาก็คงให้นั่งทำงานตรงสายแน่ๆ นั่นคืองานวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆหรือปรับปรุงองค์ความรู้ของชาติในแง่มุมที่คนนั้นจบมา ผมยังดีใจบ้างที่รัฐบาลนี้ได้มุ่งเน้นที่จะเพิ่มผลิตภัณท์มวลรวมจากทรัพสินทางปัญญา นั่นหมายถึงการเน้นการสร้างองค์ความรู้ใหม่ การวิจัยที่เป็นประโยชน์ ตลอดจนตั้งมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติขึ้นมา แต่ในขณะเดียวกันรู้สึกเสียใจที่ยังมีผู้เห็นดีเห็นงามกับคนกลุ่มหนึ่งที่ทำให้ประเทศพัฒนาไม่ได้จากการนำบุคคลที่รัฐจ่ายเงินจำนวนมากไปใช้ส่วนตัว มันก็ไม่ต่างจากคนเหล่านั้นยอมใช้ทุนและไม่ยอมกลับมาใช้ทุนสักเท่าไหร่ เพราะยังไงไก่มันก็ไม่ยอมไข่อยู่ดี แต่การใช้ทุนรัฐยังได้ทุนคืนบวกกำไร แต่การไปนั่งชงกาแฟนอกจากขาดทุนที่ต้องทนเลี้ยงมานาน มันไม่ยอมไข่แล้วยังมากินอาหารในเล้าทุกวันอีก หวังว่าคุณอิสวาสุซึ่งปากสิ้นกลิ่นน้ำนมแล้วและไม่ได้อยู่ในประเทศไทยจะเข้าใจ จากคุณ : เมื่อไหร่จะถึงเวลาเปลี่ยน เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 22:59:40 A:124.121.142.127 X: TicketID:068526

ความคิดเห็นที่ 57 ป้า คห.23 น่ะ...ได้ข่าวว่าเลยวัยเจริญพันธุ์ไปนานแล้วนะคะ? จากคุณ : Devily เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 23:04:05

ความคิดเห็นที่ 58 การมองด้วยใจเป็นธรรม และแสวงหาข้อมูลก่อนแสดงความคิดเห็น เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับนักเรียนทุนรัฐบาลครับ ปัญหาที่พบกันอยู่ ในประเทศไทยไม่ใช่ว่าคนที่อยู่มาก่อนเขามองไม่เห็น หรือไม่รู้ หลาย กรณีกำลังพยายามแก้ไข และบางเรื่องก็ได้แก้ไขไปแล้ว แต่นักเรียน ทุนบางคนไม่ทราบเพราะมีอคติอยู่ในใจก่อนแล้ว แถมยังไม่หาข้อมูล เพิ่มเติมก่อนจะวิจารณ์ด้วย จึงทำให้คนอื่นตำหนิเอาได้ เช่น มีนักเรียน ทุนคนหนึ่งบอกว่า หน่วยงาน a แย่มาก เพราะไม่มีการจัดทำข้อมูล B เลย พอสืบสาวราวเรื่องปรากฎว่าเขาจัดทำกันมาตั้ง 3 ปีแล้ว มีลงเวป เรียบร้อย แต่นักเรียนทุนไม่ได้ค้นหา แต่ฟังคำคนอื่นมาวิจารณ์ จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 23:15:18

ความคิดเห็นที่ 59 ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ ไม่มีใครที่ชมว่าระบบราชการในประเทศไทย ดีเลิศประเสริฐศรี แม้แต่คนที่ทำงานในระบบเอง แต่การเปลี่ยนแปลง ต้องทำอย่างเป็นขั้นตอน มีระเบียบแบบแผนของมันอยู่ ที่ส่งท่านทั้ง หลายไปศึกษาต่อ ก็เพื่อมาช่วยปรับปรุงระบบให้ดีขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำ ก่อนจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ต้องเข้าใจตัวระบบที่ต้องการจะ เปลี่ยนหรือปรับปรุงให้ดีขึ้นนี้เสียก่อน และต้องเข้าใจวิธีการที่จะเปลี่ยน ระบบนี้ด้วย ไม่ใช่ทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่สนใจอะไรสักอย่าง อยู่ๆ เดินเข้ามาก็บอกว่าจะเอาแบบนี้ A->B->C->D เท่านั้น พอไม่ได้ดังใจ ก็ตีโพยตีพายเหมือนเด็กๆ ที่ถูกตามใจจนเคยตัว แบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะ มาช่วยกันแก้ไขปัญหาได้เสียทีเล่าครับ จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 23:24:59

ความคิดเห็นที่ 60 พวกที่ให้ ดร. ไปชงกาแฟทำพาวเวอร์พอยท์ก้อคิดดูดิ กว่าจะจบ ดร. ชาติเสียเงินไปเท่าไหร่ พอได้เค้ากลับมา มันจะเป็นเนสกาแฟที่แพงกว่า สตาบัค ผมจบ ปตรี ทำงานคอม ไปทำงานวันแรก ได้คีย์บอร์ด สกปรกมาก นั่งเช็ดไป ชม.นึง เงินเดือนผมหารออกมาวันละพันสอง ทำงาน 8 ชม. 1200/8 =150 บาท คือ บริษัทซื้อคีย์บอร์ดใหม่ถูกกว่าผมนั่งเช็ด ถ้าเป็น ตรี-ดร. เรียน 10 ปี ใช้งบ 20ล้าน จบมา 28 ใช้ทุน 20ปี  ปีละล้าน เดือนละเกือบแสน ไม่รวมเงินเดือนปามาน 3-5 หมื่น ตีให้เป็น 120,000 ทำงาน 20วัน วันละ 6000 ชม. ละ 6000/8 = 750 กาแฟใช้เวลาชง 10 นาที 750/6 = 125 บาท ยังไม่รวมวัตถุดิบ สรุป ซื้อสตาบัคให้ข้าราชการแก่ๆกินถูกกว่าให้ดรมาชง 555 เอ้อ ลืมคิดดอกเบี้ยของเงิน 20ล้านอะ จากคุณ : mmgogo เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 00:54:31

ความคิดเห็นที่ 61   ลองเปรียบเทียบนักเรียนทุนรัฐบาลไทยกับสิงคโปร์ดูนะครับ: ตัวอย่างเปรียบเทียบกับประเทศหนึ่ง ที่ส่งคนไปเรียนต่อเมืองนอกมากพอ ๆ กับไทย (มีไม่กี่ประเทศในโลกหรอก ที่รัฐบาลส่งเด็กไปเรียนต่อเยอะๆ)คือสิงคโปร์ ของเขาเท่าที่รู้คือพวกนักเรียนทุนกลับมาเป็นข้าราชการ หลังจากเรียนปริญญาตรี หรือโท ส่วน ป.เอก เขาส่งไปน้อยมาก นอกจากพวกที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือเป็นสาขาที่จำเป็นทางการแพทย์ (Bioscience) ที่ต้องใช้ความรู้ระดับนั้น นักเรียนทุนสิงคโปร์ที่กลับไปเป็นข้าราชการ ถือว่าเงินเดือนดี เข้าไปแล้วเขาจะให้ rotate ไปอยู่หลาย ๆ หน่วยงาน พอทำงานสักพักหนึ่ง เขาก็อาจจะส่งไปเรียนต่อ ป.โท หรือ MBA (สำหรับคนที่ยังไม่มีวุฒิ) เท่าที่ทราบคือเป็นระบบราชการที่ค่อนข้าง efficient และก็ใช้ประโยชน์จากบุคลากรได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก หลังจากทำงานกับรัฐบาลแล้ว ก็อาจจะย้ายไปอยู่ในระบบเอกชนต่อไป แต่เงินเดือนก็ไม่ได้ต่างกันมาก ส่วนของไทยเนื่องจากระบบราชการมันใหญ่โตมาก เรื่องความคล่องตัวหรือผลตอบแทน ก็ทำได้ยากกว่า ในรัฐบาลที่แล้วมีพวกโครงการข้าราชการแบบ fast track คือเอาพวก profile ดี ๆ นักเรียนนอก ออกมาอยู่ในอีกระบบ มีผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่ก็ไม่แน่ใจว่าตอนนี้โครงการพวกนั้นมันเป็นยังไงแล้วเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่เท่าที่ได้ยินเสมอ ๆ คือ คนเก่ง ๆ มีความสามารถ พอมาอยู่ในระบบราชการไทย ก็กลายเป็น deadwood ไปเลย ซึ่งก็เข้าใจได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อาจจะขึ้นอยู่กับหน่วยงานและผู้บริหารองค์กร อย่างเพื่อนที่ทำพวก MFA หรือ BOT ก็ได้ข่าวว่าทำงานกันหนักมากเหมือนกัน และก็ค่อนข้างได้ใช้ความรู้ความสามารถ แต่บางหน่วยงานเข้าไปก็ไม่มีงานอะไรให้ทำ (ไม่สมกับที่จบ ป.โท ป.เอก ดี ๆ มา) ปล.โครงการ fast track ไม่มีจริงนะคะ แต่เป็น โครงการ training ที่ดีมากๆ และส่งเด็กๆพวกนั้นกลับเข้าไปอยู่ระบบราชการปกติค่ะ ฐานเงินเดือนเท่ากับ ขรก.ปกติทุกประการ ไม่มีอัตราพิเศษ เหมือนในคำโฆษณาค่ะ >.< จากคุณ : PAPA BUENO จากคุณ : ย้ายจากอีกกระทู้เผื่อโดนลบ เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 01:08:46 A:67.180.87.99 X: TicketID:199968

ความคิดเห็นที่ 62   ขอบคุณที่แสดงความเห็นกันอย่างมากนะครับ เข้าใจว่าคงเป็นประเด็นโดนใจหลาย ๆ ท่าน จริง ๆ ต้องขอรับผิดว่า เรื่องสำนวนว่าเอา ดร.ไปชงกาแฟ หรือถ่ายเอกสาร นี่เป็นความหมายในเชิงเปรียบเทียบมากกว่า ว่าเอาไปใช้ทำงานที่ไม่ค่อยได้เรื่องราว มากกว่าจะหมายความว่าจบ ดร.แล้ว ต้องไปทำแบบนั้นจริง ๆ (ซึ่งก็คงมีจริงบ้างเหมือนกัน แต่น่าจะน้อยเต็มที) ผมว่าเรื่องเงินก็เป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ที่เป็นจุดน่าห่วงน่าจะเป็นเรื่องการเสียดายความสามารถมากกว่า ยกตัวอย่าง คนจบ PhD ด้านหนึ่งที่เก่งมาก ๆ เช่นจบทางวิศวะ ฯ จาก MIT ได้รับการ train มาอย่างดีมาก มี potential ที่จะประสบความสำเร็จได้ถ้าอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม แต่เขาต้องไปทำงานในหน่วยงานที่ไม่ทำวิจัยกัน หรือไม่มีวัฒนธรรมวิจัย ต้องไปทำงาน admin อะไรพวกนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีจริง และน่าจะถือว่าเป็นการเสียดายบุคลากร กรณีแบบนี้มีอยู่ไม่น้อยครับ ถ้าหากเป็นอาจารย์ก็ยังจะมีโอกาสได้ใช้ความรู้ เอาไปทำวิจัยอะไรได้มากกว่า (จริง ๆ ปัญหาเรื่อง นักวิจัยหรืออาจารย์มหาวิทยาลัยในไทย ก็มีเหมือนกัน แต่อยู่นอกเหนือประเด็นนี้ไป) ต้องยอมรับว่าในระบบราชการ ความก้าวหน้าของบุคคลเกิดจากการสนับสนุนของเจ้านาย ซึ่งก็อาจจะ based on ความสามารถ และความพอใจส่วนตัว จึงมีความแตกต่างจากวงการอื่น ๆ เช่น นักวิจัยในองค์กรวิจัย หรืออาจารย์มหาวิทยาลัย ซึ่งสามารถวัดความสามารถ ได้จากผลงานที่ทำอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่า (อันนี้มองแบบอุดมคติ เพราะจริง ๆ หน่วยงานพวกนี้ก็หาได้เป็นแบบนั้นร้อยเปอร์เซนต์) ดังนั้น เพื่อความก้าวหน้าในระบบราชการ ข้าราชการก็ต้องติดตามรับใช้ ทำงานให้นายอย่างเต็มที่ ถ้านายขึ้นเราก็ขึ้น ถ้านายตกเราก็ตก ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมทางวิชาการ ที่รัฐบาลไทยได้ส่งนักเรียนไปศึกษาเล่าเรียนจนถึงระดับ PhD มา เป็น conflict อย่างหนึ่งของคนที่ใช้ชีวิตเป็นสิบปี อยู่ในระบบวงการวิชาการของต่างประเทศมา (ตรีโทเอก) จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 01:26:27 A:67.180.87.99 X: TicketID:199968

ความคิดเห็นที่ 63   ถามสั้นๆแต่มีคำตอบหลายประเด็นมาก 1. จบเมืองนอกโดยใช้ทุนหลวง? คนอยากอยู่(อยากกลับมาใช้ทุน) ต่อให้งานไร้เหตุผลหรืออะไรก็แล้วแต่ เขาเหล่านั้นก็ยังทำงานต่อไป แน่นอนว่าวันหนึ่งพวกที่มีปัญหาก็จะเกษียนออกไป คนอยากไป(ไม่อยากอยู่) เขาเหล่านั้นก็หาเหตุผลต่างๆนานา(ใช้งานไม่เหมาะสม, ไม่ตรงกับที่เรียน ฯลฯ) มาสนับสนุนความคิดตัวเองจนได้แหละ ส่วนจะอยู่หรือจะไปก็แล้วแต่บุคคลและความสามารถ 2. งานของคนจบเอกคือ? งานก็คืองาน ไม่ว่าจะจิปาถะหรืออะไรก็ตาม ความจริงขึ้นชื่อว่าการทำงาน ผมเชื่อว่าถ้าเป็นคนทั่วไปที่มีความขยันที่จะเรียนรู้ มีความรู้พื้นฐาน มีประสบการณ์ ก็สามารถทำงานที่คนจบเอกทำได้ ผมเรียนโทและยังไม่คิดต่อเอกเลยอยากถามผู้ที่จบเอกว่างานของคนจบเอกคืออะไร มีงานไหนที่คนที่ไม่จบเอกทำไม่ได้บ้างและมีงานไหนที่คนจบเอกทำไม่ได้บ้าง รัฐอาจจะเสียหายไปบ้างที่ใช้คนไม่ตรงกับงานแต่ก็ต้องยอมรับและแก้ไขกันต่อไปเพราะ คนดีชอบแก้ไข 3. นายห่วย? ถ้าได้นายห่วยๆ ไม่จำเป็นว่าจะจบอะไร เจ้านายคุณก็จะบริหารได้ห่วยเหมือนกันหมด อันนี้พูดไปก็เท่านั้น ต้องมาทำงานจริงถึงจะมีประสบการณ์ 4. จบเอก เก่ง? ด็อกเตอร์เก่งที่ผมเห็นทั้งหมดเป็นคนที่ทำงานมานานและมีประสบการณ์จากการทำงาน คนจบเอกใหม่ๆไม่เคยทำงานจริง ผมยังไม่เห็นว่ามีใครเก่งเป็นพิเศษ โดยส่วนตัวคิดว่าคนที่จบเอกเหมาะกับงานสอนหรือวิจัยเฉพาะทางมากกว่างานราชการทั่วๆไป เรื่องส่วนตัว ตอนนี้เรียนโทต่างประเทศ ได้ทุนรัฐบาล เริ่มเรียนเทอมแรก ได้ทุนมหาลัยตั้งแต่เทอมแรก (ค่าใช้จ่ายในมหาลัยทั้งหมด+ค่าใช้จ่ายรายเดือน 1.5 เท่าของเงินที่รัฐให้+ค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการดูงานต่างรัฐ) ตอนนี้เป็นผู้ช่วยครูแต่ทำงานให้บริษัทนอกมหาลัย (ถามบริษัทแล้วเค้าบอกว่า เงินเดือนเริ่มต้น $5000-7000 แล้วแต่ประสบการณ์) หน่วยงานรัฐที่สังกัดอยู่และจะกลับไปทำงานเมื่อเรียนจบเป็นที่ๆดีมากๆ งานก็สนุกไม่น่าเบื่อ เพื่อนร่วมงานไม่มีปัญหา เหมือนกับเป็นพี่น้องกัน อนาคตสดใสไปไกลแน่นอนถ้าไม่เดี้ยงไปก่อน รายได้ก็ไม่ทำให้รวยแต่ก็ไม่ลำบาก เพราะทุนมหาลัยตอนนี้ก็เลยคิดหนัก แต่ยังดียังมีเวลาคิดอีกนาน จากคุณ : อญุ่ในใจมานานแล้ว เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 09:23:47 A:68.114.123.114 X: TicketID:241672

ความคิดเห็นที่ 64   อยากให้กิฟ คห.51 แวมไพร์ที่ราบสูง และ 52 พธูไท มากๆค่ะ แฟนเราพึ่งไปประชุมกับบริษัทใหญ่ในไทยมา เค้าเชิญวิทยากรจาก สำนักวิทย์มาพูดเรื่องการจัดสรรงบประมาณที่รัฐให้มาใช้ในการทำวิจัยทางวิชาการ ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นที่ต่ำมาก (about 0.5%) ต่องบประมาณที่ชาติมีทั้งหมด อยากให้เพื่อนๆในห้องนี้คิดกันอีกทีนะคะ ว่าจริงๆแล้วเงินทุนน้อยนิดที่ส่งนักเรียนไปเรียนต่างประเทศนั้น เมื่อเทียบกับเงินที่รบ.เอาไปทำอย่างอื่น เช่น สร้างถนน (โดยเฉพาะเขตอีสานทำแล้วทำอีกจนสูงท่วมบ้านชาวนา) หรือโกงกินกันเป็นพันล้านนั้น มันเทียบไม่ได้กับการให้ความรู้และโอกาสกับนักเรียนๆดีคนหนึ่ง นร.ทุนที่จบนอกกลับมาทำงานที่ไทย ไม่ว่าจะทำประโยชน์กับชาติมากหรือน้อย ถ้าคนๆนั้นตั้งใจทำดี และไม่เอาความรู้ไปใช้ในทางที่มิชอบ ก็ถือว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เสียเปล่าหรอกนะ จากคุณ : ว่าที่อาจารย์ม.เอกชน เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 09:44:45 A:155.69.198.223 X: TicketID:007828

ความคิดเห็นที่ 65   เราเป็นนักเรียนทุน ก.พ.(ทุนกลาง) ระดับ ป.ตรี-โท ตอนนี้กำลังรับราชการในกระทรวงหนึ่งอยู่ ขอบอกเลยว่า นักเรียนทุนทั้งหลาย ถ้าจบมาแล้ว " อย่าเป็นข้าราชการพลเรือน " ให้หาทางคุยกับ ก.พ. ขอทำงานเป็นอาจารย์ หรือทำงานในหน่วยงานอิสระ เช่น เน็คเทค ศูนย์วิจัยต่างๆ จึงจะได้ใช้ความรู้บ้าง ( เราก็อยากหนีออกไป แต่เราไม่ชอบงานสอน และเราจบสายศิลป์ ) เรานะ รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับการสนับสนุนอะไรเลย แล้วกระทรวงเราวัฒนธรรใองค์กรแย่มาก เอาใจแต่ผู้ใหญ่ เอาใจแค่คนที่จะสามารถให้ประโยชน์กับตัวเองได้ เวลางบประมาณไม่พอ แล้วจะต้องตัดสิทธิประโยชน์อะไรของใครออกไป ก็จะเลือกกระทำกับพวกชั้นผู้น้อย ดังนั้น พวกชั้นผู้น้อยก็อย่าได้หวังจะลืมตาอ้าปากเลย ที่ ก.พ. บอกว่า จะขอความร่วมมือให้หน่วยงานส่งเสริมเด็กทุน ให้มีความเจริญก้าวหน้าตามสมควรน่ะ มันไม่จริง !!! จากคุณ : จำฉันได้ไหม เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 10:04:35 A:192.168.2.28 X:115.31.138.42 TicketID:036500

ความคิดเห็นที่ 66   ปล. ตลกดี คนที่ด่าเด็กทุนนี่ ไม่มีใครอยู่ในสถานการณ์จริงสักเท่าไร -*- ล่าสุด รุ่นพี่เราที่จบ ดร. แต่เป็นทุนตามความต้องการของหน่วยงาน แกเลยขอย้ายไม่ได้ เค้าได้เลือกที่จะออกจากการใช้ทุนไปแล้ว ฮ่าๆๆ แม้จะต้องชดใช้เงินถึง 8 หลัก ก็ยอม เพราะว่าถึงแม้ว่าจะเป็นทุนการศึกษา เพื่อให้กลับมาพัฒนางานวิจัย แต่พอไปทำงานในหน่วยงานแล้ว กลับถูกเรียกให้ย้ายมาเป็น "หน้าห้อง" "หน้าห้อง" เพื่อประดับบารมีนายว่า มีด็อกเตอร์เป็นเลขา ซึ่งงานเลขาของหน่วยงานราชการ มันก็ไม่มีอะไรมาก เอาหนังสือราชการไปให้เจ้านายเซ็น นัดประชุม รับรองแขก เท่านั้นเอง -_-" นอกจากจะไม่ส่งเสริมความเจริญก้าวหน้ากันแล้ว ยังใช้ให้ไปทำงานอะไรที่น่าเบื่ออีก แล้วใครมันจะอยากอยู่ฟระ !!! จากคุณ : จำฉันได้ไหม เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 10:26:55 A:192.168.2.28 X:115.31.138.42 TicketID:036500

ความคิดเห็นที่ 67   ฮาๆๆ ถูกครับ คุณ คห.65-66 สถานการณ์มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ แหละในหลายหน่วยงาน ที่ยังเป็นลักษณะราชการแบบโบราณอยู่ ถ้าไม่เจอด้วยตนเองก็ไม่รู้หรอก พอเข้าใจได้ว่าทำไมคนชอบด่านักเรียนทุนที่แสดงความเห็นแบบนี้ มากกว่าที่จะสงสัยว่า ทำไมคนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องหรือรัฐบาลจึงปล่อยให้ระบบมันเป็นแบบนั้นไปได้ ใครพอมีความรู้บ้างว่ามีประเทศไหนที่มีการจัดการทรัพยากรมนุษย์แบบนี้ครับ ปล.เป็นหน้าห้องนี่ดีนะครับ ในทางราชการถือว่าโอกาสได้ขึ้นเป็นใหญ่เป็นโตมีสูง (ถ้าหากเจ้านาย ไม่หลุดจากวงจรอำนาจไปก่อน) จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 10:44:59 A:67.180.87.99 X: TicketID:199968

ความคิดเห็นที่ 68   ไม่มีประสบการณ์ตรงนะ เพราะไม่ได้เรียนระดับปเอก เห็นน้องข้างบ้านได้รับทุนของกรมทางหลวงส่งไปเรียนปเอก ก็เห็นตั้งใจทำงานนะ บ่นๆเหมือนกันว่า บางทีทำเรื่องขอเสนอและอนุมัติโครงการแล้วมันไม่ได้อย่างใจคิด เรื่องทำ power point หรือ การหิ้วเอกสารเดินตามเจ้านาย เขาไม่ได้บ่นอะไรนะ ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานร่วมกัน จากคุณ : Ter เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 12:02:58 A:85.154.38.14 X: TicketID:182506

ความคิดเห็นที่ 69 ถ้าขอไปเป็นอาจารย์ได้ทุกคนก็ดีสิคะ เเต่คุณคนนั้นที่จัดการเรื่องไปใช้ทุน เค้าก็จะอธิบายว่ามันไม่ใช่นโยบาย กพ สารพัดเหตุผลมาอ้าง ก็พยายามจะเข้าไปนะคะ ว่ากระทรวง กรม เค้าก็ต้องการคนเหมือนกัน เเต่ท้ายที่สุด ก็ถามตัวเองว่า อำนาจตัดสินใจว่าเราจะไปใช้ทุนที่ไหนเนี่ย มันเป็นของใครหรอ การเลือกอาชีพมันคืออนาคตของเราเลยนะ เเล้วถ้าเราได้ทำสิ่งที่เราอยากทำ เเละใฝ่ฝันผลงานมันก็น่าจะออกมาดีกว่าที่เราต้องจำใจไปทำงานกระทรวงไม่ใช่หรอ พูดเเล้วก็เหนื่อยใจค่ะ จากคุณ : gEiL giRL เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 17:11:11

ความคิดเห็นที่ 70 อย่าเข้าใจผิดนะ ผมไม่ได้ด่าเด็กทุน .... จากคุณ : Onlyoneshot เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 17:30:43

ความคิดเห็นที่ 71 อ่านหลายๆความเห็นแล้วนึกในใจ.......       "ตอนอ่านหนังสือสอบทุน  อ่านแทบเป็นแทบตายกว่าจะได้มา  ตอนได้มาก็ดีใจและภูมิใจที่ตัวเองทำได้  ตอนมาเรียนก็ตั้งใจ และทำสุดความสามารถ  แต่เพิ่งรู้ว่าหลายๆคน เขามองว่าเราเอาเปรียบคนในประเทศ ส่งนักเรียนมาเรียนต่างประเทศเป็นการสิ้นเปลืองภาษีประชาชน  บางคนก็ถามว่าจบมาแล้วไม่เห็นมีประโยชน์อะไร  ไหนละเงินที่ผมเสียภาษีไป  แล้วไอ้ที่เราพยายามมากว่าจะได้ทุน  และที่กำลังลำบากตรากตรำเรียนด้วยความตั้งใจอยู่เนี่ยะ คนอื่นเขามองกันอย่างนี้เหรอ "       อ่านแล้วก็เซ็งอยู่เหมือนกัน   แต่ยังไงก็ขอความกรุณาอย่าเหมารวมทั้งหมดน่ะครับ  เพราะนักเรียนทุนที่เขาสำนึกในบุญคุณของแผ่นดินเกิด และตั้งใจจะกลับไปรับใช้ชาติบ้านเมืองอย่างตั้งใจก็มีอยู่น่ะครับ         บางคนก็บอกว่า เอาเงินตรงนี้ไปให้เด็กด้อยโอกาส ได้เรียนหนังสือไม่ดีกว่าเหรอ  "อันนี้ก็ถูกครับ"   แต่ส่วนหนึ่งทุนรัฐบาลก็ให้เด็กด้อยโอกาสอย่างผม (ที่ชาตินี้คงไม่มีปัญญาเรียนเมืองนอกด้วยทุนตัวเองหรือแม้แต่เรียนในประเทศก็คงเรียนแบบขัดสน ) ได้มีโอกาสได้เรียนต่างประเทศ        ผมคนนึงหล่ะที่สำนึกในเงินทุกบาทของประชาชนชาวไทย  และแค่รอเวลาที่จะกลับไปตอบแทนแผ่นดินเกิด  และเรื่องออกจากทุนไม่เคยมีในหัว  ตอนนี้ก็ได้แค่ก้มหน้าก้มเก็บเกี่ยวให้ได้มากที่สุด............      ส่วนเรื่องระบบในราชการไม่ขอพูดถึงเพราะผมยังไม่เคยสัมผัส  แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไงเราก็ต้องยอมรับมันและพยายามช่วยกันปรับปรุงคนละไม้คนละมือ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 52 18:48:43 จากคุณ : The letter จดหมายรัก เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 18:34:35

ความคิดเห็นที่ 72 ท่องไว้ง่ายนะครับ 4 คำจำง่ายๆ ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับนาย สบายครับท่าน สองขั้นทุกปีเชื่อผมเถอะ จากคุณ : เลียทุเรียนเป็นแตงโมได้ (NMT@STUT) เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 21:07:49

ความคิดเห็นที่ 73 มีเพื่อนส่งกระทู้มาให้ดูนะคะ เลยอยากขอแชร์ประสบการณ์บ้าง เราเข้าข่ายตามที่จขกท.ตั้งมาเกือบเป๊ะๆเลยค่ะ จบเอก (ด้วยทุนรัฐบาล) กลับมาทำงานในหน่วยงานราชการ ที่ไม่ได้เป็นอาจารย์ (จริงๆมีผู้ใหญ่ หลายๆท่านสนับสนุนให้เราไปเป็นอ.ในม.อันดับตันๆของเมืองไทยตอน ที่เพิ่งกลับมาหยกๆค่ะ ท่านว่ากันว่าถ้ายังไม่ไปเริ่มงานที่หน่วยงานมันจะ ย้ายง่ายกว่า แต่เราไม่ได้ไปค่ะ เพราะตอนนั้นรู้สึกอยากลองทำงานที่ หน่วยงานที่รับทุนก่อน) เราอาจโชคดีนะคะ เรารู้สึกมี่ความสุขดีกับการทำงาน อาจมาจากว่าตำแหน่ง งานเราไม่ตรงเป๊ะกับสาขาที่เรียน คือ มีเรื่องให้เราต้องศึกษาอีกมากอ่ะค่ะ แง่นึงก็ดี เพราะเราไม่เบื่องาน เราชอบเรียนรู้ค่ะ แต่อีกแง่คือ มันจะดูเหมือนว่า เราไม่เป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานที่ทำ (แต่พี่ๆคนอื่นเป็นอ่ะค่ะ คือจบมาตรง เป๊ะ) แต่สาขาที่เราจบก็เป็นที่ต้องการของหน่วยงานนะคะ แต่ ไม่ตรงเด๊ะๆเท่านั้น งงมะคะ สรุปว่าน้องๆเพื่อนๆที่กังวล เราว่าอย่าเพิ่งกังวลไปก่อนจนเสียสุขภาพนะคะ ของเรา เราสนุกกับงาน นายก็ดีค่ะให้อิสระในการทำงานมาก เราอาจโชคดี มีเพื่อนร่วมงานดีมากๆค่ะ ช่วยสอน ช่วยประคองเรา ให้ค่อยๆเรียน ค่อยๆ ก้าวไปกับเขา (หรืออีกนัยนึงต้องสอนมัน ไม่งั้นมันทำไม่ได้ 5555) เงินเดือนอาจไม่มาก แต่ก็พออยู่ได้ค่ะ อ้อ ลืมไป ของเราเป็นองค์กรที่แยก ออกมาจากราชการ แต่ยังอยู่ภายใต้กำกับของรัฐค่ะ เงินเดือนจะสูงกว่าราชการ เล็กน้อย แต่สวัสดิการหลังเกษียณเนี่ยยังเป็นปัญหา แต่เดี๋ยวเราจะค่อยๆแก้ค่ะ เราเห็นด้วยกับหลายๆความเห็นนะคะ ว่ารับทุนไปแล้วควรกลับมาใช้ทุน ทำงาน ให้ประเทศเรานะคะ คือต้องยอมรับว่าเราเอาภาษีไปใช้ บางครั้งแม้เราก็เคย รู้สึกค่ะ ว่ามันไม่เหมือนทุน มันเป็น loan มากกว่า แต่อย่างน้อยรัฐก็ให้โอกาสเรา มาเปิดความคิดในโลกกว้างอ่ะค่ะ อ้อ ที่สำคัญเราเห็นด้วยพันเปอร์เซ็นต์ค่ะ คนจบเอกไม่ใช่เทวดา ไม่ได้เลิศเลอกว่า คนอื่นค่ะ เรารู้สึกแค่ว่าป.เอก ให้เราที่ความอดทน การรู้จักค้นหาข้อมูล และ การแบ่งเวลา ความรู้เราบางทีเรารู้สึกยิ่งเรียนยิ่งโง่ซะอีกอ่ะค่ะ - -" จากคุณ : little_droplet เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 21:58:29

ความคิดเห็นที่ 74 โชคดีที่ทุนเราไม่ต้องใช้ ไม่ได้เป็นทุนรัฐบาลไทย (นอกประเด็น) จากคุณ : แพนด้าหน้าใส เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 22:31:53

ความคิดเห็นที่ 75 คนธรรมดาๆอย่างเรา คงไม่มีปัญญาส่งเสียตัวเองไปได้ไกลขนาดนี้ อย่าว่าแต่ต่างประเทศเลย แค่เรียนในประเทศ เงินก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว ไม่ว่าจะกลับมาเจออะไร แบบไหน นั่นก็คือ ชีวิตที่เราเลือกเเล้ว เพราะถ้าไม่แน่จริง คงไม่กล้ารับทุนหรอก เหอะๆๆ สู้ตายๆๆๆๆๆ จากคุณ : sleptsolong เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 22:54:30

ความคิดเห็นที่ 76 จะเข้ามาบอกว่า ข้ออ้าง ของ คห. 5 โดยเฉพาะส่วนที่ว่า จะช่วยชงกาแฟหน่อยไม่ได้หรือไง นี่น่าเกลียดมาก ๆ ครับ จากคุณ : คุณชินโซ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 01:40:13

ความคิดเห็นที่ 77 ^ ^ ต้องล้มระบบศักดินาในสังคมข้าราชการไทย ถึงจะเอาคนพวกนี้ออกไปได้ บางคนแก่จนหัวหงอก ยังแยกไม่ออกว่า"งานราษฎร์" กับ "งานหลวง" ต่างกันยังไง เอาทรัพยากรของส่วนกลาง (บุคลากร ทรัพย์สิน เวลา) มาอำนวยความสะดวก หรือหาผลประโยชน์ใส่ตัว จากคุณ : Candy Wrapper เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 02:04:02

ความคิดเห็นที่ 78 Hmmm, I want to share my comment on this thread as well. Anyway, with the given conditions of being a university professor, I am not eligible to do so. Well, anyway I feel good in what I am doing, public service. On this "scholarship" matter, I feel grateful with ones who formerly supported me as well as Thai people and their tax money. That might be the only thing I can tell. And, that doesn't include preparing anyone a cup of coffee to which I have never been assigned. :) แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 52 08:28:58 จากคุณ : amatuer translator เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 08:05:15

ความคิดเห็นที่ 79   ^ ^ ความคิดเห็นที่ 73 - คุณ little_droplet เราไม่รู้ว่าคุณทำงานที่ไหน แต่ส่วนมาก การทำงานในองค์กรในกำกับของรัฐ ไม่ใช่ว่าเงินเดือนมากกว่า "เล็กน้อย" หรอกนะคะ มากกว่า "มากๆ" เลย เช่น ข้าราชการพลเรือนวุฒิ ป.โท สตาร์ท 9,700 แต่หน่วยงานอิสระ สตาร์ท 2x,xxx (ไม่แปลกใจเลย ทำไมหน่วยงานราชการ ถึงอยากออกนอกระบบกันนัก) ที่เขียนมานี่ ไม่ใช่ว่าจะมาแย้งคุณนะคะ แต่อยากจะบอกว่า สถานการณ์ของคนที่อยู่ในองค์กรอิสระนั้น ต่างกับพวกที่อยู่ในกระทรวงจริงๆค่ะ ( ลูกเมียน้อย !) เรื่องสวัสดิการหลังเกษียณ ใช้วิธีซื้อประกันชีวิตเอาก็ยังคุ้มค่ะ โชคดีจังนะคะ ( อิจฉา ^_^ ) จากคุณ : จำฉันได้ไหม เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 12:53:40 A:110.49.0.92 X: TicketID:036500

ความคิดเห็นที่ 80 จบ ป.เอก หน่วยงานในกำกับของรัฐ 5 ปี ได้เงิน 5x,xxx บาท ต่อเดือนแล้วครับ มี superannuation ด้วย จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 14:53:38

ความคิดเห็นที่ 81 ชอบกระทู้นี้จังเลยค่ะ อ่านแล้วก็สะท้อนระบบราชการไทยมากๆ ขอแชร์เรื่องของตัวเองบ้างนะคะ เราไม่ใช่เด็กทุนรัฐบาล แต่ได้ทุนค่าเรียนที่ไม่ต้องมีภาระผูกพันของประเทศหนึ่ง ยิ่งพอได้มาอยู่ต่างประเทศก็ทำให้เปรียบเทียบระบบต่างๆของเมืองนอกกับประเทศไทยมากขึ้น  เรากำลังจะเรียนจบ  มีคนเชียร์ให้หางานที่เมืองนอกทำจะได้ไม่ต้องกลับไทยไปเจอระบบแย่ๆ  รุ่นพี่คนนึงที่เรียนด้วยกันเรียนจบปริญญาตรีและโทมหาลัยที่คนวากันว่าอันดับหนึงของไทย บอกเราว่าจะพยายามหางานให้ได้ในเมืองนอก จะไม่กลับไปเมืองไทยเด็ดขากเพราะคงทนกับระบบแย่ๆของเมืองไทยไม่ได้ แต่เราเห็นต่าง ยังไงเมืองไทยก็ให้ที่เกิด ให้ที่อยู่กับเรามาตลอดชีวิต ตั้งใจไว้ว่ายังไงก็ต้องกลับไปตายเมืองไทย งานที่ทำอย่างน้อยก็อยากให้เงินเข้าประเทศ อยากเป็นส่วนนึง แม้จะเป็นส่วนที่เล็กมากๆก็ตาม เพื่อประเทศแม่ซักนิดก็ยังดี แต่ขอเป็นกำลังใจให้นักเรียนทุนทุกคนนะคะ แค่คนๆเดียวคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ถ้าทุกคนช่วยกันจุดเล็กๆมันก็จะเป็นพลังใหญ่ๆขึ้นมาได้  หากทุกคนช่วยกัน เราก็มั่นใจว่ามันจะเกิดความเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อยละค่ะ จากคุณ : หม้อแกงเมืองเพชร เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 18:12:37

ความคิดเห็นที่ 82 ยาวมาก ต้องขอออกตัวว่า ยังไม่ได้อ่านเลย และไม่ได้ทำราชการ รวมทั้งไม่ได้จบเอก ไม่รู้ว่าจะมีคุณสมบัติพอที่จะออกความเห็นได้หรือไม่ สรุปสั้นๆ คือ คนที่ดีก็ดีอยู่แล้ว แต่คนที่แย่ ทั้งข้าราชการ และคนที่ขอทุนเค้าไปเรียน ทัศนคติแย่ และล้าหลัง ผมเป็นคนหนึ่งที่พูดตลอด เนื่องจากตัวเองไม่ได้รับทุน กพ หรือหน่วยราชการใด ว่า ควรยกเลิกระบบนี้ไปได้แล้ว เพราะว่า คนที่เก่งจริงๆ สมัยนี้โลกเล็กลง เขาสามารถหาทุนไปเรียนต่อเองได้ โดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ และถ้าจะกลับมารับราชการก็ด้วยความเต็มใจ เห็นแก่บ้านเมือง คนที่ได้ทุนบางคนในระยะหลังเอง ก็ไม่ไ่ด้เก่งกาจสมควรที่จะได้รับทุน (จากที่ทราบมาโดยตรง) เพราะว่าหาทุนไปเองไไม่ได้ ก็ต้องยอมรับทุนหน่วยงานไป ส่วนราชการเอง ก็ไม่ได้มีความจำเป็นจะต้องใช้คนจบ ป.เอกมากมาย ทั้งยิ่งจบจากต่างประเทศด้วย เพราะงานที่ทำ ก็อย่างที่หลายๆ คนบอก ไม่ต้องใช้ความรู้ความสามารถระดับ ป.เอก จะมีก็เพียงหน่วยงานที่ทำการวิจัยอย่างจริงจังเท่านั้น ที่น่าจะต้องการ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ทุนโดยตรง ผมว่า ถ้าเพียงเปลี่ยนเป็นส่งเสริม และสร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย ทั้งในและต่างประเทศ แล้วให้ข้าราชการเลือกที่จะไป หรือมีทางเลือกอื่นๆ อีกมาก คิดว่าคนไทยคงไม่อับจนปัญญาขนาดว่า หาทางออกเรื่องนี้ไม่ได้ เรื่องคนที่รับทุนกลับมา หรือเรียนในไทยก็ตาม แล้วเกิดอัตตาว่าข้านี่จบปริญญาเอก นั่นก็เป็นส่วนที่แย่ แต่ถ้างานที่ได้รับมอบหมายไม่ได้สมกับความตั้งใจที่ไปร่ำเรียนมา ก็น่าจะต้องออกมาเรียกร้อง หรือกระทำการ ให้ระบบราชการไปถูกปรับเปลี่ยน ปฏิรูปให้สมกับที่ต้องการ และมีความพยายามมานานเสียที ไม่ใช่มาบ่นอุบอิบเป็นเด็กผู้หญิงไม่รู็จักโต ไม่ทราบว่า ทีว่าเกิด culture shock  นี่คืออะไรแน่ ที่ต่างประเททศเค้าปฏิบัติต่อคนจบปริญญาเอกเป็นดั่งเทวดา? หรือว่าเวลามีปัญหาอะไร มีความไม่พอใจ ที่ต่างประเทศที่คุณๆ ไปเรียนกัน เค้าบ่นอุบอิบ ไม่เรียกร้อง และไม่แก้ปัญหา????? สรุปจริงๆ ก็คือ ถ้าเก่งจริง ก็อย่าไปรับทุนที่มีข้อผูกมัดครับ คิดก่อนทำ ปล. อย่างเช่น เหมือนคุณหม้อแกงฯ ด้านบนครับ แต่ก็นะ พูดแล้วก็พูดอีก ไม่เป็นเปลี่ยนแปลงอะไร "คนไทยรักชาติแต่ปาก" เหตุผลที่ไปอยู่เมืองนอก - สังคมดีกว่า งานดีกว่า "เงิน"ดีกว่า แล้ว....... ผมว่ายากนัก ก็อย่าพูดรักชาติกันให้พร่ำเพรื่อดีกว่าครับ คิดดีๆ ก่อนค่อยพูด แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 52 14:23:07 จากคุณ : g9h เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 14:19:53

ความคิดเห็นที่ 83 จบป.เอก ทำงานเป็น อาจารย์มหาวิทยาลัย ก็ใช่ว่าจะดีเลิศประเสริฐศรี ยิ่งไปอยู่ ม.ตั้งใหม่ แม้จะเก่ามาจากสถาบัน ก็ยังแย่อยู่ จบมาแล้ว เงินเดือน 12,530 บาท (เงินเดือนก็ค้างมา 5 ปี) รอมาครึ่งปีก็ยังไม่ปรับเงินเดือนให้ ถึงแม้ปรับก็เป็นจำนวน 13,000 กว่าๆ ล่าสุด ได้ปรับเงินเดือนมา 1 ขั้น ตอนนี้เป็น 13,240 บาท (:-)ีใจจัง) อยากช่วยประเทศชาติเต็มที่ อยากช่วยพัฒนามหาวิทยาลัยเต็มที่ แต่ทำอะไรก็ติดขัด ระบบราชการก็ติดขัด แล้วเงินจะกินก็ไม่มี ท้อเหมือนกันครับ ถ้าใช้ทุนหมด หาเส้นทางชีวิตใหม่ จะโดนด่าไหม กรณีเนี้ย? ปล. จบเอก ไม่ใช่เทวดาแน่นอน ผมยังขี่มอเตอร์ไซต์ส่งแก๊ส เป็น เดลิเวอร์รี่บอยให้กับธุรกิจที่บ้านเลย เวลาไม่มีคนงาน แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 52 15:23:25 จากคุณ : Bluefriday เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 15:19:09

ความคิดเห็นที่ 84 งานเสร็จเลยกลับมาอ่านต่อ คิดว่าที่คุณ จขกท มาตั้งสอบถาม ประเด็นหลักไม่ใช่อยู่ที่ว่า  ป เอก หยิบหย่งทำงานไม่เได้ หลงตนว่าเป็นเทวดาหรือนางฟ้าแต่อย่างใด แต่ประเด็นที่ จขกท ต้องการสอบถามคือการถูกใช้งานอย่างไม่เหมาะสมในหน่วยงานที่ต้องกลับไปทำงาน สิ่งที่เจ้าของกระทู้ถามนั้นเกิดขึ้นจริงไหมในบางสังคม บางหน่วยงาน ของราชการไทย คำตอบคือเกิดขึ้นจริง ส่วนใครจะทนไหวหรือไม่นั้นแล้วแต่แรงต้านและพลังรวมไปถึงบุญวาสนาของแต่ละคน การเรียกร้องเป็นสิ่งที่ดีและก้ขอสนับสนุนให้เรียกร้องแต่ส่วนหนึ่งก้เข้าใจในบางคนที่ไม่กล้าเรียกร้องเพราะเมืองไทยเล่นพรรคเล่นพวกก็มาก เป้นสิ่งสะสมกันมาไม่เคยขาดหาย ใครที่คิดว่าเข้าไปแล้วจะยอมทำตามในงานที่ต้องฝืนใจทำก็ตาม  แต่ต้องทำเพื่อความก้าวหน้าและปากท้อง  ขอฝากไว้อีกครั้งค่ะ เมื่อสักวันคุณเติบใหญ่ขออย่านำสิ่งนั้นมาทำกับเด้กรุ่นหลัง ขออย่าคิดว่าฉันเคยถูกกระทำมาอย่างนี้เมื่อฉันเป้นใหญ่ฉันก็จะทำกับเธอบ้าง เพราะหากสิ่งนั้นมันฝังรึกไปในใจและไม่สามารถอนขึ้นมาได้ระบบของราชการก็คงจะไม่มีการพัฒนา และขอปิดท้ายเรื่องการชงกาแฟอีกรอบ เมื่อคุณเป็นใหญ่ขอให้หยุดคิดนิดหนึ่งว่าคุณมีเวลาที่จะดื่มกาแฟคุณก็ควรจะมีเวลาที่จะชงกาแฟของคุณเอง ไม่ควรใช้ผู้ใต้บังคับบังชาระดับใดก้ตามมาปรนเปรอภาระส่วนตัวของคุณ เว้นเสียแต่ว่าในองค์กรจ้างแม่บ้านมาชงกาแฟให้นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  คุณยุ่งมากระหว่างชงคุณก็สามารถชงไปคิดไปได้ค่ะ อย่าสักแต่คิดที่ออกคำสั่งเพียงอย่างเดียวจนลืมไปว่าอะไรควรอะไรไม่ควร  ตนเองนั้นปัจจุบันอยู่ในระบบที่ seniority สูงมาก หลายๆคนเข้ามาคุยด้วยมักจะย่อต้วให้อยู่ระดับต่ำกว่าโดยการลงไปนั่งยองๆ หรือไม่ก็จะยืนเอามือกุมโค้งศรีษะ สิ่งที่ตนเองทำตอบนั้นคือต้องรีบบอกให้ลุกขึ้นและเลื่อนเก้าอี้ให้นั่งเสมอ จนปัจจุบันน้องๆเหล่านั้นรู้สึกผ่อนคลายแต่ความเคารพความนอบน้อมของพวกเขาไม่ได้จางหายไป เขายังเคารพเราเหมือนเคย บางครั้งเราทำผิดเขาไม่กล้าบอกและเราไปรู้โดยบังเอิญว่าเราทำผิด สิ่งที่เราบอกกลับคือเราทำอะไรพลาดขอให้บอก คนระดับไหนก็พลาดกันได้ทั้งนั้น ปัจจุบันรู้สึกดีใจที่สภาพสังคมในที่ทำงานเปลี่ยนไป  น้องๆกล้าเอ่ยปากกล้าแสดงความคิดเห็นเรื่องงาน ทำให้ตนเองได้เรียนรู้ความคิดดีดีจากพวกเขาเหล่านั้น โดยที่ไม่ชอ่งว่างระหว่างตำแหน่ง ทุกครั้งที่ติดปัญหาเพียงเอ่ยปากก้ได้รับความช่วยเหลือและแน่นอนเราอยู่เคียงข้างพวกเขาเสมอ ยกเว้นเรามีควาจำเป็นอยู่ไม่ได้ พวกเขาอาสาที่จะทำให้อย่างเต็มใจ สำหรับตนเองนั้นที่ยังคงอยู่และทุ่มเทกับการทำงานในต่างประเทศมีเพียงเหตุผลเดียวคือเพราะคนต่างประเทศเห็นคุณค่าและความสามารถของตนมากกว่าคนไทยที่ตนเองได้สนทนาด้วยค่ะ ครั้งหนึ่งหน่วยงานหนึ่งของไทยต้องการคนกลับไปโดยการตั้งเงินมาสนับสนุน และจ่ายเงินให้เป็นพิเศษเพื่อป้องกันการแก้ปัญหาสมองไหล  ณ ตอนนั้นสอบถามถามผู้บริหารไปว่าต้องการกลับไปขอรับแต่เงินเดือนอย่างเดียวได้ไหม ไม่เอาเงินที่จ่ายพิเศษหลักล้านซึ่งมากโขอยู่ เพราะตนเองเรียนต่างประเทศก็ได้ทุนจากต่างประเทศอยู่แล้ว เงินพิเศษที่จะจ่ายเพิ่มนั้นเก็บไปเป็นทุนให้เด็กรุ่นหลังดีกว่า ขอรับแต่เงินเดือนอย่างเดียวซึ่งเงินเดือนไม่กีหมื่นก็เพียงพอกับการดำรงชีพในไทยของตนเองได้อย่างสบาย  นี่คือเหตุผลที่อธิบายให้ผู้บริหารระดับสูงได้รับทราบ เพราะตนเองรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ตนเองเคยผ่านชีีวิตที่ลำบากมาก่อนอยากเรียนมากมาย สมัครทุนหลายแห่ง และเข้าใจว่าคงมีคนไม่น้อยในสังคมไทยเราที่ต้องการทุนเพื่อการศึกษา คำตอบคือไม่ได้หากคุณจะทำคุณต้องรับเงินพิเศษ เนื่องจากเหตุผลอันใดนั้นตนเองยังคลุมเครือกับคำตอบที่ไม่ชัดเจน  งงกับระบบบริหารที่การกระทำสวนกระแสกับความต้องการค่ะ สุดท้ายนี้ขอให้กำลังใจนักเรียนทุนทุกคนเชื่อมั่นว่านักเรียนทุนรัฐบาลดีดีกันอยู่แล้ว มีเปอร์เซ็นต์น้อยมากที่แย่มีพฤติกรรมหนีทุน ขอให้ทุกๆคนสำเร็จการศึกษาจบกลับมานำสิ่งที่ได้เจอได้เห็นมาปรับปรุงปรับใช้ที่บ้านเราค่ะ อย่ากังวลหรือตีตนไปก่อนไข้ว่าจะต้องมาเจอกับสิ่งเลวร้าย เข้ามาและตั้งหลักกับมัน แต่หากสิ่งใดทนไม่ได้หลังจากได้ลองพยายามและอดทนถึงที่สุดแล้ว และนำเสนอแล้วไม่มีการแก้ไข และต้องการเลือกทางเดินให้กลับตนเองใหม่เพราะอยู่ไปในใจมีแต่ความทรมาน ขอย้ำอีกทีว่าการมองหาสิ่งดีดีให้ตนเองไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด ชีวิตและความอดทนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ก่อนละเลิกสิ่งใดให้กับเวลากับตนเองและถามว่าทำดีที่สุดหรือยังหากคำตอบคือดีที่สุดแล้วก็เดินต่อค่ะ   อย่างไรก็ตามก่อนจะออกไปทำการใดใหม่ ขอให้รับผิดชอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ตกลงกันไว้ให้เรียบร้อยก่อนลาจากค่ะ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 52 17:06:48 จากคุณ : jinjung เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 16:45:27

ความคิดเห็นที่ 85 #84 การเบิกจ่ายงบประมาณมีระเบียบบังคับไว้ค่อนข้างชัดเจนครับ ถ้าไม่รับย่อมทำให้มีเงินเหลือค้างในโครงการ และใช้เงินไม่ได้ตรง ตามแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่วางไว้ ส่งผลต่อการได้รับงบประมาณ ขององค์กรนั้นๆ ในปีถัดไป ถ้าคุณ jinjung ต้องการนำเงินไปบริจาคเอง ให้กับองค์กรการกุศลหรือตั้งเป็นกองทุนการศึกษาในภายหลังก็สามารถ ทำได้ครับ แต่ต้องรับเงินตอบแทนนั้นไปก่อน แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 52 17:32:00 จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 17:27:54

ความคิดเห็นที่ 86 ขอบคุณที่คุณ Prac เข้ามาอธิบายให้ฟังค่ะ ตอนที่ถามเจ้าหน้าที่บริหารของโครงการดังกล่าวไม่ได้รับคำอธิบายค่ะ :):)  ได้แต่บอกต้องรับไป ถ้าไม่รับก้ไปหาสมัครงานอื่นเอาเองโดยตรง ท่านผู้ใหญ่ว่ามาอย่างนั้น อันที่จริงแล้วมีความคิดว่าเงินตรงนี้มันเป็นเงินที่มาจากหน่วยงานที่ดูแลเรื่องทุนโดยตรง ผู้รับก็รับจากหน่วยงานดังกล่วโดยตรง เงินส่วนนี้ก็น่าจะโยกย้ายไปสนับสนุนงบประมาณการส่งทุนอื่นได้ เพราะหน่วยงานดังกล่าวคือหน่วยงานที่บริหารเรือ่งทุนของประเทศโดยตรงอยู่แล้ว  ไม่ค่อยเข้าใจระบบราชการเมืองไทยเท่าไรค่ะ มหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่ตนศึกษาอยู่ในอดีต แต่ละปีมีเงินมาให้ส่วนงานวิจัย เมื่อเงินเหลือสามารถนำเงินส่วนนั้นไปสร้างประโยชน์ตรงอื่นได้ โดยที่ไม่ต้องเอาไปใช้ให้ตรงเป้าหมายซะทีเดียว ก่อนที่จะหมดงบประมาณประจำปีไปค่ะ  ในอดีตทุกสิ้นปีสมัยเรียนเอกตนเองนั้นต้องจัดสรรเงินวิจัยทุกปี เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยมีเงินสนับสนุนงานวิจัยต่างหากในนักศึกษาปริญญาเอก ซึ่งทางอาจารย์ที่ปรึกษาให้ฝึกบริหารเงินเองค่ะ หากเงินตนเองเหลือก็จะโยกย้ายนำไปช่วยเหลือส่วนอื่นในกลุ่มที่ขาดแคลนค่ะ เช่น เงินที่ได้มาคือสำหรับการทำงานวิจัยซื้อสารเคมีของ project A แต่ในเมื่อ Project A ใช้เงินไม่มากและไม่ได้ต้องการเงิน ณ ตอนนั้น ตนเองซึ่งเป็นคนคุม project A สามารถนำเงินไปสนับสนุน project B ได้ค่ะ  เพราะมันก็คืองานวิจัยเหมือนกัน เรือ่งการบริจาคปัจจุบันก็ทำอยู่ทุกปีค่ะ ไม่ว่าจะบริจาคในรูปของแรงหรือรุปของทรัพย์สิน โดยไม่เลือกชาติศาสนา  ทำไปตามกำลังทีและความตั้งใจจที่มี แต่ในครั้งนั้นก็ได้นำเสนอความคิดเห็นหลายๆอย่างให้ผู้บริหารรับทราบไป บางส่วนเท่าที่ทราบมามีปรับไปบ้างน้อยมาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย  โชคดีที่เขายังรับฟังถึงแม้จะน้อยนิดก็ตาม จากคุณ : jinjung เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 18:37:41

ความคิดเห็นที่ 87 สำหรับในเมืองไทยจะมีการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณเป็น รายไตรมาสครับ ถ้าใช้จ่ายได้ไม่ทันครบตามสัดส่วนที่วางแผนไว้ จะต้องทำหนังสือชี้แจง ยิ่งถ้าเป็นไตรมาสสุดท้าย สำหรับโครงการ ใหญ่ งบประมาณเยอะ ผู้ใหญ่จะเพ่งเล็งลงมาเป็นกรณีพิเศษ และ มีการทำ audit ทั้งจากภายในและภายนอก ที่ต้องระวังคือจำนวนเงินหมุนเวียนในองค์กร บางแผนกในกองยืม เงินออกไปใช้ แล้วทดรองเงินจ่ายคืนไม่ทันตามกำหนด หากมีการ audit ขึ้น ผู้อำนวยการกองต้องสามารถแสดงเงินที่อนุมัติให้หมุน เวียนเมื่อถูกเรียกตรวจสอบใน 1 - 2 วัน ถ้าไม่สามารถแสดงเงินได้ จะถูกสอบวินัย บางคนถึงกับเตรียมเอารถเอาบ้านไปจำนองกันทีเดียว ยิ่งถ้าเงินหมุนเวียนเยอะเป็นหลักล้าน -_-" ในบางครั้งเรื่องเงินรับหรือไม่รับจึงยุ่งยากกันหน่อยด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างครับ จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 18:54:46

ความคิดเห็นที่ 88 เพิ่งมีเวลากลับเข้ามาอ่านอีกครั้งหลังจากโพสไปนานเชียวค่ะ พอดีงานยุ่งๆเลยไม่ได้เข้าเลย โอ้โห คุณ Practical x 2 ทำงานที่ไหนคะเนี่ย เงินเดือนดีจัง หน่วยงานเราคงไม่ได้แบบนั้นแน่ๆค่ะ อัตราเงินเดือนเราขึ้นหลักร้อยอ่ะค่ะ - -" คุณ จำฉันได้ไหม อืม เราไม่แน่ใจนะคะว่าตอนนี้เงินเดือนราชการจบเอกได้เท่าไร่ แต่รู้สึกอ.มหาลัยจะได้หมืนปลายๆ ของเราจบเอกได้ สองหมืนต้นๆ เราเลยบอกว่า ได้มากกว่าไม่มากอ่ะค่ะ ถ้างานราชการจริงๆได้น้อยกว่าอ.มหาลัยมาก เราคงเข้าใจ ผิดแล้วให้ข้อมูลตอนแรกไม่ถูกต้องนัก ต้องขอโทษด้วยนะคะ ปล. เพิ่มเติมนิดค่ะ ส่วนจบโท หน่วยงานเราได้ หมื่นกว่าๆค่ะ ก็คงมากกว่าข้าราชการ พลเรือนพอสมควร อย่างที่คุณ จำฉันได้ไหมให้ข้อมูลมานะคะ ^^ แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 52 22:21:07 จากคุณ : little_droplet เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 52 22:18:21

ความคิดเห็นที่ 89 กระทู้ตกไปมากแล้วครับ คงไม่ค่อยมีคนแวะมาอ่านแล้ว -*- เงินเดือนในมหาวิทยาลัยของอาจารย์แต่ละท่านไม่เท่ากัน ขึ้นกับ ตำแหน่งทางวิชาการ ตำแหน่งบริหาร และเงินตอบแทนการวิจัย จากแหล่งให้ทุนภายนอก เช่น สกว ครับ จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 22:28:30