|
ความคิดเห็นที่ 14 |
ต้องมองย้อนไปตั้งแต่ตอนที่คุณยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยวนั่นแหละค่ะ...
๐ คุณขอไปเที่ยวนานแค่ไหน? ---> แต่ในความเป็นจริงคุณอยู่นานกว่าที่ขอไว้เพราะคุณยึดตามที่ ตม. อนุญาต แต่ไม่ได้ยึดตามที่คุณแจ้งไว้กับสถานทูต ตรงนี้จึงทำให้ความน่าเชื่อถือลดลง
๐ การอยู่ในอเมริกานาน 5 เดือน ---> แสดงว่าคุณไม่ได้ทำงานที่ไทยแล้ว เพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะลางานได้นานขนาดนั้น และอยู่ 5 เดือนนั้นเขาก็ต้องสงสัยไว้ก่อนว่าคุณจะต้องมาแอบทำงาน(มั้ง?)
๐ คุณกลับไทยเมื่อไหร่? ระยะเวลานั้นห่างจากวันที่ไปยื่นขอวีซ่านานแค่ไหน? ---> ถ้าดูเหมือนเพิ่งกลับมาไม่กี่เดือนก็ขอไปวีซ่าไปเรียนอีก...เท่ากับคุณอยู่อเมริกานานกว่าไทย (วัดจากภายใน 12 เดือนคุณอยู่ที่ไหนนานกว่ากัน)
๐ หากคุณยื่นขอวีซ่านักเรียน ---> คุณลางานได้ 1 ปีเหรอคะ? ที่ทำงานไม่จ้างคนใหม่หรือคะ? ถ้าคุณเรียนจบและจะกลับมาทำงานที่เดิมคุณก็ควรจะมีหนังสือรับรองจากที่ทำงานว่าอนุญาตให้ "ลาเรียน" และ "จะรับกลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิม"...แต่ในความเป็นจริงก็คงเป็นไปไม่ได้ และสถานทูตฯก็คงไม่เชื่อในจุดนี้เช่นกัน (ถ้าเป็น ขรก. ก็ต้องมีหนังสืออนุญาตให้ลาศึกษาต่อและหนังสืออนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศได้ จะด้วยทุนหลวงหรือทุนตัวเองก็ต้องทำหนังสือนี้)
๐ "เราไม่เข้าใจว่ากงสุลเอาอะไรมาวัดว่าใครควรได้หรือไม่ได้วีซ่า" ---> เขามีหลักการในการพิจารณาค่ะ...และแน่นอน! เขาพิจารณาจากข้อมูลที่คุณกรอกไปใน (DS156, 157, 158, I-20 และ SEVIS Receipt) + ข้อมูลของคุณในฐานข้อมูลของเขา และใช้ข้อกม. ประกอบการพิจารณาที่จะปฏิเสธวีซ่า
๐ เรื่องเอกสารอื่นๆ ถ้าเขาต้องการขอหลักฐานเพิ่มเติม เขาก็จะขอดูเพื่อประกอบการตัดสินใจ แต่ถ้าข้อมูลพื่้นฐานที่เขาใช้พิจารณาเพียงพอที่จะให้หรือไม่ให้วีซ่าก็ไม่จำเป็นต้องขอดูเลยค่ะ เพราะสถานทูตฯ บอกไว้อย่างชัดเจนว่าเอกสารอะไรบ้างที่เขาต้องการ นอกเหนือไปจากนั้นเขาไม่ขอดูอยู่แล้วค่ะ...
ลองพิจารณาดูนะคะว่าจุดผิดพลาดของคุณอยู่ตรงไหน?...เข้าใจค่ะว่าคุณกำลังผิดหวัง...ถ้าขอวีซ่าอเมริกาไม่ได้ก็ลองไปเรียนที่ออสเตรเลียสิคะ เพราะคุณก็เคยไปเรียนที่นั่น อาจจะของ่ายกว่าก็ได้นะ...
Good luck!
จากคุณ |
:
BMW (BlackmagicW)
|
เขียนเมื่อ |
:
20 พ.ย. 52 01:22:16
|
|
|
|
|