Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
แชร์ประสบการณ์กว่าจะได้มาซึ่งวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา  

แชร์ประสบการณ์กว่าจะได้มาซึ่งวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา

คงมีหลายๆ คนที่มีปัญหาในการขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา
บางคนถูกปฏิเสธโดยไม่ทราบเหตุผล ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจแค่จะไปเที่ยวจริง ๆ

วันนี้จะขอแชร์ประสบการณ์ในการขอวีซ่าท่องเที่ยวอันแสนลำบากยากเข็ญ
กว่าจะได้มา เชื่อหรือไม่ว่าดิฉันขอวีซ่าอเมริกามาแล้วห้าครั้งในชีวิตนี้
ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีปัญหาในการขอวีซ่าประเทศอื่นเลย ที่ว่ายากๆ อย่างยุโรป หรือญี่ปุ่น

ขอเล่าตั้งแต่ครั้งแรก เริ่มขอในปี 2001 หลังเหตุการณ์ 911 ไม่นาน
เพิ่งเรียนจบปริญญาตรี ยังไม่ได้ทำงาน
มีเพื่อนเรียนอยู่ที่นิวยอร์ค ชวนให้ไปเที่ยวก่อนที่เพื่อนจะเรียนจบแล้วกลับมาเมืองไทย
ไปขอทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก ต้องไปกรอกเอกสารที่หน้าสถานทูต
ไปจ่ายเงินที่ไปรษณีย์ในเช้าวันนั้น ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่พาสปอร์ต สมุดบัญชีแม่
ทรานสคริปท์ ใบจบการศึกษา รูปถ่าย เรียกว่าไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ ว่าต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง

ผลปรากฏว่าไม่ผ่าน เจ้าหน้าที่ขอดู สมุดบัญชีแม่ แล้วถามว่ายอดเงินนี้ได้มายังไง
แล้วก็บอกว่าเสียใจเราออกวีซ่าให้คุณไม่ได้
ออกจากสถานทูตมาแบบงงๆ โทรไปบอกเพื่อนว่าไม่ได้วีซ่า
เพื่อนบอกสงสัยเพราะ 911 เค้าเลยเข้มงวดมากขึ้น ก็เลยไม่ได้ไปเที่ยว

ต่อมาในปี 2005 มีเพื่อนผู้หญิงชาวอเมริกันชวนไปเที่ยวอีก ก็เลยไปขออีกครั้ง
ครั้งนี้เริ่มศึกษาข้อมูลมากขึ้นแล้ว รู้มาว่าถ้าไม่มีงานการทำมั่นคง อดได้วีซ่าแน่ๆ
และครั้งนี้ค่อนข้างมั่นใจว่าได้แหงๆ เพราะทำงานมาหลายปีแล้ว อีกทั้งบริษัทที่ทำงานอยู่เป็นบริษัทค่อนข้างใหญ่และมีชื่อเสียง
เงินเดือนเฉียดสองหมื่น เพื่อนส่งจดหมายเชิญมาให้ (เพื่อนทำงานให้รัฐบาลอเมริกัน)
จึงค่อนข้างมั่นใจว่า "น่าจะได้" ผลปรากฎว่าไม่ผ่าน ไม่บอกเหตุผล ออกมาแบบงงๆ อีก

อีกไม่กี่เดือนต่อมาในปีเดียวกัน ลองไปขออีกครั้ง ใช้เอกสารเหมือนเดิม ผลปรากฏว่าไม่ผ่านอีก
กลับมานอนคิดสงสัยเพราะเราเป็นผู้หญิง อายุยี่สิบกว่าๆ โสด แถมอายุงานไม่มาก
ไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศเลย เค้าคงกลัวเราไปโดดวีซ่า อืม...เข้าใจ

ก็เลยตัดสินใจไปเที่ยวประเทศอื่นในแถบเอเชียและยุโรป

สองปีต่อมา ปี 2007 เลยกลับไปขออีกครั้ง อายุงานมากขึ้น คราวนี้เพื่อนไม่ส่งจดหมายเชิญมาแล้ว
รวบรวมเอกสารทุกอย่างที่มี ผลคือเหมือนเดิม ไม่ผ่านอีก วุ๊ย อะไรกันนักหนาประเทศนี้
ตัดสินใจไม่ไปมันละ ไปเที่ยวที่อื่นดีกว่า ตั้งใจว่าจะไม่ไปขอวีซ่าอเมริกาอีกแล้วในชีวิตนี้

ปี 2008 เปลี่ยนจากงานเอกชน มารับราชการ กระทรวงใหญ่แห่งหนึ่ง
ปีนี้วางแผนว่าจะไปยุโรปอีกครั้ง อยู่ๆ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อนบอกว่าลองขอวีซ่าอีกครั้งเถอะ
อยากให้มาเที่ยวคริสมาสต์ที่นี่ เพื่อนอ้อนวอนแกมบังคับ แถมหล่อนบอกว่าไปปรึกษาเพื่อนที่ทำงานให้ State แล้ว
เค้าแนะนำเรื่องจดหมายเชิญให้ เค้าบอกว่าเพื่อนเราเขียนจดหมายเชิญ "ส่วนตัว" มากเกินไป
จัดการเขียนใหม่ให้ดูทางการมากกว่าเดิม แล้วส่งแบบด่วนมาให้

มีเวลาเตรียมเอกสารไม่มากแล้ว จัดการขอจดหมายรับรองจากที่ทำงานก่อนเลย
กว่าจะได้ก็สามสี่วัน ไม่ได้ทำเรื่องขอลาต่างไปประเทศ เพราะจะต้องกำหนดวันด้วยว่าจะไปวันไหนถึงวันไหน
ซึ่งยังกำหนดไม่ได้ เพราะยังไม่รู้ว่าจะได้วีซ่าหรือเปล่า แต่ตอนขอจดหมายรับรอง ได้ระบุไปว่าใช้เพื่อขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา

เอกสารการเงิน ใช้แค่สมุดบัญชีเงินเดือน ที่มีเงินเข้าออกสม่ำเสมอ มียอดเงินคงเหลือแค่ 55,000 บาท
มีเงินสดอยู่ในมืออีกสามหมื่นบาท ซึ่งปกติเอาไว้หมุนใช้ แต่ไม่กล้าเอาไปใส่ธนาคาร
กลัวกงศุลขอดูแล้วสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ เงินเข้ามาทีเดียวสามหมื่น
เข้าเว็บ กบข พิมพ์ใบแจ้งยอดเงินสมาชิกออกมา ซึ่งมีอยู่น้อยนิด เพราะเพิ่งรับราชการได้ปีเดียว
ค้นหาหลักฐานประกันชีวิต ใบเสียภาษี ถ่ายเอกสารบัตรเครดิตทุกใบที่มี บัตรข้าราชการ

ซื้อ PIN จองวันสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้วไปจ่ายค่าวีซ่าที่ไปรษณีย์ 4,454 บาท
ไปถ่ายรูปที่ร้าน พอรับรูปก็คิดในใจว่าหน้าเรามันเล็กไปหรือเปล่า แต่ว่าเข้าไปดูในเว็บสถานทูต มันก็ได้ขนาดพอดีกับที่เค้ากำหนด
แล้วครั้งก่อนๆ ก็ถ่ายกับร้านนี้ซึ่งไม่เคยมีปัญหา แต่มาเห็นใน chick list ในคืนก่อนไปสัมภาษณ์ว่าใบหน้าต้องเกิน 50% ของภาพ - -"

กรอกใบสมัคร 156,157 กรอกทุกอย่างตามความเป็นจริง เคยโดนปฏิเสธวีซ่ากี่ครั้งใส่ให้หมด ใส่แม้กระทั่งวันที่
จัดเรียงเอกสารทุกอย่างที่เตรียมเอาไว้ อ่านประสบการณ์สัมภาษณ์จากเว็บอินเดีย ว่าส่วนใหญ่เค้าถามอะไรบ้าง
แล้วเราจะตอบว่าอย่างไร ซ้อมตอบจนคล่อง เพื่อนบอกว่า ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด พยายามบอกให้เรามั่นใจเข้าไว้ อย่าไปคิดมาก

เช้าวันสัมภาษณ์ รถติดมากๆ ไปถึงสถานทูต 8:30 น. คนไม่ล้นแต่แถวก็ยาวพอสมควร คนตรวจเอกสารมีสองคน แต่ละคนใช้เวลานานมาก
เพราะส่วนใหญ่ไม่เรียงเอกสารมา กรอกเอกสารไม่ครบ บางคนต้องพิมพ์ใหม่ และมีน้องๆ นักเรียนกลุ่มใหญ่จะไป afs ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างมาก
เหลือบสายตาไปมองใบสมัครของคนอื่นๆ ตายแล้ว...รูปใบหน้าใหญ่กันมากๆ คิดในใจของเราต้องไม่ผ่านแน่ๆ ต้องออกไปถ่ายรูปใหม่แหงๆ เลย
พอดีเห็นของคนข้างหน้าเป็นสองสามีภรรยา รูปพอๆกับเรา แล้วเค้าเคยได้วีซ่ามาก่อนแล้ว (ไปราชการ) ก็เลยคิดว่าคงไม่เป็นไรมั้ง ลองเสี่ยงดวงดู
ปรากฎว่าเข้าไปตรวจเอกสารพร้อมกัน น้องคนที่ตรวจให้สองสามีภรรยานี้ บอกว่ารูปหน้าเล็กเกินไปนะคะ ต้องถ่ายใหม่ ใจหายแว๊บเลย
แต่น้องที่ตรวจให้ดิฉันไม่ได้พูดอะไร พร้อมบอกด้วยว่ากรอกเอกสารได้เจี๊ยบมากเลยค่ะ ไม่รู้แปลว่าอะไร น้องจัดเรียงเอกสารที่จำเป็นใส่ในแฟ้มใสให้
แต่เค้าเอาจดหมายจากเพื่อนออกไป พอตอนไปซื้อซองไปรษณีย์ดิฉันเลยแอบเอาใส่เข้าไปใหม่

ซื้อซองจ่ายเงินไป 75 บาท กรอกที่อยู่เสร็จแล้ว เดินไปต่อแถวมีอยู่สามหน้าต่าง เลือกหน้าต่างแรก ผู้หญิงใส่แว่น เพราะดูไม่เรื่องมาก
หน้าต่างที่สามเป็นผู้หญิงหมวยๆ หน่อย ทำอะไรไม่ถูกใจจะดุเสียงดังจนคนอื่นต้องหันมามอง
ถึงคิวดิฉัน ส่งเอกสารในแฟ้มใสพร้อมซองให้ไป เค้าก็ถามนิดหน่อยว่าเคยขอวีซ่ามาก่อนหรือเปล่า ก็บอกไปตามจริง ว่าเคยขอแต่ไม่ได้
สแกนนิ้วมือตามที่เจ้าหน้าที่บอก แล้วก็ได้หมายเลขคิวมาก เข้าไปรอข้างใน

เข้ามาด้านใน เหลือบมองนาฬิกาสิบโมงแล้ว คนเหลือไม่มากเท่าไหร่ แต่ด้านนอกก็ยังมีอีกยี่สิบสามสิบคนได้
ส่วนมากที่เห็นจะมากันเป็นครอบครัว นักเรียนกลุ่มใหญ่โดนเรียกเข้าไปแล้ว จำไม่ได้ว่าหน้าต่างไหน
แต่น่าจะเป็นผู้หญิงอเมริกันเป็นคนสัมภาษณ์ เสียงดังเช่นกัน คิดในใจไม่อยากได้หน้าต่างนี้เลย
กลัวโดนถามโน่นนี่เสียงดัง โดนปฏิเสธวีซ่าขึ้นมาได้อายแน่ๆ

นั่งดูเอกสาร ซ้อมตอบคำถาม สักพักหมายเลขของตัวเองก็โดนเรียก ได้ช่อง 11
กงศุลเป็นผู้ชายชาวอเมริกัน ท่านยิ้มให้แล้วบอกว่า สวัสดีครับ เป็นภาษาไทย
จากนั้นเริ่มถาม แต่ดิฉันฟังภาษาไทยของท่านไม่ออก เลยพูดภาษาอังกฤษไปว่า "อะไรนะคะ"
ท่านตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ บทสนทนามีดังต่อไปนี้

กงศุล:จะไปทำอะไรที่อเมริกาครับ
ดิฉัน:ไปเที่ยวค่ะ

กงศุล:คุณจะไปพักกับเพื่อนเหรอครับ
ดิฉัน:ใช่ค่ะ

กงศุล:แล้วคนนี้เป็นใคร (อ่านชื่อเพื่อนดิฉัน)
ดิฉัน:เป็นเพื่อนค่ะ

กงศุล:กงศุล:รู้จักกันตอนไหนครับ
ดิฉัน:ห้าหกปีมาแล้วค่ะ

กงศุล:รู้จักกันได้ยังไงครับ
ดิฉัน:เจอกันที่เมืองไทยค่ะ (เล่ารายละเอียดนิดหน่อย)

กงศุล:เพื่อนคุณเป็นซิติเซ่นหรือเปล่าครับ
ดิฉัน:ใช่ค่ะ ทำงานให้กับ (บอกชื่อองค์กร)

กงศุล:คุณเคยไปยุโรปตอนปีไหนครับ
ดิฉัน:ปี 2007 ค่ะ

กงศุล:แล้วตอนนั้นใครออกค่าใช้จ่ายให้ครับ
ดิฉัน:จ่ายเองค่ะ

กงศุล:คุณย้ายมาทำงานที่นี่เมื่อไหร่ครับ (เปิดดูจดหมายรับรองจากที่ทำงานของดิฉัน)
ดิฉัน:ปีที่แล้วค่ะ

กงศุล:รายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ครับ
ดิฉัน:ในจดหมายระบุว่า XX,XXX ค่ะ แต่ดิฉันได้มากกว่านั้น ดิฉันได้เบี้ยเลี้ยงพิเศษในแต่ละเดือนซึ่งไม่เท่ากัน
ทำให้ทางที่ทำงานไม่สามารถรับรองรายได้ตรงนี้ให้ได้ค่ะ

กงศุล:แล้วสรุปรายได้ต่อเดือนได้เท่าไหร่ครับ
ดิฉัน:ประมาณ XX,XXX ค่ะ

กงศุล:คุณมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ครับ
ดิฉัน:ประมาณ 55,000 บาทค่ะ แต่ดิฉันถือเงินสดด้วย

กงศุล:แล้วคุณจะจ่ายค่าเดินทางยังไงครับ
ดิฉัน:ดิฉันจ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน ค่ากินเองค่ะ พี่พักฟรี

กงศุล:คุณมีแฟนมั้ยครับ
ดิฉัน:มีค่ะ

กงศุล:คบกันมานานเท่าไหร่แล้วครับ
ดิฉัน:สามปีค่ะ

กงศุล:แล้วแฟนคุณจะไปด้วยหรือเปล่าครับ
ดิฉัน:ไม่ได้ไปค่ะ เขาต้องทำงาน

กงศุล:คุณพ่อคุณแม่ทำงานอะไรครับ
ดิฉัน:คุณพ่อเคยรับราชการทหารค่ะ แต่เกษียณแล้ว คุณแม่เป็นแม่บ้านค่ะ

กงศุล:คุณพ่อตำแหน่งอะไรครับ
ดิฉัน:(บอกตำแหน่ง)

กงศุล:คุณพ่อคุณแม่พำนักอยู่ที่ไหนครับ
ดิฉัน:(บอกจังหวัด)

กงศุล:โอเคครับ รอสักครู่นะครับ

แล้วท่านกงศุลก็ถือพาสปอร์ตกับเอกสารของดิฉันหายไปในห้องข้างหลังประมาณเกือบห้านาที
แต่ตอนนั้นรู้สึกเหมือนนานเป็นชั่วโมง แล้วท่านก็กลับออกมา

กงศุล:ขอบคุณที่คอยนะครับ ตกลงจะไปสองอาทิตย์นะครับ
ดิฉัน:ใช่ค่ะ

พิมพ์ๆๆๆ อะไรสักอย่างในคอมพิวเตอร์ แล้วสุดท้าย...

กงศุล:โอเคครับ เราจะออกวีซ่าให้คุณ รอรับพาสปอร์ตสามวันนะครับ
ดิฉัน:ขอบคุณมากค่ะ (ไม่กล้าถามว่าได้นานเท่าไหร่ กลัวกงศุลเปลี่ยนใจ)

แล้วก็เดินออกมาแบบเบลอๆ ว่าเฮ้ย..นี่เราได้วีซ่าจริงๆเหรอเนี่ยะ

สรุปแล้วกงศุลไม่ได้ขอดูเอกสารการเงินเลยค่ะ ถามปากเปล่าเฉยๆ
จดหมายเพื่อนก็ไม่ได้เปิดดู ไม่ขอดูอะไรเลย เอกสารแบกไปให้เหนื่อยเล่นซะงั้น
ไม่แน่ใจว่าที่ได้มาครั้งนี้เพราะเรารับราชการหรือเปล่า งานดูมั่นคงกว่าเดิม แต่รายได้น้อยกว่าเดิม
ครั้งก่อนๆ เงินในบัญชีมีมากกว่านี้ตั้งเยอะ ครั้งนี้เหมือนจะไม่พร้อมแต่ก็ได้วีซ่าซะงั้น
ตอนนี้รอลุ้นอย่างเดียวว่าจะได้วีซ่านานเท่าไหร่
อาจจะได้แค่เดือนเดียว สามเดือน หกเดือน หรือหนึ่งปี ไม่ว่ากันอยู่แล้ว
เพราะตั้งใจแค่ไปเที่ยวสองอาทิตย์จริงๆ

ยังไงก็ขอให้กำลังใจคนที่เคยโดนปฏิเสธวีซ่าทุกคนนะคะ จริงๆ ดิฉันก็ขอจนท้อแล้ว
ครั้งนี้ลองเสี่ยงดวง และคิดว่าจะขอเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ไม่ได้ก็ไม่คิดจะไปแล้วล่ะค่ะ
ถ้าเขาไม่ให้วีซ่าเรา ก็ไปเที่ยวที่อื่นก็ได้นะคะ เราตั้งใจจริงและจริงใจในการขอวีซ่า
อย่าไปกลัวค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบค่ะ (ยาวมาก)

จากคุณ : StephanieM
เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 17:38:27 A:124.157.178.68 X: TicketID:244460




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com