ความคิดเห็นที่ 1 ลองเข้าไปสอบถามเอเจนซี่ดูนะครับ  ได้ข้อมูลแน่นอนและเยอะเท่าที่เราต้องการครับ แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 53 22:01:47 จากคุณ : เถียร เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 21:53:50

ความคิดเห็นที่ 2 จา ー＞　จะ ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องนะคะ การมาเรียนญี่ปุ่น ถ้ามาเรียนภาษา ลองไปดูที่ เจเอ็ด ไมนิจิ หรือตามเอเจนซี่ต่างๆค่ะ รับรองได้ข้อมูลแน่นอน จากคุณ : ::Kawaii_Lady:: เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 22:11:07

ความคิดเห็นที่ 3 จบบริหารมานะคะแต่ไม่ได้เรียนจบหลักสูตรอินเตอร์มา อาจจะไม่สามารถแนะนำลึกๆได้ แต่ก่อนอื่นลองถามตัวเองก่อนค่ะว่าทำไมอยากไปเรียนบริหารที่ญี่ปุ่น ( นอกเหนือที่คุณบอกว่าอยากได้ภาษา เพราะจะไปเรียนแบบอินเตอร์นั้นจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ลอจิคก็เลยไม่ค่อยสมเหตุสมผล เช่น อยากเรียนบริหารสไตล์ญี่ปุ่น หรือสายที่จะเรียนมีโปรเฟสเซอร์ที่มีชื่อด้านนั้น อะไรก็ว่าไปค่ะ ) ถ้าตอบโจทย์นี้ได้ก็จะเขียนข้อดีข้อเสียของตัวเอง ผลที่หวังว่าจะได้รับได้เองนะคะ ญี่ปุ่นเนี่ยเค้ามักจะถามว่า"ทำไม" ตั้งแต่ด่านแรกแล้ว ดังนั้นต้องตอบคำถามแรกนี้ให้ได้ก่อนค่ะ คุณต้องลองหัดคิด หัดตอบให้เป็นนะคะ ใบสมัครเรียนบริหารเนี่ยเขียนกันมือหงิกทีเดียว สถาบันที่จบมาให้เขียนเป็นเกือบสิบหน้าด้วยลายมือเท่านั้นค่ะ เนื้อหาก็ประมาณทำไมถึงอยากจะเรียนสาขานี้ เขียนแบ็คกราวนด์ตัวเอง หัวข้อวิจัยที่สนใจและเนื้อหาย่อรวมถึงผลที่คาดหวัง ตอบคำถามที่แสดงถึงทัศนคติและความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการบริหาร เป็นต้นค่ะ ใบสมัครเนี่ยสำคัญมากนะคะต้องเขียนดีๆ เพราะบางคนตกตั้งแต่รอบนี้ค่ะ แนะนำให้ไปขอตัวอย่างใบสมัครจากสถาบันที่อยากเข้ามาลองเขียนดูค่ะ ส่วนใหญ่เห็นว่าถ้าอยู่ในญี่ปุ่นจะขอได้ฟรีนะคะ แต่ถ้าอยู่นอกประเทศไม่แน่ใจว่าจะส่งให้หรือเปล่านะคะต้องลองสอบถามไปที่สถาบันที่ต้องการเข้าค่ะ ไม่แน่ใจว่าคุณอยู่ที่ไหน ถ้าอยู่ไทยก็สามารถไปขอคำปรึกษาได้ฟรีที่เจแปนฟาวน์เดชั่นค่ะ จะมีเจ้าหน้าที่ให้ คำแนะนำในเรื่องต่างๆให้ได้แบบละเอียดเลยค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรหาข้อมูลเบื้องต้นไปก่อนนะคะ ลืมบอกไปว่า อาจารย์ที่ปรึกษาที่มหาวิทยาลัยถึงจะไม่สนิทแต่น่าจะลองขอให้ท่านเขียนใบแนะนำได้นะคะ ถ้าท่านไม่เขียนให้ก็ลองปรึกษาอาจารย์ที่ดูแลปีการศึกษานั้นดูค่ะ เท่าที่เคยขอมาอาจารย์ท่านก็ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ เพียงแต่ควรจะนัดท่านล่วงหน้าและเตรียมข้อมูลไปคุยให้ดีๆค่ะ อย่าไปมือเปล่านะคะเพราะอาจารย์ท่านต้องถามอยู่แล้วเกี่ยวกับรายละเอียด จะได้เขียนแนะนำได้ถูกจุดประสงค์และท่านจะได้ทราบด้วยว่า จดหมายแนะนำที่เขียนนั้นจะถูกนำไปใช้ด้วยจุดประสงค์อะไร หากมีการติดต่อสอบถามมาจะได้ไม่มีปัญหาค่ะ สุดท้ายนี้ ขอบ่นหน่อยนะคะว่าให้ระวังการใช้ภาษาค่ะ คุณอาจจะติดภาษาพูดกับเพื่อนหรือแชทมา แต่เวลาเขียนจริงๆควรเขียนให้ถูกต้องค่ะ เปน > เป็น , จา > จะ , ก้อ > ก็  นะคะ ตอนแรกอ่านแล้วว่าจะไม่ตอบกระทู้แล้วเพราะว่าเขียนอ่านลำบากจัง แต่เห็นว่ายังดีที่ไม่ถึงขั้น " เธอว์ , นะคร้า - นะคัพ , จุ๊ฟๆ " ฯลฯ ถ้าเป็นอย่างนั้นคงปิดกระทู้เลิกอ่านไปแล้วค่ะ ถือว่าติเพื่อก่อนะคะ ไม่รู้ว่าดุไปอย่างนี้คุณจะไม่เข้ามาอ่านกระทู้อีกเลยหรือเปล่า เพราะหลายๆครั้งตอบไปแล้วคนถามหายไปเลยค่ะ จนหลังๆเนี่ยไม่อยากตอบกระทู้แล้วเพราะไม่รู้ว่าเจ้าของกระทู้จะกลับมาอ่านหรือเปล่า ยังไงถ้าอ่านช่วยเขียนบอกนิดนะคะ มีอะไรช่วยตอบได้ยินดีช่วยตอบอยู่แล้วค่ะ ^^ * แก้ย่อหน้าให้อ่านง่ายขึ้นค่ะ แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 53 22:50:58 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 53 22:34:46 จากคุณ : มอนจะ เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 22:28:26

ความคิดเห็นที่ 4 เจ๊มอนจะเลิศ จากคุณ : teddyblooh เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 22:33:39

ความคิดเห็นที่ 5 ไปเรียนที่ญี่ปุ่นคอร์สอินเตอร์เพื่อเป็น Bilingual ภาษาอะไรกับอะไรเหรอคะ potential ของการเข้าเรียนต่อโทที่ญี่ปุ่นไม่ว่าจะสาขาไหนนอกจาก recommendation แล้วก็อยู่ที่ research proposal ค่ะ recommendation แค่ธรรมดาไม่ต้องดีเลิศ แต่ว่าถ้าหากมีแผนงานวิจัยที่ดี โอกาสได้รับเข้าก็น่าจะมากกว่า ถ้าไม่ได้เอกด้านภาษา ภาษาก็เป็นแค่เครื่องมือในการเรียนเท่านั้น จากคุณ : แพนด้าหน้าใส เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 23:06:42

ความคิดเห็นที่ 6 recommendation ส่วนใหญ่  อาจารย์ที่ไทย มีฟอร์มเซพ ไว้เรียบร้อย ใครมาขอ พอรู้จัก ก็จะเปลี่ยนชื่อ ปรินซ์ เสร็จ  รวดเร็วทันใจ จากคุณ : Game pro เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 11:15:17

ความคิดเห็นที่ 7 งงเหมือนกันค่ะ อยากได้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่สาม อยากเป็น bilingual แต่จะมาเรียนคอร์สอินเตอร์ที่ญี่ปุ่นที่ใช้ภาษาอังกฤษ??? เดาว่าอยากได้ความคุ้นเคยกับภาษาญี่ปุ่นในระดับนึงโดยอาศัยการได้มาใช้ชีวิตในสังคมญี่ปุ่นจริงๆอย่างนั้นหรือเปล่าคะ อันนี้จากประสบการณ์เราอยู่มาหลายปีความคุ้นเคยกับภาษาก็มีอยู่ แต่ถ้าไม่ได้ใช้แบบจริงๆจังๆหรือตั้งใจเรียนรู้แบบจริงๆ ภาษาญี่ปุ่นที่ได้มันก็ไม่ได้ถึงระดับเอาไปใช้งานในระดับ professional ได้จริงๆหรอกนะคะ ช่วงปีสองปีแรกที่อยู่ญี่ปุ่นนี่ เรากลับรู้สึกว่าทั้งอังกฤษทั้งญี่ปุ่นแย่ลงพร้อมๆกันเลยด้วยซ้ำค่ะ ใช้ภาษาปนๆกันงงๆไปหมดเลยค่ะกว่าจะลงตัวก็ผ่านมาอีกเป็นปีๆ (เราใช้อังกฤษในการทำงานและพรีเซนต์งาน ใช้ญี่ปุ่นเวลาคุยกับเพื่อนๆ) เรารู้จักคนนึงคล้ายๆ จขกท เหมือนกันค่ะ เค้าอยากมาเรียนต่อโทที่ญี่ปุ่นเพราะความชอบเป็นการส่วนตัว แต่จะมาเรียนสายบริหาร ซึ่งสุดท้ายตอบคำถามที่บ้านไม่ได้ว่าทำไมจะเรียนบริหารต้องมาญี่ปุ่น(โตเกียว)ซึ่งค่าใช้จ่ายไม่ใช่ถูกๆ (คือ เค้าไม่ได้สนใจระบบบริหารแบบญี่ปุ่นๆอะไรเลย เหตุผลที่อยากมาก็คำเดียวเลยว่า "ชอบประเทศญี่ปุ่น" ค่ะ) สุดท้ายก็อดไปค่ะที่บ้านไม่อนุญาต (เพราะที่บ้านเป็นคนออกเงินค่าเรียน) ถ้า จขกท อยากเน้น bilingual ไทย-อังกฤษ จริงๆล่ะก็เราว่าน่าจะไปประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็น native น่าจะตรงจุดประสงค์กว่าไหมคะ? ได้ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมภาษาอังกฤษตลอดเลยไม่ใช่เฉพาะในเวลาเรียน ยกเว้นถ้าอังกฤษแข็งแกร่งพอแล้วอยากมาพัฒนาภาษาที่สามเพิ่มสักหน่อยก็ฟังดูโอเคเลยค่ะ แต่ถ้าตั้งใจจะมาฝึกฝนอังกฤษให้แข็งแกร่งที่ญี่ปุ่นจริงๆก็พอทำได้ แต่คงไม่ดีเท่ากับประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษจริงๆนะคะ ส่วนอย่างอื่นคนอื่นๆตอบไว้หมดแล้วค่ะ recommend ไม่ค่อยสำคัญมาก อาจารย์มัีกมีแบบฟอร์มของตัวเองเตรียมไว้เขียนให้นักเรียนอยู่แล้วค่ะ ก็ขออาจารย์ที่เคยเป็นที่ปรึกษาโปรเจคก็ได้ สำคัญคือเขียน proposal ให้ดีค่ะ รู้ว่าตัวเองมีจุดแข็งที่ตรงไหนก็พยายามพรีเซนต์ตรงนั้นออกมา ตรงที่เป็นจุดอ่อนก็อย่าไปเน้น แต่ก็ต้องหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลไว้ด้วย เผื่อกรณีที่โดนถามเกี่ยวกับจุดอ่อนของเราค่ะ >> เวลากรอก ใบสมัคร งจุดอ่อน จุดแข็ง achievement ก้อไม่มีแล้วค่ะ << ตรงนี้นี่น่าเป็นห่วงนะคะ อยากให้กลับไปนั่งนึกใหม่ดูค่ะ ถ้าไม่มีจุดแข็งหรือเป้าหมายจะพรีเซนต์ออกมาเลย ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าเป้าหมายของการเรียนคืออะไร คงยากที่เอกสารจะเป็นที่สนใจของอาจารย์ค่ะ โดยเฉพาะถ้าสมัครในที่ๆอัตราการแข่งขันสูง potential ที่ว่าเนี่ยถ้าไม่แสดงมันออกมาก็ไม่มีใครรับรู้หรอกนะคะว่าเรามีมันอยู่ ถ้า จขกท มั่นใจว่ามี potential ก็ต้องหาทางแสดงมันออกมาให้ได้ค่ะ ต้องจูงใจให้คนเชื่อได้ว่าเรามี potential ที่ว่าจริงๆ อย่ามัวแต่รอให้คนอื่นหยิบยื่นโอกาสในการแสดงออกมาให้เพราะมันจะมาเมื่อไหร่เราไม่มีทางรู้ค่ะ  ไขว่คว้าหาโอกาสเอาเองและแสดง potential ของเราให้เป็นที่ประจักษ์ด้วยตัวเองเลยชัวร์กว่าค่ะ แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 53 12:02:07 จากคุณ : White Amulet เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 11:53:12

ความคิดเห็นที่ 8   ขอบคุณทุกๆท่านมากนะคะ ที่สละเวลามาไขข้อข้องใจ จุดอ่อนของเรา คือ ใจร้อนไม่รอบคอบ ก็ได้ดูจากภาษาที่ใช้พิมพ์แล้วก็การจัดหน้ากระทู้ ขออภัยไว้มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ :( คราวต่อไปจะระวังมากขึ้นนะคะ ความจริง พี่ๆทุกท่านในที่นี้ หนูเคยอ่านบล็อกมาหลายครั้งเลยค่ะ เห็นว่าทุกท่านตองฝ่าฟันมากๆในการเรียนที่ญี่ปุ่น แล้วขอชื่นชมจากใจจริงค่ะ มาถึงประเด็นที่หลายท่านสงสัยว่า ทำไมเราถึงอยากไปญี่ปุ่น จริงๆก็คือ หนูเห็นการใช้ภาษาญี่ปุ่นในการทำงานขององค์กรต่างๆ คิดว่าความต้องการทางบุคคลากรยังมีมากอยู่ โดยเฉพาะองค์กรที่เป็นญี่ปุ่น อีกประเด็นหนึ่ง คือ การที่สนใจเรียนเป็นอินเตอร์ เพราะคิดว่า หลักสูตรและรูปแบบในการเรียนคงน่าสนใจ เพราะเราน่าจะได้เรียนรู้ถึงการทำงานด้านบริหารแบบญี่ปุ่น ฝ่านจากเคสที่มากจากบริทที่ญี่ปุ่นในขนาดเดียวกันก็ ยังมีพื้นฐานจากฝั่งอเมริกาค่ะ ตรงจุดนี้ไม่ทราบว่าโดยข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั่นหรือเปล่านะคะ แต่จากที่อ่านมากจากตัวเอกสารแนะนำหลักสูตร หรือ เวบไซต์ค่ะ ยังไงก็ตามต้องขอบคุรมากนะคะ หนูเองยังรู้สึกว่าตัวเองเด็กมาก (ทางความคิด) มีพี่ๆคอยแนะนำก็อุ่นใจดีค่ะ ถ้ามีข้อสงสัยอะไร ขออนุญาตรบกวนอีกนะคะ จากคุณ : จกขท เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 19:31:16 A:183.89.145.145 X: TicketID:277087

ความคิดเห็นที่ 9 เราว่าน้องลองหาข้อมูลพื้นฐานพวกการศึกษาต่อญี่ปุ่นจากงานนิทรรศการศึกษาต่อญี่ปุ่นที่มีทุกปีและมีเจ้าหน้าที่จากมหาลัยมาให้ข้อมูล ก็จะพอตอบได้บ้างค่ะว่าอยากไปต้องเตรียมอะไรบ้าง เรียนต่อโทหลายที่ก็มีสอบเข้าด้วย ต้องรู้ด้วยว่าเค้ารับสมัครเมื่อไหร่ แล้วก็สอบอะไรบ้าง ถ้าหากอยากไปญี่ปุ่นเพื่อให้ได้ภาษา ก็ไม่ควรจะไปญี่ปุ่นโดยที่ภาษาญี่ปุ่นเป็น 0 ค่ะ เรียนในไทยให้ได้เท่าที่จะทำได้ก่อน แล้วไปต่อยอดที่ญี่ปุ่นถึงจะคุ้มเงินกว่า เรียนที่ไทยให้รู้ว่าเราชอบภาษานี้จริงๆ และเมื่อจ่ายเงินเป็นหลักล้าน จะไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเรียน เพราะว่ามันทั้งเปลืองเงินและเวลา จขกทลองไปหาคอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่นดูก่อนอย่างอื่นเลยนะคะ จากคุณ : แพนด้าหน้าใส เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 20:41:36

ความคิดเห็นที่ 10 เข้ามาอ่านอีกที เมื่อวานเราเองก็พิมพ์ผ่านมือถือเลยจัดหน้าลำบากเหมือนกัน แก้แล้วแก้อีก  ไม่รู้ว่าเขียนแรงไปหรือเปล่า แต่ตั้งใจตอบจริงๆนะคะเพราะอยากให้คุณจขกทเข้าใจว่าต้องตั้งจุดมุ่งหมายและเหตุผลที่อยากจะไปเรียนให้แน่นอนก่อน เพราะว่านั่นคือพื้นฐานที่จะเป็นก้าวแรกที่จะทำให้สามารถเรียนที่ญี่ปุ่นได้ค่ะ ( ไม่ต้องแค่ญี่ปุ่นหรอกค่ะ คิดว่าที่ไหนๆก็เหมือนกันแหละค่ะ ) อย่างที่คุณแพนด้าฯ คุณไวท์อะมูเล็ทและคนอื่นๆตอบไว้นะคะ แผนการวิจัยคือหัวใจที่จะทำให้น้อง ( เรียกน้องแล้วกันนะคะ ) จะได้รับการคัดเลือกให้เข้าศึกษาในสถาบันนั้นๆหรือไม่ ประเทศญี่ปุ่นนี่บังคับให้นักศึกษาระดับชั้นปริญญาโทขึ้นไปทุกสาขาวิชาแม้กระทั่งสาขาบริหารธุรกิจต้องทำวิทยานิพนธ์ ( ยกเว้นเรียนระยะสั้นแค่หนึ่งปี ) ดังนั้น Research Plan หรือ Proposal นั้น ต้องเขียนเป็นเรื่องเป็นราว ต้องมีที่มาที่ไปว่าทำไมเราถึงอยากศึกษาเรื่องนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนั้นจริง และมีผลที่คาดหวังที่เราจะได้รับว่าการศึกษานี้จะก่อให้เกิดประโยชน์แบบใด เป็นต้นนะคะ ดังนั้นน้องต้องทำการบ้านเยอะๆ พี่ถึงบอกว่าต้องถามตัวเองก่อนว่าจะไปเรียนเพื่ออะไร ถ้าตอบแบบจุดมุ่งหมายไม่ชัดเจน แผนการวิจัยมันก็จะไม่เป็นเหตุเป็นผล โอกาสที่จะสอบเข้าได้ก็น้อยลงค่ะ แน่นอนพี่ไม่ปฏิเสธหรอกค่ะว่ามีบางคนที่คิดอยากจะมาเรียนเพียงแค่ว่าสนใจประเทศนี้ อาจจะไม่มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนแต่อยากมาเรียน ถ้าเราไม่มีจุดมุ่งหมายก็ลองสร้างมันขึ้นมาค่ะ น้องบอกว่าไม่รู้จะเอาอะไรมาเขียน แต่พี่ว่าน้องคงมองข้ามหลายๆอย่างไป อาจจะมองไม่เห็นจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองก็ได้ ลองใช้เวลานั่งทบทวนดีๆค่ะ ไม่มีใครหรอกที่จะแย่ไปเสียทุกอย่าง ใครจะดูถูกเราก็ได้แต่เราอย่าดูถูกตัวเองนะคะ ลองนั่งทบทวนดีๆว่าเรามีความสามารถอะไร ใช้เวลากับมันค่ะแล้วก็จะมองเห็นเอง พี่เชื่อว่าหลายๆคนที่มาเรียนต่างประเทศก็มีทั้งคนที่หัวดีมากๆและคนที่ธรรมดาหรือแม้กระทั่งคนไม่เก่งก็มีเช่นกัน แต่ความพยายามมันทำให้คนธรรมดาไม่โดดเด่นกลายเป็นคนเก่งได้นะคะ  พี่เองเคยท้อมากมายมาก่อนจะมีวันนี้เหมือนกัน ถ้าใจสู้ซะอย่างยังไงสักวันต้องบรรลุเป้าหมายค่ะ ส่วนเรื่องที่อยากเรียนบริหารที่ญี่ปุ่น พี่ขอแชร์ความรู้ที่รู้มานิดๆหน่อยๆเกี่ยวกับการเรียนบริหารที่ญี่ปุ่นนะคะ เท่าที่รู้มาจากคณาจารย์จากสถาบันที่จบมา ประเทศนี้เพิ่งมีแนวคิดการเรียนบริหาร ( อันนี้หมายถึงการเรียนเอ็มบีเอนะคะ ) เมื่อไม่กี่สิบปีก่อนนี้เองค่ะ คือสถาบันที่จบมาเป็น Business School ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นแล้ว เพราะอาจารย์ไปดูงานที่Harvard Business Schoolแล้วอยากนำแนวการเรียนการสอนมาปรับใช้ในญี่ปุ่นบ้าง จึงได้นำหลักสูตรและเคสมาสอนในญี่ปุ่น เพื่อให้คนญี่ปุ่นที่ต้องการเป็นผู้บริหารองค์กรหรือนักบริหารหลายๆท่านได้เรียนเป็นภาษาญี่ปุ่นโดยที่ไม่ต้องเดินทางไปเรียนถึงอเมริกา หลังจากนั้น สถาบันต่างๆก็เริ่มมองเห็นความสำคัญของการเรียนสาขานี้ จึงมีการเปิดสอนมากขึ้นในปัจจุบันค่ะ แต่อย่างที่บอกไปแล้วข้างต้น พี่เรียนเป็นแบบภาษาญี่ปุ่นเลยไม่สามารถตอบได้ว่าที่อื่นสอนแบบอินเตอร์จะมีการเรียนการสอนแบบไหน แต่สถาบันที่จบมาจะมีทั้งแนววคิดที่มีรากฐานจากอเมริกาและมีเคสที่มาจากอเมริกาหนึ่งในสามของเคสทั้งหมด ส่วนที่เหลือจะเป็นเคสของญี่ปุ่นและยังสอนเกี่ยวกับองค์กรและการบริหารแบบญี่ปุ่นด้วย เพราะนักเรียนเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นคนญี่ปุ่นค่ะ ดังนั้นการเรียนที่นี่จะได้เรียนรู้แง่มุมที่แตกต่างจากการเรียนที่อเมริกาที่เป็นต้นตำรับแน่นอนค่ะ พี่มองว่าน้องเองยังมีข้อมูลในมือน้อยเกินไปนะคะ ลองไปงานแนะแนวศึกษาต่อแบบที่คุณแพนด้าบอกก็ดีค่ะ มีรุ่นพี่มาแชร์ประสบการณ์ด้วยและได้คุยกับตัวแทนสถานศึกษาแบบใกล้ชิดด้วยค่ะ และถึงจะมาเรียนแบบอินเตอร์ การรู้ภาษาญี่ปุ่นไว้ก่อนก็เป็นเรื่องดีค่ะ หากมาเริ่มเรียนที่นี่จะต้องใช้เงินมาก รวมทั้งสาขาบริหารเนี่ยค่าใช้จ่ายสูงมากค่ะ ควรศึกษาข้อมูลให้แน่นอนก่อนตัดสินใจมาเรียนนะคะ ยังไงก็ขอให้โชคดีค่ะ ป.ล.ตกใจกับกิ๊ฟท์ค่ะ  เพิ่งเคยได้กิ๊ฟท์เยอะขนาดนี้ ขอบคุณทุกคนที่ให้กิ๊ฟท์ด้วยนะคะ จากคุณ : มอนจะ เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 22:31:35

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่มีอะไรจะแนะนำนอกจาก ถ้าไปเรียนญี่ปุ่น อย่าเรียนเป็นภาษาอังกฤษเลยค่ะ เดี๋ยวจะเสียดายและเสียใจเหมือนเี่ราตอนกลับมาหางานที่ไทย เำำำพราะถ้าได้ภาษาญี่ปุ่นเทพๆกลับมา อยู่เมืองไทยหางานง่าย+เงินดี กว่าภาษาอังกฤษมากค่ะ พื้นฐานภาษาอังกฤษของคุณก็ดีอยู่แล้ว ก็ฝึกเอาทางอื่นละกันค่ะ หรือไม่ ถ้าอยากฝึกภาษาอังกฤษให้พูดได้ แบบ เนทีฟ ก็ไป อเมริกา หรืออังกฤษ ดีกว่าค่ะ ไปญี่ปุ่นแล้วเรียนเป็นภาษาอังกฤษไม่แนะนำค่ะ เพราะเสียดายโอกาสใน การเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้งค่ะ จากคุณ : รพินทร์ดารา เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 53 22:29:47

ความคิดเห็นที่ 12 อ่านแล้วได้ข้อมูลเยอะดีจังค่ะ อยากถามคุณมอนจะ (พอดีเลยสงสัยมานานแล้ว) อย่างเรียนบริหารที่นี่ อย่างที่คุณมอนจะว่า เคสส่วนใหญ่ก็จะเป็นบริษัทในญี่ปุ่น ใช่มั้ยคะ โดยความเห็นส่วนตัวคิดว่า ระบบธุรกิจของญี่ปุ่น กับของประเทศอื่นนั้นไม่เหมือนกัน อย่างเช่น ระบบการทำงานในองค์กร ตลอดจนเรื่อง Marketing ต่างๆ (มองแบบเราไม่ค่อยมีความรู้เชิงลึกอะไรตรงนี้มากนะ มองแบบผู้บริโภคธรรมดาๆ คนนึง) ก็น่าจะไม่เหมือนกันใช่มั้ยคะ เราคิดถูกหรือผิดคะ ว่าระบบธุรกิจในญี่ปุ่นมัน unique กว่าประเทศอื่น? ทีนี้สมมุติถ้าเรียนที่นี่ จะเอากลับไปปรับใช้กับธุรกิจในประเทศไทยอย่างไรคะ? หรือว่าเค้าก็สอนจากพื้นฐานทั่วไปอยู่แล้ว เคยอยากเรียนเหมือนกัน แต่ 1. เกรดแย่มาก ได้สอง.กลางๆ เอง แหะๆ 2. ภาษาญี่ปุ่นไม่เลิศ 3. ไม่มีตังค์ *** สำคัญเลยข้อนี้ 4. ไม่ชัวร์ว่าเรียนแล้วจะเอาไปใช้ที่ไทยได้รึเปล่า เลยจบข่าวค่ะ!! แต่ถึงไม่เรียน ก็อยากรู้อ่ะค่ะ :) จากคุณ : dog....bok bok เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 53 15:16:05

ความคิดเห็นที่ 13 สวัสดีค่ะ คุณ dog....bok bok ขอตอบเท่าที่ทราบนะคะ เพราะอย่างที่บอกไป เราก็ทราบแค่ข้อมูลจากประสบการณ์ที่เรียนจากสถาบันของเราเท่านั้นค่ะ รายละเอียดปลีกย่อยจะแตกต่างกันหรือเปล่าเราเองก็ตอบไม่ได้นะคะ แต่เราว่าน่าจะคล้ายๆกันค่ะ อย่างที่บอกไปแล้วว่า อเมริกาเป็นต้นแบบเอ็มบีเอ และสถาบันเรารับเอาแนวการเรียนการสอนรวมทั้งกรณีศึกษามาจากอเมริกา รวมทั้งอาจารย์ของเราหลายท่านก็จบจากอเมริกา ( ถ้าจำไม่ผิดมีฮาวาร์ดกันสแตนด์ฟอร์ดนะคะ ) ดังนั้นหนังสือเรียนส่วนหนึ่งก็ใช้ตามอเมริกา เช่น ถ้าเป็นมาร์เก็ตติ้งก็ต้อง Kotler ถ้าเป็นกลยุทธ์หรือการแข่งขันก็ต้อง Porter และ Barney เป็นต้นค่ะ  แต่ในรายละเอียดปลีกย่อยอย่างอื่นจะมีแทรกเสริมสไตล์ญี่ปุ่นไปด้วย  ที่เห็นชัดๆ ( และนึกออกในตอนนี้ ^^" ) ก็พวกวิชาเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์  ก็จะมีการเปรียบเทียบการบริหารระหว่างองค์กรที่เป็นแบบญี่ปุ่นกับองค์กรต่างชาติ เช่น ลักษณะนิสัยและการบริหารบุคคลตามแบบญี่ปุ่น ยังมีความ Unique ตรงที่จะให้ความสำคัญกับการทำงานตามชั้นปี ระบบรุ่นพี่รุ่นน้องแรงมาก ( ปัจจุบันเราเองก็ประสบปัญหาที่ว่านี้อยู่ค่ะ น่าเบื่อมากๆ ) ไม่นิยมการเปลี่ยนงาน ( แต่เดี๋ยวนี้ค่อยๆหายไปมากแล้วนะคะ ) การแสดงความคิดเห็นจะอ้อมค้อมวกวนไม่พูดตรงๆ การสั่งงานแบบ Top down ยังมีให้เห็นอยู่เยอะ ส่วนพวกองค์กรที่เป็นแองโกลแซกซอนจะไม่ใช่อย่างงั้นน่ะค่ะ หรือพวกบัญชีไฟแนนซ์ก็จะมีความแตกต่างจากประเทศอื่นๆ คือสมัยที่เราเรียนเราเองก็งงและมึนกับระบบการคิดบัญชีแบบญี่ปุ่นมาก เพราะต่างจากไทยและประเทศอื่นๆในยุโรปและอเมริกามาก แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ญี่ปุ่นกำลังจะปรับมาตรฐานระบบเป็นตามมาตรฐาน IFRS แล้วค่ะ ( ลองไปเสิร์ชหาดูนะคะ ขออนญาตไม่อธิบายค่ะ เพราะเดี๋ยวจะยาวเกินไป ) ต่อไปคนเรียนคงจะเอาไปประยุกต์ใช้กับประเทศอื่นๆได้ด้วย ยกตัวอย่างคร่าวๆไม่ลงลึกนะคะ เช่น ในเวลาที่บริษัทญี่ปุ่นจะทำการซื้อกิจการบริษัทอื่น ( M&A ) จะมีการจ่าย のれん เป็นค่าเพิ่มเติมให้บริษัทนั้นๆ อาจจะเป็นมูลค่าของค่าแบรนด์หรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งถ้าเป็นมาตรฐาน IFRS　จะไม่มีค่าที่ว่าน่ะค่ะ ตอนที่เราเรียนมีการยกตัวอย่างเคสของซอฟท์แบงค์ที่ซื้อกิจการของโวด้าโฟนขึ้นมา ได้ข่าวว่าได้ไปเยอะเหมือนกัน ซึ่งเราก็เรียนไว้ประดับความรู้เฉยๆน่ะค่ะ ตอนนั้นยังนึกเซ็งเหมือนกันว่าถ้าจบไปแล้วไม่ทำบริษัทญี่ปุ่นจะได้ใช้ไหม แต่นี่มันก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นค่ะ ส่วนอื่นๆที่เราคิดว่าแตกต่างนะคะก็พวกบริหารการผลิต อุตสาหกรรม อะไนพวกนี้น่ะค่ะ พอดีเราเลือกเอกนี้เพราะสนใจเป็นการส่วนตัว ตอนที่มีนร.แลกเปลี่ยนจากอเมริกาและประเทศอื่นๆมาเรียน เราก็ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพวกเขาเหมือนกัน ประเทศนี้มีแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารอุตสาหกรรมได้น่าสนใจมากๆ ขนาดแนวคิด ไคเซ็น ยังถูกกล่าวถึงในหลายบริบทในต่างประเทศเลยค่ะ บางอย่างที่ต้นตำรับไม่มีแต่ที่นี่มีก็มีหลายอย่าง เราเองก็รู้สึกดีที่ได้เรียนบริหารที่ญี่ปุ่นนี่นะคะแม้ว่าจะถูกหลายๆคนบ่นว่าทำไมไม่ไปเรียนที่อเมริกา แต่เรากลับคิดว่าเรารู้ตัวดีว่าต้องการ " อะไร " จากการเรียนที่นี่ จึงค่อนข้างพอใจกับการเรียนที่นี่ค่ะ ดังนั้น ตามที่คุณ dog....bok bok ถามมาว่าการเรียนบริหารที่ญี่ปุ่นนี่สามารถเอาไปใช้กับธุรกิจในไทยได้หรือไม่ ก็คงจะได้คำตอบแล้วว่ามันขึ้นอยู่กับว่าผู้เรียนจะเอาความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในแง่ไหนมากกว่าค่ะและขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากได้ " อะไร " จากการเรียนมากกว่าค่ะ ( ถึงได้บอกน้องเจ้าของกระทู้ว่าให้ถามตัวเองว่าทำไมถึงอยากมาเรียนที่นี่ จะได้ตอบโจทย์ของตัวเองถูกนะคะ )  ไม่มีใครสอนว่าความรู้ที่ได้มันผิดหรือถูก ผู้บริหารบริษัทนึงอาจจะทำตามที่เรียนมาเป๊ะๆแต่ธุรกิจล้มเหลวไม่เป็นท่า ในขณะที่ผู้บริหารอีกบริษัทนึงกลับทำอีกแบบและประสบความสำเร็จก็ได้นะคะ มันไม่มีอะไรตายตัวในโลกของการทำงานจริงๆค่ะ สิ่งที่เราเรียนรู้มาก็คือต้องรู้จักยืดหยุ่น มองโลกหลายๆมุม ตำราหรือเนื้อหาที่เรียนมันก็แค่ส่วนหนึ่งค่ะแต่รู้ไว้ไม่เสียหาย เรากล้าพูดว่าแม้ว่าเอ็มบีเอจะดูเหมือน " จับฉ่าย " ใส่อะไรทุกอย่างลงมาในหลักสูตร แต่พอเรากลับสู่แวดวงทำงานอีกครั้ง เราก็รับรู้ได้ชัดเจนว่าที่เราเรียนมาได้ใช้จริงๆ ไม่เสียดายแรงงานและเวลาที่ทุ่มเทไปเลยค่ะ ที่เราตอบไป ก็เป็นแค่ประสบการณ์และมุมมองหนึ่งเท่านั้นนะคะ คนอื่นๆอาจจะคิดไม่เหมือนเราหรือมีประสบการณ์ไม่เหมือนกันก็ได้ ยังไงก็ใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 53 21:53:48 จากคุณ : มอนจะ เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 53 21:42:26

ความคิดเห็นที่ 14 คุณมอนจะ.. ขอบคุณมากๆ ค่ะที่มาให้ข้อมูลเยอะแยะเลย ถึงจะบอกว่าเป็นแค่ประสบการณ์และมุมมองหนึ่งเท่านั้น แต่ทำให้เราได้ความรู้มากๆ เลยนะคะ เชื่อว่าคนอื่นๆ ที่มาอ่าน โดยเฉพาะคนที่กำลังจะเลือกมาเรียนโทที่นี่ หรือไม่เกี่ยวข้องก็ตาม ก็คงได้ประโยชน์มากๆ เลย อย่างน้อยก็เราคนนึงล่ะ :) จากคุณ : dog....bok bok เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 53 13:16:42

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณคุณมอนจะมากๆเลยนะคะสำหรับการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ในญี่ปุ่น ขอถามเพิ่มเติมนิดนึงนะคะ "ในเวลาที่บริษัทญี่ปุ่นจะทำการซื้อกิจการบริษัทอื่น ( M&A ) จะมีการจ่าย のれん เป็นค่าเพิ่มเติมให้บริษัทนั้นๆ อาจจะเป็นมูลค่าของค่าแบรนด์หรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งถ้าเป็นมาตรฐาน IFRS　จะไม่มีค่าที่ว่าน่ะค่ะ ตอนที่เราเรียนมีการยกตัวอย่างเคสของซอฟท์แบงค์ที่ซื้อกิจการของโวด้าโฟน ขึ้นมา ได้ข่าวว่าได้ไปเยอะเหมือนกัน" หมายถึง Goodwill หรือเปล่าคะ เพราะเห็นบอกว่าอาจจะเป็นมูลค่าของค่าแบรนด์ ถ้าไม่ใช่แล้วค่านี้แตกต่างจาก Goodwill อย่างไรคะ จากคุณ : Kuromiko เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 53 18:37:38