 |
ความคิดเห็นที่ 220 |
อังกฤษ // บางส่วน copy มาจากหนังสือที่เคยเขียนนะคะ //
Yes / No คนไทย(คนจีนด้วย)จะเข้าใจคนละแบบกับฝรั่ง คนไทย Yes คือใช่ ไม่ว่าบอกเล่าหรือปฏิเสธ ยกตัวอย่างเช่น วันนี้คุณไม่ไปโรงเรียนหรือ ถ้าเราไม่ได้ไปเราจะตอบว่า Yes แต่ในภาษาอังกฤษถ้าจะปฏิเสธให้ตอบ No ทุกกรณี ถ้ากลัวผู้ฟังงงก็เสริมประโยคต่อท้าย เช่น No ฉันไม่ได้ไป
การออกเสียง คำหลายๆ คำในอังกฤษ ไม่ได้ออกเสียงอย่างที่เราคิดนะคะ ไม่เชื่อลองอ่านคำเหล่านี้ดู Chiswick, Debenhams, Willesden, Gloucester ไม่ออกเสียง w, h เช่น Chiswick ชิสสิค, Greenwich กรีนิช, Norwich นอริช, Warwick วอริก, Durhum เดอแร่ม Debenhams เด็บเบแนมส์ แต่... Gatwick แกทวิก, Hawick ฮ้อยค์
ไม่ออกเสียงตัวกลาง เช่น Tottenham ทอทท์แนม, Willesden วิลส์เดน, Harlesden ฮาร์ลส์เดน, Bicester บีสเตอร์, Gloucester กลอสเตอร์, Leicester เลสเตอร์
การออกเสียงชื่อเมืองอื่นๆ เช่น Loughborough Luff-burra ลัฟ-เบอระ, Edinburgh เอดินเบอระ Reading เรดดิง, Yorkshire ยอร์คเชียร์
เวลาเราฮัชเช่ย จะได้ยิน Bless you คุณครูฝรั่งเล่าให้ฟังสมัยเป็นเด็กว่า เวลาฮัชเช่ยเนี่ย หัวใจคนเราจะหยุดเต้นชั่วขณะ (จริงรึเปล่า?) คนที่อยู่รอบตัวเราจะอวยพร Bless you ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง เราจะได้มีชีวิตต่อไป เรื่องเล็กๆ แบบนี้ บางทีถ้านักเรียนในคลาสลืมพูด คุณครูก็จะอวยพรตัวเอง Bless me Bless me
ถ้ามีคน say Bless you กับเรา เราก็ต้อง Thank you เค้ากลับด้วย
สั่งหรือสูดน้ำมูก ปกติเวลาเราเป็นหวัด ถ้าไม่ได้พกกระดาษทิชชู่เราก็จะสูดฟืดเบาๆ เพื่อไม่ให้เสียมารยาท แต่ถ้าเป็นที่อังกฤษการสูดน้ำมูกเข้าเสียงค่อยๆ หรือดังนั้นถึงว่าเสียมารยาทค่ะ ถ้ามีน้ำมูกคนที่นู่นจะหยิบกระดาษทิชชู่หรือผ้าเช็ดหน้าออกมาสั่งทันที แม้กระทั่งในห้องสมุด ห้องเรียนที่ว่าเงียบจะได้ยินเสียงสั่งน้ำมูกดังมากอย่างไม่เกรงใจ พวกเราคนไทยเห็นเข้าตกใจกันใหญ่
จะถอดหรือจะใส่รองเท้าดี ขึ้นอยู่กับแต่ละบ้านค่ะ เวลาไปบ้านเพื่อนฝรั่งบางคน ใส่รองเท้าเดินขึ้นชั้นสองชั้นสามจนกระทั่งเข้าห้องนอนตัวเองก็ไม่ต้องตกใจนะคะ ถือว่าธรรมดามาก เราสังเกตแค่ว่าบ้านไหนทำอย่างไรก็ทำตามค่ะ ถ้าไม่แน่ใจก็ถามเจ้าของบ้านเสียก่อน
น้ำยาล้างจาน เป็นเรื่องที่ทำอึ้งตะลึงตึงตึงมาแล้ว สมัยที่อยู่โฮสแฟมิลี่เห็นเค้าล้างจานแล้วเหลือฟองเต็มเลยก็เอาขึ้นวางที่คว่ำจานซะแล้ว เค้ากลับบอกเราว่าน้ำยาล้างจานไม่เป็นอันตรายพร้อมโชว์ฉลากข้างขวด แต่ความคิดโดยส่วนตัว เค้าแอบขี้เกียจรึเปล่า บางทีเห็นฝรั่งบางคนแปรงฟันแล้วบ้วนน้ำแค่รอบเดียวเป็นอันเสร็จพิธี อึ้งมั้ยล่ะคะ
ทางม้าลายที่ไม่มีสัญญาณไฟ เป็นที่ชอบมากค่ะ ปกติถ้ามีสัญญาณไฟเราก็รอให้สัญญาณคนสีเขียวก่อน เราถึงข้ามถนนได้ แต่มีทางม้าลายบางที่ไม่มีสัญญาณไฟ ซึ่งเราสามารถเดินข้ามถนนได้ตลอดทางม้าลายเลย โดยรถทุกคันรวมถึง Bus และ Taxi จะหยุดให้เราข้ามโดยอัตโนมัติ แต่ยังไงก็ควรระวังดูแลรถให้รอบคอบก่อนนะคะ ผิดกับเมืองไทยที่ทางม้าลาย ต้องรอให้รถคันใจดีหยุดให้เราข้าม
ตกไฟสูงพร้อมส่งสัญญาณกระพริบ มันอันตรายมากสำหรับบ้านเรา เพราะสัญญาณนี้คือให้ระวังรถกำลังขับมาด้วยความเร็วสูง หรือแอบบอกว่าตำรวจตั้งด่านจับความเร็ว อิอิ แต่ในทางกลับกันที่อังกฤษเป็นการส่งสัญญาณให้เราข้ามถนนได้ค่ะ มีรถใจดีเยอะแยะที่ส่งสัญญาณแบบนี้
กางร่ม มีความเชื่อว่า ถ้ากางร่มในที่ร่มจะนำสิ่งไม่ดีเข้าสู่เจ้าของร่ม และถ้าวันไหนอากาศดี แต่เรากางร่มทิ้งไว้ วันนั้นฝนก็อาจตกได้ แต่ข้อนี้เบ็บว่าคนปกติเค้าไม่กางร่มอยู่แล้วนอกจากตากร่มที่เปียกให้แห้งแล้วพับเก็บ
ทำไมต้องกุญแจเมื่ออายุ 18 และ 21 เด็กจะเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาวที่เรียกได้ว่าใกล้บรรลุนิติภาวะ ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญซึ่งอยู่ในอายุระหว่าง 18 และ 21 ปี คือ ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย (18 ปี) และเรียนจบ (21 ปี) กุญแจจึงเป็นสัญลักษณ์ของขวัญเพื่อไขประตูชีวิตสู่การเป็นผู้ใหญ่สำหรับวัยนี้ นอกจากนี้สังเกตได้ว่าผับอนุญาตให้เด็กอายุ 18 ปีขึ้นไปเข้าได้ และสำหรับความสามารถในการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามซูปเปอร์มาเก็ตมักมีการตรวจพาสปอร์ตอย่างเข้มงวด
นอกจากนี้เท่าที่นึกออก -เพื่อนบอกว่า บีบแตรรถ แปลว่า fxxk you
-ดูทีวีเสียค่า licence 142 ปอน/ปี ดูได้ไม่กี่ช่อง
-โทรศัพท์ที่นี่แจกฟรี แต่ว่าต้อง sign contract ส่วนใหญ่ 18 / 24 mths
-โรงหนังถ้าไม่ใช่รอบพิเศษที่เลือกที่นั่งแล้ว คุณจะนั่งตรงไหนก็ได้ แล้วบางทีเข้าไป วัยรุ่นเยอะมากเอาเท้าขึ้นมาวางที่พนักพิงศีรษะคนข้างหน้า ทำให้ไม่อยากนั่งต่อเลย
-ซื้อของต้องใส่ถุงเอง
-ไป supermarket รถเข็นต้องหยอดเงิน พอใช้เสร็จก็ต้องเก็บเข้าที่ถึงได้เงินคืน
-ทุกอย่างปิดเร็วมาก 4-5 โมงเย็นก็ปิดแล้ว
-มี summer time / winter time อันนี้หลายๆประเทศก็มี แต่ไทยไม่มี ทำให้บางช่วงอังกฤษช้ากว่าไทย 6 hrs บางช่วงก็ 7 hrs
-ค่าโดยสารทุกอย่างขึ้นราคาทุกปี รถเมล์ รถไฟใต้ดิน ฯลฯ
-จองอะไรล่วงหน้านานๆได้ตั๋วถูก หมดแล้วหมดเลย เช่น รถโค้ช จากต่างเมืองเข้า ลอนดอน ปกติ 20 ปอน ในรอบนั้น อาจจะปล่อยตั๋ว 1 ปอน มา 2 ที่นั่ง แล้วก็มี 4, 9, 10, 20 ปอน ตามลำดับ
-โรงแรมบางที่ ข้ามปีแม้ไม่ได้ renovate อะไรเลย ราคาค่าห้องขึ้นเป็นเท่าตัว
-มีเว็บ cashback มากมาย ที่ดังๆ เช่น quidco เราต้องสมัครสมาชิก แล้วเวลาซื้อของให้คลิกผ่านเว็บนี้ ก็จะได้เงินคืนเข้าแบงค์
-มีเว็บแจกของฟรี แจกบ่อยมาก เช่น hotukdeals คลิกตรง freebies, studentbeans แจกบัตรลดปริ๊นไปใช้ได้ตามร้านอาหาร โรงหนัง
-host family ต้องเลือกดีดี บางบ้านมีกฎนรกมาก เช่น ห้ามอาบน้ำตอนเช้า, ห้ามอาบน้ำหลัง 3 ทุ่ม, ห้ามซักผ้าในห้องน้ำ แม้แต่กกน ที่เลอะประจำเดือน ก็ต้องส่งซัก, ห้ามซักผ้าเกินกี่ กก ต่อสัปดาห์, ห้ามเสียงดังหลังกี่โมง ฯลฯ
-น้ำร้อนที่นี่มีจำกัด ยิ่งถ้าอยู่บ้านหลายๆคน คนอาบหลังๆอดแน่นอน
-บ้านมีห้องน้ำน้อยมาก เช่น บ้าน 4 ห้องนอน อาจมีห้องน้ำแค่ 1 ห้อง
-ที่นี่ชอบรักษาบ้านโบราณ ไม่นิยมทุบทิ้งสร้างใหม่แบบบ้านเรา ถ้าสังเกตดีดี ห้องเล็กๆนอกบ้านในอดีตคือห้องน้ำ แต่ปัจจุบัน คือห้องเก็บของ บางบ้าน จะมีห้องเล็กๆ ในห้องครัว ซึ่งอดีตยังไม่มีตู้เย็น ห้องนี้เป็นห้องเก็บอาหาร ผัก ผลไม้ สังเกตได้ห้องจะรักษาความเย็นกว่าห้องอื่นในบ้าน ปัจจุบันก็ทำเป็นห้องเก็บของ หรือ ห้องซักผ้า
-ข้อสอบให้เลือกทำ อันนี้ชอบมาก ที่เมืองไทยเรียน 5 ออก 5 บท ที่นี่เรียน 5 บท ข้อสอบ 5 ข้อ เลือกทำ 3 ข้อ เพราะฉะนั้นไม่ต้องอ่านครบทุกบทก็ได้ หุหุ
-เกรดปริญญาตรีคิดแปลกๆ แทนที่จะเอามาเฉลี่ยกัน ตรี เรียน 3 ปี ปีหนึ่ง เรียนเท่าไร เกรดไม่คิด ปีสอง อาจจะคิด 25-30% ปีสามคิดที่เหลือ 70-75% ฉะนั้นใครทำเกรดปีสุดท้ายได้ดี ก็เป็นต่อสุดๆๆๆๆ
-summer นักเรียนจะเอาแว่นกันแดดมาใส่ พร้อมนั่งตากแดดกลางสนามหญ้าเต็ม ผิดกับเด็กไทย กลัวแดดกลัวดำ จะเดินกางร่มหรือหาแฟ้มมาบังศีรษะ
ตอนนี้พอคิดออกเท่านี้ลองอ่านดูก่อนนะคะ
จากคุณ |
:
[[babeberry]]
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ธ.ค. 52 12:53:39
|
|
|
|
 |