|
ความคิดเห็นที่ 6 |
กราบเรียนท่านเจ้าของกระทู้
ขอตอบแบบสั้นๆแล้วกัน ครับ
แรกเริ่มเดิมทีเราก็มีกฎหมายเก่าของเรานั่นคือ กฎหมายตราสามดวงนั่นแล แต่พอมาในยุคสมัยรัชกาลที่ ๔ หลังจากที่ทำสนธิสัญญาเบาวริงค์ไป แล้วก็นับว่า สยามถือได้ว่าเป็นการเปิดประเทศอย่างเป็นทางการและเราก็เริ่มปรับปรุงระบบกฎหมายให้ทันสมัย เริ่มแรก เรารับกฎหมายและหลักปฏิบัติของอังกฤษมาใช้ในศาลและโรงเรียนสอนกฎหมาย ในทางทฤษฎีเขาเรียกว่า reception หรือในภาษาเช็กเรียกว่า recepce
Reception หรือ การนำกฎหมายของประเทศหนึ่งๆมาใช้ในประเทศของตนมีมานานแล้ว เช่น ในสมัยกลางก็ได้มีการนำกฎหมายโรมันมาใช้ หรือ เช็กโกสโลวาเกียเมื่อปี ๑๙๑๘ ภายหลังแยกตัวจาก ออสเตรีย-ฮังการี่ เนื่องจากภาวะในตอนนั้น ยังต้องจัดระเบียบประเทศเอกราชใหม่อยู่จึงจำเป็นต้อง รับเอากฎหมายของ ออสเตรีย-ฮังการี่ มาใช้ก่อน เช่น ประมวลกฎหมายแพ่ง ประมวลกฎหมายพานิชย์ เป็นต้น
ดังนั้น เริ่มแรกเดิมที นักเรียนกฎหมายไทยสมัยก่อนจึงนิยมไปเรียนกฎหมายอังกฤษ ตามแนวของ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ๋ โดยไปเรียน Barrister-at -Law หรือ เนติบัณฑิตย์อังกฤษ ตามสำนักต่างๆที่เรียกว่า Inn ส่วนมากจะนิยมไปเรียนที่ Gray's Inn กัน หรือไม่ก็ Lincoln Inn กัน
สาเหตุผมคิดว่า ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่เราคุ้นเคยมาแต่อดีต เจ้านาย ยัน เสมียนตรา ก็นิยมเรียนกัน
ผมไม่แน่ใจ เพราะอะไรทำไมจู่ๆ ปลายสมัยรัชกาลที่ ๖ จึงได้เปลี่ยนเป็นจัดทำประมวลกฎหมาย ซึ่งมันอาจจะเป็นการประลองกำลังทางการเมืองในสมัยก่อนก็เป็นได้ คดีพญาระกาก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในการประลองกำลังทางการเมืองเช่นกัน ประกอบกับแผนปฏิรูปกฎหมายระยะยาวตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งรัชกาลที่ ๖ ด้วยพระปรีชาสามารถ ท่านก็ดำเนินการต่อเนื่อง เช่น รัชกาลที่ ๖ ทรงตรัสไว้ว่า "เรา จะต้องดำเนินตามพระราชประสงค์ของพระบิดาคือ การให้ คอนสติติวชั่น" (กราบขออภัย ราชาศัพท์ ผมไม่สันทัด)
จากแผนดั้งเดิมที่วางไว้ โดยคาดว่าเป็นผลงานของ Gustave Rolin-Jaequemyns ชาวเบลเยี่ยม (ทำไมสมัยนั้นเราใช้ที่ปรึกษาเบลเยี่ยม ? ไม่ใช้อังกฤษ หรือ ฝรั่งเศส ? ) ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการศาล กฎหมาย การจัดส่วนราชการ หรือแม้แต่การต่างประเทศ ทั้งหมดก็เพื่อแก้ปัญหา สิทธิสภาพนอกอาณาเขต (exterritoriality ) ที่คนในบังคับต่างชาติจะไม่ต้องขึ้นศาลไทยแต่ขึ้นศาลชาติตัวเอง แน่นอน การจัดทำประมวลก็อยู่ในแผนด้วย
สืบเนื่องจากว่า การล่าอาณานิคมเบาบางลง หรือ อาจเป็นเพราะ ฝรั่งเศส ตกลงกับอังกฤษ ตกลงกันใช้ไทยเป็นรัฐกันชนก็สุดแล้วแต่ ในปี ๒๔๖๖ เราก็ได้ มีประมวลกฎหมาย บรพพ ๑ และ ๒ แบบ ฝรั่งเศส ตามแบบที่ปรึกษาฝรั่งเศส แต่ในที่สุดเราก็เปลี่ยน คือ ปี ๒๔๖๘ ก็ได้ประกาศใช้ประมวล ๑ และ ๒ แบบเยอรมัน ที่เรียกว่า BGB โดยลอกญี่ปุ่นมาอีกต่อหนึ่ง และ โครงร่างแบบ BGB เราก็ได้ใช้เรื่อยมาจนปัจุบัน
ข้อสังเกตุ ไทยกับญี่ปุ่น เปิดประเทศ พร้อมกัน แต่การเลียนแบบตะวันตกนั้น ไทยค่อนข้างจะหลากหลาย แต่ญี่ปุ่นนั้น เอา เยอรมันเป็นแบบอย่าง เช่น ประมวลกฎหมาย หรือ แม้แต่รัฐธรรมนูญสมัยเมจิ ที่ร่างโดยที่ปรึกษาเยอรมัน คือ รอสเลอร์
พอเรามีประมวลกฎหมาย เราก็เริ่มส่งคนไปเรียนประเทศที่ใช้ประมวล เช่น ฝรั่งเศส เช่น ท่านผู้ประศาสตร์การ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ,ศาสตราจารย์ จิ๊ด เศรษฐบุตร,ดร เดือน บุนนาค,ศ.ดร.ประยูร กาญจนดุล เป็นต้น และที่เยอรมัน เช่น ศ.ดร.หยุด แสงอุทัย ศ.ดร.ประกอบ หุตาสิงห์ เป็นต้น
แต่เนื่องจากว่า ภาษาอังกฤษ ก็ยังเป็นภาษาที่คนไทยคุ้นเคยมากกว่า ฝรั่งเศส หรือ เยอรมัน คนยุคนั้นจึงยังนิยมเรียนที่อังกฤษโดยเฉพาะ อย่างยิ่ง เนติบัณฑิตย์อังกฤษ หลายท่านก็เป็นบุคคลชั้นนำในสังคมไทยยุคนั้น ไม่ว่า จะเป็น ศ.ม.ร.ว เสนีย์ ปราโมช และ ท่านที่นับได้ว่าเป็นผู้วางรากฐานความนิยมการเรียนกฎหมายอังกฤษในประเทศที่มีประมวลกฎหมาย คือ ท่าน ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์
จะว่าไป การประลองยุทธระหว่างกลุ่มนักเรียนนอก สายกระบี่ สายลมปราณ ไม่ใช่ไม่ใช่ ระหว่าง สาย Common Law กับ Civil Law ในประเทศไทยมีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมี
แต่เนื่องจากภาษาอังกฤษยังคงเป็นภาษาที่คนไทยคุ้นเคย ยิ่งกว่า ภาษาอื่น ดังนั้น ผมไม่แปลกใจ ที่คนนิยมไปเรียน อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย มากกว่า ไปเรียน ในภาคพื้นยุโรป เพราะ ภาษามันยากและระบบการเรียนที่ค่อนข้างจะยุ่งยากซับซ้อน เช่น เยอรมัน แต่ก่อนไม่มี LL.M ก็ต้องเรียน ทุกตัวเพื่อที่จะสอบ State Exam จากนั้นค่อยไปเรียน และ เขียนวิทยานิพนธ์ เพื่อสอบเป็น Dr.Jur. นั่นหมายความว่า หากเรียนไม่จบ ไม่ได้อะไรกับบ้านมาเลย มีนักเรียนไทยหลายคนในเยอรมัน เป็นเช่นนี้ แต่ปัจุบันมี LL.M เรียนสองปี แล้วก็ต่อ Dr.Jur.สบายขึ้น แต่ก็หนักอยู่ดี
ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วก็เลยไปเรียน แถวๆ อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย LL.M สองใบ กับระยะเวลา สิบแปดเดือน มันจะดูง่ายกว่าเรียนในภาคพื้นยุโรป (จริงๆ ก็ยากอยู่เช่นกัน )
นี่คือเหตุผล ด้านภาษา ทำให้คนจึงนิยมมาเรียนกฎหมายใน อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย ที่เป็นระบบ Common Law แทนที่จะนิยมไปเรียนที่ เยอรมันหรือฝรั่งเศส ที่เป็นระบบ Civil Law ที่มีประมวลกฎหมายเหมือนไทย อันจะดูตรงกับเรื่องมากกว่า
เดี๋ยวมาต่อ ครับ
แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 52 08:07:23
แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 52 05:37:02
แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 52 04:56:43
จากคุณ |
:
กมลลั้นลา (Kamollanla)
|
เขียนเมื่อ |
:
24 ธ.ค. 52 04:53:47
|
|
|
|
|