|
ความคิดเห็นที่ 12 |
ส่วนตัวผมคิดว่า Financial Engineering, Quantitative Finance, Computational Finace และ Financial Mathematics จะมีเนื้อหาคล้ายๆกันครับ
หากไม่ทราบว่า Financial Engineering เค้าทำอะไรกัน ผมแนะนำให้อ่าน My Life as a Quant: Reflections on Physics and Finance ครับ คนเขียนชื่อ Emanuel Derman ซึ่งปัจจุบันเป็น Director ของ Financial Engineering Program ที่ Columbia University และเป็นผู้คิดค้น BDT Model ร่วมกับ Fischer Black กับ William Toy ครับ
ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น งานหลักที่ทุกสาขาข้างต้นนั้นทำเมื่อจบมาเรียกว่า Quant ครับ Quant โดยส่วนมากแล้วจะทำงานร่วมกับ Traders ของแบงค์นั้นๆครับ หน้าที่ที่ทำก็คือพัฒนา Model ใหม่ๆซึ่งสามาถอธิบายปรากฎการณ์ในโลกแห่งความจริงได้ดีกว่าที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และเขียนโปรแกรมบนโมเดลนั้นๆให้ Traders ใช้โดยมี Interface ตามที่ Traders ต้องการครับ (พูดง่ายๆคือเป็นเบ๊ให้ Traders ซึ่งเป็นคนหาเงินให้แบงค์นั่นเองครับ)
อย่างไรก็ตาม ที่ทุกๆคนเคยได้ยินมาว่า Subprime Crisis ครั้งล่าสุดนั้นเกิดจาก Financial Engineering จริงๆแล้วคำว่า Financial Engineering ยังมีอีกความหมายหนึ่งครับ คือการสร้าง Synthetic ของ Financial Instrument ขึ้นมา หรือการนำ Financial Instruments หลายๆตัวมารวมกันเพื่อให้เกิดตัวใหม่ขึ้นมา หรืออาจจะพูดได้ว่าในความหมายนี้นั้นเป็น Cash Flow Engineering นั่นเองครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจารย์ของผมซึ่งเคยเป็น Senior VP ของ New York Fed ก็คอยกำชับผมว่าถึงแม้เค้าจะชื่นชอบ Financial Engineering อย่างมาก คนที่ประสบความสำเร็จจริงๆคือคนที่อ่านตลาดและความเสี่ยงทางการเมืองออกครับ
สำหรับผมแล้ว ถ้าสนใจอยากเรียนด้านนี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกา โปรแกรมที่น่าเข้ามีดังนี้ครับ (ความคิดเห็นส่วนตัว) - Computational Finance, Carnegie Mellon - Financial Engineering, Columbia - Mathematical Finance, NYU (Courant) - Finance, Princeton - Financial Mathematics, Stanford - Financial Engineering, UC Berkeley (Haas) - Financial Mathematics, U Chicago - Financial Engineering, U Michigan
สุดท้ายนี้ อย่าเถียงกันเลยครับ...
จากคุณ |
:
Mente Hermosa
|
เขียนเมื่อ |
:
วันวิสาขบูชา 53 22:07:47
|
|
|
|
|