PANTIP.COM : H8977438 คนญี่ปุ่นส่วนมากเค้าคิดกับคนจีนอย่างไรคะ กับสอบถามเรื่องเรียนจบแล้วแต่วีซ่าหมด ต้องการต่อวีซ่าเพื่อหางาน [@Japan]

ความคิดเห็นที่ 4

จริงๆแล้ววีซ่าที่ว่าเนี่ยมีค่ะ เป็นวีซ่าสำหรับให้นร.ต่างชาติเอาไว้หางานทำหลังจากเรียนจบ อยู่ได้มากที่สุดถึงหนึ่งปีค่ะ ซึ่งตอนแรกเราเองก็จะขอวีซ่านี้เช่นเดียวกัน เลยพอทราบข้อมูลมาบ้างค่ะ ( แต่ตอนนี้ได้งานแล้วค่ะเลยไม่ได้สมัครแบบที่ว่าไป ) อันนี้ขอเขียนข้อมูลตรงนี้ให้พี่ๆน้องๆที่ไม่ทราบให้ทราบเรื่องนี้นะคะเผื่อจะเป็นประโยชน์ค่ะ

ขอเกริ่นก่อนนิดนึงนะคะว่าทำไมรัฐบาลถึงยอมให้ทำแบบนี้ ก็เพราะว่าอย่างที่เราๆทราบกันว่าญี่ปุ่นเองก็ต้องการทรัพยากรบุคคลเพิ่มขึ้น เนื่องจากญี่ปุ่นเองก็เข้าสภาวะ " อัตราการเกิดต่ำ คนชราเพิ่มมากขึ้น " （少子高齢化）　เลยเปิดโอกาสให้เด็กต่างชาติที่มีความสามารถใช้วีซ่าที่ว่าเนี่ยอยู่ญี่ปุ่นต่อเพื่อหางานได้น่ะค่ะ แม้ว่าคนญี่ปุ่นเองที่เป็นเด็กจบใหม่จะตกงานมากเช่นเดียวกัน อย่างที่คคห.ด้านบนบอก เด็กจบใหม่ （新卒採用）โดยปกติจะหางานตั้งแต่ก่อนจบประมาณหนึ่งปี เช่น ป.ตรีก็จะอยู่ในช่วงปีสาม ป.โทก็ช่วงปีหนึ่งค่ะ เพราะว่าไม่มีประสบการณ์ทำงานจึงต้องเข้ารับการฝึกอบรมพร้อมกันในเดือนเมษายนนะคะ แต่สำหรับคนที่มีประสบการ์ณทำงานมาแล้ว （中途採用）มักจะหางานช่วงก่อนเรียนจบไม่กี่เดือนค่ะ เพื่อนเราเป็นแบบนี้เยอะเพราะที่คณะส่วนใหญ่จะเน้นคนที่เคยทำงานมาก่อนแล้ว หลายคนยังหางานอยู่เลยค่ะ ซึ่งถ้าเป็นคนญี่ปุ่นก็คงไม่มีปัญหาวีซ่า แต่ยิ่งใกล้หมดเดือนมีนาคมเท่าไหร่ งานยิ่งหายากมากขึ้นเท่านั้น เท่าที่อ่านดู ดูเหมือนเพื่อนของคุณจขกทจัดอยู่ในประเภทแรก ที่อยู่ญี่ปุ่นมาแปดปีคือเรียนภาษาสองปี เรียนป.ตรีสี่ปี เรียนป.โทสองปี เราเข้าใจถูกต้องไหมคะ อย่างนี้การหางานอาจจะยากสักหน่อยนะคะเพราะเด็กไม่มีประสบการ์ณปิดรับไปแล้ว หากจะอยู่ขอวีซ่าต่อจริงค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนมีแค่สี่แสนคงอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งปีค่ะ แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ ปัญหาคือเจ้าวีซ่าที่ว่าเนี่ยขอยากมากค่ะ เพื่อนเราพยายามขออยู่แต่ยังไม่สำเร็จเช่นกัน นิวกังไม่ยอมง่ายๆค่ะ ขอเอกสารมากมายอย่างที่เพื่อนคุณประสบอยู่ รายละเอียดตามที่ก๊อปมาแปะดังนี้นะคะ( เอามาจาก国際センターของมหาวิทยาลัยเราค่ะ )

卒業後、就職活動をするには･･･

การหางานหลังจากเรียนจบต้องทำอย่างไร

大学で勉強するために在留資格「留学」が与えられていますので、卒業後は在留期限があるからといって引き続き就職活動をすることはできません。卒業後、引き続き就職活動を希望する場合は、「特別活動」への在留資格変更（更に1回の在留期間更新）により、大学卒業後最長1年間の滞在が可能です。

สรุปคร่าวๆคือ ต้องขอวีซ่าประเภท 「特別活動」นะคะ สถานภาพเดิมจะใช้ไม่ได้ คือสถานภาพพำนักจะต้องไปเปลี่ยนค่ะ และอยู่ได้ยาวนานที่สุดหลังเรียนจบหนึ่งปีค่ะ

卒業後の就職活動のための「特別活動」への在留資格変更を希望する学生は、まず国際センター(担当事務室)に相談してください。在留資格変更には、大学からの推薦状が必要です。推薦状作成にあたっては面談を行います。

อันนี้เราไม่แน่ใจว่ามหาวิทยาลัยอื่นจะเป็นอย่างไร แต่ของมหาวิทยาลัยเราเค้าให้ปรึกษาที่ 国際センター ก่อนค่ะว่าต้องการเปลี่ยนชนิดวีซ่าเป็นแบบที่ว่านี้ จะมีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาอยู่ค่ะ เพราะทางมหาวิทยาลัยต้องออกจดหมายแนะนำตัว（推薦状）ให้เลยต้องทำการสัมภาษณ์ค่ะ ลองให้เพื่อนคุณไปคุยดูนะคะ

なお、面談を受ける際には、下記書類（入国管理局に申請する書類一式）が必要ですので持参してください。

　１．　在留中の一切の経費の支弁能力を証する文書

　２．　卒業証明書（または卒業見込み証明書）

　３．　継続就職活動を行っていることを明らかにする資料

　　　　（これまで訪問した企業や今後のスケジュールなどを説明する作文でよい）
　

แต่การจะไปขอคำปรึกษาต้องเตรียมเอกสารเหล่านี้ไปด้วย เพราะนิวกังต้องใช้ค่ะ คือ

๑.ใบรับรองว่าสามารถจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในระหว่างพำนักได้ ( เพื่อนเราเอาสมุดบัญชีไปค่ะ อย่างที่เพื่อนคุณบอกว่ามีสี่แสนเป็นเงินสด ก็ถือสมุดบัญชีไปลองปรึกษาดูนะคะ ) แต่ไม่รู้ว่าจำเป็นต้องมีจดหมายรับรองอะไรอีกไหม ลองไปปรึกษาดูนะคะ

๒.ใบจบการศึกษา ( ใบปริญญา ) หรือใบรับรองว่าจะจบ ( คาดว่าจะจบ ‐‐แปลไม่สละสลวยต้องขออภัยค่ะ เราไม่เก่งแปลให้สวยๆเลย ) อันนี้นอกเรื่องเผื่อคนอื่นๆที่ต้องการวีซ่าทำงาน ของเราเองก็ต้องใช้เหมือนกันค่ะในกรณีวีซ่าทำงานแต่ต้องใช้ใบจบตัวจริงเท่านั้น ซึ่งยังไม่ได้เนื่องจากต้องรอรับในพิธีประสาทปริญญาบัตรปลายเดือนนี้ค่ะ

๓.เอกสารที่แสดงให้เห็นว่าได้ทำการหางานค่ะ ในที่นี่อาจจะเป็นตารางการหางาน ไปทำข้อสอบที่ไหนบ้าง ไปสัมภาษณ์ที่ไหนบ้าง น่าจะประมาณนี้นะคะ ของเราเองก็วางแผนล่วงหน้า ไปร่วมงานพวก 説明会 คือมีงานอะไรที่ไหนต้องหูตาไวค่ะ เพราะเราต้องทำทีสิสด้วยซึ่งทำให้เราต้องเดินทางไปหลายประเทศเลยไม่ได้อยู่ญี่ปุ่นตลอด ไหนจะต้องเข้าคลาส ทำรายงาน เข้าเซมิ ไปเข้าค่าย ฯลฯ เลยต้องแบ่งเวลาให้ดีอย่างมาก เราทำตารางล่วงหน้าหลายเดือนค่ะว่าจะไปไหนทำอะไรบ้าง ที่ไหนมี説明会อะไร มีสอบSPI มีสอบสัมภาษณ์เมื่อไหร่ ฯลฯ เราว่าให้เพื่อนคุณทำตารางพวกนี้ไปเสนอดูนะคะ ข้อมูลหาได้จากอินเตอร์เน็ทและบอร์ดรับสมัครงานค่ะ ใช้อากู๋กับพวกบริษัทรีครูทให้เป็นประโยชน์นะคะ

＊卒業後の就職活動のための「特別活動」へ在留資格を変更しても、在学中と同じくアルバイト（資格外活動）が可能です。アルバイトの継続も希望する場合には、「雇用契約書」も持参してください。

ส่วนดอกจันนี่คือ ระหว่างที่เปลี่ยนสถานภาพพำนักเป็น 「特別活動」นี่ก็สามารถทำอะรุไบโตะได้นะคะ ถ้าต้องการทำงานพิเศษให้ขอใบสัญญาจ้างงาน 「雇用契約書」อันนี้คาดว่าต้องให้ที่ทำงานออกให้นะคะ คือคงต้องหาที่รับทำงานให้ได้ก่อนแล้วให้เค้าออกให้ แล้วนำไปด้วยตอนไปขอคำปรึกษาค่ะ

คิดว่าหลายๆคนยังไม่ทราบเรื่องนี้ ขอถือโอกาสนี้แจ้งให้ทราบกันเลยนะคะ จะได้มีความหวังขึ้นมาบ้าง อย่าเพิ่งท้อค่ะ ( กลัวจะเป็นการสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำเพราะคิดว่าหลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้ว เราเลยไม่กล้าเอามาโพสต์บอกน่ะค่ะ แต่เห็นว่ามีคนถามเลยขอเอามาแชร์กันนะคะ ) แต่ว่าการขอสถานภาพนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ คิดว่าเป็น case by case ไป เพื่อนเราไม่ได้เลยท้อ บางคนกเตรียมกลับบ้านแล้ว ส่วนบางคนเตรียมลงทะเบียนเป็นนักศึกษาวิจัย เพื่อรอสอบเรียนต่อด็อกเตอร์ไปก็มีค่ะ แต่ยังไงไม่ลองก็ไม่รู้นะคะ

ป.ล. นร.จีนมีจำนวนมากค่ะที่ญี่ปุ่นนี่ เราจำตัวเลขแน่นอนไม่ได้แต่มากเป็นอันดับหนึ่งของนักศึกษาต่างชาติทั้งหมด ( น่าจะเป็นหมื่นนะคะถ้าจำไม่ผิด ) ดังนั้นพวกเก่งๆมีเยอะมาก การแข่งขันเนี่ยคนที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะอยู่รอด ( เราเคยโดนคนจีนเอาเปรียบทุกวิถีทาง โกงกระทั่งข้อสอบไม่ว่าจะเป็นข้อสอบโรงเรียนภาษาเพื่อเอาเกรดดีๆ โกงข้อสอบวัดระดับ 〈カンニングกันจะๆ แจกใบเหลืองใบแดงกันซะอย่างกับแข่งบอลโลก 〉 อย่างที่เราเห็นข้อสอบรั่วหลังเปิดสอบวัดระดับไงคะนั่นก็เรื่องนึงที่เราว่ามันแย่มาก เค้าทำกันขนาดนี้เลยไม่รู้ว่าไปเอาข้อสอบออกมาได้ยังไง ที่เราเห็นเว็บจีนเอามาอัพเร็วมากอย่างที่เราเห็นๆกันนั่นไงคะไม่รู้ว่าระหว่างสอบทำอะไรกันบ้างถึงได้สามารถเอาข้อสอบออกมาได้หลังสอบเสร็จอย่างนี้ )

เราเคยคุยกับเพื่อนคนจีนว่าทำไมต้องทำกันถึงขนาดนั้น ทำให้เรารู้ว่าประเทศเค้าคนเยอะขนาดนั้น คนไม่เก่งก็ตกกระป๋องไปไม่ได้มีวันลืมตาอ้าปาก เลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เค้ารอดเช่นกันแม้จะต้องโกงหรือเหยียบคนอื่นก็ตาม ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองในการที่จะทำงานที่ญี่ปุ่นนี่ เลยไม่ได้ชื่นชอบนร.จีนบางคนที่ทำกระทั่งเหยียบคนอื่นเพื่อให้ตัวเองรอดสักเท่าไหร่ แต่คนดีๆก็มีค่ะ อย่างเพื่อนดีๆของเราก็มีคนจีนเช่นกัน แต่เค้าไม่เอาเปรียบคนอื่นหรือเหยียบคนอื่นเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดเลย เค้ากลับพยายามใช้ความสามารถของตัวเองจนหางานได้ค่ะ (คนนี้นิสัยดีมากๆ เราเลยไม่อยากเหมารวมว่านร.จีนไม่ดี ถึงแม้ว่าเราเคยเจอแรงๆมาเยอะสมัยเรียนป.ตรีกับรร.ภาษาค่ะ แรงขนาดไหนไม่ขอเล่านะคะเดี๋ยวจะกลายเป็นดราม่าไป แต่เราเจ็บปวดมากค่ะตอนนั้น ทำเอาเราเกลียดคนจีนอย่างรุนแรงไปพักนึงเลย แต่ตอนนี้ไม่แล้วค่ะเพราะทุกชนชาติก็มีคนดีคนไม่ดีปะปนกันไปอยู่แล้ว )

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางการแข่งขันของนักเรียนต่างชาติชาติต่างๆอย่างดุเดือดนี้ ความต้องการนักศึกษาจีนก็ไม่น้อยนะคะเพราะตอนนี้เศรษฐกิจจีนกำลังโต สภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจทำให้บริษัทญี่ปุ่นต้องการนักศึกษาจีนเพิ่มมากขึ้นค่ะ อย่างไรก็ตามนักเรียนไทยอย่างเราๆอย่ายอมแพ้เช่นกันนะคะ สู้ๆค่ะ เด็กไทยเราเก่งไม่แพ้ชาติอื่นหรอกค่ะ ^^

ป.ล.๒ เขียนเยอะอีกแล้ว ถ้าอ่านแล้วรำคาญก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ

แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 53 01:19:19
แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 53 00:39:18
แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 53 00:26:24

จากคุณ : มอนจะ

เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 53 23:47:03

ความคิดเห็นที่ 8

#5　ขอบคุณคุณป้านะคะ หนูเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายหรอกค่ะ พอจะมีประสบการณ์ก็เอามาแชร์กันบ้าง เท่านั้นเองค่ะ ส่วนภาษาพูดตรงๆนะคะส่วนหนึ่งเพราะการใช้อินเตอร์เน็ทเนี่ยแหละค่ะ เนื่องจากชีวิตประจำวันแทบไม่ได้ใช้ภาษาไทยกับใครเลย เคยมีช่วงภาษาวิบัติเหมือนกันค่ะแต่ยังโชคดีที่จบป.ตรีที่เมืองไทยมาและเพิ่งมาอยู่ไม่กี่ปี ยังไงก็ตามถึงอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแต่ไม่อยากลืมภาษาไทยค่ะเลยต้องพยายามหน่อย แต่บางทีก็มีเขียนผิดๆถูกๆบ้างเหมือนกันค่ะ ( ข้างบนก็มีค่ะ แต่แก้ไม่ไหวแล้ว หลายรอบแล้วค่ะ )

#6　พี่จอย คือว่าวีซ่านี้มันเพิ่งมีไม่นานค่ะ ที่รู้ข่าวมาก็ประมาณปีสองปีก่อน เค้าเริ่มให้จากอยู่ต่อหกเดือนและได้ทราบจาก 国際センター　ว่าได้มากที่สุดคือหนึ่งปีก็เมื่อปีนี้เองค่ะ แต่การจะอยู่ต่อเนี่ยคิดว่าคงต้องทบทวนหลายๆตลบนะคะว่ามันคุ้มกันมั้ย บางครั้งการกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่บ้านเกิดเมืองนอนจะได้อะไรดีกว่าอยู่ต่อในฐานะเป็นพลเมืองชั้นสองที่นี่ค่ะ

การอยู่ต่อหลังจากเรียนจบคิดว่าความสามารถในการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสำคัญมาก ตรงนี้ทางนิวกังเลยเข้มงวดเป็นพิเศษค่ะ อย่างที่เราๆทราบกันอยู่ว่าการมีสถานภาพเป็นนักเรียนจะทำให้ได้รับการลดหย่อนค่าใช้จ่ายหลายอย่าง เช่น ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ การยกเว้นภาษี เป็นต้นค่ะ เมื่อเจ็บป่วยก็จะได้เงินคืนส่วนหนึ่ง ( และระบบนี้ได้ถูกเปลี่ยนแปลงแล้ว ไม่ได้คืนมากเท่าเดิม แต่อาศัยว่าถ้าไปหาหมอที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยจะได้เงินคืนน่ะค่ะ เพราะเป็นนักศึกษา ) ส่วนคนที่ทำงานพิเศษถ้ารายได้ถึงที่กำหนดก็ต้องจ่ายเบี้ยประกันสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อพ้นจากสภาพการเป็นนักศึกษา ค่าใช้จ่ายต่างๆก็ต้องมากขึ้นแน่นอน ตรงนี้คนที่อยากอยู่ต่อต้องคำนวณค่ะว่าสามารถทำได้ไหม และสามารถหางานได้จริงๆอย่างที่หวังไว้หรือไม่นะคะ อาจจะเสียเวลาเปล่าก็ได้ อันนี้คงขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคนแล้วค่ะ

สิ่งต่อมาที่ต้องคิดคือ อายุที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงจะยิ่งหางานยากนะคะ ยิ่งไม่มีประสบการณ์ยิ่งหางานยากเพราะเด็กญี่ปุ่นจบใหม่ๆอายุประมาณ 22-23　ปี ส่วนพวกจบโทก็ประมาณ 24-25 ปี อย่างเพื่อนคุณจขกท.อายุห่างจากพวกเด็กๆญี่ปุ่นเยอะ บริษัทอาจจะกังวลเรื่องการเทรนนิ่งเพราะปกติญี่ปุ่นจะสอนงานให้เด็กทำงานกันเป็นทีม ดังนั้นพวกเด็กจบใหม่พอเทรนด้วยกันแล้วสนิทกันก็จะทำงานด้วยกันได้ดี หากมีความแตกต่างกันมากจะเกิด Gap ขึ้นมาได้อาจจะทำให้ทีมไปด้วยกันไม่ได้ดี ฯลฯ สารพัดจะเป็นปัญหาค่ะ แต่ถ้าเป็นคนปรับตัวเก่งก็ต้องแสดงออกให้ฝ่ายบุคคลเห็นตั้งแต่สอบสัมภาษณ์เรื่องนี้ก็จะถูกมองข้ามไปได้ค่ะ

แล้วอีกอย่างนึงสำหรับผู้หญิงพอถึงวัยนี้ก็คงมีหลายคนคิดถึงการแต่งงาน ฝ่ายบุคคลเลยกังวลว่าถ้าแต่งงานแล้วลาออก สิ่งที่เทรนมาก็จะสูญเปล่า เสีย cost ไปโดยไร้ประโยชน์อีก จึงทำให้ผู้หญิงที่มีอายุเข้าเลขสามหางานยากค่ะ บางที่ตอนสัมภาษณ์ถึงกับถามเรื่องส่วนตัวเลยว่า มีแฟนหรือเปล่า มีแพลนจะแต่งงานกันไหม ฯลฯ อันนี้เป็นข้อเสียเปรียบของผู้หญิงค่ะ ต้องรู้จักเตรียมตัวตอบคำถามดีๆค่ะ

สิ่งที่ทำให้ขอวีซ่านี่ยากคือนอกจากเรื่องความมั่นคงทางการเงินแล้ว แผนการหางานก็เป็นส่วนหนึ่งค่ะพี่จอย เพื่อนบางคนเขียนไม่เก่ง แล้วคือเค้าเองก็ขี้เกียจจะหาแล้ว บอกว่าถ้ามันลำบากนักกลับบ้านก็ได้ (ฟระ) เนื่องจากที่บ้านเค้าเองก็มีธุรกิจรองรับ เลยไม่ค่อยไฟท์เท่าไหร่ค่ะ อยู่ที่ญี่ปุ่นค่าครองชีพสูงแถมเป็นพลเมืองชั้นสองอีก กลับไปเป็นคุณหนูคุณชายที่บ้านเกิดสบายกว่า แถมได้ภาษามีความรู้เหนือกว่าคนบ้านเค้าคนอื่นๆ หางานไม่ยากแถมได้เงินดีด้วยหรือไม่ก็กลับไปทำงานกับครอบครัว อันนี้กรณีที่พวกเพื่อนเค้ามีเงินกันน่ะค่ะ แต่นักเรียนต่างชาติส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่น ( รวมทั้งตัวเองก็เช่นกัน ) ไม่ได้ร่ำรวยมีเงินถุงเงินถังแบบนั้นคงลำบากเรื่องการหา Statement มาโชว์ให้นิวกังเชื่อใจว่าสามารถอยู่ต่อได้จริงเพื่อหางาน ไม่ใช่ขอวีซ่าแล้วมาทำอะไรไม่ดีที่ญี่ปุ่น ทำให้การออกสถานภาพพำนักแบบ 特別活動　ออกยากค่ะพี่ เท่าที่ทราบก็ประมาณนี้ค่ะ

#7　เห็นด้วยกับคุณ MUGEN TRIBE นะคะว่าตอนนี้เศรษฐกิจญี่ปุ่นซบเซาแต่กำลังจะฟื้นเร็วๆนี้ จริงๆแล้วถ้าไม่ได้งานที่นี่ก็จะรีบกลับไทยเลยค่ะเพราะว่ากลับไปมีงานให้ทำแน่เพราะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวมากกว่าญี่ปุ่น ถึงจะมีความไม่มั่นคงทางการเมืองก็เถอะแต่เทียบกันแล้วยังมีโอกาสสำหรับการหางานมากกว่า และได้อยู่ใกล้ครอบครัวด้วย ตอนแรกที่คิดจะอยู่ต่อเพราะคิดว่าอยากลองทำงานที่นี่ดูแต่การอยู่แบบที่ไม่มีรายได้แน่นอน ( ต้องทำงานพิเศษเลี้ยงตัวเองซึ่งไม่รู้ว่าจะพอค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนมั้ย ) แถมต้องลุ้นว่าจะได้งานมั้ย อายุก็จะเพิ่มขึ้น เสียโอกาสในการทำงานไปอีกพักนึงเนี่ยอาจจะเป็นการเสี่ยงที่ไม่คุ้มค่าก้ได้ สู้กลับไปทำงานที่ไทยจะดีกว่า มีโอกาสมากกว่าหางานที่นี่มากเลย แต่พอดีได้งานก่อนน่ะค่ะเลยว่าจะลองทำดู

ถ้าเราเป็นเพื่อนคุณจขกท.นะคะคงเตรียมเก็บของกลับบ้านแล้วค่ะ ตอนนี้ยังไม่สายแต่ถ้าอยู่ต่ออีกปีอายุจะยิ่งเพิ่มขึ้น โอกาสในการหางานก็ยิ่งลำบากขึ้นนะคะ กลับไปเริ่มต้นใหม่ที่บ้านเกิดเมืองนอนอาจจะได้รายได้ดีกว่าอยู่ที่นี่อีกด้วยซ้ำ เรียนจบจากญี่ปุ่นนี่บริษัทญี่ปุ่นที่จีนต้องการจะตายไปค่ะ

ตอนนี้จีนก็โตเอาๆแบบก้าวกระโดดเลย หุ้นจีนจะแซงหุ้น NIKKEI　ในอนาคตอันใกล้นี้อยู่แล้วนะคะ ลองอ่านหนังสือพิมพื นิตยสารเศรษฐกิจจะเห็นว่าตอนนี้บูมมาก ได้ภาษาและประสบการณ์เรียนจากญี่ปุ่นอย่างนี้น่าจะมีโอกาสหางานในบริษัทญี่ปุ่นที่จีนได้ไม่ยาก ขนาดบริษัทที่เรากำลังจะไปทำยังส่งเสริมให้เรียนภาษาจีนเลยค่ะบริษัทจ่ายให้หมดเพราะต้องการพนักงานที่ติดต่อกับจีนได้ ทำให้เห็นว่าประเทศนี้กำลังก้าวเข้ามามีอำนาจต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้นแค่ไหนนะคะ

อันนี้ก็คงแล้วแต่เค้าแล้วล่ะค่ะ เราเป็นคนนึงที่เคารพการตัดสินใจของผู้อื่นและตนเอง ถ้าลองเราได้คิดอะไรรอบคอบแล้วตัดสินใจที่จะทำแล้ว เราไม่เคยนึกเสียใจทีหลังค่ะเพราะถือว่าไม่ว่าผลจะเป็นยังไงเราก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา ชีวิตคนเรามันสั้นค่ะ อยากจะทำอะไรคิดให้รอบคอบแล้วตัดสินใจไปเลย ถ้ามันยากนักและผลที่ได้ไม่คุ้มเสียก็รีบตัดใจแล้วเปลี่ยนไปทางใหม่แต่เนิ่นๆค่ะ ขอให้เค้าโชคดีนะคะ
แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 53 01:54:59
แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 53 21:31:20

จากคุณ : มอนจะ

เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 53 14:58:59