ความคิดเห็นที่ 1   ตามมาอ่านคะ จากคุณ : bigbadwolf เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 15:57:45 A:58.9.200.91 X: TicketID:241835

ความคิดเห็นที่ 2 ตามมาอ่านด้วยคนค่ะ ได้ความรู้ดี.. จากคุณ : Ellinida เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 18:04:35

ความคิดเห็นที่ 3   ใช่ค่ะ แต่ว่าจะต้องถูกส่งกลับไปประเทศตนเอง เพื่อทำคดีต่อไปหรืออะไรต่อนี่แหละ เวลาเราอยู่ในประเทศอื่นๆเราจะมีบัตรทูตสำหรับเอาไว้ให้เขาตรวจเช่นโดนตำรวจจับขับรถเร็ว คือทำผิดอะไรก็จับไม่ได้ แต่ก็ไม่มีใครอยากจะทำอะไรผิด ยังมีอะไรอีกเยอะพูดในนี้ไม่ได้ เช่นกระเป๋าเดินทางก็จะมาขอเปิดไม่ได้ นอกจากต้องไปเชิญเจ้าหน้าที่ทูตของประเทศเรามาเป็นพยานเสียก่อนจึงจะเปิดได้ จากคุณ : นานา เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 18:54:27 A:190.226.58.2 X: TicketID:047074

ความคิดเห็นที่ 4 เป็นเอกสิทธิ์ทางการฑูตครับ รวมถึงไม่เสียภาษี อย่างสถานฑูตอเมริกาติดเงินค่าปรับ ที่ไม่จ่ายค่าผ่านทางเข้ากลางกรุงลอนดอน กันเป็นล้านปอนด์ ก็ไม่ยอมจ่าย จะทำอะไรก็ทำไม่ได้ เพราะทางสถานฑูตบอกว่า เป็นภาษีแบบหนึ่ง เขาเป็นนักการฑูต ได้รับยกเว้น จากคุณ : Giuseppe เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 19:05:46

ความคิดเห็นที่ 5 บังเอิญดีเพิ่งคุยกะแฟนเรื่องนี้เมื่อคืนเอง เค้าเล่าคดีที่ ตำรวจหญิงถูกยิงตายในลอนดอน หน้าสถานทูตลิเบียเมื่อปี 1984 วิถีกระสุนยิงออกมากจากสถานทูต  ยังทำไรไม่ได้เลย จากคุณ : Chocolate Junkie เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 19:15:06

ความคิดเห็นที่ 6 มารอค่ะ เเล้วมีคำถามต่อด้วย เเต่รอคุณDetente มาอธิบายก่อน จากคุณ : Pixiepasta เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 21:29:59

ความคิดเห็นที่ 7 กราบเรียนท่านอาจารย์ Detente ขออนุญาตตอบแบบคร่าวๆแล้วกันครับ ผิดพลาดประการใดก็กราบขออภัยด้วย เนื่องจาก ๑ ผมไม่ได้เรียน LL.M ที่มหาวิทยาลัยระดับโลกที่ อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย เหมือนดั่งชาวบ้าน ดังนั้นความรู้ของผมจึงต่ำต้อยด้อยการศึกษาอยู่ ๒ ผมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เพราะบ้านจนไม่มีตังค์ไปเรียนติว เพื่อเตรียมสอบ ไอเอล โทเฟล เหมือนชาวบ้านเขานิยมชมชอบทำกัน ครับ ๓ เรื่องนี้ ต้องอาศัยการวิเคราะห์เล็กน้อยตามเท่าที่สติปัญญาอันน้อยนิดเท่าที่ผมมี ทั้งนี้ทั้งนั้น การกระทำตนเฉกเช่น "ปราชญ์ลากลิงค์" โดยการลากลิงค์ที่ปราศจากความน่าเชื่อถือทางวิชาการนั้น หาได้เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่ ดังนั้น ผิดพลาดอะไร ก็ขอกราบขออภัย ณ ที่นี้ ครับ สำหรับ เอกสารที่อธิบายเรื่องนี้ได้ดียิ่งกว่า เว็บใด ๆ คือ อันนี้ครับ C.J. Lewis ,State and Diplomatic Immunity,Lloyd' s London,1990 ประเด็นของกระทู้นั้นมันอยู่เรื่อง "ความคุ้มกันจากเขตอำนาจของรัฐ" Inmunity from Jurisdiction of states หมายถึง การที่บุคคลบางประเภท หรือ ทรัพย์สินบางจำพวกไม่ตกอยู่ภายใต้เขตอำนาจของรัฐอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตอำนาจในส่วนของการบังคับกฎหมายด้านตุลาการและการศาล เช่น Diplomatic agents ตัวแทนทางการทูต ย่อมมีความคุ้มกันจากเขตอำนาจของศาลของรัฐผู้รับในส่วนของการกระทำความผิดทางอาญาที่ตัวแทนทางทูตได้กระทำขึ้นในรัฐผู้รับ ความคุ้มกันเช่นว่านั้นจะมีอยู่ตลอดไปตราบเท่าที่เจ้าหน้าที่ทางทูตนั้นยังคงปฏิบัติหน้าที่ในรัฐผู้รับในฐานะเป็นผู้แทนของรัฐผู้ส่ง หรือ จนกว่า จะมีการสละความคุ้มกันโดยรัฐผู้ส่ง ในทำนองเดียวกันครับ เรื่องเกี่ยวกับการบังคับใช้ เขตอำนาจของรัฐ Jurisdiction of state  ปกติตามหลักดินแดน Territorial principle ทุกรัฐภายในดินแดนของตนก็สามารถบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายของตนได้ แต่มันก็มีข้อยกเว้น อยู่นั่นคือ กรณีของสถานทูตนั้น ผมคิดว่า มันเป็น state immunity อันล่วงละเมิดมิได้ ซึ่งรัฐที่สถานทูตนั้นตั้งอยู่มิสามารถบังการตามตามกฎหมายของตน เช่น ไม่สามารถตามเข้าไปจับกุมคนชาติของตนที่โดนข้อหากบฏ แล้ว ลี้ภัยหลบเข้าไปในสถานทูตประเทศอื่นได้ การจะบังคับการใดๆให้เป็นไปตามกฎหมายตาม Jurisdictionของตัวเอง นั้น จะต้องได้รับการยินยอมจากสถานทูตประเทศนั้นๆ ก่อน อันนี้เป็นไปตาม Article 22 the Vienna Convention on Diplomatic Relations 1961 กรณีที่ ประเทศที่สถานทูตตั้งอยู่ เป็นไปได้ที่จะดำเนินคดีบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายของตนคือการดำเนินคดีได้ตาม Jurisdictionของตน แต่ตาม Article 22 ต้องได้รับความเห็นชอบจากสถานทูตนั้นๆก่อน เดี๋ยวมาต่อ ครับ ว่างๆคุยกัน แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 00:32:52 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 52 22:52:55 จากคุณ : กมลลั๊นลา (Kamollanla) เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 22:42:18

ความคิดเห็นที่ 8 ต้องอ่านความเห็นของคุณ กมลลั๊นลา อยู่ตั้งหลายรอบกว่าจะเข้าใจ เพราะเราไม่มีมันสมองดีๆ รอยหยักลึกๆ มันเลยอ่านไป งงไป อยู่ตั้งนาน แต่ก็เป็นข้อมูลที่ดีค่ะ คุณพี่กมลลั๊นลา ขอบคุณ จขกท. ที่ตั้งประเด็นขึ้นมา ขอบคุณ ทุกท่านที่แบ่งบันความรู้ รออ่านความเห็นของท่านอื่นๆต่อ และ ความเห็นเพิ่มเติมจากผู้ที่โพสไปแล้วด้วยค่ะ จากคุณ : BluemirroR เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 23:14:50

ความคิดเห็นที่ 9 กลับมาต่อ Article 31 the Vienna Convention on Diplomatic Relations 1961 พอสรุปความได้ว่า ตัวแทนทางการทูตจะได้รับความคุ้มกันจากเขตอำนาจรัฐของรัฐผู้รับ ทั้งทางแพ่ง อาญา และ ทางปกครองด้วย เว้นแต่ ๑ การดำเนินคดีทางทรัพย์สินเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ส่วนตัวของตัวแทนทางการทูตซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนรัฐผู้รับ เว้นแต่ครอบครองในนามรัฐผู้ส่ง ๒ การดำเนินคดีเกี่ยวกับการสืบมรดก ที่เกี่ยวพันกับตัวแทนทางการทูตในฐานะผู้จัดการมรดกโดยพินัยกรรม หรือ ผู้จัดการมรดกโดยศาลตั้ง ทายาท หรือ ผู้รับมรดก ในฐานะเอกชนและมิใช่ในนามรัฐผู้ส่ง ๓ การดำเนินคดีเกี่ยวกับกิจกรรมวิชาชีพหรือทางพาณิชย์ซึ่งตัวแทนทางทูตได้กระทำในรัฐผู้รับ นอกเหนือหน้าที่ของตน แต่ปกติก็ไม่มีใครทำกันโดยเป็นธรรมเนียมอยู่แล้ว นอกจากนั้น ความคุ้มกันตรงนี้รวมถึงการบังคับคดี ด้วย หลักปฏิบัติ โดยอาจถือได้ว่าเป็นหลักทั่วไป (มันมีเส้นบางๆกั้นอยู่ะหว่างการแยก จารีตประเพณีกฎหมายระหว่างประเทศกับหลักกฎหมายทั่วไป ) ว่าการกระทำอะไรกับทูต จะต้องไม่ขัดกับหลัก Inviolability กล่าวคือ ตัวแทนทางทูต จะถูกจับกุม กักขัง มิได้ จะต้องปฏิบัติด้วยความเคารพต่อตัวบุคคล เสรีภาพ ปกป้องเกียรติ ตามความเหมาะสม อันนี้ผมสรุปความมา จาก Article 31 ครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากตัวแทนทางทูตกระทำตนไม่เหมาะสม ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่รัฐผู้รับ จะใช้วิธีขับออก ตามหลัก ที่ว่า "เป็นบุคคลไม่พึงปรารถนาก็ได้" ที่เรียกว่า Persona non grata ว่างๆคุยกัน ครับ จากคุณ : กมลลั๊นลา (Kamollanla) เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 23:19:27

ความคิดเห็นที่ 10 สวัสดีคุณ BluemirroR อ้าว อ่านไม่เข้าใจ สงสัยผมจะเรียบเรียงข้อความไม่ดี ผมเรียบเรียงมาจาก Videnske umluvy o diplomatickych stycich ของภาษาเช็ก ครับ ว่างๆคุยกัน แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 01:34:10 จากคุณ : กมลลั๊นลา (Kamollanla) เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 23:29:15

ความคิดเห็นที่ 11 ข้อสังเกตตามกฎหมายไทย เจ้าหน้าที่ทางการทูตไทย ถือว่า เป็นเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ทางราชการด้วย ดังนั้นตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙ บัญญัติว่า เจ้าพนักงานของรัฐบาลไทยกระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๔๗ ถึงมาตรา ๑๖๖ และมาตรา ๒๐๐ ถึง ๒๐๕ นอกราชอาณาจักร จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร เพราะถือได้ว่า เป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และ อาจโดนโทษทางวินัยราชการ เช่น โดน ไล่ออก เป็นต้น ดังนั้น มุบมิบแอบขายสถานทูตไทยใน แดนกังหันลม ก็โดน แน่นอน ครับ อันนี้ เป็นชีวิตจริงที่ไม่ใช่เรียลลิตี้ โชว์ แน่นอน ว่างๆคุยกัน ครับ แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 52 23:52:20 จากคุณ : กมลลั๊นลา (Kamollanla) เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 23:41:30

ความคิดเห็นที่ 12 http://en.wikipedia.org/wiki/Diplomatic_immunity จากคุณ : genf เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 00:11:46

ความคิดเห็นที่ 13 ลองขนผงขาว ไปขายซิ จะถูกจับไหม? จากคุณ : อยาก..ลืม (อยาก..ลืม) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 02:09:48

ความคิดเห็นที่ 14 เรียบเรียงดีแล้วค่ะ คุณกมลลั๊นลา ตามความคิดของดิฉัน เชื่อว่า ภาษากฏหมาย ถ้าอ่านเข้าใจง่ายๆ แสดงว่า แปลมาไม่ถูกต้อง หรือข้อความนั้นๆ เชื่อถือมิได้ จากคุณ : BluemirroR เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 03:23:51

ความคิดเห็นที่ 15 เข้ามาเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ สำหรับ การศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียดก็ขอให้ศึกษาจาก Case นี้ ครับ United States Diplomatic and Consular Staff in Tehran.(United States V. Iran) ตามนี้ครับ http://www.icj-cij.org/docket/index.php?p1=3&p2=3&code=usir&case=64&k=c9 ว่างๆคุยกัน ครับ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 03:41:48 จากคุณ : กมลลั๊นลา (Kamollanla) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 03:40:19

ความคิดเห็นที่ 16 ชอบคำว่า "ปราชญ์ลากลิ้งค์" ของคุณกมลจังเลย ฟังดูน่ารักดีค่ะ จากคุณ : The Starry Night เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 07:01:10

ความคิดเห็นที่ 17 คุณ Detente และ คุณ กมลลั๊นลา รบกวนถามหน่อยนะคะสงสัยมานานแล้วเหมือน ดิฉันเคยดูหนังเรื่องหนึ่ง เรื่อง Leathal Weapon จะภาคไหนนี่สุดปัญญาจะจำจริงๆ ตอนสุดท้ายของเรื่อง ตัวผู้ร้ายสู้กับตำรวจคือ Mel Gibson ในเรื่อง พอตำรวจกำลังจะยิง ตัวผู้ร้าย เค้าก็เลยควักบัตรออกมาโชว์ให้ดู แล้ว บอกว่า I have diplomatic immunity อ่านตามที่คุณกมลอธิบายให้ฟังเข้าใจว่าผู้ที่ได้รับการคุ้มครองจะไม่ถูกจับคุมโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ หากว่าบุคคลผู้นั้นอยู่ในสถานทูตที่ได้รับการคุ้มครองนั้น ในหนังนี่ผู้ร้ายอยู่ด้านนอกของสถานทูตแบบนี้ตำรวจจะสามารถจักุมตัวได้หรือไม่ อีกข้อหนึ่งในหนังตัวตำรวจยิงผู้ร้ายตายทั้งๆที่ผู้ร้ายได้แสดงบัตรให้ดูแล้ว หากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆตำรวจจะโดนดำเนินคดีหรือไม่และหากถูกดำเนินคดีต้องขึ้นศาลตามกฏของประเทศไหนคะ จากคุณ : Rinta เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 16:48:43

ความคิดเห็นที่ 18 ขอขอบคุณทุกท่านที่สนใจเข้ามาในกระทู้นี้ สำหรับคุณ Kamollanla นั้น  ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณที่เรียกข้าพเจ้าว่า " อาจารย์ " แต่ใคร่ขอชี้แจงว่า  ตัวข้าพเจ้าเองนั้น  แม้แต่อาจารย์ใบ้หวยก็ยังไม่มีความสามารถเป็นได้ ( อาจารย์สอนตัดผม  อาจเป็นได้) ส่วนความเห็นตามกระทู้นี้ของคุณ  Kamollanla นั้น ต้องขอนิยมชมเชยมากกว่าการขอบคุณ  เนื่องจากความเห็นที่คุณ Kamol ได้ให้มาทั้งหมด ณ กระทู้นี้ แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นผู้มีสติปัญญาอันไม่น้อยนิดเหมือนที่คุณว่าไว้ในข้อที่ 3 ของความเห็นที่  7 และขณะนี้คุณกมล ฯ ร่ำเรียนกฎหมายอยู่ที่ประเทศสาธารณรัฐเชค (ประเทศที่มีเมือง Cesky  Krumlov  สวยมาก และมีเมือง Pilzen ที่ผลิตเบียร์ Pilsner Urquell  ได้ร่อยที่สุดในโลก  ) คุณจึงเป็นผู้มีความรู้  มิใช่คนต่ำต้อยด้อยการศึกษาดังเช่นที่คุณว่าไว้ในข้อที่  1 ของความเห็นที่ 7 หลักฐานสนับสนุนความเห็นของข้าพเจ้าข้างบนนี้  มีดังนี้ 1. คุณกมล ฯ มิใช่เป็นบุคคลเฉกเช่น " ปราชญ์ลากลิงค์ " แต่อย่างใด 2. ความเห็นของคุณกมล ฯ เป็นคำอธิบายทางกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่อง  " เอกสิทธิและความคุ้มกันทางการทูต " ที่ถูกต้องแจ่มชัดตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ 3. ความเห็นของคุณทั้งหมด  เป็นคำอธิบายสาระทางกฎหมายที่มีหลังพิง ( คือหลักแหล่งอ้างอิง ) ที่ถูกต้องแข็งแรงสมบูรณ์ยิ่ง  คือ  อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 ( Vienna convention on Diplomatic relations , 1961 ) นี่คือคุณค่าของ " สมาชิกพันทิพ " เช่นคุณ Kamollanla  ซึ่งเป็นบุคคลผู้มีความรู้และความตั้งใจดีท่านหนึ่งที่ทำประโยชน์ให้แก่ผู้สนใจหาความรู้ใน  "ห้องไกลบ้าน"  แห่งนี้ตลอดมา ณ บัดนี้  ข้าพเจ้าขออนุญาตเข้ามาสรุปสาระสำคัญของคำตอบกระทู้ที่ถามว่า  จริงหรือ ??? ที่นักการทูตจะไม่ถูกจับกุม .......... ฯลฯ......ตามที่ท่าน Kamollanla  ได้เสนอความเห็นมาแต่แรก  ซึ่งจะเป็นบทสรุปสั้นๆ  ( เพราะคุณกมล ฯ ได้อธิบายความละเอียดไว้ข้างบนแล้ว ) ดังนี้ 1. เป็นความจริง  เพราะนักการทูตได้รับเอกสิทธิและความคุ้มกันทางการทูตตามที่กฎหมายระหว่างประเทศ " อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 " ได้บัญญัติไว้........... กล่าวคือ  แม้ว่านักการทูตจากรัฐผู้ส่ง ( sending state ) จะกระทำละเมิดกฎหมายบ้านเมืองของประเทศที่ไปประจำอยู่  คือรัฐผู้รับ ( recieving state )  เช่น  นักการทูตจากประเทศ ก. กระทำผิดอาญาฐานฆ่าคนตาย  หรือฉ้อโกง  หรือกระทำจารกรรม ฯลฯ ในประเทศ  ข.    นักการทูตประเทศ ก. ผู้กระทำความผิดจะไม่ถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐ  ข. จับกุม  หรือถูกคุมขัง  หรือถูกดำเนินคดีอาญาใด ๆ ทั้งสิ้น  ยกเว้นรัฐผู้ส่งคือรัฐ ก.จะสละความคุ้มกันทางการทูตของนักการทูตของตนผู้นั้น 2. แต่ถึงแม้นักการทูตที่กระทำความผิดอาญาในประเทศที่ตนไปประจำการอยู่จะไม่ถูกจับกุมคุมขัง  เพราะตนได้รับเอกสิทธิและความคุ้มกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ( อนุสัญญากรุงเวียนนา ฯ 1961 )  ก็ตาม   แต่รัฐผู้รับ (ประเทศ ข.)  ที่ตนไปกระทำความผิดไว้เขาสามารถแจ้งให้รัฐบาลของประเทศนักการทูตผู้นั้นให้ทราบพฤติการณ์ และขอร้องให้เรียกตัว  recall  นักการทูตที่กระทำผิด  กลับประเทศของตนในฐานที่เป็น  " บุคคลไม่พึงปรารถนา"คือ Persona non grata  ของรัฐผู้รับได้  ซึ่งหากประเทศทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และมีหลักฐานความผิดแน่ชัด  รัฐผู้ส่ง  (ประเทศ ก. ) ของนักการทูตผู้นั้นจะรีบสั่งให้คนของตนกลับประเทศของตนโดยด่วน ( recall )  แต่หากยังขืนดื้อดึงไม่  recall คนของตนกลับ  ก็จะถูกรัฐผู้รับปฎิบัติการทางการทูตตอบแทนตามลำดับขั้นตอนจากระดับน้อย  ไปหามาก รายละเอียดทางกฎหมายนั้น  ท่านที่สนใจสามารถอ่านได้จากความเห็นของคุณ Kamollanla ที่ได้แสดงมาข้างบนนี้ มีคำตอบทำนองนี้เช่นกันในกระทู้  http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H8580881/H8580881.html ขอขอบพระคุณทุกท่าน  และหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากกระทู้นี้  ไม่มากก็น้อย แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 22:15:30 จากคุณ : นักการทูตฝึกหัดปี 1 (Detente) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 21:25:55

ความคิดเห็นที่ 19 สวัสดีพี่รินตา ครับ ตามกรณีตัวอย่างที่พี่ให้มานั้น ขออนุญาตตอบว่า เขตอำนาจของรัฐ Jurisdiction of state  ปกติตามหลักดินแดน Territorial principle ทุกรัฐภายในดินแดนของตนก็สามารถบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายของตนได้ ตามหลักดังกล่าว รัฐมีอำนาจที่จะออกกฎหมายและบังคับใช้กฎหมาย เหนือ บุคคล ทรัพย์สิน และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในดินแดนของตนได้ โดยไม่คำนึงว่า บุคคลนั้นจะมีสัญชาติของรัฐนั้นหรือไม่ หรือ ไมจำกัดว่าทรัพย์สินของคนชาติหรือไม่ ปกติแล้ว ผมเข้าใจว่า หากแสดงตนว่า มีเอกสทธิทางการทูตแล้ว ตำรวจก็จะกระทำการจับกุมไม่ได้ (แต่ถ้าในหนังจ่าริค อีกเรื่องหนึ่ง ) หากตำรวจดันไปยิงผู้มีเอกสิทธิ์ทางการทูต ตาย อันนี้เรื่องใหญ่ไม่แพ้ ขายสถานทูตไทยในแดนกังหันลมแน่นอน จริงอยู่ ในหนัง จ่าริค จะต้องโดนดำเนินคดี ตามกฎหมายอเมริกัน ตามหลักดินแดนแน่นอน แต่ทว่า กรณีเช่นนี้ ผมว่า น่าจะมีการเจรจาทางการทูต ระหว่างประเทศคู่กรณีแน่นอน เพราะ แม้จะเป็นการดำเนินคดีอาญากับจ่าริค แต่กระบวนการพิจารณาเช่น การสืบพยาน ชันสูตรพลิกศพ มันมีผลต่อ เรื่องการสละความคุ้มกันทางการทูตทั้งนั้น มันเสี่ยง กระทบกระเทือนความสัมพันธ์ ดังนั้น ผมเข้าใจว่า ทั้งสองประเทศคู่กรณีก็ต้องคุยกันก่อนว่า "จะทำกันอย่างใดดี" อันนี้ผมคิดว่าเช่นนี้ ครับ เรื่องมันมีอยู่เช่นนี้ล่ะครับพี่รินตา ว่างๆคุยกัน ครับ จากคุณ : กมลลั๊นลา (Kamollanla) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 22:33:23

ความคิดเห็นที่ 20 สวัสดีท่านอาจารย์ Detente สืบเนื่องจากว่า ผมมักจะอ่านความรู้ที่ท่านอาจารย์เขียนอยู่เสมอและใช้ประกอบการเรียนของผมได้ด้วย ดังนั้นท่านจึงมีบุญคุณกับผมดั่งเป็น อาจารย์  ครับ   ขอกราบขอบพระคุณสำหรับคำนิยมชมชอบครับ แต่เนื่องจากผมยังเป็นผู้น้อยอยู่ จึงยังต้องศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ตลอดเวลา เพราะเดี๋ยวนี้โลกมันหมุนเร็วมาก  โมเดลกฎหมายสหภาพยุโรปก็เป็นสิ่งที่ไทยน่าจะศึกษา เพราะ เป็นการ ปรับให้เข้ากับประเทศส่วนใหญ่ที่ใช้ระบบประมวล ทั้งนั้น ซึ่งผมเองก็พยายามเรียนอยู่เพราะมันยาก และหากจะเรียนให้ลึกซึ้ง ก็ยังติดเงื่อนไขที่ รัฐบาลเช็กได้ตัดเงิน ไม่ให้ทุนกับนักเรียนไทยไปเสียแล้ว หากจะเรียนต่อเอก ต้องไปตายดาบหน้าหาเอาเอง ซึ่งการตัดทุนตรงจุดนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปขอให้ใครที่ไหนช่วยเจรจาได้เลย เพราะผมเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีอำนาจไปบังคับขอให้ช่วย อย่างมากก็เพียงขอวิงวอนให้ช่วยเท่านั้น ส่วนทางผู้หลักผู้ใหญ่ไทยจะช่วยหรือไม่ ก็แล้วแต่จะเมตตา มันเลยทำให้ผมเป็นคนไทยคนแรกและคนไทยคนสุดท้ายที่เรียนกฎหมายเช็ก อยู่ แม้ใจจริงอยากจะเรียนอยู่ที่นี่ให้ลึกซึ้ง เพราะการศึกษาไม่ใช่แค่กฎหมายแต่รวมถึง วัฒนธรรม จิตใจ ค่านิยม ลักษณะ ของคนเช็กด้วย อันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการค้า ไทย เช็ก ได้ดี (ผมอยู่ที่นี่มา สาม ท่านทูต สามกงสุล แล้ว ครับ ) แต่ทว่า ไม่มีทุนระดับเอก และ  คงเป็นการยากที่จะให้ผู้หลักผู้ใหญ่เข้ามาชวยเจรจาให้ทางเช็กกลับให้ทุนเหมือนเดิม อันนี้เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ผมไม่มีโอกาส หาความรู้ของประเทศเช็กนี้ ในระดับสูง เพราะขาดเงินทุน คิดแล้วเศร้าใจ ครับ ท่านอาจารย์ ว่างๆคุยกัน ครับ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 23:06:03 จากคุณ : กมลลั๊นลา (Kamollanla) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 23:03:13

ความคิดเห็นที่ 21   คำถามคะ นักการทูตที่สถานทูตไทยที่ประเทศเบลเยี่ยม ขับรถเกิน speed limit จะต้องจ่ายค่าปรับหรือไม่คะ คุณ Rinta ทำให้เราอยากเอาLWมาดูอีกรอบเลย จากคุณ : bigbadwolf เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 00:48:10 A:58.9.204.249 X: TicketID:241835

ความคิดเห็นที่ 22 ตอบคุณ bigbadwolf ปกติแล้วตามทฤษฎีแล้ว การฝ่าฝืนกฎจราจร นั้นมีโทษทางอาญาอยู่ อาจจะเป็น ปรับ หรือ อะไรก็สุดแล้วแต่ ตัวแทนทางการทูต จะขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนด แม้ตำรวจเรียกให้หยุด แล้วพบว่า เป็นรถป้ายทะเบียนบ่งชี้ว่า ผู้ครอบครองมีเอกสิทธิ์ทางการทูต และคนขับแสดงตนว่า มีเอกสิทธิ ทางการทูตแล้ว ก็จะดำเนินการปรับไม่ได้ ทางปฏิบัติ เช่น หากตำรวจพบ ก็จะบันทึกลงในบันทึกประจำวันเท่านั้น หากกระทำกันซ้ำกันหลายครั้ง มีบันทึกรายงานส่งมา หลายครั้ง ต่อเนื่อง อย่างนี้ก็อาจโดนขับออกในฐาน ของ Persona non grata เช่นกัน จริงๆแล้วคำถามนี้ อยู่ใน ความคิดเห็นที่ ๗ และ ๙ อยู่แล้ว หากอ่านดีๆ ก็จะรู้คำตอบทันทีโดยง่ายดายโดยไม่ต้องเสียเวลา พิมพ์มาถามแต่อย่างใด ว่างๆคุยกัน แก้ไขเมื่อ 25 พ.ย. 52 02:47:03 จากคุณ : กมลลั๊นลา (Kamollanla) เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 02:45:35

ความคิดเห็นที่ 23 คุณน้องกมล ขอบคุณมากค่ะที่กรุณาสละเวลาทำงานมาตอบคำถามพี่ นานๆห้องไกลบ้านจะมีกระทู้ที่มีสาระน่าศึกษาอย่างนี้สักทีหนึ่ง จากคุณ : Rinta เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 03:17:21

ความคิดเห็นที่ 24 สวัสดีพี่รินตาอีกครั้งครับ คือ ผมเองก็พยายามเขียนอะไรที่เป็นประโยชน์ให้ห้องไกลบ้านครับ แต่คนอ่านน้อยครับ ดังนั้นก็ขอโฆษณา กระทู้เก่าๆนิดนึง ครับ ผมไม่แน่ใจว่า พี่อ่านหรือยังน่ะ ครับ อันนี้ ครับ http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H8484734/H8484734.html ผมก็คงเขียนเรื่อยๆล่ะครับ ขอกราบขอบพระคุณพี่รินตามากๆครับ ว่างๆคุยกัน ครับ จากคุณ : กมลลั๊นลา (Kamollanla) เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 04:00:06

ความคิดเห็นที่ 25 เรียน  คุณ Rinta   ด้วยคุณ Rinta ได้เอ่ยถามปัญหาโดยระบุชื่อข้าพเจ้าด้วย ในความเห็นที่ 17 คำถามนี้ถึงแม้คุณ Kamollanla ได้ตอบไปแล้วก็ตาม  แต่เพื่อประโยชน์ของคุณ Rinta  ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตตอบคำถามของคุณ Rinta ในเรื่องเอกสิทธิและความคุ้มกันทางการทูต  (Diplomat privileges and immunities )  ซึ่งจะไม่มีอะไรขัดกับคำตอบของคุณ Kamollanla  แต่จะเป็นการเสริมเพิ่มเติม  ดังต่อไปนี้ 1. นักการทูตทุกคน  ต่างได้รับเอกสิทธิและความคุ้มกันทางการทูตตามที่มีบัญญัติไว้ในอนุสัญญากรุงเวียนนา ฯ  และความคุ้มกัน ฯ เช่นว่าจะครอบคลุมตัวนักการทูตผู้นั้นในเขตอาณาตามกฎหมาย jurisdiction ตราบเท่าที่เขาประจำการอยู่ในประเทศนั้น   คือทั่วทั้งประเทศ  หมายความว่านักการทูตจะได้รับความคุ้มกัน  immunity  ทางการทูตไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณสถานทูตของเขา  หรือออกมานอกบริเวณสถานทูต  เขาก็ยังได้รับ " ความคุ้มกันทางการทูต " ไปตลอดทั่วเขตดินแดนของประเทศที่เขาประจำการอยู่  นั่นเอง  ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจของรัฐผู้รับ  (receiving  state ) ไม่อาจจับกุมตัวเขาได้ไม่ว่าในที่ไหน ๆ ทั่วประเทศนั้น  ( ทั้งนี้  นักการทูตมีหน้าที่ต้องแสดงตนให้เจ้าหน้าที่เขารู้ก่อน  ว่าตนเป็นใคร  อย่างที่ Mel  Gibson  ได้โชว์บัตรประจำตัวทูต  ในหนังนั้น  ปฎิบัติถูกต้องแล้ว ) 2. หากเจ้าหน้าที่ตำรวจในประเทศนั้น  ยิง  นักการทูตที่เขาได้แสดงตัวแล้วไม่ว่าจะยิงแล้วไม่โดนตัว  หรือยิงแล้วทำให้นักการทูตบาดเจ็บ  หรือถึงตาย  ก็ตาม  เรื่องนี้ ไม่เพียงแต่ตำรวจผู้นั้นจะถูกลงโทษตามกฎหมายของประเทศของตน  รัฐบาลนั้นเองจะถูกประท้วงจากประเทศของนักการทูตผู้นั้น  และทั้งยังจะถูกประณามจากนานาชาติ  ฐานละเมิดอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961  ที่ประเทศตนได้ให้สัตยาบัน ( ratified )  ไว้อีกด้วย หวังว่าคำตอบนี้จะเป็นประโยชน์แก่คุณ Rinta  ผู้น่ารักและมีสาระ  ไม่มากก็น้อย จากคุณ : นักการทูตฝึกหัดปี 1 (Detente) เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 11:34:19

ความคิดเห็นที่ 26   คุณกมลลั๊นลา ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ ดิฉันอ่านแล้วคะ พออ่านแล้วก็จะได้คำตอบเหมือนกับที่คุณให้ไว้ แต่ในความเป็นจริงแล้วนักการทูตที่ขับเกินความเร็วที่กำหนดไว้ในประเทศเบลเยี่ยมก็ยังต้องจ่ายค่าปรับอยู่ดี (ครั้งแรกไม่ต้องจ่าย แต่พอครั้งที่สองก็ต้องจ่ายค่าปรับ) ก็เลยไม่แน่ใจ จากคุณ : bigbadwolf เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 11:40:15 A:58.9.223.253 X: TicketID:241835

ความคิดเห็นที่ 27   ถูกใจ #25 คะ จากคุณ : bigbadwolf เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 11:48:02 A:58.9.223.253 X: TicketID:241835

ความคิดเห็นที่ 28 ดิฉันถามมั่งนะคะ ยกของคุณนักการทูตฝึกหัดปี 1 (Detente) 1. นักการทูตทุกคน  ต่างได้รับเอกสิทธิและความคุ้มกันทางการทูตตามที่มีบัญญัติไว้ในอนุสัญญากรุงเวียนนา ฯ  และความคุ้มกัน ฯ เช่นว่าจะครอบคลุมตัวนักการทูตผู้นั้นในเขตอาณาตามกฎหมาย jurisdiction ตราบเท่าที่เขาประจำการอยู่ในประเทศนั้น   คือทั่วทั้งประเทศ  หมายความว่านักการทูตจะได้รับความคุ้มกัน  immunity  ทางการทูตไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณสถานทูตของเขา  หรือออกมานอกบริเวณสถานทูต  เขาก็ยังได้รับ " ความคุ้มกันทางการทูต " ไปตลอดทั่วเขตดินแดนของประเทศที่เขาประจำการอยู่  นั่นเอง  ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจของรัฐผู้รับ  (receiving  state ) ไม่อาจจับกุมตัวเขาได้ไม่ว่าในที่ไหน ๆ ทั่วประเทศนั้น  ( ทั้งนี้  นักการทูตมีหน้าที่ต้องแสดงตนให้เจ้าหน้าที่เขารู้ก่อน  ว่าตนเป็นใคร  อย่างที่ Mel  Gibson  ได้โชว์บัตรประจำตัวทูต  ในหนังนั้น  ปฎิบัติถูกต้องแล้ว ) เเล้วถ้าเจ้าหน้าที่การฑูตนั้น ออกไปนอกเขตประเทศล่ะค่ะ อย่างเช่นไปลอยเรือ อยู่กลางทะเลน่าน้ำสากล หรือเห็นเจ้าหน้าที่ไปจับนักการฑูตในคอนเทนเนอร์ของประเทศอื่น เเต่อยู่ในท่าเรือตัวเองนะคะ เเฮ่ คือดิฉันดูหนัง CSI Miami บ่อยๆ มันเลยอินไปกับหนังน่ะค่ะ จากคุณ : Pixiepasta เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 21:52:44

ความคิดเห็นที่ 29 ออกตัวก่อนนะคะว่า... ไม่มีความรู้เรื่อง การทูต หรือกฏหมายว่าด้วยการทูตใดๆเลย และอยากรบกวน เรียนถาม ท่านผู้รู้ คุณพี่กมลลันลา และคุณนักการทูตฝึกหัดปี 1 และผู้รู้ทั้งหลาย ว่า... -นักการทูต ในที่นี้คือ ท่านทูต หรือเอกอัครราชทูต เท่านั้นใช่ไหมคะ? -แล้วกฏหมายที่กล่าวมาข้างต้น ข้างบนในหลายๆ คห. ครอบคลุมไปยัง ข้าราชการตำแหน่งอื่นๆ ที่มาปฏิบัติงาน ณ ต่างประเทศ ในสถานทูตด้วยไหมคะ? -ครอบคลุมถึงพระธรรมทูต ที่ถือพาสปอร์ตเล่มสีน้ำเงิน ด้วยไหมคะ? จากคุณ : BluemirroR เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 52 05:29:12

ความคิดเห็นที่ 30 ตอบคุณ Pixiepasta  ความเห็นที่ 28  และคุณ  BluemirroR  ความเห็นที่ 29    ดังนี้ ตอบคุณ Pixiepasta 1. เอกสิทธิและความคุ้มกันทางการทูต  ของนักการทูต  นั้น จะมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประเทศผู้ส่ง  sending state และประเทศผู้รับ recieving state  ต่างยินยอม  ให้ - และรับ  ซึ่งกันและกันตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ขั้นตอนการแต่งตั้งทูต  และการได้บริโภคเอกสิทธิและความคุ้มกันทางการทูตที่สมบูรณ์ 1.1 เป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางทูตต่อกันมาแล้ว 1.2 รัฐบาลประเทศ ก. จะส่งหัวหน้าคณะทูต  คือท่านทูตของตนไปประจำการในประเทศ  ข.  ขั้นแรกจำเป็นต้อง ขอ  Agre'ment  หรือความเห็นชอบจากรัฐบาลประเทศ ข. เสียก่อน  ( คือประเทศ ข. มีสิทธิตรวจสอบประวัติ  และสามารถรับ - หรือไม่รับท่านทูตผู้นี้  ก็ได้ ) 1.3 เมื่อประเทศ ก. ได้รับ ความเห็นชอบ หรือ Agre'ment จากประเทศ ข. แล้ว  ตัวท่านทูตจึงจะเดินทางเข้าไปรับตำแหน่งในประเทศ ข. ได้ 1.4 เมื่อทูตเข้าไปในประเทศ ข. แล้ว  จะต้องทำการ  ยื่นหนังสือแต่งตั้งทูต   คือ   " พระราชสาสน์ตราตั้ง "  ( Credential ) ต่อประมุขของประเทศ ข.  เสียก่อน  จากนั้นจึงจะปฎิบัติหน้าที่ในประเทศ ข. ในฐานะ " เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม  ประจำประเทศ ข. ได้ ขออภัย ยังมีต่อ แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 52 12:08:37 จากคุณ : Detente เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 12:04:15

ความคิดเห็นที่ 31   คุณ Detente ไม่ทราบว่าถ้าถามจะผิดกติกาหรือเปล่า ถ้าผิดก็ไม่ต้องตอบก็ได้คะ ชอบที่คุณตอบมากเลย อ่านเข้าใจง่าย กระชับ ได้ความรู้ อยากถามว่าคุณ Detente ทำงานอยูที่สถานทูตไทยที่บรัสเซลส์หรือเปล่าคะ แม่ดิฉันทำงานอยู่ที่นั่นคะ จากคุณ : bigbadwolf เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 13:51:06 A:58.9.200.140 X: TicketID:241835

ความคิดเห็นที่ 32 ต่อจากความเห็นที่ 30............ 1.5 ฯพณฯ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม  หรือ  H.E. Ambassador Extraordinary and Plenipotentiary   รวมทั้งนักการทูตในคณะทูตของประเทศ ก.  ทุกท่าน  ต่างได้รับ " เอกสิทธิและความคุ้มกันทางทูต "  ทั้งนี้ ก็เป็นการได้รับเฉพาะแต่ในเขตอาณา jurisdiction ของรัฐบาลประเทศผู้รับ คือในประเทศ ข. และตามวาระ   เท่าที่รัฐบาลของตน ( รัฐผู้ส่ง)  กำหนดมา  เท่านั้น 1.6 ใคร่ขอเรียนว่า      นักการทูตได้รับเอกสิทธิและความคุ้มกันทางการทูต  ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ  ก็เพราะ ..... ประเทศผู้ส่ง  ( sending  state ) คือรัฐบาลประเทศของตนเป็น " ผู้ให้ "  เท่านั้น      และรัฐบาลของตน ( คือรัฐผู้ส่ง ) จะถอดถอน   หรืองดเว้นเอกสิทธิและความคุ้มกันทางการทูต  จากนักการทูตของตนเสียเมื่อไรก็ได้ 1.7 " เอกสิทธิและความคุ้มกันทางการทูต " จะครอบคลุมตัวนักการทูตเฉพาะก็แต่ในวาระที่ประจำการอยู่ในประเทศ  ข.  เท่านั้น  ดังนั้น  หากนักการทูตประเทศ ก. ออกไปพ้นจากประเทศ ข. แล้ว  ไม่ว่าจะไปอยู่ประเทศไหน  หรือในดินแดนอื่นใดก็ตาม  นักการทูตจากประเทศ ก.  จะไม่ได้รับความคุ้มครองทางการทูตใด ๆ เลย เขาอาจจะได้รับเพียงแค่  " การให้เกียรติ " จากรัฐบาลของประเทศอื่นๆ  ที่ตนผ่าน  หรือเข้าไปในดินแดนนั้น ๆ เท่านั้นเอง   หมายความว่า  หากนักการทูตประเทศ ก. ที่ได้รับเอกสิทธิและความคุ้มกันทางทูตจากประเทศ ข. อย่างเต็มที่  นั้น แต่หากไปกระทำความผิดทางอาญาในประเทศ ค.  หรือในประเทศ ง.  หรืออื่น ๆ นักการทูตประเทศ ก. สามารถถูกจับกุม  หรือถูกคุมขัง  หรือถูกพาตัวขึ้นศาลของประเทศ  ค.  หรือ ง.  หรือ จ.  ฯลฯ ได้ ตอบคุณ   BluemilloR เจ้าเก่า 1.  นักการทูต ( Diplomat ) หมายถึงตัวท่านเอกอัครราชทูต และบุคคลในคณะทูตที่เป็นนักการทูตอาชีพ ( career Diplomat ) ทุกท่าน  รวมทั้งข้าราชการทั้งหลายไม่ว่าจากกระทรวงการต่างประเทศ  หรือจากหน่วยงานราชการอื่นใด  ที่รัฐบาลประเทศตนได้แต่งตั้งให้ไปปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนักการทูต 2. ข้าราชการจากหน่วยราชการอื่นๆ  ที่มาปฎิบัติหน้าที่ในต่างประเทศ  หรือที่มีสำนักงานอยู่ร่วมตึกเดียวกับสถานเอกอัครราชทูต  เช่น  จากกระทรวงกลาโหม ( ทหารบก - เรือ - อากาศ )  หรือจากกระทรวงพาณิชย์  จากกระทรวงแรงงาน ฯ   ฯลฯ   พวกเขาเหล่านี้ได้รับการอนุโลมให้ใช้หนังสือเดินทางทูต  ( Diplomatic passport )  เล่มปกสีแดง  ได้  และทั้งยังมีชื่อปรากฎอยู่ใน" รายชื่อคณะทูตไทย " Diplomatic list ของทางการประเทศนั้น ๆ   อีกด้วย  ทั้งนี้  ก็ด้วยเหตุผลเพื่อการได้บริโภคเอกสิทธิและความคุ้มกันทางการทูต  ( มีเอกสิทธิและความคุ้มกันเพื่อสามารถทำให้การปฎิบัติงานของตนในต่างประเทศเป็นไปอย่างคล่องตัว  นั่นเอง ) แต่ในความเป็นจริง  ข้าราชการเหล่านี้   " มิใช่นักการทูตอาชีพ " คือเป็น  non Diplomatic career  กล่าวคือ  พวกเขาต่างปฎิบัติงานราชการ  เช่น  งานของกระทรวงพาณิชย์ในต่างประเทศ  ก็ต้องอยู่ในกรอบของกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น  เขามิอาจไป " ถวายพระราชสาสน์ตราตั้ง "  หรือขอเข้าพบท่านประมุขของประเทศนั้นๆ   หรือเข้าเจรจาความเมืองระหว่างประเทศระดับสูง  ฯลฯ  เฉกเช่นนักการทูตอาชีพได้ 3. " พระธรรมทูต" ที่ถือพาสปอร์ตสีน้ำเงิน  นั้น  คือพระภิกษุที่ได้รับการอนุมัติและแต่งตั้งจากมหาเถรสมาคมให้ไปทำหน้าที่ " เผยแพร่พระพุทธศาสนา "  ในต่างประเทศ การที่เรียกพระภิกษุเหล่านี้ว่า  เป็นพระธรรมทูต  นั้น  มิได้หมายความว่าให้พระเหล่านั้นมีสถานะประหนึ่งเป็นนักการทูต  หรือ Diplomat  จากประเทศไทยเช่นเดียวกับข้าราชการไทยปฎิบัติหน้าที่ในต่างประเทศ ส่วนการที่พระธรรมทูตถือหนังสือเดินทางสีน้ำเงิน  ( คือหนังสือเดินทางราชการ )  ก็เพราะเป็นการให้เกียรติแก่พระภิกษุที่ไปทำหน้าที่เผยแพร่พระพุทธศาสนาประหนึ่งเป็นงานราชการ  และอีกทั้งเพื่อให้พระเหล่านี้สดวกในการเดินทางไปในหลายๆ  ประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่า  นั่นเอง หวังว่าคำตอบทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์แก่ท่าน  ไม่มากก็น้อย แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 52 16:23:01 จากคุณ : นักการทูตฝึกหัดปี 1 (Detente) เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 16:07:27

ความคิดเห็นที่ 33 ตอบคุณ  bigbadwolf ขอขอบคุณที่ให้กำลังใจ ข้าพเจ้าเป็นเพียงแค่ " นักการทูตฝึกหัดปี 1 "  และมิเคยทำงานอยู่ที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ จากคุณ : Detente เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 16:26:56

ความคิดเห็นที่ 34   สวัสดีคะคุณ Detente ดิฉันนึกเอาเองคะว่าคุณDetenteอาจจะทำงานอยู่ที่สถานทูตที่บรัสเซลส์เลยเสี่ยงถามดูเพราะคิดว่าอาจจะรู้จักคุณDetente อย่างไรก็ตาม ดิฉันจะติดตามอ่านความเห็นดีๆหรือกระทู้ของคุณต่อไปคะ จากคุณ : bigbadwolf เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 17:08:47 A:58.9.200.140 X: TicketID:241835

ความคิดเห็นที่ 35 โห  สาระเพียบ อ่านคร่าวๆไปรอบนึง ขอตอบทู้ก่อน (แบบว่าอยากมีส่วนร่วม) อิฉันได้ยินเรื่อง diplomat ไม่ต้องจ่ายใบสั่งมา ก็มาถามเพื่อนซึ่งเป็นตำรวจจราจรในเมืองไทย " จริงๆเหรอแก  ถ้าชั้นขับรถทะเบียนทูต แล้วชั้นจะจอดขาวแดงได้ใช่ไม๊" เพื่อนมองหน้า เหล่ด้วยหางตา ทำท่าแบบผู้พิทักสันติราษฎร์เต็มที่ แล้วบอกว่า   "ไม่ว่าใครก็ทำผิดกฎหมายไม่ได้เฟ้ย" (เสียงดังเชียว ไวน์หมดไปสองขวดแล้วนิ) อิฉันกำลังจะปลื้ม ตำรวจไทยใจกล้า แต่มันดันพูดต่อว่า "แต่เราจะใช้วิธี ขอความร่วมมือ ให้ช่วยเลื่อนรถไปให้พ้นขาวแดงหน่อยนึง เป็นอันใช้ได้" "แล้วถ้าคนขับรถทำมึนล่ะแก" "ข้าก็เดินไปจับคันอื่นสิฟระ  จะยากอะไร มีรถให้จับตั้งเยอะ" -_-" เรื่องนี้ เล่าเอาฮานะคะ จากคุณ : letsgokrabi เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 15:12:40

ความคิดเห็นที่ 36 อีกเรื่องที่อยากแจม คือ Diplomatic status ถ้าอิฉันเป็นคนใช้บ้านท่านทูต ที่หอบหิ้วกันมาจากประเทศอื่น ได้ยินว่า อิฉันก็จะได้ diplomatic status ด้วย เรื่องนี้จริงหรือเท็จประการใด วานคุณ  Detente  ช่วยแจงให้ฟัง/อ่าน ด้วยได้ไม๊คะ ขอบคุณล่วงหน้าค่า จากคุณ : letsgokrabi เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 52 15:15:08

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณมากค่ะ คุณนักการทูตฝึกหัดปี 1 (Detente สำหรับคำตอบ เเต่ตอนนี้ดิฉันลงชื่อไว้ก่อนเเล้วจะกลับมาอ่านละเอียดภายหลัง จากคุณ : Pixiepasta เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 21:10:07