ความคิดเห็นที่ 1   ตอนนี้ดิฉันรอI-20อยู่ อยากจะถามคุณจขกทว่าเรียนเซอร์เกี่ยวกับอะไรด้านไหนค่ะ เพราะถ้าหลังจากจบคร์อสภาษาแล้ว่สวนตัวก็ตั้งใจอยากจะต่อเอาเซอร์ด้วย ขอบคุณจขกทนะค่ะที่นำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง จากคุณ : จิตตรา เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 53 17:09:27 A:113.53.212.62 X: TicketID:248410

ความคิดเห็นที่ 2 รออ่านอยู่ค่ะ ^^ จากคุณ : maximiliano เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 53 17:13:09

ความคิดเห็นที่ 3 คคหที่1 เรียนที่ucla extension มีหลายวิชาให้เลือกครับลองไปดูในเวปของเค้า จากคุณ : gabgab เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 53 17:50:56

ความคิดเห็นที่ 4 เพราะเป็นแบบนี้ทางอิมของอเมริกาถึงเข้มงวดกับคนไทยมาก ชาติอื่นๆก้ด้วยเช่นกัน และไม่นานมานี้เพิ่งได้ข่าวจากในห้องนี้ละครับ ที่ทางการสั่งปิดโรงเรียนสอนภาษาไป เพราะโรงเรียนสอนภาษาแห่งนั้นคล้ายๆกับที่ จขกท ลงเรียนเลยละครับ คือไม่ต้องเข้าเรียน แค่ลงทะเบียนไว้ แล้วไปหางานทำ จากคุณ : น้ำเต้าหู้กะปาท่องโก๋ เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 53 20:53:18

ความคิดเห็นที่ 5   รออ่านต่ออยู่นะคะ จากคุณ : แอน เขียนเมื่อ : 21 ก.พ. 53 02:13:12 A:98.149.49.50 X: TicketID:107813

ความคิดเห็นที่ 6 ช่ายโรงเรียนสอนภาษาโดนปิดหลายแห่งเหมือนกัน แต่ LSI ก็ยังคงอยู่และก็โทรตามให้นักเรียนไปเข้าเรียน แต่ก็ไม่มีใครไปเรียนหรอก เพราะถ้าไปกันหมด รร ก็ไม่มีห้องเรียนให้ นร เรียน   อีกนิดนึงคือ คนเขียนลงทะเบียนที่ LSI เรียนโทเฟลแค่สี่เดือนแล้วก็ต่อเซอร์ที่ UCLA Extension ที่นั่นถ้าสอบโทเฟลไม่ถึง 550 ก็เข้าไม่ได้ ถ้าสอบได้ต่ำกว่า 580 ก็ลงเรียนภาษาอีกสองตัว พร้อมกันเรียนเซอร์ อันนี้คือ full time ถ้าเป็น part time ก็ไปลงเรียนวิชาอะไรก็ได้เลย เรียนได้เทอมละสองวิชา ไม่ต้องมีโทเฟล แต่เด็กไทยบางคนที่มาเรียน part time ก็ต้องมี I-20 ไว้ที่ รร อื่น ซึ่งก็เป็น รร สอนภาษาเป็นส่วนใหญ่ จากคุณ : Miss You Baja (Miss you Baja) เขียนเมื่อ : 21 ก.พ. 53 05:11:55

ความคิดเห็นที่ 7 มาลงชื่อให้กิฟคุณน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ กิฟจริงๆ หมดแล้ว =,= ใช้เปลืองไปนิด อันนี้พูดถึงนักเรียนที่ไปลงเรียนเพื่ออยากได้ความรู้จริงๆ นะคะ คนที่ไปเรียนบังหน้าไม่ขอพูดถึง เข้าใจที่นักเรียนไทยหลายๆ คนจำเป็นต้องไปทำงานร้านอาหารไทยเพื่อหารายได้พิเศษช่วยทางบ้านส่งตัวเอง แต่ก็เสียดายที่หลายๆ คนต้องเสียโอกาสในการเข้าสังคมและฝึกภาษากับเจ้าของภาษา ทั้งๆ ที่มาถึงประเทศเขาแล้วทั้งที กรณีเรียนโรงเรียนภาษา ถึงแม้จะต้องใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกัน ถึงจะมีคนไทยน้อยหรือไม่มีเลย ก็จะเป็นระดับ broken english เหมือนๆ กัน ที่มีโอกาสน้อยมากที่จะให้ประโยชน์และพัฒนา skill ภาษา แล้วทีนี้ เลิกเรียนก็มุ่งหน้าเข้าร้านไทย พูดกับคนไทยเสียส่วนมาก เลิกงานก็ทำการบ้านอ่านหนังสือนิดหน่อยก่อนนอน ตอนเช้าไปเรียน เลิกเรียนก็มุ่งหน้าเข้าร้านไทย รับออเดอร์ พูดภาษาอังกฤษเดิมๆ ซ้ำๆ แล้วก็เข้าครัวมาคุยกับคนไทย เลิกงานก็อ่านหนังสือนิดหน่อย เข้านอน ตื่นเช้าไปเรียน bla bla bla ไม่พูดถึงว่าเรื่องผิดกฎหมายหรือถูกกฎหมายนะคะ ยิ่งร้านอาหารไทยหาง่าย บางคนทำแบบนี้ทั้ง 7 วัน ถ้าจะเอาให้ได้ภาษาจริงๆ พูดกับฝรั่งได้คล่องแคล่วเหมือนเจ้าของภาษา แต่ใช้ชีวิตแบบนี้ตลอด ให้เวลาสิบปีก็ไม่พัฒนาค่ะ ถ้าคิดจะพัฒนาภาษา ไม่ได้มาหาเงินไปตั้งตัว อย่าหวังพึ่งงานร้านอาหารไทยเป็นที่พึ่งหลักค่ะ ผิดถูกยังไงช่วยวิจารณ์ น้อมรับทุกความเห็นค่ะ edit: typo แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 53 05:35:21 จากคุณ : crazyfantasy เขียนเมื่อ : 21 ก.พ. 53 05:33:08

ความคิดเห็นที่ 8 เราว่า จขกท เขาอุตส่าห์มาเล่าให้ฟัง ก็นับว่าดีมาก ปล่อยให้เขาเล่าต่อ ดีกว่าไปวิพากย์วิจารณ์เขานะ จากคุณ : ธนิตา เขียนเมื่อ : 21 ก.พ. 53 10:25:14

ความคิดเห็นที่ 9 ก็คิดว่าคนที่มาวิจารณ์คงมีประสบการณ์ด้านนี้มาเหมือนกัน ถามว่าผิดไหมมาเรียนต่อ ตปท แล้วต้องไปเสริฟเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอม ค่าเช่าบ้าน ตามความเห็นส่วนตัวนี่ ถือว่าได้ประสบการที่ดีมาก ได้เงินมาจ่ายซึ่งก็ช่วยทางบ้านที่ยากจนไปได้เยอะ มีเงินเก็บไปเที่ยวเมืองอื่นและกลับไปเยี่ยมบ้าน แถมยังเก็บเงินไว้เรียนต่อโทได้อีก อย่าว่าแต่เด็กไทยที่แอลเอเลย ไปเรียนรัฐอื่น เจอเด็กไทยได้ทุนได้ funding มา ก็ยังไปเสริฟหางานพิเศษทำกันเลย มองแบบฝรั่งสิ เค้าหางานเลี้ยงตัวเองกันทั้งนั้นตอนเรียนมหาลัย เค้าก็ภูมิใจที่ได้ทำอะไรด้วยตนเอง ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ ส่วนใหญ่ก็กู้เงินเรียนกัน เรียนจบก็เริ่มทำงานใช้เงินคืน ไม่มีใครอายที่จะทำงานกันนะ ก็อาจจะต้องเปลี่ยนทัศนคติกันใหม่สำหรับคนไทยบางคน แต่กลับมาต่อเรื่องเด็กไทยแอลเอดีกว่า แต่ละคนก้อไม่ได้อายที่จะทำงานนะ เรียนไปทำไป เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เก็บเงินไปเรื่อยๆ ตามแผนอนาคตที่หวังที่อยากจะเป็นกัน มีเพื่อนที่แอลเอมากมี ที่มาเพื่ออยากเรียนต่อ มาเรียนภาษาก่อน เจอการหาเงินง่ายๆที่นี่ก็เปลี่ยนใจหาเงินเก็บเงินไปลงทุนต่อ ก็มีเยอะไป มีทั้งคนประสบความสำเร็จ ทั้งคนที่ไม่สำเร็จ เสียเวลา ไม่ได้ปริญญา เงินเก็บก็ไม่ได้ แต่อย่างน้อยทุกคนก้อได้ประสบการณ์ไป ก้อคุ้มค่าไปอีกแบบถ้ามองแบบไม่คิดมาก เรื่องทำ social เอาไว้ต่อตอนที่สอง ตอนนี้ยุ่งมากเตรียมสอบ proposal แต่คงไม่นานเกินรอ จากคุณ : Miss you Baja เขียนเมื่อ : 21 ก.พ. 53 11:28:42

ความคิดเห็นที่ 10 แอบเศร้าเลย เพราะว่าตอนแรกจะสมัครเรียนที่ LSI เห็นว่ามันถูก แล้วก็เป็นศูนย์ที่สอบโทเฟลได้ด้วย คราวนี้เลยต้องมา คิดใหม่เลยว่าจะลงเรียนที่ไหนดี อย่าลืมมาเล่าให้ฟังต่อนะจ๊า.... ThankS จากคุณ : coyotybaby เขียนเมื่อ : 21 ก.พ. 53 18:44:38

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณจขกท.มากค่ะ ทำให้เรามีกำลังใจขึ้นเยอะ อยากจะโกอินเตอร์กับเค้าบ้าง จากคุณ : แมวน้อยแสนงอน เขียนเมื่อ : 21 ก.พ. 53 21:22:16

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่ใจกว้าง และขอขยายความบางส่วนเผื่อไม่เห็นกันและทำให้เข้าใจผิดค่ะ "เข้าใจที่นักเรียนไทยหลายๆ คนจำเป็นต้องไปทำงานร้านอาหารไทยเพื่อหารายได้พิเศษช่วยทางบ้านส่งตัวเอง แต่ก็เสียดายที่หลายๆ คนต้องเสียโอกาสในการเข้าสังคมและฝึกภาษากับเจ้าของภาษา ทั้งๆ ที่มาถึงประเทศเขาแล้วทั้งที " และ "ถ้าคิดจะพัฒนาภาษา ไม่ได้มาหาเงินไปตั้งตัว อย่าหวังพึ่งงานร้านอาหารไทยเป็นที่พึ่งหลักค่ะ" เราไม่ได้หมายความว่า การมาทำงานร้านอาหารนั้นผิด ไม่ควรทำ น่าอาย ใครทำขอให้ภาษาไม่พัฒนา มาเสริม ไม่ได้วิจารณ์ว่าความคิดของเจ้าของกระทู้นั้นผิด เข้าใจที่หลายๆ คนมาเมืองนอกเมืองนาแล้วมาหางานพิเศษทำเพื่อเป็นค่าอะไรๆ จิปาถะ รวมถึงเก็บเงินเรียน เราเองก็เคยทำค่ะ ไม่ได้เสิร์ฟ แต่ทำหน้าร้าน take away กับร้าน dinner เป็น host คอยรับออเดอร์ทางโทรศัพท์ ตอนนี้ออกมาทำงานที่ college แล้ว รายได้น้อยหน่อย แต่เรารู้สึกว่าภาษาพัฒนาขึ้นเยอะมาก แต่ก็ยังกลับไปช่วยร้านแรกเป็นครั้งคราวถ้าคนขาด แต่ร้านที่สองดังกว่า เราออกแล้วก็มีคนจ่อคิวทำเลย ที่ร้านไทยทั้งสองที่ก็ไม่ได้ทิปอะไรมากมาย แต่ก็สนุกดี และไม่ได้จริงจังอะไรกับตรงนั้นมาก จากที่เห็นหลายๆ คนที่ทำงานด้วยกัน เสิร์ฟเก่ง รับออเดอร์คล่อง ingredient แม่น เก็บทิปกันวันนึงเป็นร้อยๆ ส่งเงินกลับบ้านเดือนนึงก็มากโข บางคนก็ส่งตัวเองเรียนจนจบโท บางคนจบโทตามที่ต้องการแล้วก็กลับมาโดดวีซ่าทำร้านอาหารต่อ ไม่กลับไทย เราชื่นชมความเก่งทางอาชีพของเขาค่ะ เวลาทำงานด้วยกันตามแทบไม่ทัน โดนดุประจำ ถามว่าทำมากี่ปี ก็ทำมากันเป็นสิบปี เห็นลูกค้าตั้งแต่เด็กจนเป็นหนุ่ม ตั้งแต่ยังประถมจนตอนนี้ทำงานแล้ว (กรณีนี้ผิดกฎหมายนะคะ =w=) แต่เวลาอยากจะทักลูกค้า หรือคุยกับฝรั่งเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่เรื่องอาหาร ก็จะยังมีติดขัดอยู่เยอะมาก ระดับภาษาพูดไม่ต่างกับเด็กไทยที่เพิ่งมาแค่สองสามเดือน ถ้าใครคิดจะไปขลุกทำงานอยู่ร้านอาหารไทยยามว่างจากการเรียน แบบว่างจากเรียนกี่ชั่วโมงก็ไปทำงานถมให้เต็ม ก็อยากให้พิจารณาข้อนี้ เท่านั้นเองค่ะ เด็กฝรั่งที่ไปทำงานพิเศษกันเป็นเรื่องธรรมดา คิดว่าคงไม่ต้องเป็นห่วงด้านการพัฒนาภาษาเท่าไหร่ เพราะว่าเป็นเจ้าของภาษาอยู่แล้ว แต่ก็อาจเสียเวลาทำการบ้าน อ่านหนังสือไปบ้าง ก็แล้วแต่เขาจะจัดเวลากันเอง เป็นการฝึกความรับผิดชอบอย่างหนึ่่ง ถ้าคิดว่าทำแล้วไม่กระทบกับการพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเอง หรือหาแนวทางการพัฒนาภาษาระหว่างทำงานได้ ก็ดีค่ะ เราเชื่อว่าเจ้าของกระทู้ ตั้งกระทู้ขึ้นมา ก็อยากให้มีความเห็นที่หลากหลาย ขอบคุณที่ให้โอกาสแสดงความคิดเห็นนะคะ แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 53 00:02:10 จากคุณ : crazyfantasy เขียนเมื่อ : 21 ก.พ. 53 23:48:58

ความคิดเห็นที่ 13 แอบเข้ามาเม้นช่วงเบรค จิงๆอยากคนที่ยังไม่เคยไปเข้ามาอ่าน และที่ผ่านประสบการณ์ตรงนี้เข้ามาแชร์ ขอบคุณ crazyfantasy ที่เข้ามาคอมเม้น เพราะเจ้าของกระทู้ก็ไม่ได้รู้ทุกเหตุการณ์ มีเพื่อนๆ นร ไทยที่นี่มาเล่าให้ฟังก็เลยมาแชร์กันบนบอร์ด ดีๆเลยมีตัวอย่างให้เห็นมากขึ้น เรื่องสอบโทเฟลนี่เลือกศูนย์สอบที่ไหนก็ได้นะในแอลเอ เกือบทุก รร ก็มีให้สอบ แต่...ขอย้ำว่าจองที่นั่งสอบสองถึงสามเดือนล่วงหน้าเพราะว่าคิวนานจิงๆ คนเขียนเคยขับรถไปสอบที่เวกัสมาแล้ว เป็นศูนย์เดียวที่ใกล้สุดและคิวต่ำกว่าหนึ่งเดือน เรื่องการทำให้ภาษาดีขึ้นนี่มีหลายวิธีมาก มาใหม่ๆคนเขียนไม่มีเพื่อนคนไทยเลยก็ hang out กะเพื่อนคลาสเมททุกวัน หนึ่งเดือนผ่านไป ฟังกะพูดได้คล่องมาก อ่านหนังสือพวก friction เรื่องง่ายๆที่เค้าให้อ่านในคลาสเรียนภาษา หามาอ่านอาทิตย์ละเล่ม ถามอาจารย์ว่าเรื่องไหนดี เค้าก็แนะนำให้นะ เรียนเทอมนึงอ่านไปสิบห้าเรื่อง อันนี้ช่วยได้มากเรื่อง vocab กับ reading skill ตอนสอบโทเฟลเลยสบายไป ส่วน listenning นี่ดูหนังกะฟังข่าวก็ช่วยได้มาก เปิด subtitle or caption จดศัพท์คำที่ไม่รู้ไว้ แล้วก็มาดูความหมาย เลยได้ศัพท์ใหม่เยอะ แถมสแลงมาอีก เห็นมะเรียนรู้แบบเอา entertainment เข้ามาช่วย เพลินดี ไม่เบื่อ แถมทำให้การเรียนภาษาอังกฤษสนุกและง่ายกว่าที่คิด เอ๊ะแล้วเรื่องการเขียนทำไงดี อาจารย์ก็เลยแนะนำมาว่า เรื่องที่อ่านไปทั้งหมดได้ข้อคิดอะไรจากเรื่องนั้น เขียนมาให้ดูสิ ก็เลยเริ่มหัดเขียนส่งให้อาจารย์อ่าน เค้าก็แก้แกรมม่าที่ผิดให้ แถมอธิบายเพิ่มเติม การเขียนนี่ต้องฝึกและใช้ทักษะมากกว่าด้านอื่น เดี๋ยวจะหาเรื่องที่อ่านแล้ว ฝึกเขียนมาแชร์ ใครมีเทคนิคการฝึกภาษาอังกฤษแบบอื่น สนุกๆก็เอามาเล่าให้ฟังกันนะ จากคุณ : Miss you Baja เขียนเมื่อ : 22 ก.พ. 53 04:59:20

ความคิดเห็นที่ 14 หาไฟล์เจอเลยเอามาแปะไว้ แอบอ่านเรื่องแรกว่าเขียนอะไรไป ทักษะการเขียนแย่มาก ฮ่าๆๆผิดแยะเลย แต่ขี้เกียจแก้ละ เพราะเป็นการเขียนช่วงหนึ่งถึงสี่เดือนแรกที่มาเรียนที่อเมริกา เก็บไว้อ่านดูการเปลี่ยนแปลง Book 1: A Step from Heaven Children Learn What They Live        Why did Young Ju live with tolerance?  I would argue she is the older sister so that she learns to patience.  She had to share the things with her brother.  For example, when the balloon of her brother is broken she must give her elephant to him to stop his crying.  When her mother need to change her hair to curly hair, she does not like it but she must lie everyone, she like it, because she patients and does not want anyone sad.          Some of her life is similar to mine.  I have one younger sister.  My father and mother love her very much sometimes I think they love her more than me.  Everything that she wants they always give her.  Sometimes I must share my toys and something with her.  It’s not good for me if that one is my favorite thing.  But she does not care because she is younger than me.  I must help and share with her.  But everything has taught me patience, sharing and generosity.          Now I have grown and know that why my parents need me and teach me to share everything to my sister and everyone because they want me grow to be a good guy and can patience in the situation that I do not like.  It gave me strength and now I can live alone in The United State without any help. Book 2: The Alchemist Never Stop Dreaming        Why did I choose “Never Stop Dreaming” speech from the old king from The Alchemist to apply in my life?  Because everyone has a dream and I am the one that loved dreaming.  I have tried to find myself but never know what I want.  I tried to live with myself and follow old pattern from my family and some people in Thailand do.  I studied and worked in the great company, but I was not happy, and think everyday about what am I doing now.          I know who I am, I like to travel and learn new things.  I always think I don’t want to be a rich but I will be a traveler.  I don’t know if it is dreaming, or not?  I have a plan to go around the world.  I feel happy and excited when I think about it.  I have the power and give me to do everything that can make me success my dream.  It is the same as the shepherd in the alchemist, he has a dream to fine the treasure and he never stop dream and try to realize it.  The crystal merchant, whose dream is go to Mecca, can keep him alive and happy in his crystal shop.          It is not different from me.  I try to do my dream to realize, step by step, from easy to hard, from near my home to far, from one year to many years, try to learn the way how I success in my dream.  I have to study, learn to earn money and working hard.  Try to practice English language because it is important when I start to travel out of my country.  Learning in America is one step that can help me achieved my goal.  Because I can learn about people, living, weather and country from my classmate in many country and add it to my experience to next step.          I know everyone has a dream like me but if they stop their dream, hopeless and can’t decide to go anywhere.  They will not have a chance to see everything in this beautiful world.  I always think and try to tell everyone that I love as . “Dream what you want to dream, go where you want to go, be what you want to be, because you have only one life and one chance to do all the thing you want to do” Book 3: Finding Forester Telling the truth                I realized one thing from Finding Forester. Telling the truth is the way that I should do.  I always reminded myself don’t lie because it would made me and my family hurt someday.  Don’t tell anybody you can do everything well if you can’t do it.  It would make you fail.  People don’t respect and believe you anymore.          I got some experience when I studied in the high school.  I lay my parents about the school had a trip for student and I had to participate.  They allowed me to join this activity.  A couple days ago I didn’t back to the dormitory and they checked with the teacher.  They knew the truth I went to travel with my classmate and we couldn’t back to the school on time because the rainstorm and the flood.  They really worried about me because they couldn’t connect me and didn’t know where I was.          When I came back to the dormitory, I saw my parents waited for me there.  They cried when they saw me and said what should we do if you got dangerous.  I felt guilty and promised them I didn’t lie anymore.  The effect when you lied made you and anybody got the problem and suffered to correct your problem later.  I kept it in my mind at that time. จากคุณ : Miss you Baja เขียนเมื่อ : 22 ก.พ. 53 05:16:05

ความคิดเห็นที่ 15 Book 4: Flower for Algernon Human Experimentation has both negative and positive consequences          From the book Flowers for Algernon can represent the negative and positive consequences clarify. The impact from negative consequences is shown after the experiment fail.  Nobody care the victim from the experiment and leave them alone.  Maybe they were died from the experiment.  It is similar to Charlie.  He became a moron and lived alone after the operation mistake.  There are impacted to human if we don’t have the law to control human experimentation.                    The positive consequences give the advantage to human, too.  For example, the medicine experiment gave the benefit to the patient and the vaccine protected the infectious disease.  Before the result is completed they have to use human to test and make sure it is significant and produce to the other patient.  One thing that the scientist should remind is before test the result with the man.  They should get the success result from the animal because it can save life of the victim and their family. Book 5: Pay It Forward Learn to be a good person        I learned to be a good person and pay attention to make a good dead for another people.  In the past I don’t care about any people when they had the problem I think it was not my business to involve their problem.  I changed my mind when I watched the movie a couple years ago and finished the book Pay it forward in here.  I wonder why the 11 year old boy could think about it and share it to another one.  It was a very fantastic idea for me and drove me to changed thinking.          Then I helped my friend from her problem.  It was not a big help but I think it was a good sign for me to start help another people.  Before I came here I spent 3 days volunteering to help the Tsunami victims.  I had a little time to help the victims but I think I shared and gave something to them.  It made me feel good than I didn’t do anything for them.  I knew something happened in this event.  Thai People are humane.  We helped and did everything that we could to help the victims of the Tsunami.  I felt proud because I was a volunteer even through this event brought sadness to me in New Year 2005.   Book 6: Of Mice and Men Friend and friendship forever          I learned from the book Of Mice and Men friend and friendship is important.  Travel around the world is my dream but I always think about how I have fun if I have to travel alone.  I got some idea from the book if I have buddy we can do many thing together and help each other when we got the problem.  Now I don’t have a friend to do the thing like this.  Someday I hope I will find that friend to share our dream together.          Friend can complain and recommend the bad and good thing together.  Sometime I didn’t know I made someone hurt.  I didn’t angry when my friend told me you did the wrong thing and should correct it next time.  When I got a problem my friend always listened to me and gave me some advice.  It made me felt better and had the way to solve the problem.            Friendship happened when we met someone and made a good relation.  I think friendship was never died if I remained the good relation with my friend.  Although we couldn’t meet and talk everyday or we were far away. จากคุณ : Miss you Baja เขียนเมื่อ : 22 ก.พ. 53 05:17:23

ความคิดเห็นที่ 16 Book 7: Night Nightmare from the World War II          The World War II made many people died, got mad and changed from good to bad people.  They needed to survive, didn’t care anybody and their family.  Boys forgot fathers and hurt them.  Victims from the war were the people.  They got pain both Allied and German.  Six million Jews died from the holocaust by Nazis.  Many prisoners died during the war.  Many children lost their parents.  Many wives lost their husband. The survivors had a nightmare and unforgettable this war.            I heard many histories about the World War II from my grandparents.  They were a part of the war and survived to nowadays.  Thailand allied with Japan by the prime minister but the people didn’t want to under Japan.  Thai people fought the Japanese troops when they invaded to Thailand.  Many prisoners and Asian labor died during built the death railway in Thailand under Japanese commanded to transport the supporting to Japanese army in Burma and India.            The same thing that I got from the book Night and the fact many people died and lost family from the war.  The war didn’t make anybody happy even through they won but they lost many soldiers, too.  Many countries lost money and people to revive the country after end of the war.   Book 8: A Time to Kill Time to stop the death penalty in Thailand          The death penalty in Thailand should be changed from the execution to put the prisoners in jails because they judged only the capital crimes, happened a few cases nowadays.  Anybody talked about the death penalty I always think when the executions will stop in Thailand.  Thailand has the death penalty, the firing squad shot the prisoners behind a curtain by five bullets.  They don’t have a time to see relatives for a last time before they are executed.  The death penalty is convicted from the capital cases; killing of an official on government business, regicide, production and importation of heroin.  The criminal case; robbery, rape, kidnapping, arson, bombing, insurrection, treason and espionage don’t convicted to the execution.  They just punished prisoners by put them to be jails.       Amnesty International convinced Thai government to stop the execution in 2003.  The government tried to reduce the execution because the world day was against the death penalty.  The judge convicted the prisoner by put them to be jails, taught the lesson and gave job to them.  They tried to change the prisoner vision and thinking.  They gave a chance for a good prisoner and clemency the year in jail for them.  We can’t stop executed the prisoners because we have many crimes everyday.  The government had the campaign to stop taking and selling the drugs, a police or guard worked in the night to save the people life from the crimes.  Citizens help the government.  We hope the crimes would decrease in someday. Now I am in America.  I watched the news about crimes, the trial and the citizen lost their family from the criminal everyday.  We have the same problem and the government tried to fix this problem.  I believe everywhere in this world have the same problem about the high rate of crime in society.  I don’t know they think about time to stop executed and solved this problem from the other way.  Give more education and job to citizen, if their life is comfortable.  The crime should be reduced and people will happy.   Each year in King’s birthday or Queen’s birthday in Thailand, they released many prisoners out of jails or reduce the time to be jail.  They tried to use the new way to reduce the crimes.  They forgave and gave a chance to the prisoners to start new life because everybody needed a chance to correct the past and improve their selves.  The punishment couldn’t protect the crime in the future.  It depended on the person to do the right or wrong.  Do you believe the death penalty should be abolished in Thailand someday? จากคุณ : Miss you Baja เขียนเมื่อ : 22 ก.พ. 53 05:18:04

ความคิดเห็นที่ 17 ขอแจมด้วยค่ะ พอดีกำลังหาโรงเรียนเรียนภาษาอยู่ ว่าระหว่างสี่โรงเรียนนี้สุด UCLA, USC, SMC, CSUN  แถบใหนน่าอยู่และมีงานเยอะ สำหรับคนไทยที่เพิ่งไปถึงและยังไม่เก่งภาษา จากคุณ : Finding nemo (niceberry) เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 53 22:08:54

ความคิดเห็นที่ 18 นึกว่ากระทู้นี้โดนลบไปแล้ว เพราะหาไม่เจอในห้องไกลบ้าน จากคุณ : Miss you Baja เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 07:10:51

ความคิดเห็นที่ 19 อยากได้คำแนะนำที่เรียนภาษาที่แอลเอค่ะ รบกวนคุณ Miss you Baja ขอสอบถามด้วยนะคะ จากคุณ : Fix me (Fix me) เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 53 19:47:09