Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ประสบการณ์ เมื่อฉันต้องไปอยู่ต่างแดน  

สวัสดีค่ะทุกท่าน ดิฉันขอเขียนเรื่องราวชีวิตมาเล่าให้ทุกๆท่านอ่านนะคะ นี่เป็นเรื่องราวจริงๆ ของดิฉันเองค่ะ

ถ้าเขียนไม่ดี หรือ ไม่ถูกใจใคร ก็ขออภัยไว้ก่อนเลยนะคะ เพราะไม่ค่อยเก่งด้านการเขียนบรรยายเท่าไหร่นัก
เชิญติดตามกันเลยค่ะ

พยาบาลอินเตอร์ ความฝันที่หลายคนฝันใฝ่ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ใฝ่ฝันแล้ว สามารถทำตามใจฝันนั้นได้
ฉันเคยตั้งใจไว้เมื่อประมาณสองปีที่แล้วว่า ฉันจะต้องเป็นพยาบาลอินเตอร์ให้ได้ หรืออาจจะแค่ความฝันลอยๆของฉันในตอนนั้น เพราะหนทาง หรือแนวทางใดๆฉันไม่มีความรู้เลย แล้วฉันจะทำยังไงดี?
ฉันตกลงใจแต่งงานกับคนนอร์เวย์ โดยที่ฉันไม่ได้รู้มาก่อนเลยว่า วิชาชีพที่ฉันติดตัวมานั้น กำลังขาดแคลนในนอร์เวย์ ฉันหาข้อมูลทางอินเตอร์เนต แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
จนฉันมาเจอเวปไซค์ พยาบาลพลัดถิ่น ฉันเห็นพยาบาลไทยในนอร์เวย์แล้ว และฉันจดชื่อพี่คนนั้นและอิเมล์ไว้เรียบร้อย ฉันต้องรอวีซ่าคู่หมั้นที่เมืองไทยสี่เดือน
ในระยะสี่เดือนนี้ ฉันลาออกจากข้าราชการ ใช้เวลาสี่เดือนเที่ยว เยี่ยมพี่สาวที่โดฮา เลี้ยงหลานชายตัวน้อย จนกระทั่งเดือนมกราคม 2008 ฉันได้วีซ่าคู่หมั้น และได้เดินทางไปนอร์เวย์
ฉันเคยเดินทางไปเที่ยวมาแล้วสองครั้ง และนี่ คือครั้งที่สามของการเดินทางไปนอร์เวย์ และ นี่ คือ จุดเริ่มต้น และจุดเปลี่ยนของชีวิตฉัน
เดือนมกราคม ยังคงอยู่ในช่วงฤดูหนาวของนอร์เวย์ ฉันใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน สามีของฉันทำงานเป็นพนักงานบัญชี นอกจากนี้ ยังมีฟาร์มวัว แกะ ที่ต้องดูแล ฉันถือว่า เป็นงานที่ไม่หนักมาก ทำเฉพาะตอนเช้าและเย็น สมัยฉันเด็กๆ ฉันทำนาช่วยพ่อช่วยแม่มาเยอะ เรื่องแค่นี้ จิ๊บจ๊อยมาก ลูกอิสาน ทำได้อยู่แล้ว
ฉันช่วยสามีเล็กๆน้อยๆในฟาร์ม ฉันอยู่นอร์เวย์ได้สามเดือน เข้าเดือนเมษายน ฉันเริ่มอยากไปโรงเรียน ฉันไม่รู้ว่า ฉันสามารถไปโรงเรียนเพื่อเรียนภาษานอร์เวย์ได้ตั้งแต่ฉันมาเดือนแรกแล้ว
เขตที่ฉันอยู่ มีคนไทยคนเดียว บ้านห่างจากฉันห้ากิโลเมตร บ้านฉันอยู่ไกลจากตัวเมืองประมาณห้าสิบกิโล
ฉันยังขับรถไม่ได้เนื่องจากว่า สามีขับเกียร์ธรรมดา ฉันขับเกียร์ธรรมดาไม่เป็น ฉันติดต่อไปโรงเรียนสอนภาษาที่คิดว่าใกล้บ้านที่สุด แต่ต่างคอมมูน และฉันยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส ทำให้ฉันต้องได้เสียตังค์ค่าเรียน
เดือนละ 1500 kroner ฉันอยากเรียนมาก สามีใจดี เลยต้องยอมให้ไปโรงเรียนทั้งๆที่ต้องเสียตังค์ ไปโรงเรียนได้หนึ่งสัปดาห์ ฉันรู้สึกว่า ฉันชอบเรียนภาษานอร์เวย์มาก มันท้าทายความสามารถเสียจริง
ฉันมีปัญหาเรื่องการเดินทาง เนื่องจาก สามีต้องใช้รถไปทำงาน และ รถเมล์ไม่วิ่งผ่านหน้าบ้าน และนี่เป็นสาเหตุให้สามีต้องซื้อรถอีกคัน แต่เป็นเกียร์ออโต้ และเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันต้องจำไปจนตาย
เมื่อต้องไปรับรถที่ Oslo นึกย้อนกลับไป ก็งงสามีเหมือนกัน ทำไมหาไกลขนาดนั้น นั่งเครืืองบินไปเอารถ ขำขำ
เมื่อรับรถเสร็จก็ขับกลับบ้านที่Vikeså ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันขอสามีขับ เพราะฉันขับได้แน่นอนเกียร์ออโต้ ไม่มีปัญหาแน่ๆ
แต่เมื่อได้เปลี่ยนที่นั่งกับสามีแล้ว เหตุการณ์ก็ไม่เป็นดังคาด ฉันไม่ชินกับการขับรถเลนขวา พวงมาลัยซ้าย ทำให้การทรงตัวของรถไม่ดี เหมือนกับว่า จะตกถนนตลอด และรถจะเอนไปซ้ายตลอดเวลา
เมื่อคันหลังที่ตามมาเขาจะเห็นว่ารถเซ เหมือนคนเมาขับ ขับไปได้สักพัก เสียงโทรศัพท์สามีก็ดังขึ้น แล้วสามีฉันก็รับสาย ไม่ใช่ญาติโทรมา ไม่ใช่คนคุ้นเคยโทรมา แต่เป็นตำรวจ ตำรวจโทรมาบอกว่า ได้รับโทรศัพท์หลายสายเรื่อง การขับรถของฉันว่า เหมือนคนเมา และจะเป็นอันตรายต่อคนใช้ถนน

สามีเลยแก้ต่างให้ว่า ฉันเพิ่งขับรถครั้งแรกในนอร์เวย์ ตำรวจเลยต้องให้เปลี่ยนคนขับ สามีฉันต้องเปลี่ยนมาขับแทน พร้อมกับคำพูดที่ว่า ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยได้รับโทรศัพท์จากตำรวจเลย นี่ ครั้งแรก ขำขำ
ฉันขับรถไปโรงเรียนทุกวัน โรงเรียนเริ่ม08.30 - 11.00 แต่เรียนทุกวัน ครูชมว่าฉันเรียนเก่งและไปได้ค่อนข้างไวกว่าคนอื่น
มีวันนึงฉันขับรถกลับบ้านหลังเลิกเรียน ฉันเห็นว่ารถที่สวนมาเปิดไฟกระพริบทุกคันเลย มันทำให้ฉันกังวลว่า รถฉันเป็นอะไรหรือเปล่า ฉันคิดว่า ที่จอดป้ายรถเมล์ข้างหน้าจะจอดเช็ครถ
และก็มีบางอย่างที่ทำให้ฉันต้องจอด ใจเต้นตุบๆๆๆแทบจะหลุดออกมา เมื่อฉันโดนตำรวจโบกรถให้จอด ฉันนำรถจอดข้างทาง ตำรวจถามฉันเป็นภาษานอร์เวย์ว่า ฉันใช้โทรศัพท์ตอนขับรถหรือเปล่า ฉันบอกว่า ไม่ได้ใช้ ทันใดนั้น นึกขึ้นได้ว่า สามีบอกว่า ถ้าเจอตำรวจอย่าพูดภาษานอร์เวย์ ฉันเลยบอกว่า ฉันฟังไม่เข้าใจหรอก ให้เขาพูดภาษาอังกฤษ

คุณตำรวจเก่งทั้งสองภาษาเลย เขาเลยซักฉันต่อ และถามหาโทรศัพท์ ฉันค้นหาในกระเป๋าเป้ที่มีหนังสือเยอะแยะ ฉันต้องเททั้งกระเป๋าเพื่อหาโทรศัพท์ ใช้เวลาซักพักกว่าจะหาเจอ

เมื่อตำรวจเห็นว่า โทรศัพท์ไม่ได้อยู่ในที่ที่สะดวกต่อการใช้ เขาเลยวิทยุกลับไปถามอีกฝั่งว่า แน่ใจหรือว่าเป็นฉัน ทางฝั่งนั้นบอกว่า ไม่แน่ใจ ตำรวจเลยบอกว่า คุณไปได้ โล่งใจเลยฉัน กลับถึงบ้านเล่าให้สามีฟัง ฮากระจาย สามีบอกว่า ตำรวจชอบแอบตามพุ่มไม้ หรือตามก้อนหินใหญ่ๆแล้วส่องกล้องดู

ในระหว่างไปโรงเรียน ฉันได้ติดต่อพี่คนไทยที่เป็นพยาบาลอยู่นอร์เวย์เพื่อขอเบอร์โทรศัพท์ พี่คนนี้ชื่อว่า พี่ปุ๊ก Watthanee พี่ปุ๊กดีใจมากเมื่อรู้ว่ามีน้องร่วมสาขาวิชาชีพมาอยู่นอร์เวย์ รวมทั้งตัวฉันเองด้วย และแล้ว ความฝันของฉันก็มีเค้าลางๆ


เมื่อฉันไปโรงเรียนได้ประมาณสองเดือน ทางโรงเรียนก็ปิดเทอมซัมเมอร์ ในช่วงนี้ฉันก็เข้าพิธีแต่งงานในโบสถ์ แต่ฉันยังนับถือศาสนาพุทธ

เมื่อฉันจดทะเบียนสมรส แต่ทางโรงเรียนสอนภาษาก็ยังคงต้องการให้ฉันจ่ายตังค์ค่าเรียน
โดยเขาให้เหตุผลว่า ต่างคอมมูน ถ้าไม่ต้องการจ่ายเงิน ก็ต้องย้ายไปโรงเรียนที่ทางคอมมูนที่ฉันมีชื่ออยู่กำหนดให้ แล้วจะได้เรียนฟรี ณ ตอนนี้ฉันเริ่มชินกับการขับรถเลนขวาแล้ว จึงไม่มีปัญหากับการขับรถ ฉันจึงเปลี่ยนโรงเรียนไปเรียนที่โรงเรียนสอนภาษาตามทีคอมมูนกำหนด

ก่อนไปโรงเรียนใหม่( เดือนกุมภาพันธ์ 2009) ฉันต้องติดต่อทางโรงเรียนเพื่อแจ้งว่า ฉันอยากไปเรียน แต่เนื่องจากว่า ช่วงนั้นเพิ่งเปิดเทอมหลังจากปิดwinter ครูที่โรงเรียนบอกฉันว่า ห้องเรียนของกลุ่มที่เพิ่งเรียนภาษาได้ไม่นานเต็มหมด และถามฉันว่า ฉันเรียนภาษามาได้กี่ชั่วโมงแล้ว
ฉันตอบไปว่า เรียนได้ 350 ชั่วโมง ครูบอกว่า ถ้าจะเรียนต้องรอเปิดเทอมหน้า คือเดือนมิถุนายน ฉันไม่มีทางเลือก ก็ต้องยอม
วันเดียวกัน ครูที่โรงเรียนติดต่อกลับมาหาฉันอีก บอกว่า ชั้นเรียนของกลุ่มสุดท้าย นั่นคือ กลุ่มที่เรียนภาษามานานแล้ว 2+ ปีขึ้นไป ยังมีที่นั่งว่าง ครูถามฉันว่า จะไปเรียนไหม .....

แล้วในที่สุด ฉันก็ไปโรงเรียน แต่ต้องไปนั่งเรียนกับเพื่อนๆต่างชาติที่เรียนภาษานอร์เวย์มานานแล้ว ที่ห้องเรียนนี้ ฉันได้รู้จักเพื่อนคนไทย เขาเป็นครูสอนวิชาสังคมให้กับคนไทยที่มาอยู่ต่างแดน
และที่โรงเรียนนี้ ทำให้ฉันได้รู้จักเพื่อนคนไทยอีกหลายคน แล้วมันก็ทำให้การดำเนินชีวิตของฉันเปลี่ยนไป ฉันเริ่มพบปะสังสรรค์กับเพื่อน นัดกันทำกับข้าวไทย กินส้มตำด้วยกัน เป็นสังคมเล็กๆของฉัน

ในช่วงนี้ ฉันต้องเรียนขับรถเพื่อเปลี่ยนใบขับขี่จากเมืองไทยเป็นนอร์เวย์ ตามกฎหมายของนอร์เวย์สามารถทำได้
แต่ต้องทำภายในหนึ่งปี ฉันสามารถขับรถในนอร์เวย์ได้หนึ่งปี โดยใช้ใบขับขี่จากเมืองไทย แต่ก่อนขับนั้น ฉันต้องเอาใบขับขี่จากเมืองไทยไปยื่นที่ขนส่งนอร์เวย์ แล้วทางขนส่งนอร์เวย์จะออกใบขับขี่ชั่วคราวมาให้เพื่อใช้ขับขี่ในนอร์เวย์ ทางขนส่งนอร์เวย์ กำหนดวันสุดท้ายที่ฉันสามารถขับรถในนอร์เวย์ไว้ วันที่15 เมษายน 2552 .

หลังเลิกเรียน ฉันไปเรียนขับรถด้วยตนเองกับเพื่อนคนที่เป็นครูสอนสังคม ฉันขับวันละหนึ่งชั่วโมง ขับไปตามตัวเมือง ขึ้นเขา ในเส้นทางที่คิดว่า เจ้าหน้าที่ที่มาสอบขับ เขาจะให้เราพาไป
เพื่อนฉันคนนี้ เขามาอยู่สามปีแล้ว แต่สอบใบขับขี่ไม่ผ่าน แต่เขาเป็นเทรนเนอร์ให้กับคนไทยหลายคนในการสอบขับมาแล้ว และทุกคนก็สอบผ่าน
นอกจากเรียนขับรถด้วยตัวเองแล้ว ฉันยังต้องเรียนขับรถกับครูที่โรงเรียนสอนขับรถด้วย ที่นอร์เวย์นี่ก็แปลก ต่อให้ขับเก่งแค่ไหน ต้องไปเรียนขับรถกับโรงเรียน ต้องให้โรงเรียนสอนขับรถติดต่อประสานงานกับขนส่งเพื่อนัดวันสอบขับ

ฉันโชคดี ตรงที่ว่า ไม่ต้องสอบข้อเขียน ให้สอบขับอย่างเดียว ถ้าสอบข้อเขียน ฉันสอบไม่ผ่านแน่ๆ

นอกจากไปเรียนหนังสือ ไปเรียนขับรถแล้ว ฉันยังติดต่อกับองค์กรที่ช่วยเหลือคนที่ไม่มีงานทำและช่วยหางาน (NAV ตามภาษานอร์เวย์)

เพื่อขอฝึกงานในโรงพยาบาล โดยทางองค์กรนี้จะต้องจ่ายเงินค่าฝึกงานให้ฉัน ฉันฝึกงานสองวันในหนึ่งอาทิตย์
ความบากบั่นพากเพียรยังไม่จบเท่านี้ ฉันได้ส่งหลักฐานการเรียนทางเมืองไทย วุฒิการศึกษา ใบรับรองประสบการณ์การทำงานจากโรงพยาบาลที่เมืองไทย ไปเทียบวุฒิที่Nokut องค์กรนี้จะเป็นองค์กรที่เทียบวุฒิให้กับชาวต่างชาติที่มาอยู่นอร์เวย์
ใช้เวลาประมาณสองเดือน ฉันก็ได้ใบรับรองว่า วุฒิการศึกษาพยาบาลจากเมืองไทย สามารถใช้ในนอร์เวย์ได้ ในระหว่างนี้ ฉันไม่เคยขาดการติดต่อกับพี่ปุ๊ก เมื่อใดที่ฉันท้อ ฉันจะโทรหาพี่ปุ๊กทันทัน แล้วฉันก็จะได้กำลังใจ พร้อมพลังใจที่จะบากบั่นต่อไป
หลังจากที่ได้ใบรับรองวุฒิจากNokut แล้ว ฉันก็ส่งเอกสารทั้งหมดไปที่ SAFH หรือ สำนักงานการอนุมัติใบอนุญาตการทำงานด้านการพยาบาล
ในนอร์เวย์

ใช้เวลาประมาณสองเดือน ฉันก็ได้รับจดหมายตอบกลับ พอฉันเปิดอ่าน เล่นเอาฉันแทบหัวใจหยุดเต้น เนื่องจากในจดหมายเขียนว่า เขาปฏิเสธการขอใบอนุญาตของฉัน
ความฝันที่จะเป็นพยาบาลอินเตอร์ หลุดลอยไปในอากาศ แล้วฉันจะทำยังไงดี ความรู้สึกตอนนั้น มันเคว้งคว้างมาก สิ่งที่พากเพียรบากนั่นมา เหมือนจะเป็นศูนย์ ฉันหมดกำลังใจ
ฉันโทรหาพี่ปุ๊กในวันเดียวกัน และบอกว่าทางSAFH ปฏิเสธการขอใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ แล้วฉันจะทำยังไงดี
พี่ปุ๊กบอกฉันให้ใจเย็นๆ จดหมายที่ได้มานั้น เป็นตัวเปิดทางในกับตัวฉัน พี่ปุ๊กอธิบายว่า ในจดหมายนั้น จะระบุว่า เราต้องทำยังไง ไปตามขั้นตอน การปฏิเสธของเขาไม่ได้หมายความว่า เราต้องหยุดทุกอย่าง นี่คือจุดเริ่มต้นต่างหาก

ที่SAFH ปฏิเสธการขอใบอนุญาตของฉันเพราะว่า
1 . ฉันไม่มีใบรับรองการสอบผ่านระดับภาษานอร์เวย์
2. ฉันต้องไปเข้าคอสเพื่อเรียนเกี่ยวกับกฎหมายของนอร์เวย์ที่เกี่ยวกับผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ และนอกจากนี้
3. ฉันต้องสอบการคำนวณยาในนอร์เวย์ให้ผ่าน100 % นั่นหมายความว่า ข้อสอบนี้ ต้องทำข้อสอบให้ถูกทุกข้อ ถึงจะผ่าน เพราะเป็นการคำนวณยาที่ให้กับผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังมีข้อสอบเรื่องกฎหมาย และเรื่องการให้การพยาบาลผู้ป่วยอีกด้วย ทั้งสองอย่างนี้ ต้องสอบผ่าน
4. ฉันต้องเข้าฝึกในโรงพยาบาลเป็นเวลาอย่างน้อยสามเดือน เพื่อเรียนรู้ผู้ป่วย เรียนรู้เครื่องมือของนอร์เวย์
นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นจริงๆ ฉันยังต้องสู้ต่อไป
เดี๊ยวมาต่อใหม่นะคะ

จากคุณ : Sykepleier
เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 17:06:37 A:91.149.61.58 X: TicketID:169235




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com